Another Monster 13 ยาน ซุค
บทที่ 13: Jan Suk
(กรกฎาคม ปี 2001; ปราก)
เหตุการณ์แรกในสาธารณรัฐเช็กเกิดเมื่อกันยายน 1997 กับคดีฆาตกรรมมิฮาอิล อีวานอวิช เปตรอฟ… หรือชื่อจริงคือไรน์ฮาร์ต เบียร์มันน์ เบียร์มันน์ถูกรัฐบาลเยอรมนีตามจับจากคดีละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีตเยอรมนีตะวันออกในฐานะผู้อำนวยการของคินเดอร์ไฮม์ 511 เขาคือนักจิตวิทยาเด็กและจิตแพทย์ที่ทำงานให้กับกระทรวงมหาดไทยในตำแหน่งที่เขาเรียกว่าเป็นการปรับบุคลิกในเชิงวิทยาศาสตร์… หรืออีกชื่อหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญการล้างสมอง เขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการก่อตั้งคินเดอร์ไฮม์ 511 , แต่ในช่วงเวลาที่โยฮันทำลายที่แห่งนั้น เขาก็ลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เบียร์มันน์หนีไปยังเชกโกสโลวาเกียหลังจากที่กำแพงเบอร์ลินพังลง
เบียร์มันน์เปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเถื่อนในกรุงปรากเพื่อทำการทดลองของเขาต่อ แต่การสืบสวนในภายหลังนั้นไม่พบร่องรอยของการทารุณกรรมทางจิตใจอย่างใด ในความเป็นจริงแล้ว, เขาเป็นที่รักของเหล่าเด็กๆ หลังเหตุฆาตกรรม, เหล่าเด็กกำพร้ายืนยันว่าเห็นสาวสวยผมบลอนด์คนหนึ่งออกจากสถานเลี้ยงเด็กในช่วงที่เกิดเหตุ แต่ทางกรมตำรวจปรากกลับระบุว่านักข่าวอิสระที่ชื่อวูลฟ์กัง กริมเมอร์ที่แวะไปหาเบียร์มันน์ในวันนั้นคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งแทน
ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 นั้นเกิดขึ้นในวันถัดมา ร่างของสารวัตรเซมันที่กำลังสืบสวนคดีที่กล่าวเมื่อครู่ที่กริมเมอร์มีส่วนเกี่ยวข้องและชายอีกสองคนที่ไม่สามารถระบุตัวตนถูกพบในโรงงานร้างในเขตปราก 5 ในเวลาต่อมา, มีการค้นพบว่าชายอีกสองคนนั้นคืออดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งกรมตำรวจลับของรัฐบาลคอมมิวนิสต์เชกโกสโลวาเกียอันโด่งดังที่ตอนนี้ได้มารับทำงานสกปรกตั้งแต่การล่มสลายของคอมมิวนิสต์ บุคคลต้องสงสัยถูกพบเห็นว่าออกจากที่เกิดเหตุและลักษณะก็ตรงกับกริมเมอร์อย่างชัดเจน ทางตำรวจจึงตามจับกริมเมอร์ในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม
แต่ว่าลูกน้องของเซมัน, นักสืบยาน ซุค กลับสรุปไปอีกทางหนึ่ง เป็นไปได้ไหมที่เหตุจูงใจของคนร้ายอาจเกี่ยวข้องกับงานลับๆที่เซมันกำลังสืบสวนอยู่? — งานนั้นคือการหาตัวคนของอดีตตำรวจลับในกองตำรวจ นักสืบซุคพบเงินสดจำนวนมากในล็อคเกอร์ของเซมันและได้รายงานความเกี่ยวข้องของเซมันกับอดีตตำรวจลับของเชกโกสโลวาเกียในสถานี รวมถึงการคอร์รัปชันของเขาและเงินใต้โต๊ะที่เขารับมาเพื่อให้เรื่องเงียบอีกด้วย
แต่วันรุ่งขึ้นหลังจากการรายงานของนักสืบซุค ผู้กำกับสถานีและตำรวจอีกสองนายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอดีตตำรวจลับก็ถูกพบว่าเสียชีวิตจากการกินลูกอมที่ผสมยาคลายกล้ามเนื้อ ศูนย์กลางของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนนั้นคืออะไรบางอย่างที่ลึกและซับซ้อนยิ่งกว่าการติดต่อกันของผู้รอดชีวิตจากขั้วอำนาจเก่าในยุคขั้วอำนาจใหม่ธรรมดาๆ
นักสืบซุคจึงตัดสินใจไปพบกับกริมเมอร์ ชายที่อยู่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้มากที่สุดด้วยตัวเอง ซุคไม่สามารถเชื่อได้ว่ากริมเมอร์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และทำความรู้จักกริมเมอร์และได้กุญแจตู้เซฟเช่าที่เบียร์มันน์เหยื่อรายแรกทิ้งไว้ก่อนตายมา ทางตำรวจเริ่มสะกดรอยตามซุคเนื่องจากสงสัยการกระทำของเขา แต่ซุคก็ทำตามความรู้สึกถูกต้องของตัวเองและไปเอาเทปบันทึกเสียงมาจากห้องนิรภัยที่ธนาคารโพรฮาซกา เสียงในเทปนั้นคือเสียงของโยฮันตอนเด็กที่กำลังถูกสะกดจิต — ข้อมูลลับสุดยอดที่เบียร์มันน์ได้เอาติดตัวมาจากคินเดอร์ไฮม์ 511 ด้วย
หลังจากนี้ มือสังหารจะฆ่านักสืบทั้งสองคนที่สะกดรอยตามซุคและก็เกือบฆ่าซุคตายเช่นกันเมื่อซุครู้ความจริงทั้งหมด เรื่องทั้งหมดเริ่มเมื่อบุคคลระดับสูงในหน่วยตำรวจลับถูกว่าจ้างโดยชาวเยอรมันคนหนึ่งให้ไปเอาข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับโยฮันมา แต่เมื่อผู้คนที่เกี่ยวข้องเริ่มถูกฆาตกรรมไปทีละคนๆ คดีนี้ก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่าโยฮันอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดแน่นอน แต่กรมตำรวจปรากก็ยังคงหลีกเลี่ยงการออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
ณ ปัจจุบัน คดีนี้ยังคงมีปริศนาหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับคำอธิบาย ผมจึงติดต่อขอสัมภาษณ์คุณนักสืบซุค แม้ว่าเขาจะพูดอย่างชัดเจนว่ามีหลายจุดที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงไม่อาจเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดได้ แต่เขาก็ยอมตกลงที่จะพูดถึงคดีนั้น
———-
เมื่อนักสืบซุคมาถึงคาเฟ่เดอะโอเรียนทัลบนเนินที่มุ่งตรงไปสู่ปราสาทปราก ผมคิดว่าเขาเป็นตำรวจหนุ่มที่ดูดีมาก เขาแต่งตัวเข้ากันได้เป็นอย่างดีด้วยชุดสูทสีกรม, เสื้อเชิ้ตมีกระดุมสีน้ำเงินและเน็คไทสีออกฟ้า เขามีผมแสกตรงสีบลอนด์อยู่ข้างบนดวงตาที่ดูอ่อนโยน เราจับมือกัน จากนั้นเขาก็สั่งชามะลิมา
กรุงปราก, ที่ที่โยฮันและนีน่าจดจำในฐานะ “ดินแดนแห่งเทพนิยาย” มันยากที่จินตนาการถึงบาดแผลน่าสยดสยองทางการเมืองที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้พื้นของนครที่งดงามแห่งนี้
– คุณเป็นคนที่ไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในกรมตำรวจปราก คุณคิดว่าข่าวลือที่ว่าโยฮันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มันเป็นจริงไหม?
“ก่อนอื่นเลย, ขอผมบอกก่อนว่าผมไม่ได้เป็นคนไขคดี กลับไปที่คำถามของคุณ…”
“จากเบาะแส ผมเข้าใจได้ที่จะคิดว่าโยฮันเป็นคนก่อคดีพวกนี้ แต่เพราะเขาอยู่ในสภาพโคม่า เราคงไม่มีทางได้คำให้การหรือคำสารภาพ ดังนั้นความจริงที่น่าเศร้าก็คือเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเขา ถึงเราจะอยากมากแค่ไหนก็ตาม”
– มีคดีไขง่ายๆหลายคดีเลยนะที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำสารภาพ ทำไมคดีนี้ถึงไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ?
“ก็… ถ้าเราเอาเขาขึ้นศาลในฐานะจำเลยแล้วใช้เหตุผลของผมในคดีนี้… ผมไม่คิดว่าศาลจะเห็นว่าเพียงพอนะ”
– คำตอบมันดูคลุมเครือนะ
“อืม… ก็… คุณรู้จักชายที่มักโดนพบเห็นแถวสถานที่เกิดเหตุหลายๆที่ไหมล่ะ?”
– รู้จักสิ ผู้ชายตัวสูงที่สะพายเป้ใบใหญ่… คุณกริมเมอร์ใช่ไหม? แล้วก็มีคำให้การว่าเห็นผู้หญิงผมบลอนด์หน้าตาดีด้วย
“ทีนี้, สิ่งที่ผมจะเล่าคือสิ่งที่ผมได้ไปเจอมาจริงๆ ปราศจากความเห็นส่วนตัวใดๆทั้งสิ้น ผมจะให้คุณตีความเรื่องนี้เอาเอง… ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นปรากฏตัวที่ที่เกิดเหตุเสมอ เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมพวกนี้แน่นอน จะเบียร์มันน์, สารวัตรเซมัน, ตำรวจลับที่อยู่กับเขา หรือกระทั่งสายสืบสองคนที่จับตามองผม… เธอเป็นคนฆ่าทั้งหมด”
“ทีนี้ตัดเรื่องเมื่อครู่ไปให้หมด เรื่องมีอยู่ว่าผมเจอผู้หญิงคนนึงที่บาร์ที่ผมชอบไปหลังเลิกงาน ผมรู้สึกว่าเธอมีเสน่ห์และผมก็คิดว่าเธอก็ชอบผม นี่คือช่วงที่ผมกำลังจะถูกดึงเข้าไปในเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เธอมีผมบลอนด์และชื่อของเธอคืออันนา, อันนา ลีเบิร์ท”
– แล้วนั่นคืออันนา… นีน่า ฟอร์ทเนอร์ตัวจริงรึเปล่า?
“ใครก็ตามที่ดูรูปเธอคงจะตอบว่านีน่าตัวจริงแน่นอน ตอนนั้นเธอเองก็อยู่ที่ปราก… แต่ช่วงเวลาที่ผมพบกับอันนา เธออยู่ที่อีกส่วนของเมืองและก็มีคนเห็นเธอในอีกที่หนึ่ง อันนาคนที่ผมรู้จักเหมือนกับนีน่า, ยกเว้นว่าอาจจะสูงกว่าหน่อยหนึ่ง”
– งั้นแสดงว่า…
“คุณเข้าใจรึยังว่ามันยากแค่ไหนที่จะยกเรื่องนี้มาให้การในศาล แต่ก็ยังเป็นความจริงอยู่ดี”
– ใช่ ผมเข้าใจแล้ว มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าเพื่อเล่ามัน
“ใช่ ตอนที่มีคนๆหนึ่งบอกผมว่าให้สงสัยคนที่คุณไม่อยากสงสัยมากที่สุดแล้วความจริงจะถูกเปิดเผย, ผมก็ตาสว่าง พอลองย้อนนึกดู, ตอนนั้นคงจะเป็นตอนที่ผมเริ่มมีความมั่นใจที่จะทำหน้าที่ของผม”
– ทีนี้ ถ้าเราสมมุติว่าโยฮันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง อะไรคือเหตุจูงใจในการฆ่าคนพวกนี้กัน?
“ผมเจอเทปคาสเซ็ตต์ในเซฟที่ธนาคารโพรฮาซกา มันเป็นงานวิจัยส่วนหนึ่งของไรน์ฮาร์ท เบียร์มันน์ที่เคยเป็นผู้อำนวยการของคินเดอร์ไฮม์ 511 ในเยอรมนีตะวันออก ในเทปนั้นเป็นเสียงของโยฮันตอนเด็ก และผมเชื่อว่าเทปนี้แหละที่เป็นศูนย์กลางเรื่องวุ่นวายระหว่างอดีตตำรวจลับกับโยฮันตอนโต”
– ดังนั้นโยฮันเลยจัดการตำรวจลับเพื่อทำลายเทปที่พิสูจน์การมีอยู่ของเขา
“ผมเชื่อว่านั่นคือส่วนหนึ่ง แต่มันก็อาจจะเป็นเพราะเขาอยากได้ข้อมูลอื่นของเบียร์มันน์… ก็อาจจะเช่น, รายชื่อเด็กคนอื่นๆที่คินเดอร์ไฮม์ 511 ตอนที่ผมได้ฟังเทปนั่น โยฮันก็ไปยุ่งกับเทปแล้วเอาข้อมูลส่วนนั้นออกไปแล้ว”
– คุณคิดว่าเขาจะทำอะไรกับรายชื่อพวกนั้น? ผมเดาว่าคงไม่ได้เอาไปจัดงานคืนสู่เหย้าแน่ๆ
“เขาคงอยากจะติดต่อเด็กคนอื่นๆแล้วก็ควบคุมซะ โยฮันเป็นคนประเภทแบบนั้นแหละ”
– ถัดมา คุณช่วยเล่าเรื่องคุณกริมเมอร์ให้ผมที ถ้าเราอยากไขปริศนาของโยฮัน มันเป็นเรื่องจำเป็นมากที่เราจะต้องเข้าใจตัวตนของเขา
“ตอนที่ผมถามเด็กกำพร้าจากบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เบียร์มันน์เปิด ผมสังเกตเห็นว่าพวกเขาทุกคนแทบจะยกย่องคุณกริมเมอร์ ผมนึกสงสัยว่าจะจริงเหรอที่คนแบบนี้จะมีส่วนกับการฆาตกรรมเหมือนที่หัวหน้าผมบอกมา ดังนั้นผมเลยไปหาแล้วพูดคุยกับเขาแล้วก็ตัดสินใจช่วยเขา เขาเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายและใจดีแล้วก็รอบคอบมากด้วย เขาเป็นคนที่กล้าหาญและผมเป็นหนี้ชีวิตเขา”
– คุณรู้เรื่อง”ยอดมนุษย์ชไตน์เนอร์”ไหม มันหมายความว่าอะไร?
“ผมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนั้น”
– มีบอกไว้ว่าหลังจากเหตุการณ์ในเช็ก กริมเมอร์สืบสวนเรื่องโยฮันและฟรานซ์ โบนาพาร์ต้าด้วยตัวเอง มีข่าวลือว่าเขาเขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา คุณเคยเห็นมันด้วยตาตัวเองไหม?
“ผมไม่เคย หลังจากที่ผมถูกยิงและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล, ผมก็ไม่เคยพบเขาอีก แต่คุณทนายชาวเยอรมันที่ชื่อแวร์เดอมันน์อาจจะรู้ก็ได้นะ ผมได้ยินว่าเขาเป็นคนดูแลจัดการบทความของคุณกริมเมอร์หลังจากที่คุณกริมเมอร์ตาย”
– เมื่อกี้คุณพูดถึงแวร์เดอมันน์ พวกคุณสองคนเป็นคนที่ไปสัมภาษณ์สมาชิกกลุ่มอ่านหนังสือที่คฤหาสน์กุหลาบแดงด้วยกัน
“ใช่ เรื่องนี้โผล่ขึ้นมาตอนกำลังสืบค้นคดีที่อดีตตำรวจลับและทหารของประเทศเราเป็นคนก่อขึ้น… แต่เราก็ยังไม่สามารถดำเนินคดีกับเรื่องนี้ได้ เรายังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่คฤหาสน์หลังนั้น จากทุกๆคนที่เคยเข้าร่วมกลุ่มอ่านหนังสือ, มีแค่ห้าคนเท่านั้นที่ยอมพูดกับเราและพวกเขาก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“แต่ ความเหมือนอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจคือ ถึงแม้ทุกคนจะมีหน้าที่การงานปกติและแต่งงาน แต่มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่การแต่งงานเป็นไปได้ด้วยดีส่วนที่เหลือจบลงด้วยหายนะ และเกือบทุกคนก็เคยทุกข์ทรมานกับการสูญเสียลูกของตัวเองมาก่อน…”
– ตำรวจใช้วิธีอะไรตามหาสมาชิกกลุ่มอ่านหนังสืองั้นเหรอ?
“ไม่มีเอกสารทางราชการเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนั้นหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีบันทึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างที่นั่นกับรัฐบาล, ไม่มีบันทึกว่ามีการทดลองอะไรเกิดขึ้นที่นั่น, ไม่มีเอกสารว่าพวกเขาเอาเงินทุนมาจากไหน สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ที่คฤหาสน์กุหลาบแดงคือความว่างเปล่า ก็นะ, เรารู้ว่าตำรวจลับนั้นเผาบันทึกไปเยอะ, เยอะมาก… ไพ่เดียวที่เราเหลืออยู่ก็คือวิธีดั้งเดิม: เดินไปถามให้ทั่ว”
“เราเดินไปทุกๆบ้านที่อยู่รอบๆเศษซากของคฤหาสน์และถามว่าคนที่เคยไปที่นั่นเป็นคนประเภทไหน, จำหน้าใครได้บ้าง, จำเรื่องอะไรเกี่ยวกับที่นั่นได้ไหม… จากนั้นเราก็ไปสืบต่อที่พวกอดีตตำรวจลับ, เหล่าผู้ทรงเกียรติของพรรคคอมมิวนิสต์, อดีตเจ้าหน้าที่รัฐ, นักข่าว, คนที่ทำงานในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า, คนที่เคยทำงานในกระทรวงมหาดไทย… เราสืบกันอย่างละเอียดมากๆ จากนั้นเราก็ไปขอความช่วยเหลือจากกลุ่มคนที่กำลังเรียกเงินชดเชยจากการกระทำที่ตำรวจลับเคยทำไว้ และสุดท้าย, เราก็เจอบางคนที่เรากำลังตามหาอยู่”
ยาน ซุคไขปริศนาการฆาตกรรมในกรมตำรวจปรากได้สำเร็จ เขาบอกว่าเขาเพิ่งได้ความมั่นใจในการเป็นนักสืบเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น ผมรู้สึกประหลาดใจที่เขาบอกว่าคนที่ให้ปรึกษาเขาไม่ได้มีแค่กริมเมอร์ แต่รวมถึงสารวัตรลุงค์เก้ด้วยเช่นกัน
———-
– แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกัน?
“ผมจะบอกคุณในเรื่องที่ผมรู้นะ คฤหาสน์กุหลาบแดงถูกสร้างเมื่อหลายร้อยปีก่อน มันเป็นบ้านของชนชั้นสูงเช็กคนหนึ่ง กุหลาบพวกนั้นก็ถูกปลูกตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เจ้าของในยุค 1930 เป็นสมาชิกรัฐสภาและเป็นผู้เรียกร้องเอกราชของเช็กด้วย เขาเปิดคฤหาสน์ให้ทุกคนได้เข้ามาเรียนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวเช็ก”
“หลังจากมีการทำข้อตกลงมิวนิค เขาก็เดินทางไปทั่วยุโรป สาธยายแผนการชั่วร้ายของฮิตเลอร์และเรื่องอันตรายที่จะเกิดกับชาวเช็กเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนให้ยกเลิกข้อตกลงนั่นซะ แต่พอปีถัดมา เขาก็ถูกลอบสังหาร… คนถัดมาที่ได้ถือครองคฤหาสน์เป็นชาวชูเดเต็นเยอรมันที่ย้ายมาจากโบฮีเมีย เขาเป็นอดีตนักการเมืองที่เข้าร่วมกับพรรคนาซีเกิดใหม่ที่กำลังมีอำนาจในทันที ซึ่งเขาก็ได้รับอนุมัติจากฮิตเลอร์ให้ไล่ล่าและจับพวกนักเคลื่อนไหวต่อต้านเยอรมันเข้าคุก เขาคิดว่ามันตลกดีที่บ้านหลังนี้เคยเป็นที่ชุมนุมเรียกร้องเอกราชเช็ก เขาก็เลยจัดการชุมนุมขึ้นเพื่อ”ปฏิรูป”กลุ่มต่อต้านนาซี…”
“คุณก็น่าจะจินตนาการออกนะ มันไม่ใช่กลุ่มอ่านหนังสือแสนสงบแต่คือการทรมานดีๆนี่แหละ จากคำบอกเล่าของชายแก่ที่อยู่แถวนั้นมาเป็นสิบๆปีที่เราไปคุยมา ที่นั่นเคยถูกเรียกว่า”คฤหาสน์แห่งความสยดสยอง” ผู้คนเหล่านั้นถูกพาตัวเข้าไปแล้วไม่เคยกลับมาอีก และก็มีคนได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่าสะพรึงกลัวออกมาจากคฤหาสน์ตอนกลางคืน”
“ชายแก่อีกคนบอกว่าในตอนนั้น เด็กๆในพื้นที่เชื่อว่ามีปีศาจหลับใหลอยู่ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์กุหลาบแดง ปีศาจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเช็ก แต่ตอนนี้กลับเกลียดแค้นทั้งเช็กและเยอรมัน ปีศาจที่มีเขาสิบเขาและหัวเจ็ดหัว เป็นอะไรบางสิ่งที่น่าสยดสยองเมื่อได้มอง และถ้ามันตื่นขึ้นอีกครั้ง มันจะร่ายมนต์ร้ายใส่กรุงปรากที่จะทำให้ชาวเช็กและชาวเยอรมันไล่ฆ่ากันเอง ก็ ออกแนวพวกตำนานเมืองน่ะ…”
– แล้วหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คฤหาสน์ตกอยู่ในมือของใครต่อ?
“วันที่เยอรมนียอมแพ้ ชาวซูเดเต็นเยอรมันที่เป็นเจ้าของก็โดนฆ่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐซักคนก็มาอาศัยต่อในช่วงที่คอมมิวนิสต์ปกครอง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งหมดก็ย้ายออก ในช่วงปลายยุค 50 ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยเพราะว่าคนของกระทรวงมหาดไทยและตำรวจลับใช้ที่นั่นเพื่อการประชุมลับและเรื่องอื่นๆ ผมพนันเลยว่าโบนาพาร์ต้ามาที่คฤหาสน์ในช่วงต้นยุค 60”
– แล้วเขาไปทำอะไรที่นั่นกัน?
“เหมือนที่ผมเคยพูดไปแล้ว, เราไม่รู้ความจริง สิ่งที่เรารู้ คือจิตแพทย์หนุ่มผู้ปราดเปรื่องคนนี้สร้างความไว้วางใจกับพวกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์, รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย, หัวหน้าหน่วยตำรวจลับและเหล่านายพลได้สำเร็จ เขาสร้างห้องทดลองเพื่อทำงานสร้างจิตใจของมนุษย์ให้ตรงตามที่เขาต้องการขึ้นมาจากศูนย์… จากข้อมูลของคนๆหนึ่ง จิตแพทย์คนนั้นสามารถล้างสมองนักเคลื่อนไหวเสรีนิยมที่รัฐบาลกลัวมากที่สุดภายในไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นก็ใช้เขาเป็นสายลับสองหน้า อีกแหล่งข่าวนึงบอกว่า เขาสามารถช่วยพวกระดับสูงของพรรคจัดการกับพวกผู้น้อยที่ระดับสูงไม่ชอบหน้าได้ด้วยการบังคับให้ฆ่าตัวตาย”
“ช่วงปลายยุค 70 ถึงยุค 80 เป็นยุคที่มีเอกลักษณ์คือการทำสงครามอย่างลับๆกับขบวนการเรียกร้องเสรีภาพอย่างกฎบัตร 77 ที่เกือบจะมีอำนาจมากพอจะโค่นล้มรัฐบาลได้… รัฐยอมซะยิ่งกว่ายอมเลยล่ะที่จะทุ่มเงินกับคนหรือการทดลองที่สัญญาว่าจะมอบพลังอำนาจในการควบคุมจิตใจผู้คนเป็นการตอบแทน”
ผมตามหาเบาะแสของโยฮันในตรอกซอยของกรุงปราก
– มีการรายงานว่าโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากถูกพบภายในซากของคฤหาสน์
“นั่นเป็นเรื่องจริง ตอนแรกเราเจอกระดูกของ 45… ไม่ 46 คน”
– ตอนแรกเหรอ?
“ใช่ หลังจากนั้นเราก็ขุดพบโครงกระดูกมากขึ้นเรื่อยๆ โครงกระดูกที่เจอก็เก่ากว่าตอนแรก… เราเดาว่ามันคงมาจากยุคสมัยที่นาซีปกครอง”
– มันเกิดอะไรขึ้นในนั้นกัน? ผมหมายถึงโครงกระดูก 46 อันแรกที่เจอน่ะ
“จริงๆแล้วบางโครงกระดูกไม่สมบูรณ์หรือเสียหาย ผลการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบความเสียหายจากกรดไนตริก ซึ่งหมายถึงพวกเขาถูกวางยาพิษ…”
– โครงกระดูกพวกนั้นมีโอกาสเป็นของพวกต่อต้านรัฐบาลได้ไหม?
“ก็จริงอยู่ที่มีผู้คนถูกขังในคฤหาสน์กุหลาบแดง แต่กระดูกที่เหลืออยู่นี้มันมาจากเรื่องบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องนั้น จาก 46 โครงกระดูกที่เราเจอเป็นร่างของผู้ชาย 40 คน ผู้หญิง 4 คน และเด็กอีก 2 คน และก็โชคดีที่มีเศษผ้าหลงเหลืออยู่บนร่าง เราเลยรู้ว่าพวกเขาตายตอนกำลังใส่สูทอยู่”
– ดังนั้นพวกเขาก็อาจจะเป็นคนที่ทำงานที่คฤหาสน์หลังนั้น
“ผมเชื่อว่าพวกคนทำงานที่นั่นก็รวมอยู่ในโครงกระดูกพวกนั้นด้วย จากที่เราไปถามมา เราได้รับคำบอกเล่าว่านักจิตวิทยาและจิตแพทย์หลายคนที่เข้าออกคฤหาสน์นั้นบ่อยๆหายตัวไปในวันหนึ่ง…”
– ใครกันที่จะวางยาพิษพวกเขา?
“ผมไม่รู้ ผมคิดว่าถึงจุดนี้แล้วคงไม่มีใครรู้”
– คุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณไปรู้อะไรเกี่ยวกับกลุ่มอ่านหนังสือมาบ้าง? จากที่คุณไปถามมาน่ะ
“จำนวนสมาชิกของกลุ่มอ่านหนังสือที่ผมหาตัวพบคือเจ็ดคน แต่ตามที่ผมพูดเมื่อครู่ มีแค่ห้าคนเท่านั้นที่ยินยอมพูดกับเรา… คนที่แก่สุดอายุ 40 กว่าๆ และคนหนุ่มสุดอายุ 30 กว่า เหมือนว่ากลุ่มนี้จะถูกจัดตั้งแต่ช่วงกลางยุค 60 จนถึงราวๆปี 1981 ช่วงนั้นพวกเด็กๆคงจะอายุประมาณ 5-10 ขวบ… พวกเขาโดนบังคับให้เข้าร่วมสัปดาห์ละครั้งตอนบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ จะมีประมาณห้าหรือหกคนไปที่นั่นและพวกเขาก็จะอ่านหนังสือภาพกัน”
– วิธีการเลือกเด็กผู้ชายเข้าชมรมนี้ล่ะ?
“เราไปสัมภาษณ์พ่อแม่ของพวกเขาด้วยเหมือนกัน แต่แปลกดีที่ไม่มีใครมีความทรงจำชัดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทั้งหมดที่พวกเขาเข้าใจคือพวกเขายินยอมให้ลูกชายไปร่วมโครงการการศึกษาที่รัฐบาลสนับสนุน ส่วนนอกจากนั้นมันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าทำไมลูกชายตัวเองถึงถูกเลือกเข้าโครงการนี้ และขอบอกให้คุณได้ทราบ, พวกพ่อแม่ไม่ใช่ทั้งพวกต่อต้านรัฐบาลหัวรุนแรงหรือสมาชิกพรรคผู้แน่วแน่ แต่เป็นแค่ประชาชนธรรมดาๆ”
– คุณคิดว่ามีเด็กผู้ชายทั้งหมดกี่คนที่เคยเข้าร่วมกลุ่มอ่านหนังสือนี้?
“ถ้ารวบรวมข้อมูลจากทั้งห้าคนที่เราไปสัมภาษณ์บอกมา เราประมาณการว่าน่าจะราวๆสองร้อยคน”
– ใครเป็นคนเผาคฤหาสน์งั้นเหรอ? ได้ยินว่ามันเป็นการวางเพลิง
“…ถ้าเป็นผมจะตอบว่าโยฮัน คุณก็คงจะคิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันจริงไหม?”
– เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเอาอะไรบางอย่างไปจากคฤหาสน์ตอนที่เขาเผามัน?
“คุณหมายความว่ายังไงครับ?”
– ยกตัวอย่างเช่น, ถ้ามันมีรายชื่อของสมาชิกกลุ่มอ่านหนังสือทั้งหมดที่ยังคงซ่อนอยู่ในคฤหาสน์…
“อ้อ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน ถ้าเขาหารายชื่อจากคินเดอร์ไฮม์ 511, มันก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะทำแบบเดียวกันที่นี่ แต่ผมมีความรู้สึกว่าถึงรายชื่อพวกนั้นจะมีอยู่จริงๆ โยฮันก็คงจะไม่สนใจมัน เขาอัดเสียงตัวเองทับเทปอันนั้นที่อยู่ในเซฟเพื่อที่จะทิ้งข้อความไว้ให้ดร.เทนมะ เขาบอกว่าในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะเดินทางไปที่ไหน เขากำลังไล่ตามความทรงจำของตัวเอง ดังนั้นในทันทีที่เขามาถึงคฤหาสน์กุหลาบแดงและเข้าใจตัวตนของตัวเองแล้ว เขาก็สูญเสียความสนใจที่จะควบคุมคนอื่นไปจนหมด… ผมคิดว่าอย่างนั้น”
– คำถามสุดท้ายแล้วครับ, แล้วตัวคุณเองรู้สึกยังไงกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี่?
“…ผมคิดว่าความชั่วร้ายนั้นมีอยู่จริง เหมือนกับบอลหิมะที่กลิ้งลงเขาและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และความชั่วร้ายก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ โยฮันแค่คลายสิ่งที่ผูกมัดความชั่วร้ายในเมืองออกเพียงนิดเดียวเท่านั้น แล้วมันก็กลายเป็นอสูรกายที่ควบคุมไม่ได้ คดีใหญ่ๆดูเหมือนจะไขได้แล้ว แต่บางทีมันอาจเป็นเพราะปีศาจตัวนั้นออกจากเมืองไปแล้ว บางทีลูกบอลหิมะแห่งความชั่วร้ายกำลังกลิ้งและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ณ ที่ไหนซักแห่ง… ทุกวันนี้ผมก็ยังฝันร้ายถึงเรื่องนี้อยู่”
———-
ผมยังอยากรู้เรื่องของคฤหาสน์กุหลาบแดงให้มากกว่านี้ เพราะอย่างน้อยที่สุดแล้วนี่ก็คือจุดเริ่มต้นตัวตนของโยฮัน เมื่อผมบอกนักสืบซุคตามนี้ เขาก็บอกชื่อมาสามชื่อ ชื่อแรกคือสมาชิกคนหนึ่งจากกลุ่มอ่านหนังสือ, ชื่อที่สองคือทนายความผู้เป็นตัวแทนของกลุ่มที่พยายามจะเปิดเผยอาชญกรรมที่ตำรวจลับได้กระทำและเอาไปดำเนินคดีในศาล, ส่วนชื่อสุดท้ายคือสมาชิกระดับสูงในหน่วยตำรวจลับที่เอ่ยมา นักสืบซุคหัวเราะและพูดว่าถ้าคุณจะพบชายคนสุดท้ายนี้ คุณต้องใช้ความกล้าหน่อยนะ บางทีเขาคงหมายความว่าผมอาจจะไม่รอดชีวิตกลับมาจากการนัดพบ แต่ผมก็ขอบคุณที่เขาเป็นคนกลางให้
ผมเตรียมตัวพร้อมแล้ว
Comments