Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 4

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 1-4

เวทมนตร์ที่ดลบันดาลทุกสิ่งอย่าง

 

หลังจากทำธุระตอนเช้าทุกอย่างจนเสร็จหมดแล้ว แม่ของเรดก็แต่งตัวเตรียมออกจากบ้านไปที่เมืองเพื่อที่จะหาซื้อของมาเก็บไว้ที่บ้าน

ส่วนทางด้านเรดนั้น ถูกบอกให้ไปรออยู่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว และเจ้าตัวเองก็ยืนอยู่หน้าบ้านในชุดของสาวน้อยสดใสเริงร่า แถวๆ นี้ ไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนก็มีแต่ป่าที่เขียวขจี ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากป่า

อันที่จริงเมื่อเธอมาสังเกตพื้นที่รอบๆ ให้ดีใหม่ เธอก็พบว่าต้นไม้แต่ละต้นไม่น่าจะใช่ต้นไม้ที่เธอเคยเห็นมาก่อน เพราะต้นไม้พวกนี้มีลำต้นที่โค้งงอแปลกตา

ถ้าอยู่ในฤดูใบ้ไม้ร่วงต้นไม้พวกนี้อาจจะทำให้พื้นที่แถวนี้กลายเป็นบ้านแม่มดในนิทานที่เรดเคยอ่านให้เด็กๆ ฟังเลยก็ได้ แต่สิ่งที่เรดไม่รู้คือต้นไม้ต้นนี้ไม่มีฤดูใบไม้ร่วง

มันคนละสายพันธุ์กับต้นไม้ที่มีลักษณะแบบเดียวกันแต่ไม่มีใบไม้ที่เรดเคยอ่านเจอมาในนิทาน ใช่แล้ว ต้นไม้นั่นก็มีอยู่บนโลดนี้จริงๆ เช่นกัน

และแน่นอนว่าเรดที่หลงมาอยู่ในโลกใบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งที่เธอต้องทำเป็นอย่างแรกคือการรวบรวมข้อมูล แม้เรดจะไม่ใช่คนที่ฉลาดหรือมากความรู้ แต่ยังไงซะพวกประสบการณ์อายุยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเธอก็ไม่ใช่ของปลอม

แม้จะสับสนหรือหวั่นวิตก เธอก็ต้องหาทางออกด้วยตัวเองให้ได้

“แต่ว่าโลกนี้มันยังไงกันแน่..?”

ตอนแรกเรดคิดว่านี่คือการหลุดเข้ามาในโลกของนิทาน ถึงอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อไปหน่อยก็ตาม แต่ตอนนี้เธอต้องปักใจเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องมองให้นอกกรอบเอาไว้เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงไม่พอ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเธอเองนั้น

ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือคอนเซปท์สิ่งที่เธอต้องทำต่อจากนี้ มันมีความคล้ายคลึงกับนิทานหนูน้อยหมวกแดงมากเลย

และไอ้เจ้าผ้าสีแดงที่เป็นหมวกอยู่บนหัวเธอ เธอสวมมันไว้ตลอด.. ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดเลยละมั้ง แต่ถ้าพูดถึงหมวก รู้สึกว่าตอนตื่นมาเธอก็สวมหมวกสีแดงนี้ไว้แต่แรกอยู่แล้วด้วยสิ แต่ทว่าแม้เรดจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องสวมเอาไว้แม้แต่ตอนนอนก็ตาม

ในตอนนี้เธอก็ไม่มีความคิดที่จะถอดออก.. จะพูดให้ถูกคือตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้เรดไม่เคยมองว่าการใส่หมวกตอนนอนเป็นเรื่องผิดปกติด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามเมื่อเธอมานึกๆ ดูตอนนี้มันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องสวมหมวกสีแดงตลอดเวลา

“นั่นคงเพราะว่าฉันเป็นหนูน้อยหมวกแดงหรือเปล่านะ ?”

เรดพึมพำกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่คนเดียวเพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเครียด อีกอย่างถ้าถอดหมวกแดงออกก็จะไม่ใช่หนูน้อยหมวกแดงไงล่ะ เพราะตอนนี้เธอคือหนูน้อยหมวกแดงเลยต้องมีหมวกสีแดง

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองเพ้อเจ้อนิดหน่อย

เธออมยิ้มอยู่คนเดียว ด้วยวิธีคลายเครียดในแบบของตนเองแต่ก็ไม่ลืมที่จะคิดเรื่องของโลกนี้ต่อไป

หากเป็นตามที่เรดเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นหนูน้อยหมวกแดงเข้าไปเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดหรือรูปร่างทุกอย่างเลย

ว่าแล้วเรดก็ก้มลงมองซ้ายมองขวาที่กระโปรงตัวเอง สิ่งแรกที่เธอสัมผัสคือความเย็นใต้กระโปรง ในฐานะที่ในชาติก่อนเป็นผู้ชายนั้น เธอย่อมไม่เคยใส่กระโปรงแน่นอนอยู่แล้ว.. พอมาอยู่ในโลกนี้ตัวเองดันต้องใส่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นไปอีก เรดพยายามจะยืนขาชิดกันมากเท่าที่จะทำได้

พอมีลมเย็นๆ พัดมาเธอก็รีบใช้มือดึงกระโปรงลงเพื่อไม่ให้ลมพัด..

“เอ๊ะ แล้วนี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!”

เมื่อเริ่มผ่านไปสักพักเรดพึ่งมาสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีท่าทางที่อินไปกับการเป็นผู้หญิงเกินไปซะอย่างนั้นแหละ

ก็ออกนอกเรื่องมาไกลแล้ว.. แต่เอาเป็นว่าคอนเซปท์ต่างๆ ที่เรดต้องเจอหรือเจอมานับจากนี้ละก็นะ เธอน่าจะเป็นหนูน้อยหมวกแดงไม่ผิดแน่

เรดเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาล แน่นอนว่าการเล่านิทานเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับเด็กหนึ่งในนิทานยอดฮิตที่เด็กๆ ชอบมากที่สุดคือนิทานหนูน้อยหมวกแดง

แต่ปัญหาคือเนื้อหาของนิทานหนูน้อยหมวกแดงมันมีหลายแบบหลายเวอร์ชันน่ะสิ ไม่ว่าจะแบบนิทานเด็กหรือแบบนิทานพี่น้องกริมม์

หรือแม้แต่นิทานที่ถูกดัดแปลงไปตามคำพูดปากต่อปาก.. เพราะหากโลกนี้เป็นโลกในนิทานจริงๆ ละก็สิ่งที่เธอต้องระวังนั้นง่ายมากคือ.. นี่เป็นนิทานในเวอร์ชันไหนกันแน่!

แน่นอนเวอร์ชันที่อาจจะเป็นมากที่สุดก็อาจจะเป็นเวอร์ชันที่เล่าปากต่อปากก็ได้

แต่ก็อาจจะเป็นเวอร์ชันต้นฉบับด้วยเพราะถ้าเรดเข้าใจไม่ผิด เวอร์ชันต้นฉบับที่เกิดการเล่าผ่านปากต่อปาก รู้สึกว่าจะมาจากหนังสือที่มีชื่อว่า

Le Petit Chaperon Rouge

ซึ่งเวอร์ชันนี้… หนูน้อยหมวกแดงจะโดนหมาป่าข่มขืนก่อนถูกจับกินด้วยนะ

“แบบนั้นไม่ตลกเลยนะ”

แค่พูดเธอก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว.. แต่ว่าต่อให้เป็นเวอร์ชันแบบเล่าปากต่อปากก็ตามเธอยังต้องโดนหมาป่ากินก่อนโดนนายพรานมาช่วยเอาไว้โดยการผ่าเอาเธอออกมาจากท้องเจ้าหมาป่า

ซึ่งขอบอกตามตรงเลยนะว่าคงช่วยได้แหละ ถ้าหมาป่ามันกลืนเธอเข้าไปทั้งตัวละก็นะ แต่นี่ไม่ใช่นิทานสักหน่อย นี่คือความจริงไม่มีทางที่หมาป่าจะกลืนคนไปเป็นๆ ได้หรอกใช่ไหมล่ะ นั่นก็หมายความว่าถ้าตกอยู่ในมือหมาป่าเรดจะถูกจับกินอย่างโหดร้ายและทารุณแทน…

และต่อให้ผ่าช่วยออกมาได้ เรดก็ไม่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่อยู่ในท้องหมาป่าหรอกนะ

เพราะการที่ต้องเข้าไปอยู่ในท้องของหมาป่านี่ก็นะ..

“ไม่ๆ .. มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”

ใช่แล้ว ยังไงซะนี่ก็คือโลกใบใหม่ เรื่องที่เธอต้องเข้าไปในป่าหาคุณยายและมีหมวกสีแดงอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นี่

อาจจะเพราะเรดใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเล่านิทาน พอมาอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกับว่าอยู่ในนิทาน

เธอจึงเผลอคิดไปเองแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่โลกนี้ยังมีสิ่งที่เหนือความเข้าใจของเรดและเป็นสิ่งที่ไม่มีในนิทานหนูน้อยหมวกแดง

อย่างพวก เวทมนตร์ดำขาวหรือแม้แต่แม่มด

แน่นอนว่ารวมถึงสัตว์ที่มีลักษณะแปลกๆ อีกด้วย.. เมื่อคิดถึงเรื่องธรรมชาติเหล่านี้เรดจึงต้องตั้งความหวังให้ตัวเอง

อันที่จริงมันวิธีพื้นฐานในการเอาตัวรอดของมนุษย์อยู่แล้ว ไอ้การตั้งเป้าหมายอะไรสักอย่างมันจะไม่ทำให้คนคนนั้นสับสนหรือหลงทางในทางเลือก

เพราะงั้นการที่เรดตั้งเป้าหมายว่า ‘อาจจะมีสิ่งที่ทำให้เธอพากลับไปโลกเดิม’ ได้อยู่ก็ได้.. เพราะงั้นเรดจึงตัดสินใจว่าบางทีเธอควรจะศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ในโลกนี้เอาไว้ด้วย

อันที่จริงเวทมนตร์มันเป็นสิ่งไกลตัวเรดมาก แต่ด้วยความที่เธอคลุกคลีกับนิทานเด็กมาตลอดนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอจะรู้จักพวกสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ที่จะดลบันดาลทุกอย่างให้กับผู้ใช้ด้วย

เอาอะไรมาก ขนาดมาอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในอีกโลกก็เกิดขึ้นได้แล้ว กับอีแค่เรื่องที่ว่ามันจะมีเวทมนตร์ที่ใช้กลับได้จริงไหมหรือไม่มีของแบบนั้นอยู่ ไอ้เรื่องพวกนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเรดเลย

เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวเธอตอนนี้คือจะหาเวทมนตร์ที่ดลบันดาลให้ทุกอย่างเป็นจริงได้จากไหนมากกว่า

“ป้ะ ไปซื้อของกันเถอะ แม่ขอโทษที่ให้รอนะ”

ในตอนนั้นเองแม่ของเรดที่สวมชุดลำลองง่ายๆ สบายๆ เดินออกมาจากบ้านในขณะที่เรดกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว เรดเองก็พยักหน้าตอบเบาๆ

แม่ของเธอก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

ว่าแล้วทั้งคู่สองแม่ลูกก็เดินไปตามทางดินที่ไม่มีหญ้าเกิดขึ้นเลยซึ่งไอ้ทางพวกนี้เกิดจากการเดินไปเดินมาบ่อยนั่นแหละ โดยพวกเธอสองแม่ลูกใช้เวลาในการเดินไม่นานเท่าไหร่โค้งซ้ายที ขวาที

ก็ออกจากเขตป่ามาได้แล้ว ด้านหน้าก็เห็นทุ่งนาข้าวที่กว้างขวางสุดขอบลูกตาไปจนหมดและห่างไกลออกไปอีกหน่อยก็มีเมืองเล็กๆ อยู่

โดยล้อมไว้ด้วยทุ่งนาข้าวนั่นเอง ดวงตาของเรดเบิกกว้างเล็กน้อยท้องฟ้ามีนกที่ตัวใหญ่เหมือนกับหมีบินอยู่

บนพื้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับแมวแต่กลับลอยเคว้งไปมาตามอากาศด้วยความเกียจคร้านแถวๆ บ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาข้าวแต่ละเขต

“แม่ก็นึกว่าลูกจะไม่อยากมาแล้วซะอีกนะ เพราะเมื่อหลายวันก่อนบอกว่าจะพาเข้าไปในเมืองยังตื่นเต้นขนาดนั้นแท้ๆ แต่พอมาถึงวันจริงกลับนิ่งเงียบซะขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าแม่จะคิดไปเองสินะ”

เมื่อแม่ของเรดเห็นท่าทางของเรด เธอก็ยิ้มออกมา อันที่จริงทุกครั้งที่พาลูกสาวเข้าเมือง ทุกครั้งที่เรดเห็นทุ่งนาข้าวเธอก็จะหลงไหลแบบนี้แหละ

ตอนแรกเธอนึกว่าลูกเธอกำลังเข้าวัยต่อต้านซะอีกนะเนี่ย

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินผ่านทุ่งนาข้าว เจอชาวนาแม่ของเรดแม้จะไม่ได้สนใจที่จะทักชาวบ้านราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน

แต่เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ของเรดก็ทักทายอย่างสนิทสนม แน่นอนว่าแม่ของเรดก็ตอบกลับด้วยความเกรงใจเหมือนกับไม่ค่อยชินกับการพูดคุยสนิทสนมเท่าไหร่

และขณะเดินๆ อยู่นั้นจู่ๆ เรดก็พูดขึ้นว่า

“เอ่อ.. คุณ..แม่..?”

“หือ มีอะไรเหรอจ๊ะ?”

“คือว่า.. แม่รู้จักเวทมนตร์ดีจังเลยนะ ก็เมื่อเช้าแม่พูดถึงเรื่องเวทมนตร์เหมือนรู้ดีขนาดนั้นน่ะ”

“นั่นก็แค่ความรู้พื้นฐานเท่านั้นแหละจ้ะ”

แม้แม่ของเรดจะแปลกใจเกี่ยวกับคำพูดของลูกสาวเธอ แต่เธอก็ยังคุยด้วยอย่างปกติ.. เรดเองก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า

“โลกนี้มีเวทมนตร์ที่ดลบันดาลให้ความปรารถนาเป็นจริงไหมคะ?”

“หือ.. ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”

คิ้วของผู้เป็นแม่เลิกขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่เรดก็เหมือนจะไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเธออยากได้เวทมนตร์ที่พาเธอกลับโลกเดิมนี่น่า

“อ้ะ.. เป็นเพราะหนูอ่านเจอมาในหนังสือค่ะ”

เธอเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเลยตอบออกไปแบบนั้น แม่ของเธอก็ครึ่นคิดอยู่พักหนึ่งพร้อมกับตอบคำถามที่เรดต้องการอยากรู้ว่า

“มีสิจ๊ะ”

“หือ มันคืออะไรเหรอคะ?”

“นั่นสินะ ถ้าจะให้เรียกพวกแม่มดจะเรียกมันว่า……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 4

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 1-4

เวทมนตร์ที่ดลบันดาลทุกสิ่งอย่าง

 

หลังจากทำธุระตอนเช้าทุกอย่างจนเสร็จหมดแล้ว แม่ของเรดก็แต่งตัวเตรียมออกจากบ้านไปที่เมืองเพื่อที่จะหาซื้อของมาเก็บไว้ที่บ้าน

ส่วนทางด้านเรดนั้น ถูกบอกให้ไปรออยู่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว และเจ้าตัวเองก็ยืนอยู่หน้าบ้านในชุดของสาวน้อยสดใสเริงร่า แถวๆ นี้ ไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนก็มีแต่ป่าที่เขียวขจี ที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากป่า

อันที่จริงเมื่อเธอมาสังเกตพื้นที่รอบๆ ให้ดีใหม่ เธอก็พบว่าต้นไม้แต่ละต้นไม่น่าจะใช่ต้นไม้ที่เธอเคยเห็นมาก่อน เพราะต้นไม้พวกนี้มีลำต้นที่โค้งงอแปลกตา

ถ้าอยู่ในฤดูใบ้ไม้ร่วงต้นไม้พวกนี้อาจจะทำให้พื้นที่แถวนี้กลายเป็นบ้านแม่มดในนิทานที่เรดเคยอ่านให้เด็กๆ ฟังเลยก็ได้ แต่สิ่งที่เรดไม่รู้คือต้นไม้ต้นนี้ไม่มีฤดูใบไม้ร่วง

มันคนละสายพันธุ์กับต้นไม้ที่มีลักษณะแบบเดียวกันแต่ไม่มีใบไม้ที่เรดเคยอ่านเจอมาในนิทาน ใช่แล้ว ต้นไม้นั่นก็มีอยู่บนโลดนี้จริงๆ เช่นกัน

และแน่นอนว่าเรดที่หลงมาอยู่ในโลกใบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งที่เธอต้องทำเป็นอย่างแรกคือการรวบรวมข้อมูล แม้เรดจะไม่ใช่คนที่ฉลาดหรือมากความรู้ แต่ยังไงซะพวกประสบการณ์อายุยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเธอก็ไม่ใช่ของปลอม

แม้จะสับสนหรือหวั่นวิตก เธอก็ต้องหาทางออกด้วยตัวเองให้ได้

“แต่ว่าโลกนี้มันยังไงกันแน่..?”

ตอนแรกเรดคิดว่านี่คือการหลุดเข้ามาในโลกของนิทาน ถึงอาจจะฟังดูเพ้อเจ้อไปหน่อยก็ตาม แต่ตอนนี้เธอต้องปักใจเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องมองให้นอกกรอบเอาไว้เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงไม่พอ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเธอเองนั้น

ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือคอนเซปท์สิ่งที่เธอต้องทำต่อจากนี้ มันมีความคล้ายคลึงกับนิทานหนูน้อยหมวกแดงมากเลย

และไอ้เจ้าผ้าสีแดงที่เป็นหมวกอยู่บนหัวเธอ เธอสวมมันไว้ตลอด.. ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดเลยละมั้ง แต่ถ้าพูดถึงหมวก รู้สึกว่าตอนตื่นมาเธอก็สวมหมวกสีแดงนี้ไว้แต่แรกอยู่แล้วด้วยสิ แต่ทว่าแม้เรดจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องสวมเอาไว้แม้แต่ตอนนอนก็ตาม

ในตอนนี้เธอก็ไม่มีความคิดที่จะถอดออก.. จะพูดให้ถูกคือตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้เรดไม่เคยมองว่าการใส่หมวกตอนนอนเป็นเรื่องผิดปกติด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามเมื่อเธอมานึกๆ ดูตอนนี้มันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องสวมหมวกสีแดงตลอดเวลา

“นั่นคงเพราะว่าฉันเป็นหนูน้อยหมวกแดงหรือเปล่านะ ?”

เรดพึมพำกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอยู่คนเดียวเพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเครียด อีกอย่างถ้าถอดหมวกแดงออกก็จะไม่ใช่หนูน้อยหมวกแดงไงล่ะ เพราะตอนนี้เธอคือหนูน้อยหมวกแดงเลยต้องมีหมวกสีแดง

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองเพ้อเจ้อนิดหน่อย

เธออมยิ้มอยู่คนเดียว ด้วยวิธีคลายเครียดในแบบของตนเองแต่ก็ไม่ลืมที่จะคิดเรื่องของโลกนี้ต่อไป

หากเป็นตามที่เรดเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นหนูน้อยหมวกแดงเข้าไปเต็มตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดหรือรูปร่างทุกอย่างเลย

ว่าแล้วเรดก็ก้มลงมองซ้ายมองขวาที่กระโปรงตัวเอง สิ่งแรกที่เธอสัมผัสคือความเย็นใต้กระโปรง ในฐานะที่ในชาติก่อนเป็นผู้ชายนั้น เธอย่อมไม่เคยใส่กระโปรงแน่นอนอยู่แล้ว.. พอมาอยู่ในโลกนี้ตัวเองดันต้องใส่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นไปอีก เรดพยายามจะยืนขาชิดกันมากเท่าที่จะทำได้

พอมีลมเย็นๆ พัดมาเธอก็รีบใช้มือดึงกระโปรงลงเพื่อไม่ให้ลมพัด..

“เอ๊ะ แล้วนี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!”

เมื่อเริ่มผ่านไปสักพักเรดพึ่งมาสังเกตว่าตัวเองเริ่มมีท่าทางที่อินไปกับการเป็นผู้หญิงเกินไปซะอย่างนั้นแหละ

ก็ออกนอกเรื่องมาไกลแล้ว.. แต่เอาเป็นว่าคอนเซปท์ต่างๆ ที่เรดต้องเจอหรือเจอมานับจากนี้ละก็นะ เธอน่าจะเป็นหนูน้อยหมวกแดงไม่ผิดแน่

เรดเป็นครูสอนโรงเรียนอนุบาล แน่นอนว่าการเล่านิทานเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับเด็กหนึ่งในนิทานยอดฮิตที่เด็กๆ ชอบมากที่สุดคือนิทานหนูน้อยหมวกแดง

แต่ปัญหาคือเนื้อหาของนิทานหนูน้อยหมวกแดงมันมีหลายแบบหลายเวอร์ชันน่ะสิ ไม่ว่าจะแบบนิทานเด็กหรือแบบนิทานพี่น้องกริมม์

หรือแม้แต่นิทานที่ถูกดัดแปลงไปตามคำพูดปากต่อปาก.. เพราะหากโลกนี้เป็นโลกในนิทานจริงๆ ละก็สิ่งที่เธอต้องระวังนั้นง่ายมากคือ.. นี่เป็นนิทานในเวอร์ชันไหนกันแน่!

แน่นอนเวอร์ชันที่อาจจะเป็นมากที่สุดก็อาจจะเป็นเวอร์ชันที่เล่าปากต่อปากก็ได้

แต่ก็อาจจะเป็นเวอร์ชันต้นฉบับด้วยเพราะถ้าเรดเข้าใจไม่ผิด เวอร์ชันต้นฉบับที่เกิดการเล่าผ่านปากต่อปาก รู้สึกว่าจะมาจากหนังสือที่มีชื่อว่า

Le Petit Chaperon Rouge

ซึ่งเวอร์ชันนี้… หนูน้อยหมวกแดงจะโดนหมาป่าข่มขืนก่อนถูกจับกินด้วยนะ

“แบบนั้นไม่ตลกเลยนะ”

แค่พูดเธอก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว.. แต่ว่าต่อให้เป็นเวอร์ชันแบบเล่าปากต่อปากก็ตามเธอยังต้องโดนหมาป่ากินก่อนโดนนายพรานมาช่วยเอาไว้โดยการผ่าเอาเธอออกมาจากท้องเจ้าหมาป่า

ซึ่งขอบอกตามตรงเลยนะว่าคงช่วยได้แหละ ถ้าหมาป่ามันกลืนเธอเข้าไปทั้งตัวละก็นะ แต่นี่ไม่ใช่นิทานสักหน่อย นี่คือความจริงไม่มีทางที่หมาป่าจะกลืนคนไปเป็นๆ ได้หรอกใช่ไหมล่ะ นั่นก็หมายความว่าถ้าตกอยู่ในมือหมาป่าเรดจะถูกจับกินอย่างโหดร้ายและทารุณแทน…

และต่อให้ผ่าช่วยออกมาได้ เรดก็ไม่อยากสัมผัสประสบการณ์ที่อยู่ในท้องหมาป่าหรอกนะ

เพราะการที่ต้องเข้าไปอยู่ในท้องของหมาป่านี่ก็นะ..

“ไม่ๆ .. มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”

ใช่แล้ว ยังไงซะนี่ก็คือโลกใบใหม่ เรื่องที่เธอต้องเข้าไปในป่าหาคุณยายและมีหมวกสีแดงอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นี่

อาจจะเพราะเรดใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเล่านิทาน พอมาอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกับว่าอยู่ในนิทาน

เธอจึงเผลอคิดไปเองแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่โลกนี้ยังมีสิ่งที่เหนือความเข้าใจของเรดและเป็นสิ่งที่ไม่มีในนิทานหนูน้อยหมวกแดง

อย่างพวก เวทมนตร์ดำขาวหรือแม้แต่แม่มด

แน่นอนว่ารวมถึงสัตว์ที่มีลักษณะแปลกๆ อีกด้วย.. เมื่อคิดถึงเรื่องธรรมชาติเหล่านี้เรดจึงต้องตั้งความหวังให้ตัวเอง

อันที่จริงมันวิธีพื้นฐานในการเอาตัวรอดของมนุษย์อยู่แล้ว ไอ้การตั้งเป้าหมายอะไรสักอย่างมันจะไม่ทำให้คนคนนั้นสับสนหรือหลงทางในทางเลือก

เพราะงั้นการที่เรดตั้งเป้าหมายว่า ‘อาจจะมีสิ่งที่ทำให้เธอพากลับไปโลกเดิม’ ได้อยู่ก็ได้.. เพราะงั้นเรดจึงตัดสินใจว่าบางทีเธอควรจะศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ในโลกนี้เอาไว้ด้วย

อันที่จริงเวทมนตร์มันเป็นสิ่งไกลตัวเรดมาก แต่ด้วยความที่เธอคลุกคลีกับนิทานเด็กมาตลอดนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เธอจะรู้จักพวกสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ที่จะดลบันดาลทุกอย่างให้กับผู้ใช้ด้วย

เอาอะไรมาก ขนาดมาอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในอีกโลกก็เกิดขึ้นได้แล้ว กับอีแค่เรื่องที่ว่ามันจะมีเวทมนตร์ที่ใช้กลับได้จริงไหมหรือไม่มีของแบบนั้นอยู่ ไอ้เรื่องพวกนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเรดเลย

เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวเธอตอนนี้คือจะหาเวทมนตร์ที่ดลบันดาลให้ทุกอย่างเป็นจริงได้จากไหนมากกว่า

“ป้ะ ไปซื้อของกันเถอะ แม่ขอโทษที่ให้รอนะ”

ในตอนนั้นเองแม่ของเรดที่สวมชุดลำลองง่ายๆ สบายๆ เดินออกมาจากบ้านในขณะที่เรดกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว เรดเองก็พยักหน้าตอบเบาๆ

แม่ของเธอก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

ว่าแล้วทั้งคู่สองแม่ลูกก็เดินไปตามทางดินที่ไม่มีหญ้าเกิดขึ้นเลยซึ่งไอ้ทางพวกนี้เกิดจากการเดินไปเดินมาบ่อยนั่นแหละ โดยพวกเธอสองแม่ลูกใช้เวลาในการเดินไม่นานเท่าไหร่โค้งซ้ายที ขวาที

ก็ออกจากเขตป่ามาได้แล้ว ด้านหน้าก็เห็นทุ่งนาข้าวที่กว้างขวางสุดขอบลูกตาไปจนหมดและห่างไกลออกไปอีกหน่อยก็มีเมืองเล็กๆ อยู่

โดยล้อมไว้ด้วยทุ่งนาข้าวนั่นเอง ดวงตาของเรดเบิกกว้างเล็กน้อยท้องฟ้ามีนกที่ตัวใหญ่เหมือนกับหมีบินอยู่

บนพื้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับแมวแต่กลับลอยเคว้งไปมาตามอากาศด้วยความเกียจคร้านแถวๆ บ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาข้าวแต่ละเขต

“แม่ก็นึกว่าลูกจะไม่อยากมาแล้วซะอีกนะ เพราะเมื่อหลายวันก่อนบอกว่าจะพาเข้าไปในเมืองยังตื่นเต้นขนาดนั้นแท้ๆ แต่พอมาถึงวันจริงกลับนิ่งเงียบซะขนาดนี้ แต่ดูเหมือนว่าแม่จะคิดไปเองสินะ”

เมื่อแม่ของเรดเห็นท่าทางของเรด เธอก็ยิ้มออกมา อันที่จริงทุกครั้งที่พาลูกสาวเข้าเมือง ทุกครั้งที่เรดเห็นทุ่งนาข้าวเธอก็จะหลงไหลแบบนี้แหละ

ตอนแรกเธอนึกว่าลูกเธอกำลังเข้าวัยต่อต้านซะอีกนะเนี่ย

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินผ่านทุ่งนาข้าว เจอชาวนาแม่ของเรดแม้จะไม่ได้สนใจที่จะทักชาวบ้านราวกับไม่รู้จักกันมาก่อน

แต่เมื่อชาวบ้านเห็นแม่ของเรดก็ทักทายอย่างสนิทสนม แน่นอนว่าแม่ของเรดก็ตอบกลับด้วยความเกรงใจเหมือนกับไม่ค่อยชินกับการพูดคุยสนิทสนมเท่าไหร่

และขณะเดินๆ อยู่นั้นจู่ๆ เรดก็พูดขึ้นว่า

“เอ่อ.. คุณ..แม่..?”

“หือ มีอะไรเหรอจ๊ะ?”

“คือว่า.. แม่รู้จักเวทมนตร์ดีจังเลยนะ ก็เมื่อเช้าแม่พูดถึงเรื่องเวทมนตร์เหมือนรู้ดีขนาดนั้นน่ะ”

“นั่นก็แค่ความรู้พื้นฐานเท่านั้นแหละจ้ะ”

แม้แม่ของเรดจะแปลกใจเกี่ยวกับคำพูดของลูกสาวเธอ แต่เธอก็ยังคุยด้วยอย่างปกติ.. เรดเองก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า

“โลกนี้มีเวทมนตร์ที่ดลบันดาลให้ความปรารถนาเป็นจริงไหมคะ?”

“หือ.. ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”

คิ้วของผู้เป็นแม่เลิกขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่เรดก็เหมือนจะไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเธออยากได้เวทมนตร์ที่พาเธอกลับโลกเดิมนี่น่า

“อ้ะ.. เป็นเพราะหนูอ่านเจอมาในหนังสือค่ะ”

เธอเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเลยตอบออกไปแบบนั้น แม่ของเธอก็ครึ่นคิดอยู่พักหนึ่งพร้อมกับตอบคำถามที่เรดต้องการอยากรู้ว่า

“มีสิจ๊ะ”

“หือ มันคืออะไรเหรอคะ?”

“นั่นสินะ ถ้าจะให้เรียกพวกแม่มดจะเรียกมันว่า……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+