Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 6

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 1-6

วันแรกในต่างโลก

 

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็เดินซ้ายที ขวาที.. แวะซื้อนั่นบ้าง ซื้อนี่บ้าง ภายใต้การเดินไปรอบๆ เมืองทำให้เรดได้เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้นอีก

โครงสร้างของบ้านเมืองอยู่ประมาณช่วงยุคกลางไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ก่อขึ้นโดยใช้หินหนัก หรือแม้แต่การตกแต่งบ้านที่ไม่ค่อยจะมีอะไรเป็นพิเศษแต่บ้านของพวกพ่อค้ารวยๆ จะแต่งเติมด้วยของที่ดูแพง

แน่นอนแม้จะเป็นเมืองที่ดูไม่ค่อยมีคนรวยก็ตาม แต่ทว่าในเมืองก็ยังมีความวุ่นวายอยู่ตลอด ซึ่งความวุ่นวายเหล่านั้นบางครั้งมันก็ทำให้แม้แต่เรดเองก็ยังรู้สึกว่าน่าปวดหัว เพราะบ้างก็มีการขโมย บ้างก็มีการโก่งราคา อะไรแบบนั้นน่ะ

แต่ในตอนนั้นเองสายตาของเรดก็หันไปเห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีคนเดินเข้าเอาออกเยอะมาก

ด้านบนประตูทางเข้ามีป้ายติดแปะเขียนด้วยภาษาที่เรดไม่รู้จัก แต่กลับอ่านออกซึ่งมันเขียนว่า ‘กิลด์นักผจญภัย’ ติดไว้อยู่

แต่อย่างที่บอกว่าเธอไม่ค่อยเล่นเกมหรืออ่านนิยายสมัยใหม่ ทำให้เธอถึงกับงงว่ากิลด์นักผจญภัยคืออะไร พอแม่ของเธอเห็นเรดยืนจ้องกิลด์นักผจญภัยอยู่ครู่ใหญ่เธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่เรดต้องการในทันที

เรดอยากจะเป็นนักผจญภัย.. แน่นอนว่าเรดไม่ได้อยากเป็นเธอแค่สงสัยว่ามันคืออะไร แต่จะบอกว่าเข้าใจผิดก็ไม่ได้ เพราะก่อนที่เรดคนนี้มาอยู่ เรดคนก่อนเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักผจญภัยออกไปตามหาประสบการณ์ที่ตื่นเต้น

แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้เรดไม่ได้มองกิลด์นักผจญภัยเพราะต้องการเข้าไปเป็นหนึ่งในนักผจญภัยแบบที่แม่ของเธอคิด

“ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะเป็นนักผจญภัยได้นะ”

“นักผจญภัย..?”

เรดถึงกับสับสนกับสิ่งที่แม่เธอหมายถึงทันที เมื่อพูดถึงนักผจญภัยก็ต้องเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เพราะถ้ามีต่างโลกก็ต้องมีกิลด์นักผจญภัยอาชีพหาเงินที่เสี่ยงอันตรายด้วย

น่าเสียดายที่เรดไม่มีประสบการณ์หรือความต้องการอะไรแบบนั้น สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงการหาวิธีกลับโลกเดิม

แต่ถึงจะกล่าวแบบนั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งเรื่องราวของหนูน้อยหมวกแดง บันทึกอาคาชิคหรือบันทึกนภา มันล้วนเกี่ยวข้องกับโลกเดิมของเธอ

บางทีไอ้สิ่งที่เรียกว่านักผจญภัยนี้อาจจะมีบางอย่างโยงไปหาโลกเดิมของเธอเหมือนกันเพียงแค่เธอไม่รู้จักนั่นเอง หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ถึงเวลากลับเพราะนี่มันก็เย็นแล้ว

จากที่แม่ของเรดบอกคือ ถ้าตกตอนกลางคืนผู้คนไม่ควรออกมาจากนอกบ้านเพราะมันเป็นเวลาของพวกปีศาจดุร้ายและแม่มดผู้ชั่วร้าย

ดังนั้นเมื่อตะวันใกล้ถึงขอบฟ้าแม่ของเรดจึงพาเรดกลับแทบจะทันที การมาที่เมืองนี้ในครั้งนี้ทำให้เรดได้รู้จักอะไรมากขึ้นเกี่ยวกับโลกใบนี้

อย่างที่เคยบอกว่าโลกใบนี้อยู่ประมาณช่วงยุคกลาง และยังมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นกลางและชั้นสูงชัดเจน

ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ที่เรียกว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ปกครองแบบกษัตริย์อยู่เหนือทุกอย่างและไม่ได้มีขึ้นมาจากการเลือกตั้งแต่เป็นการสืบสกุล

หรือก็คือโลกนี้ยังเป็นเผด็จการที่ชัดเจนอยู่แล้วนั่นเอง นอกจากนี้จากเท่าที่เรดเดาดูเหมือนว่าจะมีเขตสลัมอยู่ด้วย และบางทีโลกนี้ยังมีชนชั้นล่างหรือชนชั้นทาสอยู่แน่นอน

นอกจากนี้โลกนี้ยังไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยต่อประชาชนเท่าไหร่ เพราะว่าไม่เพียงแต่มีการปกครองแบบเผด็จการและภาษีที่สูงลิ่ว

ยังต้องมาคอยระวังพวกปีศาจหรือแม่มดอีก นอกจากนี้ยังมีพวกลัทธิคลั่งที่บูชาซาตานหรือบางที่ก็บูชาพระเจ้าแบบงมงายอีกด้วย

เป็นโลกที่แปลกมาจนยากจะเข้าใจมากสำหรับเรดมองไปทางไหนก็เจอแต่การแก่งแย่งและความบ้าคลั่งเต็มไปหมด ดังนั้นความรู้สึกของเธอที่อยากกลับโลกเดิมยิ่งมีมากขึ้นอีก

สองแม่ลูกเดินกลับถึงบ้านโดยใช้เวลาเร็วกว่าตอนมานิดหน่อยเพราะพวกเธอเร่งฝีเท้าเนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทำอาหารและได้เริ่มทานอาหารตอนฟ้ามืดพอดี

โลกนี้ไม่มีที่ให้แสงสว่างอย่างไฟฟ้าในโลกเดิมก็จริง แต่เหมือนจะมีเห็ดเรือนแสงเมื่อตอนที่เทน้ำใส่อยู่ ด้วยความรู้ของชนพื้นเมืองพวกเขาดัดแปลงวิธีใช้โดยเอาเห็ดเรือนแสงมาตากแห้งและบดให้หยาบๆ และก็เอาเทลงใส่น้ำ

เมื่อทำแบบนั้นเห็ดเรือนแสงที่บดหยาบๆ ก็กระจายไปทั่วน้ำในแก้วและตัวของเห็ดเองก็จะดูดซับน้ำโดยอัตโนมัติ แล้วมันก็ส่องแสงสว่างจ้าออกมา ซึ่งในความคิดเรดเธอรู้สึกว่ามันสว่างยิ่งกว่าหลอดไฟในโลกเดิมเรดซะอีก

สองแม่ลูกนั่งทานอาหารเย็นกันแค่สองคน กับอาหารที่มีรสชาติ… จืดชืด น่ะนะ

“อย่างที่บอกพรุ่งนี้แม่ต้องไปทำธุระในเมือง ลูกเองก็อย่าลืมเอาอาหารไปให้คุณยายด้วยนะ”

“ไปในเมือง..?”

เรดดูสงสัยเล็กน้อยวันนี้ก็ไปไม่ใช่เหรอ ทำไมวันพรุ่งนี้ต้องไปอีกรอบด้วยล่ะ ตอนไปวันนี้ทำไมถึงไม่ทำให้เสร็จๆ ไปเลย

แม่ของเธอเข้าใจความสงสัยของเรดแต่เธอก็ไม่ได้ตอบคำถามของเรด เธอเปลี่ยนเรื่องคุยเหมือนพึ่งจะนึกบางอย่างออก

“จริงสิ แม่ลืมให้.. วันนี้คนรู้จักแม่ในเมืองให้ยืมหนังสือภาพมาน่ะ”

ว่าแล้วเธอก็ยื่นหนังสือนั่นให้เรด โดยในหนังสือนั้นมีภาษาที่ไม่รู้จักเขียนอยู่ด้วย แต่เรดก็สามารถอ่านมันออกได้

‘โรมิโอกับจูเลียต’ นั่นคือชื่อของหนังสือที่เรดได้รับมา และก็เป็นอีกครั้งที่เรดสัมผัสถึงจุดเชื่อมโยงของโลกนี้กับโลกเดิม

โรมิโอกับจูเลียตคือละครโศกนาฏกรรมที่ประพันธ์โดยวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ นักประพันธ์ชื่อดังในอดีตของโลกเดิมเรด

และดูเหมือนว่าในมือของเรดจะมีเรื่องราวดังกล่าวเขียนอยู่เพียงแต่มาในรูปแบบของหนังสือภาพของเด็กที่ให้เข้าใจง่าย

เรดรับมาด้วยความสนใจเล็กน้อย.. เธออยากจะรู้ว่าเนื้อหาภายในหนังสือนี้จะเหมือนในโลกเดิมที่เรดรู้จักหรือเปล่า

หลังจากทานข้าวเสร็จเรดก็กลับเข้าห้องนอนพร้อมกับเปิดโรมิโอกับจูเลียตอ่านและก็อย่างที่คาดภายในหนังสือนั้นมีเรื่องราวที่เหมือนวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เขียนทุกอย่างเลยก็ว่าได้

แม้หนังสือภาพจะไม่มีชื่อผู้เขียนอยู่เลยก็ตาม อันที่จริงหากโลกนี้ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างเวทมนตร์หรือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ที่เป็นหนูน้อยหมวกแดง

เธออาจจะคิดว่าตัวเองย้อนเวลามาในสมัยยุคกลางด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่สถานที่แห่งนี้มีการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่ด้วย

เรดถอดเสื้อผ้าก่อนจะดับเทียน แม้นอกห้องจะใช้เห็ดเรือนแสงแต่ในห้องต้องใช้เทียนเอาเพราะมันไม่สว่างมากแถมดับได้ตอนไหนก็ได้ตามที่ต้องการอีก

เพราะงั้นในห้องเรดจึงมีเทียนไว้ใช้อยู่นั่นเอง

เธอทิ้งตัวลงบนเตียงในห้องที่มืดสนิทหันหน้าออกไปทางหน้าต่างก็มีป่าเขาลำเนาไพร ดวงดาวยามราตรีที่ไม่คุ้นเคย

จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่กลางอากาศนั้นเด่นสะดุดตายิ่งกว่าอะไรในยามราตรี..

“ต่างโลกงั้นเหรอ..”

เธอหยิบเอาขวดยาออกมามอง.. ขวดยานี้เป็นขวดใหม่ยังไม่เปิดเลยซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่ายังมีพลาสติกติดปิดปากฝาของขวดยาไว้อยู่ด้วย

‘ยาคลายความเครียด’

‘ยาลอราซีแพม’

‘20 เม็ด’

และข้อมูลอื่นๆ ที่เขียนอยู่เต็มไปหมด.. เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ และวางมันไว้ข้างหมอนก่อนจะหลับตาลง

“พี่.. ฉันจะหาทางกลับไปหาพี่ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม..”

ดวงตาของเรดปิดลงพร้อมกับหลับไปอย่างง่ายดายเพราะร่างกายเธอในตอนนี้ยังเป็นแค่เด็ก แถมวันนี้เองก็เดินมาทั้งวันอีกด้วย

เรดตกลงไปสู่ห้วงแห่งความฝันอันยาวนาน.. มันเป็นความฝันที่เธอยืนอยู่หน้าสถาบันรับเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง

แม้ในความฝันนี้เรดจะเป็นเรดที่เป็นผู้หญิง ไม่ใช่เรดที่เป็นผู้ชายอย่างน่าประหลาดก็ตามที แต่นี่มันแค่ความฝัน

มือของเธอจับกับมือของพี่สาวเอาไว้..

“เรด.. เธอไม่ต้องออกมากับพี่ก็ได้นะ…”

“พูดบ้าอะไรของเธอน่ะ.. ขืนปล่อยเธออยู่คนเดียวได้ไปโดนใครที่ไหนหลอกเอาอีกจะเป็นยังไงล่ะ”

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่พี่ก็อายุเยอะแล้วนะ เยอะกว่าเธออีกด้วย.. อีกอย่างอย่าเรียกคนอายุเยอะกว่าว่าเธอสิ!”

ว่าแล้วพี่สาวเรดก็เขกหัวเรดเบาๆ หนึ่งครั้ง เรดไม่กล้ามองหน้าผู้เป็นพี่สาวตรงๆ เธอเพียงหันหน้าหนีไปอีกด้าน

“ก็.. ถ้าโรคของเธอกำเริบขึ้นมาถ้าไม่มีใครอยู่ด้วยมันแย่ไม่ใช่หรือไง อีกอย่างเธอก็เป็น…”

“เป็นอะไรเหรอ?”

“หนวกหูน่า รีบไปได้แล้ว!”

เรดมองดูภาพความฝันเหล่านี้ค่อยๆ ปรากฏและจางหายไปเธอจ้องมองตัวเองที่ยังเป็นเด็กใสซื่อ ส่วนพี่สาวของเธอยังเดิน หัวเราะและยิ้มได้

เรดมักถามตัวเองเสมอว่าหากพระเจ้ามีอยู่จริงทำไมพระเจ้าต้องพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเธอด้วย.. พวกเธอไม่มีทั้งพ่อแม่หรือพี่น้อง

เป็นเพียงแค่เด็กที่ต้องยืนด้วยขาตัวเอง.. แต่พระผู้เป็นเจ้ายังเลือกที่จะพรากขาทั้งสองข้างของพวกเธอไปอีกต่างหาก เรดมักถามตัวเองอยู่เสมอว่า..ทำไมต้องเป็นพวกเรา

ทำไมถึงเป็นเราล่ะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 6

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 1-6

วันแรกในต่างโลก

 

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็เดินซ้ายที ขวาที.. แวะซื้อนั่นบ้าง ซื้อนี่บ้าง ภายใต้การเดินไปรอบๆ เมืองทำให้เรดได้เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้นอีก

โครงสร้างของบ้านเมืองอยู่ประมาณช่วงยุคกลางไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ก่อขึ้นโดยใช้หินหนัก หรือแม้แต่การตกแต่งบ้านที่ไม่ค่อยจะมีอะไรเป็นพิเศษแต่บ้านของพวกพ่อค้ารวยๆ จะแต่งเติมด้วยของที่ดูแพง

แน่นอนแม้จะเป็นเมืองที่ดูไม่ค่อยมีคนรวยก็ตาม แต่ทว่าในเมืองก็ยังมีความวุ่นวายอยู่ตลอด ซึ่งความวุ่นวายเหล่านั้นบางครั้งมันก็ทำให้แม้แต่เรดเองก็ยังรู้สึกว่าน่าปวดหัว เพราะบ้างก็มีการขโมย บ้างก็มีการโก่งราคา อะไรแบบนั้นน่ะ

แต่ในตอนนั้นเองสายตาของเรดก็หันไปเห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีคนเดินเข้าเอาออกเยอะมาก

ด้านบนประตูทางเข้ามีป้ายติดแปะเขียนด้วยภาษาที่เรดไม่รู้จัก แต่กลับอ่านออกซึ่งมันเขียนว่า ‘กิลด์นักผจญภัย’ ติดไว้อยู่

แต่อย่างที่บอกว่าเธอไม่ค่อยเล่นเกมหรืออ่านนิยายสมัยใหม่ ทำให้เธอถึงกับงงว่ากิลด์นักผจญภัยคืออะไร พอแม่ของเธอเห็นเรดยืนจ้องกิลด์นักผจญภัยอยู่ครู่ใหญ่เธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่เรดต้องการในทันที

เรดอยากจะเป็นนักผจญภัย.. แน่นอนว่าเรดไม่ได้อยากเป็นเธอแค่สงสัยว่ามันคืออะไร แต่จะบอกว่าเข้าใจผิดก็ไม่ได้ เพราะก่อนที่เรดคนนี้มาอยู่ เรดคนก่อนเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักผจญภัยออกไปตามหาประสบการณ์ที่ตื่นเต้น

แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้เรดไม่ได้มองกิลด์นักผจญภัยเพราะต้องการเข้าไปเป็นหนึ่งในนักผจญภัยแบบที่แม่ของเธอคิด

“ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะเป็นนักผจญภัยได้นะ”

“นักผจญภัย..?”

เรดถึงกับสับสนกับสิ่งที่แม่เธอหมายถึงทันที เมื่อพูดถึงนักผจญภัยก็ต้องเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ

เพราะถ้ามีต่างโลกก็ต้องมีกิลด์นักผจญภัยอาชีพหาเงินที่เสี่ยงอันตรายด้วย

น่าเสียดายที่เรดไม่มีประสบการณ์หรือความต้องการอะไรแบบนั้น สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงการหาวิธีกลับโลกเดิม

แต่ถึงจะกล่าวแบบนั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งเรื่องราวของหนูน้อยหมวกแดง บันทึกอาคาชิคหรือบันทึกนภา มันล้วนเกี่ยวข้องกับโลกเดิมของเธอ

บางทีไอ้สิ่งที่เรียกว่านักผจญภัยนี้อาจจะมีบางอย่างโยงไปหาโลกเดิมของเธอเหมือนกันเพียงแค่เธอไม่รู้จักนั่นเอง หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ถึงเวลากลับเพราะนี่มันก็เย็นแล้ว

จากที่แม่ของเรดบอกคือ ถ้าตกตอนกลางคืนผู้คนไม่ควรออกมาจากนอกบ้านเพราะมันเป็นเวลาของพวกปีศาจดุร้ายและแม่มดผู้ชั่วร้าย

ดังนั้นเมื่อตะวันใกล้ถึงขอบฟ้าแม่ของเรดจึงพาเรดกลับแทบจะทันที การมาที่เมืองนี้ในครั้งนี้ทำให้เรดได้รู้จักอะไรมากขึ้นเกี่ยวกับโลกใบนี้

อย่างที่เคยบอกว่าโลกใบนี้อยู่ประมาณช่วงยุคกลาง และยังมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นกลางและชั้นสูงชัดเจน

ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ที่เรียกว่า สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ปกครองแบบกษัตริย์อยู่เหนือทุกอย่างและไม่ได้มีขึ้นมาจากการเลือกตั้งแต่เป็นการสืบสกุล

หรือก็คือโลกนี้ยังเป็นเผด็จการที่ชัดเจนอยู่แล้วนั่นเอง นอกจากนี้จากเท่าที่เรดเดาดูเหมือนว่าจะมีเขตสลัมอยู่ด้วย และบางทีโลกนี้ยังมีชนชั้นล่างหรือชนชั้นทาสอยู่แน่นอน

นอกจากนี้โลกนี้ยังไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยต่อประชาชนเท่าไหร่ เพราะว่าไม่เพียงแต่มีการปกครองแบบเผด็จการและภาษีที่สูงลิ่ว

ยังต้องมาคอยระวังพวกปีศาจหรือแม่มดอีก นอกจากนี้ยังมีพวกลัทธิคลั่งที่บูชาซาตานหรือบางที่ก็บูชาพระเจ้าแบบงมงายอีกด้วย

เป็นโลกที่แปลกมาจนยากจะเข้าใจมากสำหรับเรดมองไปทางไหนก็เจอแต่การแก่งแย่งและความบ้าคลั่งเต็มไปหมด ดังนั้นความรู้สึกของเธอที่อยากกลับโลกเดิมยิ่งมีมากขึ้นอีก

สองแม่ลูกเดินกลับถึงบ้านโดยใช้เวลาเร็วกว่าตอนมานิดหน่อยเพราะพวกเธอเร่งฝีเท้าเนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทำอาหารและได้เริ่มทานอาหารตอนฟ้ามืดพอดี

โลกนี้ไม่มีที่ให้แสงสว่างอย่างไฟฟ้าในโลกเดิมก็จริง แต่เหมือนจะมีเห็ดเรือนแสงเมื่อตอนที่เทน้ำใส่อยู่ ด้วยความรู้ของชนพื้นเมืองพวกเขาดัดแปลงวิธีใช้โดยเอาเห็ดเรือนแสงมาตากแห้งและบดให้หยาบๆ และก็เอาเทลงใส่น้ำ

เมื่อทำแบบนั้นเห็ดเรือนแสงที่บดหยาบๆ ก็กระจายไปทั่วน้ำในแก้วและตัวของเห็ดเองก็จะดูดซับน้ำโดยอัตโนมัติ แล้วมันก็ส่องแสงสว่างจ้าออกมา ซึ่งในความคิดเรดเธอรู้สึกว่ามันสว่างยิ่งกว่าหลอดไฟในโลกเดิมเรดซะอีก

สองแม่ลูกนั่งทานอาหารเย็นกันแค่สองคน กับอาหารที่มีรสชาติ… จืดชืด น่ะนะ

“อย่างที่บอกพรุ่งนี้แม่ต้องไปทำธุระในเมือง ลูกเองก็อย่าลืมเอาอาหารไปให้คุณยายด้วยนะ”

“ไปในเมือง..?”

เรดดูสงสัยเล็กน้อยวันนี้ก็ไปไม่ใช่เหรอ ทำไมวันพรุ่งนี้ต้องไปอีกรอบด้วยล่ะ ตอนไปวันนี้ทำไมถึงไม่ทำให้เสร็จๆ ไปเลย

แม่ของเธอเข้าใจความสงสัยของเรดแต่เธอก็ไม่ได้ตอบคำถามของเรด เธอเปลี่ยนเรื่องคุยเหมือนพึ่งจะนึกบางอย่างออก

“จริงสิ แม่ลืมให้.. วันนี้คนรู้จักแม่ในเมืองให้ยืมหนังสือภาพมาน่ะ”

ว่าแล้วเธอก็ยื่นหนังสือนั่นให้เรด โดยในหนังสือนั้นมีภาษาที่ไม่รู้จักเขียนอยู่ด้วย แต่เรดก็สามารถอ่านมันออกได้

‘โรมิโอกับจูเลียต’ นั่นคือชื่อของหนังสือที่เรดได้รับมา และก็เป็นอีกครั้งที่เรดสัมผัสถึงจุดเชื่อมโยงของโลกนี้กับโลกเดิม

โรมิโอกับจูเลียตคือละครโศกนาฏกรรมที่ประพันธ์โดยวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ นักประพันธ์ชื่อดังในอดีตของโลกเดิมเรด

และดูเหมือนว่าในมือของเรดจะมีเรื่องราวดังกล่าวเขียนอยู่เพียงแต่มาในรูปแบบของหนังสือภาพของเด็กที่ให้เข้าใจง่าย

เรดรับมาด้วยความสนใจเล็กน้อย.. เธออยากจะรู้ว่าเนื้อหาภายในหนังสือนี้จะเหมือนในโลกเดิมที่เรดรู้จักหรือเปล่า

หลังจากทานข้าวเสร็จเรดก็กลับเข้าห้องนอนพร้อมกับเปิดโรมิโอกับจูเลียตอ่านและก็อย่างที่คาดภายในหนังสือนั้นมีเรื่องราวที่เหมือนวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ เขียนทุกอย่างเลยก็ว่าได้

แม้หนังสือภาพจะไม่มีชื่อผู้เขียนอยู่เลยก็ตาม อันที่จริงหากโลกนี้ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างเวทมนตร์หรือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ที่เป็นหนูน้อยหมวกแดง

เธออาจจะคิดว่าตัวเองย้อนเวลามาในสมัยยุคกลางด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่สถานที่แห่งนี้มีการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่ด้วย

เรดถอดเสื้อผ้าก่อนจะดับเทียน แม้นอกห้องจะใช้เห็ดเรือนแสงแต่ในห้องต้องใช้เทียนเอาเพราะมันไม่สว่างมากแถมดับได้ตอนไหนก็ได้ตามที่ต้องการอีก

เพราะงั้นในห้องเรดจึงมีเทียนไว้ใช้อยู่นั่นเอง

เธอทิ้งตัวลงบนเตียงในห้องที่มืดสนิทหันหน้าออกไปทางหน้าต่างก็มีป่าเขาลำเนาไพร ดวงดาวยามราตรีที่ไม่คุ้นเคย

จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่กลางอากาศนั้นเด่นสะดุดตายิ่งกว่าอะไรในยามราตรี..

“ต่างโลกงั้นเหรอ..”

เธอหยิบเอาขวดยาออกมามอง.. ขวดยานี้เป็นขวดใหม่ยังไม่เปิดเลยซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่ายังมีพลาสติกติดปิดปากฝาของขวดยาไว้อยู่ด้วย

‘ยาคลายความเครียด’

‘ยาลอราซีแพม’

‘20 เม็ด’

และข้อมูลอื่นๆ ที่เขียนอยู่เต็มไปหมด.. เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ และวางมันไว้ข้างหมอนก่อนจะหลับตาลง

“พี่.. ฉันจะหาทางกลับไปหาพี่ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม..”

ดวงตาของเรดปิดลงพร้อมกับหลับไปอย่างง่ายดายเพราะร่างกายเธอในตอนนี้ยังเป็นแค่เด็ก แถมวันนี้เองก็เดินมาทั้งวันอีกด้วย

เรดตกลงไปสู่ห้วงแห่งความฝันอันยาวนาน.. มันเป็นความฝันที่เธอยืนอยู่หน้าสถาบันรับเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง

แม้ในความฝันนี้เรดจะเป็นเรดที่เป็นผู้หญิง ไม่ใช่เรดที่เป็นผู้ชายอย่างน่าประหลาดก็ตามที แต่นี่มันแค่ความฝัน

มือของเธอจับกับมือของพี่สาวเอาไว้..

“เรด.. เธอไม่ต้องออกมากับพี่ก็ได้นะ…”

“พูดบ้าอะไรของเธอน่ะ.. ขืนปล่อยเธออยู่คนเดียวได้ไปโดนใครที่ไหนหลอกเอาอีกจะเป็นยังไงล่ะ”

“ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่พี่ก็อายุเยอะแล้วนะ เยอะกว่าเธออีกด้วย.. อีกอย่างอย่าเรียกคนอายุเยอะกว่าว่าเธอสิ!”

ว่าแล้วพี่สาวเรดก็เขกหัวเรดเบาๆ หนึ่งครั้ง เรดไม่กล้ามองหน้าผู้เป็นพี่สาวตรงๆ เธอเพียงหันหน้าหนีไปอีกด้าน

“ก็.. ถ้าโรคของเธอกำเริบขึ้นมาถ้าไม่มีใครอยู่ด้วยมันแย่ไม่ใช่หรือไง อีกอย่างเธอก็เป็น…”

“เป็นอะไรเหรอ?”

“หนวกหูน่า รีบไปได้แล้ว!”

เรดมองดูภาพความฝันเหล่านี้ค่อยๆ ปรากฏและจางหายไปเธอจ้องมองตัวเองที่ยังเป็นเด็กใสซื่อ ส่วนพี่สาวของเธอยังเดิน หัวเราะและยิ้มได้

เรดมักถามตัวเองเสมอว่าหากพระเจ้ามีอยู่จริงทำไมพระเจ้าต้องพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเธอด้วย.. พวกเธอไม่มีทั้งพ่อแม่หรือพี่น้อง

เป็นเพียงแค่เด็กที่ต้องยืนด้วยขาตัวเอง.. แต่พระผู้เป็นเจ้ายังเลือกที่จะพรากขาทั้งสองข้างของพวกเธอไปอีกต่างหาก เรดมักถามตัวเองอยู่เสมอว่า..ทำไมต้องเป็นพวกเรา

ทำไมถึงเป็นเราล่ะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+