Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1016 ใจข้าดุจดาบ สามารถสังหารเทพผีฟ้าดิน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1016 ใจข้าดุจดาบ สามารถสังหารเทพผีฟ้าดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงระฆังไม่ดังนัก และไม่กังวาน แต่กลับเจือพลังที่เข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน

นักเดินทางเหล่านั้นสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ารู้สึกได้ สภาวะจิตเหมือนเหล็กแข็งก้อนหนึ่ง ถูกตีขึ้นรูปเข้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง ในตอนแรกทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่ไม่นานก็มีความรู้สึก ‘จิตใจเบิกบาน เข้าถึงสติปัญญา’

แต่น่าเสียดาย เสียงระฆังดังขึ้นเพียงครู่เดียว ไม่นานนักก็เงียบไป

นี่ทำให้นักเดินทางเหล่านั้นหมดอาลัยตายอยาก แต่จากนั้นต่างกระตือรือร้นและสงสัย เพราะเสียงระฆังมรรคขับขานจิตอัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ

เซียวชิงเหอเองก็ออกจะตระหนกเช่นกัน เร็วขนาดนี้ก็ฝ่าหกด่านแรกของแดนลับเกลาจิตแล้วหรือ

ในเวลาเดียวกัน หลินสวินเดินอยู่ในฟ้าดินเวิ้งว้างแห่งหนึ่งโดยลำพัง แม้ฟ้าดินกว้างใหญ่แต่กลับมีเขาเพียงผู้เดียว เบื้องหลังทั้งหนักแน่นและเดียวดาย

การทดสอบเกลาจิตหกด่านแรก เป็นเพียงสายฟ้าวายุและไฟใต้ดินที่เกิดขึ้นจากภาพมายาบางอย่าง มีผลกับสภาวะจิต แม้จะเคี่ยวกรำแข็งกร้าว แต่หลินสวินจิตหนักแน่นดุจศิลา ไม่หวั่นไหวเลยสักนิด

ทว่าเมื่อได้ยินเสียงระฆังมรรคเสียงธรรมนั้นดังขึ้น กลับทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกปลุกด้วยเสียงดังกังวาน เจริญปัญญารู้แจ้ง

จิตใจของเขาเหมือนมีลมเย็นฝนปรอยมาชะล้าง ปัดเป่าความคิดยุ่งเหยิงซับซ้อนออกไป สภาวะจิตก็แปรเปลี่ยนเป็นปราดเปรียวและละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น

โครม!

สายฟ้าสะท้านเวิ้งฟ้า พลันแปรเปลี่ยนเป็นเมฆดำ ไม่นานฝนห่าใหญ่เทลงมา ราวน้ำพุจากเก้าชั้นฟ้าไหลลงมาปกคลุมฟ้าดิน

หยาดฝนทุกสายไม่ได้ทำให้อาภรณ์เปียกปอน กลับแปรสภาพเป็นพลังดุดันราวดาบกระบี่ จู่โจมเข้าไปภายในสภาวะจิตของหลินสวิน

หยาดฝนหนาแน่นก็เหมือนกระบี่แหลมคมแน่นขนัดนับหมื่นพันเล่ม สำแดงพลังสังหารน่าครั่นคร้ามแห่งหมื่นกระบี่

สิ่งที่ฆ่า คือจิตใจ!

หลินสวินสีหน้านิ่งเฉย เดินหน้าต่อไป มองฝนห่าใหญ่เต็มฟ้าเหมือนไม่ดำรงอยู่ การเคลื่อนไหวไม่ส่ายโอนแม้สักนิด สีหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

ลมฝนจากทั่วสารทิศเข้าจู่โจม ตัวข้ามั่นคงไม่หวั่นไหว!

ไม่นานนักเมื่อฝนผ่านไปฟ้าก็โปร่ง ดวงตะวันลอยสูงเหนือเวิ้งฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องสรรพสิ่ง

เพียงแต่แสงอาทิตย์แต่ละแสงนั้นกลับเจือไปด้วยพลังแผดเผาเสียดกระดูก น่ากลัวยิ่งกว่าน้ำฝนนั่นเสียอีก เหมือนจะเผาให้จิตใจคนระเหยหาย

เงาร่างของหลินสวินสูงโปร่ง แผ่นหลังตรงแน่ว เดินหน้าดังเดิม

……

“สหายยุทธ์ที่เข้าไปในหอเกลาจิตเมื่อกี้น่าจะเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจผู้หนึ่ง หาไม่แล้วย่อมไม่อาจฝ่าผ่านหกด่านแรกของการทดสอบเกลาจิตได้ในเวลาอันสั้นแน่”

นักเดินทางผู้นั้นยังพูดน้ำไหลไฟดับ “แต่ว่าเท่าที่ข้าดู อย่างมากเขาก็ยืนหยัดได้ถึงแค่การทดสอบด่านที่สิบสอง”

เขาสวมอาภรณ์สีเขียวทั้งชุด รูปร่างผอมบางตัวตรงแน่ว สองมือไพล่หลัง ท่างทางอย่างคนชั้นสูง

“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” มีคนสงสัย

“เพราะในด่านที่สิบสองมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘พิบัติผีร้ายแปลงจิต’ ทันทีที่เข้าไป จิตใจจะเหมือนกับตกลงไปในแดนผี เพียงหย่อนยานแค่นิดเดียวก็จะถูกหมื่นภูตผีเข้าจู่โจม ไม่ว่าเจ้าจะมีฝีมือเทียมฟ้าอย่างไรก็ไม่อาจขับไล่ไปได้!”

ชายชราชุดเขียวผู้นั้นวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต “หลายปีมานี้ไม่รู้มีผู้แข็งแกร่งที่อวดตัวว่าเป็นผู้กล้ามาฝ่าด่านตั้งเท่าไร แต่ที่สามารถฝ่าผ่านด่านนี้ได้กลับมีเพียงสองสามคนเท่านั้น”

“มีคนที่เก่งกาจปานนั้นจริงหรือ” หลายคนตกตะลึง

“แค่เก่งกาจเสียที่ไหน วิปริตเลยต่างหาก! ตัดสินจากประสบการ์ที่สืบทอดกันมาแต่อดีต อย่าว่าแต่ผู้กล้าทั่วไปเลย ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุคที่เป็นยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน คิดจะฝ่าผ่านด่านนี้ก็มีโอกาสไม่เกินห้าส่วน!”

ชายชราชุดเขียวเอ่ยอย่างโอหัง “ข้ากล้ามั่นใจเลยว่าเด็กหนุ่มเมื่อครู่นั่น ย่อมไม่อาจทำให้เสียงระฆังครั้งที่สองดังขึ้นได้”

แกร๊ง!

แต่เขาเพิ่งพูดจบ เสียงระฆังระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น สั่นสะท้านถึงกลางจิตใจ แปลกประหลาดอัศจรรย์

สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล อดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายชราผู้ยืนยันมั่นเหมาะผู้นั้น ฝ่ายหลังกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าอึดอัดใจ

นี่มันตบหน้าเขาเกินไปแล้ว เพิ่งสรุปออกมาก็ถูกทำหน้าหงาย จังหวะการตบหน้านี้ออกจะรวดเร็วและรุนแรงเกินไปหน่อยแล้ว

“อะแฮ่มๆ ทุกอย่างไม่แน่นอน ย่อมมีข้อยกเว้น เท่าที่ข้าดู สหายยุทธ์เมื่อกี้ก็เป็นข้อยกเว้นคนหนึ่ง”

เจ้าหมอนี่หน้าด้านหน้าทนนัก ไม่นานก็กลับเป็นเหมือนเดิม เริ่มคุยโวอีกแล้ว

ในขณะเดียวกันภายในแดนลับเกลาจิต รังสีแหลมคมวาบผ่านดวงตาดำของหลินสวิน พูดกับตัวเองว่า ‘ใจข้าดุจดาบ สามารถสังหารเทพผีฟ้าดิน พวกผีร้ายจะไปมีค่าอะไรให้พูดถึงกัน”

เขาเดินหน้าต่อ

เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ทำให้จิตใจของเขาราวถูกเคี่ยวกรำเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ขัดเกลาให้เฉียบคมแข็งแกร่งส่องสว่าง

ประหนึ่งคมกระบี่สมบัติที่ผ่านการลับให้แหลมคม!

……

‘ฝ่าผ่านหกด่านแรก สภาวะจิตเรียกได้ว่าแข็งแกร่งราวเหล็กกล้าแล้ว’

‘ฝ่าผ่านสิบสองด่านแรก สภาวะจิตเรียกได้ว่าหนักแน่นดังภูผา’

‘ส่วนฝ่าผ่านสิบแปดด่านแรก…’

เซียวชิงเหอสีหน้าเคร่งขรึม พึมพำในใจ ‘ตามที่เล่าขานกันมาแต่โบราณ ผู้ฝ่าผ่านด่านนี้ทุกคนสภาวะจิตเรียกได้ว่า ‘จิตราวคันฉ่องกระจ่างเปล่งรัศมีเรื่อเรือง’ ทั้งถูกเรียกว่าเป็นระดับสว่างไสว’

‘อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น ด้วยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ก็ครอบครอง ‘จิตกระบี่สว่างไสว’ แล้ว พอฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิต ระฆังมรรคขับขานจิตก็ดังสามครั้ง!’

‘ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้หรือไม่…’ เซียวชิงเหอตั้งตารออยู่ในใจ

“เช่นนั้นเจ้าบอกหน่อยว่าเด็กนี่จะฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิตได้หรือไม่” ใกล้กันนั้น ทุกคนทอดสายตาไปมองชายชราชุดเขียวผู้นั้น

ชายชราชุดเขียวแสยะยิ้มออกมา “ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน วีรชนผู้กล้าหาญเกินใครที่เข้าไปในหอเกลาจิตมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงอวิ๋นชิ่งไป๋ผู้เดียวที่ฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดในแดนลับได้ อยู่เหนืออดีตและปัจจุบัน เย้ยหยันใต้หล้า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ลังเลครู่หนึ่ง นึกถึงประสบการณ์น่าอึดอัดที่เพิ่งถูก ‘ตบหน้า’ ไปเมื่อกี้ จึงพูดอย่างละเอียดรอบคอบว่า “เด็กหนุ่มคนเมื่อกี้นั่นคิดจะทำให้ความผ่าเผยของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้พูดว่าไม่มีหวังนะ เพียงแต่ว่า… ความหวังริบหรี่นักจนแทบไม่มี นอกเสียจากว่าปาฏิหาริย์บังเกิด”

“ถ้ามีปาฏิหาริย์บังเกิดกับคนผู้นั้นจริงๆ จะทำอย่างไร” มีคนหัวเราะถาม

ชายชราชุดเขียวกลับไม่ติดกับ แต่พูดด้วยน้ำเสียงประดิดประดอยไม่เห็นด้วยว่า “เช่นนั้นก็เป็นบุคคลเหนือโลกาที่สามารถฝ่าผ่านด่านที่สิบแปดของแดนลับเกลาจิตได้เป็นคนที่สองตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันแล้วล่ะ”

แกร๊ง!

เสียงระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นอีกแล้ว…

ให้ตายสิ!

ชายชราชุดเขียวหน้าเปลี่ยนสีทันตาเห็น ปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้า นี่มันจงใจสร้างความลำบากให้ข้านี่หว่า ต้องรีบร้อนตบหน้าขนาดนี้ไหม

คนอื่นๆ ก็สั่นสะท้านอยู่เช่นนั้น คนที่สองนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันหรือ

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงแล้ว!

พวกเขาไม่สนใจจะดูเรื่องตลกของชายชราชุดเขียวผู้นั้นแล้ว เพราะความจริงข้อนี้น่าตกใจเกินไป หากแพร่กระจายออกไปสามารถทำให้นครหยกขาวสะเทือนเลือนลั่นได้

‘เขาทำได้แล้ว…’ เซียวชิงเหอก็อดไม่ได้สูดหายใจหนาวเยือก หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

จากการคาดการณ์ของเขา ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เกรงว่าจะมีเพียงพลังสภาวะจิตของศิษย์พี่ใหญ่หมีเหิงเจินถึงสามารถทำเช่นนี้ได้

ส่วนตัวเขาเอง ระดับฝีมือยังห่างไกลจาก ‘จิตมรรคสว่างไสว’ อยู่บ้าง

แต่ตอนนี้เขากลับเห็นปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่งบังเกิดขึ้นด้วยตาตัวเอง!

เจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่

เซียวชิงเหอยิ่งสงสัยแล้ว

ในแดนลับเกลาจิต ในที่สุดหลินสวินก็ได้เห็น ‘ประทับผ่านด่าน’ ที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้ที่นี่ในตอนนั้น

นั่นเป็นป้ายหินป้ายหนึ่ง เหมือนกับกระบี่ปักลงไปในผืนดิน บนนั้นหลงเหลือร่องรอยตัวอักษรที่แหลมคมน่าหวาดหวั่นราวกระบี่ไว้ว่า ‘ใจข้าดุจกระบี่ ส่องสว่างไสวในใต้หล้า’!

อย่างน้อยในระดับกระบวนแปรจุติ อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นก็มีพลังสภาวะจิตระดับ ‘สว่างไสว’ แล้ว เรียกได้ว่าอยู่เหนือคนร่วมระดับเดียวกันทั้งในอดีตและปัจจุบันแล้วจริงๆ

แน่นอนว่า ตอนนี้ทั้งหมดนี้ย่อมเปลี่ยนไปพร้อมกับการมาถึงของเขา!

หลินสวินละสายตาจากป้ายหินป้ายนั้นแล้วมองออกไปไกลๆ

แดนลับเกลาจิตไม่ได้มีแค่การเคี่ยวกรำเพียงสิบแปดด่าน เบื้องหน้ายังมีการเคี่ยวกรำผ่านด่านอีกเช่นกัน

หลินสวินไม่ลังเล ย่างก้าวหนักแน่นไปข้างหน้า

การเคี่ยวกรำก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังสภาวะจิตของเขาออกมาอย่างสมบูรณ์

อีกทั้งเขาได้รับการชำระล้างจาก ‘ระฆังมรรคขับขานจิต’ แล้วสามครั้ง พลังสภาวะจิตก็สูงขึ้นตามไปด้วย

เขาสังหรณ์ว่าพลังสภาวะจิตเหมือนจะมีเค้าลางทะลวงขั้น!

โครม!

ทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ด่านที่สิบเก้า เวิ้งฟ้าที่เงียบสงบอยู่เดิมก็แปรเปลี่ยนเป็นทัศนียภาพวันสิ้นโลก

ห้วงอากาศยุ่งเหยิง ขาดออกเป็นรอยแยกขนาดใหญ่น่าตระหนกนับไม่ถ้วน ที่สั้นที่สุดยังยาวถึงพันจั้ง คล้ายจะจมฟ้าดินลงไปในนั้น

ทางข้างหน้าขาดลงแล้ว!

ไม่อาจเดินต่อไปได้อีก

หันหลังกลับไปก็กลายเป็นความว่างเปล่า ไม่มีที่ให้ถอยหลัง

ในใจหลินสวินพลันบังเกิดความรู้สึกสิ้นหวังขึ้น ขณะเดียวกันในโสตประสาทก็มีเสียงทอดถอนใจเข้าไปถึงก้นบึ้งจิตวิญญาณระลอกหนึ่ง

‘ทางข้างหน้าขาดลงแล้ว ถอยก็ไม่ได้ การฝึกปราณ สิ่งที่ฝึกก็เป็นเพียงความว่างเปล่า!’

เสียงนั้นเจือไปด้วยความหดหู่ ไม่ยินยอม และอับจนหนทาง ดูเหมือนพร่าเลือนแต่กลับโอบล้อมหัวใจ ทำให้สภาวะจิตของหลินสวินเลื่อนลอย ถูกความรู้สึกสิ้นหวังปกคลุมอย่างห้ามไว้ไม่อยู่

หากมีสักวันหนึ่งได้รู้ว่ามรรคที่เสาะหาเป็นเพียงความว่างเปล่า จะยังเสียใจที่เหยียบย่างลงบนทางที่ไม่อาจหันหลังกลับได้นี้หรือไม่

อีกทั้งความอุตสาหะทั้งปวงที่ทำมาก่อนหน้านี้ จะเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ความหมายหรือไม่

ถามไถ่จิตมรรค!

การเคี่ยวกรำด่านนี้ สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

……

กาลเวลาเคลื่อนคล้อย นอกหอเกลาจิต ทุกคนออกจะอดรนทนไม่ไหว

เหตุใดเด็กหนุ่มคนนั้นยังไม่ปรากฏตัวอีก

หรือเขารับการทดสอบเคี่ยวกรำต่อ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงก็น่าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว!

แต่ผ่านมานานขนาดนี้ เหตุใดถึงยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวเลยสักนิด

ในใจเซียวชิงเหอก็ตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย สามารถฝ่าผ่านการทดสอบแดนลับด่านที่สิบแปดได้ ก็เป็นเพียงการวิ่งไปพร้อมกับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนเท่านั้น

แต่ถ้าสามารถฝ่าผ่านการทดสอบมากขึ้นไปได้เล่า

ซูชิงเหอสับสนขึ้นแล้ว ทั้งรอคอยและคัดค้าน ความรู้สึกในใจย้อนแย้งนัก

ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ท่ามกลางการเฝ้าคอยอย่างร้อนเร่าของทุกคน เงาร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากหอเกลาจิตอย่างเนิบช้า เป็นหลินสวินนั่นเอง!

เสียงระฆังมรรคขับขานจิตไม่ได้ดังขึ้น หมายความว่าสุดท้ายเขาก็ล้มเหลว หยุดเดินหลังจากการทดสอบด่านที่สิบแปดใช่หรือไม่

ทุกคนถอนหายใจโล่งอกโดยมิได้นัดหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ออกจะผิดหวัง ทอดถอนใจในใจว่า สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ในตอนนั้นไม่ได้ถูกทำลายได้ง่ายเช่นนั้นดังคาด!

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สายตาที่พวกเขามองไปยังหลินสวินก็ยังเจือไปด้วยความเลื่อมใสจากใจ สามารถเทียบเคียงด้านพลังสภาวะจิตกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นได้ ย่อมเรียกได้ว่าน่าตื่นตะลึงไร้ผู้ใดเทียบเทียมแล้ว

มีเพียงเซียวชิงเหอที่นิ่วหน้า ล้มเหลวจริงหรือ

เขาไม่เชื่อ อดไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “สหาย เจ้าเดินไปถึงด่านไหน”

หลินสวินส่ายหัว หันกายจากไป

เซียวชิงเหอเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งสงสัย ตามประกบหลังเขาแล้วพูดว่า “ข้าน้อยเซียวชิงเหอ ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ไม่ทราบว่าสหายยุทธ์มีนามว่ากระไร”

ก็ในตอนที่เขาเพิ่งพูดจบ ในหอเกลาจิตที่อยู่เบื้องหลังนั้นพลันมีเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง

ต่างจากก่อนหน้านี้ เสียงระฆังคราวนี้พุ่งทะลุเก้าชั้นฟ้า สั่นสะเทือนจนชั้นเมฆบนเวิ้งฟ้าแหลกสลายกระจายออกเนิบช้าไร้ขอบเขต

ในขณะเดียวกันทั้งหอเกลาจิตก็ส่องแสง แผ่คลื่นบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ชั่วพริบตานั้น นักเดินทางที่ยังไม่จากไปเหล่านั้นล้วนนิ่งงันอยู่เช่นเดิม จิตวิญญาณหวาดหวั่น รู้สึกถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจบรรยายได้

ส่วนเซียวชิงเหอก็หันหน้าไปทันที เมื่อเห็นภาพนี้หน้าพลันเปลี่ยนสียกใหญ่

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด