Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 3

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 1-3

เวทมนตร์ดำขาว

 

เรดดูสับสนเล็กน้อยกับท่าทางสนิทสนมที่ตัวเธอไม่ชินด้วยของอีกฝ่าย ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้คนที่มองเธอด้วยสายตาแบบนั้น มีเพียงคนเดียว.. นั่นคือพี่สาวของเธอ

เพราะแบบนั้นเมื่อเธอเห็นคนแปลกหน้าแสดงท่าทางสนิทสนมที่ชัดเจนออกมาแบบนั้น จึงเป็นธรรมดาที่จะทำให้เธอเกิดความสับสนขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น แม้ภายในหัวของเรดจะยังคงตกอยู่ในความสับสน แต่ร่างกายของเธอกลับเดินลงไปนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว

แม้แต่เธอก็ยังรู้สึกประหลาด ราวกับว่าเธอได้พบเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่ประจำ เป็นความเคยชินที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน

“มัวงงอะไรอยู่ล่ะ รีบทานสิ”

“อะ.. อื้ม..”

ว่าแล้วเรดก็ก้มมองอาหารตรงหน้าเป็นน้ำซุปที่ดูจืดชืด ไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลยพอเธอยกขึ้นมากินสิ่งเดียวที่เธอรับรสชาติได้คือความขม

และการรับประทานอาหารเช้าก็เริ่มขึ้น ในครอบครัวนี้ในตอนนี้มีเพียงแค่สองคนคือเรดกับแม่ของเธอเท่านั้น

“ขอโทษด้วยนะ ที่ช่วงนี้แม่ทำอาหารไม่ค่อยอร่อย”

แม้เรดจะไม่ได้พูดออกมาว่ารสชาติมันแย่ แต่ในฐานะคนเป็นแม่แค่เห็นสีหน้าเธอก็รู้แล้วล่ะ อีกอย่างนี่เป็นอาหารฝีมือเธอ เธอย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้วว่าตนเองในช่วงนี้ทำอาหารไม่ค่อยอร่อยต่างจากเมื่อก่อน

ความรู้สึกผิดของผู้เป็นแม่คือการที่ทำให้ลูกสาวไม่สามารถมีความสุขกับการทานอาหารได้ยามเช้า สำหรับคนเป็นแม่เช่นเธอแล้วนี่ถือเป็นความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นแม่ที่แย่ที่สุดในโลก ก่อนเธอจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในทางกลับกันเรดกลับยิ่งรู้สึกผิดกว่าเธอคนนั้นมากนัก

เพราะเรดไม่ใช่เรดที่เป็นลูกของคนคนนี้รู้จัก แต่กลับต้องมารับคำขอโทษอันอ่อนโยน ที่ทำให้แม้แต่เรดก็ยังไปไม่ถูกนอกจากตอบออกไปด้วยความไม่สบายใจ

“มะ.. ไม่เป็นไรหรอก”

“อื้ม.. ขอบคุณนะ วันนี้เราจะไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อขนมปัง จำได้หรือเปล่า?”

“ซื้อขนมปัง?”

“ลืมแล้วสินะเนี่ย.. ลูกนี่นะ”

เธอกุมขมับเล็กน้อย เรื่องนี้พึ่งพูดไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะขนมปังที่ซื้อมาหมดแล้วเลยต้องไปซื้อใหม่

แต่เมื่อเธอคิดว่าลูกสาวติดนิสัยนี้มาจากตัวเธอเอง เธอก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเธอเองก็เป็นคนขี้ลืมมากๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกัน

“ก็พรุ่งนี้ลูกต้องไปหาคุณยายในป่านี่น่า จำไม่ได้เหรอว่าคุณยายท่านป่วยไม่สบายนะ เราที่เป็นหลานยังแข็งแรงต้องดูแลคุณยายให้ดีนะ!”

“เอ๊ะ..?”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่ว่าเรดจะไม่สังเกตเห็น เธอก้มมองลงชุดที่ถูกเย็บปักถักร้อยอย่างงดงามและในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดแบบนี้อีกห้าหกชุดเหมือนกันหมด

ผ้าโพกหัวสีแดงที่มีลักษณะเหมือนหมวก ร่างกายของเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ดูราวกับเป็นหนูน้อยตัวเล็กที่เหมือนกำลังจะไปถูกหมาป่าแกล้ง

เรดที่คิดมาถึงจุดนี้ความคิดสุดแสนจะหลุดโลกก็เข้ามาในหัวของเธอ..

หรือว่านี่จะเป็น…?

ไม่สิ ในตอนนี้ยังยืนยันอะไรได้ไม่มาก ในขณะที่เรดกำลังเกิดความสับสนและกังวลนั้นเองมืออันอ่อนโยนก็ยกมาแนบหน้าผากของเธอที่กำลังจมปลักอยู่ในความคิด

ความเย็นจากฝ่ามือนั้นทำให้เรดสะดุ้งตื่นกลับมาจากห้วงความคิด และคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือแม่ของเธอที่คิ้วกำลังตกด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ว่าแล้ว.. นี่ลูกไม่สบายจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?”

วินาที แรกที่เรดสัมผัสได้จากความอ่อนโยนนั้นคือความอบอุ่นจากมารดาที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิตที่แล้ว

แม้มือคู่นั้นจะเย็นชืดจนน่าตกใจก็ตาม แต่อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่าความห่วงใยหรือความรู้สึกใจดีที่มอบให้ลูกสาวตรงหน้าในฐานะผู้เป็นแม่นั้น มันกลับรู้สึกอบอุ่นจนน่าเหลือเชื่อ

พี่สาวของเรดก็เคยทำแบบนั้นกับเรดก็จริง แต่นี่กลับแตกต่างออกไป เพราะยังไงก็ตามแต่พี่สาวของเธอก็คือพี่สาว ไม่ใช่แม่แต่อย่างใด

เพราะงั้นแม้ความอบอุ่นที่ได้รับจะเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่เรดรับรู้ได้กลับแตกต่างออกไป..

ในฐานะที่เรดอยู่มาจนถึงอายุยี่สิบกว่าไม่ควรจะเป็นคนที่ถูกเอาใจง่ายแท้ๆ แต่คนคนนี้กลับทำให้เรดรู้สึกอยากจะพุ่งตัวเข้าไปกอดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

ซึ่งเรดเองก็ยังรู้ดีอีกเช่นกันว่าความอบอุ่นนั้นไม่ได้มีไว้ให้เธอแต่เป็นเจ้าของร่างนี้ต่างหาก.. ใช่ เรดตัวจริงที่เป็นเจ้าของร่างนี้น่ะนะ

“ไม่หรอกค่ะ.. หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่รู้สึกสับสนกับความทรงจำนิดหน่อย”

เมื่อเรดเปิดปากออกแทนคำว่า ‘ฉัน’ แต่สิ่งที่เธอพูดตอบกลับออกไปกลับกลายเป็นแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘หนู’ ซะอย่างนั้น

แถมยังมีคำลงท้ายของเด็กสาวตามสัญชาตญาณของร่างกายนี้อีกต่างหาก แต่ทว่าสิ่งที่เรดพูดออกไปในใจความสำคัญของคำพูดนั้นก็เป็นสิ่งที่เธออยากจะพูดจริงๆ

เพราะเธอไม่กล้าที่จะพูดความจริงว่าตนเองไม่ใช่ลูก แต่เป็นใครไม่รู้มาแทนที่.. หากคนที่รักลูกขนาดนี้รู้เข้าเรดไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเธอจะทำสีหน้ายังไง

เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินแบบนั้นก็พูดด้วยความห่วงใยว่า

“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม.. แล้วหัวเป็นอะไรมากไหม..”

“ค่ะ.. ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ”

เรดตอบกลับออกด้วยความไม่เคยชิน อย่างไรก็ตามที่ถามว่าหัวเป็นอะไรไหมนี่เธอได้ยินเสียงที่เรดหัวฟาดพื้นจริงๆ สินะเนี่ย ไม่ก็เห็นรอยที่หัวนั่นแหละมั้งนะ

เรดได้แต่หัวเราะให้กับตัวเองที่ดันไปรู้สึกดีใจกับการที่มีคนอ่อนโยนกับเธอ..

“จริงสิ เมื่อเช้าหนูเห็นคนขี่ไม้กวาดลอยอยู่บนฟ้าด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ.. หมายความว่าไงเหรอ?”

แม่ของเรดที่ได้ยินแบบนั้นก็คิ้วกระตุกเล็กน้อยหันไปมองเรดพร้อมกับซักถามเพิ่มเติมว่า..

“ขี่ไม้กวาดจริงๆ ใช่ไหม ลูกไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม.. มีรูปร่างแบบไหนงั้นเหรอ?”

“นั่นสินะคะ.. รู้สึกว่าจะสวมชุดสีดำสวมหมวกทรงกรวยพร้อมกับปีกกว้างออกมา นั่นมันคืออะไรเหรอ?”

ดวงตาของมารดาเรดก็เบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยเธอพูดเบาลง

“พวกมันคือ ‘แม่มด’ ยังไงล่ะ ลูกจำไว้ว่าหากมีคนสวมหมวกกรวยปีกกว้างพร้อมถือไม้กวาดแล้วละก็ พวกมันจะเป็น ‘แม่มด’ ผู้ชั่วร้ายไงล่ะ”

“เอ๊ะ..?”

“แม่มดทุกคนล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด พวกหล่อนนั้นมีการกระทำที่คาดเดาไม่ได้ แต่ว่าพวกหล่อนนั้นจะชอบเด็กเป็นพิเศษเลยล่ะ”

“….”

“โดยเฉพาะเด็กที่นิสัยเสียน่ะ พวกหล่อนจะยิ่งชอบเป็นพิเศษเลยล่ะ เพราะงั้นลูกเองก็ห้ามทำตัวเป็นเด็กนิสัยไม่ดีนะ พวกแม่มดผู้ชั่วร้ายจะเอาลูกไปจากแม่ไงล่ะ”

ตอนแรกที่เรดฟังก็รู้สึกว่าน่ากลัวจริงๆ อยู่บ้างให้ความรู้สึกแบบจอมมารผู้ชั่วร้ายในนิทานที่เรดเคยอ่านเลยนั่นแหละ แต่เมื่อฟังถึงคำพูดสุดท้ายของแม่เธอแล้ว

เรดก็รู้ทันทีเลยว่านี่คือการพูดหลอกให้เด็กกลัวเพื่อไม่ให้เด็กงอแงล่ะ แบบประมาณว่าอย่างอแงนะไม่งั้นคุณแม่มดจะมาเอาตัวไปละ

ก็นะ… ทำไมเรดจะไม่รู้เธอก็เคยเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาลมาก่อนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเบสิคมากๆ แต่ในความคิดของเรดคือการสอนเด็กแบบนี้ มันจะทำให้เด็กถูกปลูกฝังความกลัวบางอย่างลงในจิตใจ

ซึ่งไม่เป็นผลดีในระยะยาวของเด็กละนะ เพราะเด็กอาจจะมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนขี้กลัวสุดๆ เลยก็ได้

“ทำไมเขาถึงลอยได้เหรอคะ?”

เพราะที่นี่คือโลกใบใหม่ที่เธอไม่รู้จัก

เพราะงั้นเรดจึงต้องการข้อมูลมากกว่านี้ในตอนนี้เมื่อเธอสามารถปักใจเชื่อได้แล้วนี่ไม่ใช่โลกใบเดิม นั่นก็หมายความว่าน่าจะมีวิธีหรือสามารถหาทางกลับไปโลกเดิมสักทางได้อย่างแน่นอน

เพราะขนาดตอนมาก็ยังมาได้นี่น่า อีกอย่างที่โลกเดิมยังมีพี่สาวของเธอคอยอยู่ด้วย เพราะงั้นจะปล่อยให้พี่สาวอยู่คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด

แม่เรดก็แสดงสีหน้าแปลกๆ ประมาณว่า.. ยังต้องถามอีกเหรอ แต่แน่นอนว่าแม่คือผู้ให้แม้เธอจะรู้สึกว่าลูกตัวเองวันนี้ดูประหลาดไปบ้างก็ตามที

“นั่นก็เป็น ‘เวทมนตร์ดำ’ ไงล่ะ? เรื่องนี้ลูกก็น่าจะได้อ่านมาจากหนังสือมนต์ดำขาวแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“พอดี.. หนูลืมไปแล้วน่ะค่ะ”

เรดตอบด้วยคำพูดครอบจักรวาลนั่นคือคำว่า ‘ลืมไปแล้ว’ แม่ของเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอธิบายออกมาให้เรดฟัง

เวทมนตร์บนโลกนี้คือศาสตร์ที่ทำให้เรื่องเหนือธรรมชาติเป็นจริงได้ ส่วนใหญ่แล้วเวทมนตร์ขาวทำได้นั้นจะเป็นการสร้างยารักษา ถอนคำสาป หรือรักษาบาดแผลเท่านั้น ทั้งยังไม่สามารถสร้างผลเสียใดๆ ต่อร่างกายเหมือนเวทมนตร์ดำ

เวทมนตร์ดำนั้นจะกัดกินจิตสำนึกของผู้ใช้แต่แลกมาด้วยศาสตร์ที่แข็งแกร่งเหาะเหินเดินอากาศ ปล่อยพลังเป็นคลื่นมนตรา

สร้างคำสาป ยาพิษ ได้ทุกอย่าง.. และว่ากันว่าจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งมนต์ดำคือการแสวงหาความเป็น ‘อมตะนิรันดร์’

แต่บนโลกนี้ใครก็ตามที่หันเดินทางสู่วิถีของมนต์ดำ ทุกคนล้วนแล้วแต่จะถูกขนานว่าเป็นแม่มดกันทั้งสิ้น อีกอย่างมนต์ดำจะใช้ได้เพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้นด้วย

“….. เวทมนตร์..งั้นเหรอ”

ในขณะที่แม่ของเธอเล่า.. ความคิดของเรดกลับลอยเคว้งไปในโลกแห่งใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

ไอ้เวทมนตร์ที่ว่าเนี่ย.. คือ..

เวทมนตร์ที่เหนือจินตนาการของเหล่าภูตในนิทานที่เธอเคยอ่านงั้นเหรอ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 3

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 1-3

เวทมนตร์ดำขาว

 

เรดดูสับสนเล็กน้อยกับท่าทางสนิทสนมที่ตัวเธอไม่ชินด้วยของอีกฝ่าย ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้คนที่มองเธอด้วยสายตาแบบนั้น มีเพียงคนเดียว.. นั่นคือพี่สาวของเธอ

เพราะแบบนั้นเมื่อเธอเห็นคนแปลกหน้าแสดงท่าทางสนิทสนมที่ชัดเจนออกมาแบบนั้น จึงเป็นธรรมดาที่จะทำให้เธอเกิดความสับสนขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น แม้ภายในหัวของเรดจะยังคงตกอยู่ในความสับสน แต่ร่างกายของเธอกลับเดินลงไปนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว

แม้แต่เธอก็ยังรู้สึกประหลาด ราวกับว่าเธอได้พบเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่ประจำ เป็นความเคยชินที่ทำอยู่เป็นประจำทุกวัน

“มัวงงอะไรอยู่ล่ะ รีบทานสิ”

“อะ.. อื้ม..”

ว่าแล้วเรดก็ก้มมองอาหารตรงหน้าเป็นน้ำซุปที่ดูจืดชืด ไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลยพอเธอยกขึ้นมากินสิ่งเดียวที่เธอรับรสชาติได้คือความขม

และการรับประทานอาหารเช้าก็เริ่มขึ้น ในครอบครัวนี้ในตอนนี้มีเพียงแค่สองคนคือเรดกับแม่ของเธอเท่านั้น

“ขอโทษด้วยนะ ที่ช่วงนี้แม่ทำอาหารไม่ค่อยอร่อย”

แม้เรดจะไม่ได้พูดออกมาว่ารสชาติมันแย่ แต่ในฐานะคนเป็นแม่แค่เห็นสีหน้าเธอก็รู้แล้วล่ะ อีกอย่างนี่เป็นอาหารฝีมือเธอ เธอย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้วว่าตนเองในช่วงนี้ทำอาหารไม่ค่อยอร่อยต่างจากเมื่อก่อน

ความรู้สึกผิดของผู้เป็นแม่คือการที่ทำให้ลูกสาวไม่สามารถมีความสุขกับการทานอาหารได้ยามเช้า สำหรับคนเป็นแม่เช่นเธอแล้วนี่ถือเป็นความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเวลานี้เลยก็ว่าได้

ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นแม่ที่แย่ที่สุดในโลก ก่อนเธอจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในทางกลับกันเรดกลับยิ่งรู้สึกผิดกว่าเธอคนนั้นมากนัก

เพราะเรดไม่ใช่เรดที่เป็นลูกของคนคนนี้รู้จัก แต่กลับต้องมารับคำขอโทษอันอ่อนโยน ที่ทำให้แม้แต่เรดก็ยังไปไม่ถูกนอกจากตอบออกไปด้วยความไม่สบายใจ

“มะ.. ไม่เป็นไรหรอก”

“อื้ม.. ขอบคุณนะ วันนี้เราจะไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อขนมปัง จำได้หรือเปล่า?”

“ซื้อขนมปัง?”

“ลืมแล้วสินะเนี่ย.. ลูกนี่นะ”

เธอกุมขมับเล็กน้อย เรื่องนี้พึ่งพูดไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเพราะขนมปังที่ซื้อมาหมดแล้วเลยต้องไปซื้อใหม่

แต่เมื่อเธอคิดว่าลูกสาวติดนิสัยนี้มาจากตัวเธอเอง เธอก็พูดอะไรไม่ได้เพราะเธอเองก็เป็นคนขี้ลืมมากๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกัน

“ก็พรุ่งนี้ลูกต้องไปหาคุณยายในป่านี่น่า จำไม่ได้เหรอว่าคุณยายท่านป่วยไม่สบายนะ เราที่เป็นหลานยังแข็งแรงต้องดูแลคุณยายให้ดีนะ!”

“เอ๊ะ..?”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่ว่าเรดจะไม่สังเกตเห็น เธอก้มมองลงชุดที่ถูกเย็บปักถักร้อยอย่างงดงามและในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดแบบนี้อีกห้าหกชุดเหมือนกันหมด

ผ้าโพกหัวสีแดงที่มีลักษณะเหมือนหมวก ร่างกายของเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ดูราวกับเป็นหนูน้อยตัวเล็กที่เหมือนกำลังจะไปถูกหมาป่าแกล้ง

เรดที่คิดมาถึงจุดนี้ความคิดสุดแสนจะหลุดโลกก็เข้ามาในหัวของเธอ..

หรือว่านี่จะเป็น…?

ไม่สิ ในตอนนี้ยังยืนยันอะไรได้ไม่มาก ในขณะที่เรดกำลังเกิดความสับสนและกังวลนั้นเองมืออันอ่อนโยนก็ยกมาแนบหน้าผากของเธอที่กำลังจมปลักอยู่ในความคิด

ความเย็นจากฝ่ามือนั้นทำให้เรดสะดุ้งตื่นกลับมาจากห้วงความคิด และคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือแม่ของเธอที่คิ้วกำลังตกด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ว่าแล้ว.. นี่ลูกไม่สบายจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?”

วินาที แรกที่เรดสัมผัสได้จากความอ่อนโยนนั้นคือความอบอุ่นจากมารดาที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิตที่แล้ว

แม้มือคู่นั้นจะเย็นชืดจนน่าตกใจก็ตาม แต่อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่าความห่วงใยหรือความรู้สึกใจดีที่มอบให้ลูกสาวตรงหน้าในฐานะผู้เป็นแม่นั้น มันกลับรู้สึกอบอุ่นจนน่าเหลือเชื่อ

พี่สาวของเรดก็เคยทำแบบนั้นกับเรดก็จริง แต่นี่กลับแตกต่างออกไป เพราะยังไงก็ตามแต่พี่สาวของเธอก็คือพี่สาว ไม่ใช่แม่แต่อย่างใด

เพราะงั้นแม้ความอบอุ่นที่ได้รับจะเหมือนกัน แต่ความรู้สึกที่เรดรับรู้ได้กลับแตกต่างออกไป..

ในฐานะที่เรดอยู่มาจนถึงอายุยี่สิบกว่าไม่ควรจะเป็นคนที่ถูกเอาใจง่ายแท้ๆ แต่คนคนนี้กลับทำให้เรดรู้สึกอยากจะพุ่งตัวเข้าไปกอดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

ซึ่งเรดเองก็ยังรู้ดีอีกเช่นกันว่าความอบอุ่นนั้นไม่ได้มีไว้ให้เธอแต่เป็นเจ้าของร่างนี้ต่างหาก.. ใช่ เรดตัวจริงที่เป็นเจ้าของร่างนี้น่ะนะ

“ไม่หรอกค่ะ.. หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่รู้สึกสับสนกับความทรงจำนิดหน่อย”

เมื่อเรดเปิดปากออกแทนคำว่า ‘ฉัน’ แต่สิ่งที่เธอพูดตอบกลับออกไปกลับกลายเป็นแทนตัวเองด้วยคำว่า ‘หนู’ ซะอย่างนั้น

แถมยังมีคำลงท้ายของเด็กสาวตามสัญชาตญาณของร่างกายนี้อีกต่างหาก แต่ทว่าสิ่งที่เรดพูดออกไปในใจความสำคัญของคำพูดนั้นก็เป็นสิ่งที่เธออยากจะพูดจริงๆ

เพราะเธอไม่กล้าที่จะพูดความจริงว่าตนเองไม่ใช่ลูก แต่เป็นใครไม่รู้มาแทนที่.. หากคนที่รักลูกขนาดนี้รู้เข้าเรดไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเธอจะทำสีหน้ายังไง

เมื่อผู้เป็นแม่ได้ยินแบบนั้นก็พูดด้วยความห่วงใยว่า

“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม.. แล้วหัวเป็นอะไรมากไหม..”

“ค่ะ.. ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ”

เรดตอบกลับออกด้วยความไม่เคยชิน อย่างไรก็ตามที่ถามว่าหัวเป็นอะไรไหมนี่เธอได้ยินเสียงที่เรดหัวฟาดพื้นจริงๆ สินะเนี่ย ไม่ก็เห็นรอยที่หัวนั่นแหละมั้งนะ

เรดได้แต่หัวเราะให้กับตัวเองที่ดันไปรู้สึกดีใจกับการที่มีคนอ่อนโยนกับเธอ..

“จริงสิ เมื่อเช้าหนูเห็นคนขี่ไม้กวาดลอยอยู่บนฟ้าด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ.. หมายความว่าไงเหรอ?”

แม่ของเรดที่ได้ยินแบบนั้นก็คิ้วกระตุกเล็กน้อยหันไปมองเรดพร้อมกับซักถามเพิ่มเติมว่า..

“ขี่ไม้กวาดจริงๆ ใช่ไหม ลูกไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม.. มีรูปร่างแบบไหนงั้นเหรอ?”

“นั่นสินะคะ.. รู้สึกว่าจะสวมชุดสีดำสวมหมวกทรงกรวยพร้อมกับปีกกว้างออกมา นั่นมันคืออะไรเหรอ?”

ดวงตาของมารดาเรดก็เบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อยเธอพูดเบาลง

“พวกมันคือ ‘แม่มด’ ยังไงล่ะ ลูกจำไว้ว่าหากมีคนสวมหมวกกรวยปีกกว้างพร้อมถือไม้กวาดแล้วละก็ พวกมันจะเป็น ‘แม่มด’ ผู้ชั่วร้ายไงล่ะ”

“เอ๊ะ..?”

“แม่มดทุกคนล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด พวกหล่อนนั้นมีการกระทำที่คาดเดาไม่ได้ แต่ว่าพวกหล่อนนั้นจะชอบเด็กเป็นพิเศษเลยล่ะ”

“….”

“โดยเฉพาะเด็กที่นิสัยเสียน่ะ พวกหล่อนจะยิ่งชอบเป็นพิเศษเลยล่ะ เพราะงั้นลูกเองก็ห้ามทำตัวเป็นเด็กนิสัยไม่ดีนะ พวกแม่มดผู้ชั่วร้ายจะเอาลูกไปจากแม่ไงล่ะ”

ตอนแรกที่เรดฟังก็รู้สึกว่าน่ากลัวจริงๆ อยู่บ้างให้ความรู้สึกแบบจอมมารผู้ชั่วร้ายในนิทานที่เรดเคยอ่านเลยนั่นแหละ แต่เมื่อฟังถึงคำพูดสุดท้ายของแม่เธอแล้ว

เรดก็รู้ทันทีเลยว่านี่คือการพูดหลอกให้เด็กกลัวเพื่อไม่ให้เด็กงอแงล่ะ แบบประมาณว่าอย่างอแงนะไม่งั้นคุณแม่มดจะมาเอาตัวไปละ

ก็นะ… ทำไมเรดจะไม่รู้เธอก็เคยเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาลมาก่อนเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเบสิคมากๆ แต่ในความคิดของเรดคือการสอนเด็กแบบนี้ มันจะทำให้เด็กถูกปลูกฝังความกลัวบางอย่างลงในจิตใจ

ซึ่งไม่เป็นผลดีในระยะยาวของเด็กละนะ เพราะเด็กอาจจะมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนขี้กลัวสุดๆ เลยก็ได้

“ทำไมเขาถึงลอยได้เหรอคะ?”

เพราะที่นี่คือโลกใบใหม่ที่เธอไม่รู้จัก

เพราะงั้นเรดจึงต้องการข้อมูลมากกว่านี้ในตอนนี้เมื่อเธอสามารถปักใจเชื่อได้แล้วนี่ไม่ใช่โลกใบเดิม นั่นก็หมายความว่าน่าจะมีวิธีหรือสามารถหาทางกลับไปโลกเดิมสักทางได้อย่างแน่นอน

เพราะขนาดตอนมาก็ยังมาได้นี่น่า อีกอย่างที่โลกเดิมยังมีพี่สาวของเธอคอยอยู่ด้วย เพราะงั้นจะปล่อยให้พี่สาวอยู่คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด

แม่เรดก็แสดงสีหน้าแปลกๆ ประมาณว่า.. ยังต้องถามอีกเหรอ แต่แน่นอนว่าแม่คือผู้ให้แม้เธอจะรู้สึกว่าลูกตัวเองวันนี้ดูประหลาดไปบ้างก็ตามที

“นั่นก็เป็น ‘เวทมนตร์ดำ’ ไงล่ะ? เรื่องนี้ลูกก็น่าจะได้อ่านมาจากหนังสือมนต์ดำขาวแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“พอดี.. หนูลืมไปแล้วน่ะค่ะ”

เรดตอบด้วยคำพูดครอบจักรวาลนั่นคือคำว่า ‘ลืมไปแล้ว’ แม่ของเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากอธิบายออกมาให้เรดฟัง

เวทมนตร์บนโลกนี้คือศาสตร์ที่ทำให้เรื่องเหนือธรรมชาติเป็นจริงได้ ส่วนใหญ่แล้วเวทมนตร์ขาวทำได้นั้นจะเป็นการสร้างยารักษา ถอนคำสาป หรือรักษาบาดแผลเท่านั้น ทั้งยังไม่สามารถสร้างผลเสียใดๆ ต่อร่างกายเหมือนเวทมนตร์ดำ

เวทมนตร์ดำนั้นจะกัดกินจิตสำนึกของผู้ใช้แต่แลกมาด้วยศาสตร์ที่แข็งแกร่งเหาะเหินเดินอากาศ ปล่อยพลังเป็นคลื่นมนตรา

สร้างคำสาป ยาพิษ ได้ทุกอย่าง.. และว่ากันว่าจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งมนต์ดำคือการแสวงหาความเป็น ‘อมตะนิรันดร์’

แต่บนโลกนี้ใครก็ตามที่หันเดินทางสู่วิถีของมนต์ดำ ทุกคนล้วนแล้วแต่จะถูกขนานว่าเป็นแม่มดกันทั้งสิ้น อีกอย่างมนต์ดำจะใช้ได้เพียงแค่ผู้หญิงเท่านั้นด้วย

“….. เวทมนตร์..งั้นเหรอ”

ในขณะที่แม่ของเธอเล่า.. ความคิดของเรดกลับลอยเคว้งไปในโลกแห่งใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

ไอ้เวทมนตร์ที่ว่าเนี่ย.. คือ..

เวทมนตร์ที่เหนือจินตนาการของเหล่าภูตในนิทานที่เธอเคยอ่านงั้นเหรอ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+