Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1114 งานชุมนุมพันกระแส
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ออกจากทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น เข้าสู่โลกภายนอกด้วยกัน
ระหว่างเดินทางผ่านเขตแคว้นใหญ่ต่างๆ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงที่ไม่เคยมีมาก่อนมากมายตลอดทาง
อย่างแรกก็คือ แม่น้ำพรมแดนที่พาดระหว่างสี่แดนวิภูกำลังลดลงและหายไปด้วยความรวดเร็ว
ตามการสันนิษฐาน ไม่เกินหนึ่งเดือน พรมแดนสี่แดนวิภูก็จะกลายเป็นผืนดินกว้างใหญ่ไพศาลผืนเดียวกันอีกครั้ง ฟื้นคืนรูปลักษณ์สง่างามเช่นในยุคบรรพกาล
ในขณะเดียวกันสรรพสิ่งในโลกต่างเกิดความเปลี่ยนแปลง ภูผาธาราที่ธรรมดาสามัญบางแห่งพลันเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ตัวภูเขาสูงขึ้นมาก ไอวิญญาณหนาแน่นผุดออกมา แปรสภาพเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคล
การแปรสภาพของปีศาจภูตพรายบางตัวก็รวดเร็วยิ่งขึ้น อุปสรรคในการฝึกปราณที่ไม่อาจทำลายได้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ล้วนสำเร็จได้โดยไม่ต้องพยายาม
กระทั่งว่าโอสถวิญญาณและของล้ำค่าที่สูญสิ้นไปในสายธารแห่งกาลเวลานานแล้วก็เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้สำนักและผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรเข้าแย่งชิง
พร้อมกันนั้นผู้ฝึกปราณไม่ว่าคุณสมบัติสูงต่ำเช่นไร ยามฝึกปราณก็เลื่อนขั้นได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยามหยั่งรู้มรรคก็สามารถหยั่งรู้และควบคุมพลังมหามรรคได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก!
‘การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึง’ มากมายเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นในทุกที่ของสี่แดนวิภู เปรียบดั่งผืนดินที่สงบเงียบมานานเปล่งพลังชีวิตพลิกฟ้าดินออกมา กำลังก้าวเดินไปสู่ความตระการตาถึงที่สุด!
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนเพิ่งเกิดขึ้นในสองเดือนนี้ทั้งนั้น
น่าตื่นตะลึงสะท้านโลกเกินไปแล้ว!
ผู้ฝึกปราณในโลกต่างรู้ว่ามหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครั้งหนึ่งต้องมาเยือน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงเค้าลางก่อนที่มหายุคจะอุบัติขึ้นก็สะเทือนฟ้าเช่นนี้แล้ว
มีสำนักโบราณได้สรุปหลังจากวิเคราะห์คาดเดาไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึงคราวนี้มีเพียงในยุคโบราณเท่านั้น!
ในอดีตก็เคยมีการเปลี่ยนแปลงทำนองนี้เกิดขึ้นในฟ้าดิน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะน่าตื่นตระหนกเหมือนตอนนี้
แต่ในขณะเดียวกันฟ้าดินก็เริ่มสั่นสะเทือน ไม่สงบราบเรียบเหมือนแต่ก่อนอีก
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่า หยิ่งผยองคับฟ้า กำราบผู้กล้าขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน!”
ข่าวที่พวกหลินสวินได้ยินมากที่สุดก็คือข่าวเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางส่วนที่ปรากฏตัว ในช่วงระยะนี้ได้สร้างเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่รู้มากน้อยเท่าไร ทั้งเอาชนะคนไปไม่รู้เท่าไร ก่อให้เกิดความวุ่นวายในใต้หล้า
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เก็บตัวเงียบมานานพวกนี้ แต่ละคนแข็งแกร่งจนน่ากลัวไปหมด บ้าระห่ำจนพาให้คนจนคำพูด ความสง่างามของบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันล้วนถูกพวกเขาเอาชนะไปแล้ว!”
“เฮ้อ นี่ก็ไม่อาจเทียบได้ สัตว์ประหลาดยุคโบราณทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นล้ำเลิศ จำศีลเก็บตัวเงียบในกาลเวลามานานเพื่อรอคอยมหายุคครั้งนี้มาเยือน จะแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ตลอดทางได้ยินเสียงทอดถอนใจและวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้มากมาย
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างตกใจ เพิ่งผ่านไปสองเดือนเท่านั้น โลกภายนอกถึงกับเกิดคลื่นลมมากมายเช่นนี้แล้ว
“ตอนนี้ยังบ้าคลั่งปานนี้ ยามแดนมกุฎมาเยือนต้องกลายเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็งแน่” เจ้าคางคกดูถูก กำลังวิจารณ์การกระทำที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้นก่อขึ้น
“จริง”
เรื่องนี้หลินสวินรู้เป็นอย่างดี ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ยิ่งเผยความสามารถสะดุดตามากเพียงใด ก็หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะถูกผู้อื่นจับจ้องจะมากตามไปด้วย!
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ยินหรือ มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนจะท้าเจ้าสู้ ล้วนคุยโวว่าถ้าท่านกล้าเผยตัวจะต้องกำราบท่านแน่!”
อาหลู่พูดพลางยิ้มระรื่น
ตลอดทางนี้หลินสวินย่อมได้ยินข่าวทำนองนี้บ้าง
สาเหตุก็เพราะเมื่อสองเดือนก่อน ถ้าพูดถึงบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่ถูกจับตามองที่สุดในใต้หล้า ก็ย่อมเป็นเขาหลินสวินคนนี้!
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะถูกผู้อื่นจับจ้องก็สมเหตุสมผล
อย่างไรเสียเอาชนะเขาได้ก็เท่ากับเอาชนะผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ และเท่ากับเอาชนะผู้มีอิทธิพลในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบัน สามารถดึงดูดให้ใต้หล้าจับตามอง มีชื่อระบือโลก!
นี่ก็คือความยุ่งยากของการมีชื่อเสียงโด่งดัง
“ยังมีที่เกินเหตุกว่านี้อีกนะ สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนถึงกับโวยวายว่าถ้าจับเทพมารหลินได้ก็จะเอาเจ้าเป็นข้ารับใช้ ปรนนิบัติข้างกายพวกเขา ใช้เรื่องนี้แสดงอำนาจ”
เจ้าคางคกร้องขึ้นมาว่า “ถามเจ้าหน่อยสิ ท้าทายเช่นนี้เจ้าทนได้หรือ”
ที่เจ้าคางคกพูดไม่ได้โกหก หลินสวินก็เคยได้ยินข่าวนี้เช่นกัน
แม้กล่าวว่าเขาคร้านจะใส่ใจการท้าทายและโวยวายเหล่านี้ แต่ถ้าเจอกับเจ้าพวกนี้เข้า หลินสวินก็ไม่ถือสาที่จะมอบบทเรียนซึ่งพวกเขายากลืมเลือนไปชั่วชีวิตครั้งหนึ่งแน่!
ตอนนี้ตาสีตาสาบางคนกล้าเหยียบเขาเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้นได้ง่ายๆ แล้วหรือ
ล้อเล่นอะไรกัน!
ทว่าเขาก็เข้าใจได้ ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่บนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้อยู่บ้าง เพราะพวกเขาแพ้ตอนประลองกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนเสียแล้ว!
กระทั่งยังมียักษ์ใหญ่ยอดมกุฎบางคนเลือกรักษาตัวรอด ไม่ยอมขัดแย้งกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้นในตอนนี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
“ไปเถอะ ข่าวที่พวกเรารู้น้อยไปอยู่ดี ไปเขาวิญญาณพันกระแสคราวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ข่าวมากขึ้นก็ได้” หลินสวินพูด
พร้อมกับที่มหายุคกำลังจะมาเยือน กระแสคลื่นโหมซัดสาดไปตามที่ต่างๆ ในใต้หล้า ผู้กล้าอัจฉริยะพากันปรากฏตัวในโลก ย่อมมีการชุมนุมใหญ่ที่ไว้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ขึ้นด้วย
การชุมนุมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่เขาวิญญาณพันกระแสก็จัดขึ้นโดยหมีเหิงเจิน ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ตามที่ได้ยินมาคนที่ไปเข้าร่วมล้วนเป็นผู้มากความสามารถในยุคปัจจุบัน เป็นบุคคลที่คิดจะเข้าร่วมการชิงชัยในแดนมกุฎ
……
เขาวิญญาณพันกระแสตั้งอยู่ในแคว้นจันทราม่วง
พวกหลินสวินอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาถึงแคว้นจันทราม่วงล่วงหน้าหลายวัน จากนั้นก็สืบเสาะตลอดทาง เข้าไปภายในเมืองพันกระแส
ทันทีที่เข้าไปในเมืองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตลอดทาง
“งานชุมนุมใหญ่พันกระแสคราวนี้มีอิทธิพลลึกล้ำยิ่งนัก ผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ล้วนเป็นบุคคลที่บรรลุขอบเขตมกุฎ กระทั่งยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎยังมีไม่ขาด”
“ได้ยินว่าในงานชุมนุมใหญ่คราวนี้หมีเหิงเจินเชิญสหายยุทธ์บางคนมาร่วมกันก่อการใหญ่”
“น่าเสียดาย พวกเราไม่มีคุณสมบัติขึ้นเขาไปร่วมงาน…”
พวกหลินสวินไม่ต้องสืบหาก็รู้ข่าวงานชุมนุมใหญ่พันกระแสจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จึงเดินไปยังใจกลางเมือง
ภูเขาใหญ่เดียวดายลูกหนึ่งตั้งตระหง่านกลางเมือง เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณชั้นเลิศ สูงถึงพันจั้ง
ด้านบนมีน้ำตกพันสายเทลงมาจากฟากฟ้า ปรากฏภาพอัศจรรย์ ‘พันกระแสไหลเชี่ยว ธารดาราม้วนตลบ’
นี่ก็คือเขาวิญญาณพันกระแส ที่มาที่ไปไม่ธรรมดายิ่งนัก
ใกล้ๆ กับภูเขาลูกนี้เป็นบริเวณที่ครึกครื้นหาใดเทียบแห่งหนึ่ง มีทั้งโรงน้ำชา โรงเตี๊ยม รวมถึงร้านขายโอสถวิญญาณและสมบัติวิญญาณ
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง ผู้ฝึกปราณมากมายก็รวมตัวกันในบริเวณใกล้กันนี้แล้ว ต่างสนทนากันเรื่องงานชุมนุมเขาพันกระแส
“ไปเถอะ”
หลินสวินไม่ร่ำไร พาเจ้าคางคกและอาหลู่เดินไปบนภูเขาด้วยกัน
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างแสดงสีหน้าอิจฉาและหวั่นเกรง
เขาวิญญาณพันกระแสไม่ได้ขึ้นไปได้ง่ายดายปานนั้น บนภูเขาปกคลุมไปด้วยพลังมหามรรคประหลาด ทำให้ถูกกดข่มอย่างมากยามปีนเขา
นอกจากนี้หากพลังปราณไม่ถึงระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อาจย่างก้าวไปได้เลย ก็ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายทำได้เพียงหยุดลงตรงนี้
“เอ๊ะ เจ้าหมอนั่นดูไปแล้วคล้ายเทพมารหลินไหม”
มีคนสังเกตเงาหลังของหลินสวินแล้วเผยสีหน้าประหลาด รู้สึกคุ้นตา
“เป็นเขาจริงหรือ”
หลายคนตกใจ
สองเดือนมานี้หลินสวินเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด เหมือนหายไปจากโลก นอกจากเคยสู้กับฉู่จงเทียนครั้งหนึ่งก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาอีก
อีกทั้งสายตาของคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ล้วนถูกความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฟ้าดินดึงดูด พากันจับจ้องไปที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้น
“แน่ใจว่าเป็นเขาหรือ”
ผู้ฝึกปราณหลายคนว้าวุ่น ตื่นเต้นยิ่งนัก ก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฟ้าดิน เทพมารหลินย่อมเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่คนรุ่นเยาว์ ถูกทั้งใต้หล้าจับจ้อง
ผ่านไปสองเดือน ถ้าเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่จริง ต้องก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่แน่!
ผู้ฝึกปราณหลายคนล้วนเข้าไปใกล้ด้วยต้องการจะชี้ชัดอย่างละเอียด ยืนยันตัวหลินสวิน น่าเสียดายที่พลังของพวกเขายังไม่มากพอจะปีนเขาได้
อีกทั้งตั้งแต่เริ่มจนจบพวกหลินสวินก็ไม่เคยหันหน้ากลับมา
ตรงไหล่เขามีศาลาอาคารนานาชนิดตั้งอยู่ ล้วนเก่าแก่ผ่านกาลเวลายาวนาน ตอนนี้มีผู้ฝึกปราณมากมายอ้อยอิ่งอยู่ในที่นั่น บ้างนั่งบ้างยืน
ส่วนบนยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปยังมีแท่นมรรคแท่นหนึ่ง มีชั้นเมฆโอบล้อม พอจะเห็นเงาร่างบางส่วนยืนอยู่บนนั้นอย่างคลุมเครือ
ตอนพวกหลินสวินเพิ่งมาถึงไหล่เขาก็พบว่าที่นั่นมีคนไม่น้อยอยู่ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาร่วมงานชุมนุมทั้งนั้น
เพียงกวาดตาลวกๆ คราเดียว หลินสวินก็พบว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของยอดฝีมือ
คิดไปคิดมาก็สมควร หากไม่ใช่ระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อาจขึ้นเขานี้มาได้เลย
หลินสวินเสาะหาครู่หนึ่งก็ไม่พบเงาร่างเซียวชิงเหอ เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วหามุมที่อยู่ห่างไกลมุมหนึ่งนั่งลงทันที คิดจะฟังการสนทนาของทุกคนในที่นั้นก่อน
“ในบรรดาสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ปรากฏตัวกระทั่งตอนนี้ แทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อยู่ระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎทั้งนั้น พวกเขาจองหองผงาดผยอง เอาชนะยอดฝีมือยุคปัจจุบันไปไม่รู้เท่าไร ช่างน่าอับอายเสียจริง”
มีคนถอนใจ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวอย่างโดดเด่น กดทับจนผู้กล้ายุคปัจจุบันเชิดหน้าไม่ได้ ย่อมทำให้คนเศร้าซึมอย่างเลี่ยงได้ยาก
“พวกเจ้าว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณนั้นเก่งกาจจนไร้ศัตรูต้านทานจริงหรือ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วทำไมพวกเขาออกมาแต่ละคนถึงชนะได้ทุกครั้งล่ะ”
มีคนทุกข์ใจ
“ไร้ศัตรูต้านทานหรือ หึ! เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ในยุคปัจจุบันไม่ขาดผู้ที่สามารถประมือกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณพวกนี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้ลงมือเท่านั้นเอง เช่น อวิ๋นชิ่งไป๋ หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว เทพมารหลินเป็นอย่างไร มีคนไหนบ้างที่ไม่แข็งแกร่งเหลือล้น”
“เทพมารหลินหรือ พูดถึงคนผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมนัก เมื่อหนึ่งเดือนก่อนฉู่จงเทียบปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งที่สี่ ชั่วขณะเดียวก็ไปทะเลหมากดาราหมายจะกำราบเทพมารหลิน ใครจะไปคิดว่ากลับถูกกำราบ หากไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาปกป้องก็เกือบสิ้นชีพแล้ว!”
คนเหล่านี้กำลังวิพากษ์วิจารณ์ ที่พูดล้วนเป็นเรื่องราวผกผันในใต้หล้า
นอกจากไหล่เขานี้ บนแท่นมรรคตรงยอดเขาก็มีหลายคนกำลังสนทนากัน คนเหล่านั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นบุคคลที่ฐานะสูงส่งหาใดเทียบทั้งนั้น
“เหตุใดพี่ฉีต้องถ่อมตัว การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เจ้าก็รับมือกับความยากลำบาก เอาชนะคู่ต่อสู้มากมาย พุ่งกวาดเหล่าผู้กล้า พาตัวเองไปอยู่ในสิบอันดับแรก เรียกได้ว่าผลงานการต่อสู้น่าทึ่ง” ที่แท่นมรรคบนยอดเขา หญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยปาก เจือด้วยน้ำเสียงนับถือ
บนแท่นมรรค ชายหนุ่มชุดสีฟ้าผู้หนึ่งนั่งบนเบาะรองนั่ง สีหน้าสุขุมเรียบเฉยเอ่ยว่า “ก็เพียงอันดับสิบเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”
หลายคนแสดงสีหน้าทอดถอนใจ จำฐานะของชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ได้ เขาก็คือฉีชงโต้ว ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา กิตติศัพท์เลื่องระบือ เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณที่ไหล่เขาบางคนก็ล้วนมีสีหน้าตั้งใจฟัง ท่าทางยำเกรง เสียงพูดเบาลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าฐานะของผู้แข็งแกร่งบนแท่นมรรคเหล่านั้นไม่ธรรมดานัก
หลินสวินมองไป เพียงรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดฟ้าคนนั้นคุ้นตามาก ไม่นานก็นึกฐานะของฉีชงโต้วออก เขาก็คือศิษย์พี่ของเซียวชิงเหอ อันดับบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็น่าชื่นชม
“เจ้ารู้จักเจ้าหมอนั่นหรือ” เจ้าคางคกเอ่ยถาม
“เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดคุยกัน” หลินสวินพูด
ข้างกันมีคนได้ยินการสนทนาของพวกเขา พลันอดไม่ได้ที่จะยิ้มหยัน “แค่เคยเห็นหน้าเท่านั้น น่าโอ้อวดนักหรือไง ยังโม้ออกมาได้ไม่อายปาก ไม่กลัวคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกหรือ”
——
Comments
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1114 งานชุมนุมพันกระแส
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ออกจากทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น เข้าสู่โลกภายนอกด้วยกัน
ระหว่างเดินทางผ่านเขตแคว้นใหญ่ต่างๆ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงที่ไม่เคยมีมาก่อนมากมายตลอดทาง
อย่างแรกก็คือ แม่น้ำพรมแดนที่พาดระหว่างสี่แดนวิภูกำลังลดลงและหายไปด้วยความรวดเร็ว
ตามการสันนิษฐาน ไม่เกินหนึ่งเดือน พรมแดนสี่แดนวิภูก็จะกลายเป็นผืนดินกว้างใหญ่ไพศาลผืนเดียวกันอีกครั้ง ฟื้นคืนรูปลักษณ์สง่างามเช่นในยุคบรรพกาล
ในขณะเดียวกันสรรพสิ่งในโลกต่างเกิดความเปลี่ยนแปลง ภูผาธาราที่ธรรมดาสามัญบางแห่งพลันเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ตัวภูเขาสูงขึ้นมาก ไอวิญญาณหนาแน่นผุดออกมา แปรสภาพเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคล
การแปรสภาพของปีศาจภูตพรายบางตัวก็รวดเร็วยิ่งขึ้น อุปสรรคในการฝึกปราณที่ไม่อาจทำลายได้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ล้วนสำเร็จได้โดยไม่ต้องพยายาม
กระทั่งว่าโอสถวิญญาณและของล้ำค่าที่สูญสิ้นไปในสายธารแห่งกาลเวลานานแล้วก็เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้สำนักและผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรเข้าแย่งชิง
พร้อมกันนั้นผู้ฝึกปราณไม่ว่าคุณสมบัติสูงต่ำเช่นไร ยามฝึกปราณก็เลื่อนขั้นได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยามหยั่งรู้มรรคก็สามารถหยั่งรู้และควบคุมพลังมหามรรคได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก!
‘การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึง’ มากมายเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นในทุกที่ของสี่แดนวิภู เปรียบดั่งผืนดินที่สงบเงียบมานานเปล่งพลังชีวิตพลิกฟ้าดินออกมา กำลังก้าวเดินไปสู่ความตระการตาถึงที่สุด!
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนเพิ่งเกิดขึ้นในสองเดือนนี้ทั้งนั้น
น่าตื่นตะลึงสะท้านโลกเกินไปแล้ว!
ผู้ฝึกปราณในโลกต่างรู้ว่ามหายุคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครั้งหนึ่งต้องมาเยือน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพียงเค้าลางก่อนที่มหายุคจะอุบัติขึ้นก็สะเทือนฟ้าเช่นนี้แล้ว
มีสำนักโบราณได้สรุปหลังจากวิเคราะห์คาดเดาไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงน่าตื่นตะลึงคราวนี้มีเพียงในยุคโบราณเท่านั้น!
ในอดีตก็เคยมีการเปลี่ยนแปลงทำนองนี้เกิดขึ้นในฟ้าดิน แต่ไม่มีสักครั้งที่จะน่าตื่นตระหนกเหมือนตอนนี้
แต่ในขณะเดียวกันฟ้าดินก็เริ่มสั่นสะเทือน ไม่สงบราบเรียบเหมือนแต่ก่อนอีก
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่า หยิ่งผยองคับฟ้า กำราบผู้กล้าขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน!”
ข่าวที่พวกหลินสวินได้ยินมากที่สุดก็คือข่าวเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางส่วนที่ปรากฏตัว ในช่วงระยะนี้ได้สร้างเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่รู้มากน้อยเท่าไร ทั้งเอาชนะคนไปไม่รู้เท่าไร ก่อให้เกิดความวุ่นวายในใต้หล้า
“สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เก็บตัวเงียบมานานพวกนี้ แต่ละคนแข็งแกร่งจนน่ากลัวไปหมด บ้าระห่ำจนพาให้คนจนคำพูด ความสง่างามของบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันล้วนถูกพวกเขาเอาชนะไปแล้ว!”
“เฮ้อ นี่ก็ไม่อาจเทียบได้ สัตว์ประหลาดยุคโบราณทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นล้ำเลิศ จำศีลเก็บตัวเงียบในกาลเวลามานานเพื่อรอคอยมหายุคครั้งนี้มาเยือน จะแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ตลอดทางได้ยินเสียงทอดถอนใจและวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้มากมาย
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างตกใจ เพิ่งผ่านไปสองเดือนเท่านั้น โลกภายนอกถึงกับเกิดคลื่นลมมากมายเช่นนี้แล้ว
“ตอนนี้ยังบ้าคลั่งปานนี้ ยามแดนมกุฎมาเยือนต้องกลายเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็งแน่” เจ้าคางคกดูถูก กำลังวิจารณ์การกระทำที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้นก่อขึ้น
“จริง”
เรื่องนี้หลินสวินรู้เป็นอย่างดี ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น ยิ่งเผยความสามารถสะดุดตามากเพียงใด ก็หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะถูกผู้อื่นจับจ้องจะมากตามไปด้วย!
“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ยินหรือ มีสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนจะท้าเจ้าสู้ ล้วนคุยโวว่าถ้าท่านกล้าเผยตัวจะต้องกำราบท่านแน่!”
อาหลู่พูดพลางยิ้มระรื่น
ตลอดทางนี้หลินสวินย่อมได้ยินข่าวทำนองนี้บ้าง
สาเหตุก็เพราะเมื่อสองเดือนก่อน ถ้าพูดถึงบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์ที่ถูกจับตามองที่สุดในใต้หล้า ก็ย่อมเป็นเขาหลินสวินคนนี้!
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะถูกผู้อื่นจับจ้องก็สมเหตุสมผล
อย่างไรเสียเอาชนะเขาได้ก็เท่ากับเอาชนะผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ และเท่ากับเอาชนะผู้มีอิทธิพลในหมู่บุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบัน สามารถดึงดูดให้ใต้หล้าจับตามอง มีชื่อระบือโลก!
นี่ก็คือความยุ่งยากของการมีชื่อเสียงโด่งดัง
“ยังมีที่เกินเหตุกว่านี้อีกนะ สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนถึงกับโวยวายว่าถ้าจับเทพมารหลินได้ก็จะเอาเจ้าเป็นข้ารับใช้ ปรนนิบัติข้างกายพวกเขา ใช้เรื่องนี้แสดงอำนาจ”
เจ้าคางคกร้องขึ้นมาว่า “ถามเจ้าหน่อยสิ ท้าทายเช่นนี้เจ้าทนได้หรือ”
ที่เจ้าคางคกพูดไม่ได้โกหก หลินสวินก็เคยได้ยินข่าวนี้เช่นกัน
แม้กล่าวว่าเขาคร้านจะใส่ใจการท้าทายและโวยวายเหล่านี้ แต่ถ้าเจอกับเจ้าพวกนี้เข้า หลินสวินก็ไม่ถือสาที่จะมอบบทเรียนซึ่งพวกเขายากลืมเลือนไปชั่วชีวิตครั้งหนึ่งแน่!
ตอนนี้ตาสีตาสาบางคนกล้าเหยียบเขาเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้นได้ง่ายๆ แล้วหรือ
ล้อเล่นอะไรกัน!
ทว่าเขาก็เข้าใจได้ ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่บนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้อยู่บ้าง เพราะพวกเขาแพ้ตอนประลองกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนเสียแล้ว!
กระทั่งยังมียักษ์ใหญ่ยอดมกุฎบางคนเลือกรักษาตัวรอด ไม่ยอมขัดแย้งกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้นในตอนนี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
“ไปเถอะ ข่าวที่พวกเรารู้น้อยไปอยู่ดี ไปเขาวิญญาณพันกระแสคราวนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ข่าวมากขึ้นก็ได้” หลินสวินพูด
พร้อมกับที่มหายุคกำลังจะมาเยือน กระแสคลื่นโหมซัดสาดไปตามที่ต่างๆ ในใต้หล้า ผู้กล้าอัจฉริยะพากันปรากฏตัวในโลก ย่อมมีการชุมนุมใหญ่ที่ไว้พูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆ ขึ้นด้วย
การชุมนุมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่เขาวิญญาณพันกระแสก็จัดขึ้นโดยหมีเหิงเจิน ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ตามที่ได้ยินมาคนที่ไปเข้าร่วมล้วนเป็นผู้มากความสามารถในยุคปัจจุบัน เป็นบุคคลที่คิดจะเข้าร่วมการชิงชัยในแดนมกุฎ
……
เขาวิญญาณพันกระแสตั้งอยู่ในแคว้นจันทราม่วง
พวกหลินสวินอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมาถึงแคว้นจันทราม่วงล่วงหน้าหลายวัน จากนั้นก็สืบเสาะตลอดทาง เข้าไปภายในเมืองพันกระแส
ทันทีที่เข้าไปในเมืองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตลอดทาง
“งานชุมนุมใหญ่พันกระแสคราวนี้มีอิทธิพลลึกล้ำยิ่งนัก ผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ล้วนเป็นบุคคลที่บรรลุขอบเขตมกุฎ กระทั่งยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎยังมีไม่ขาด”
“ได้ยินว่าในงานชุมนุมใหญ่คราวนี้หมีเหิงเจินเชิญสหายยุทธ์บางคนมาร่วมกันก่อการใหญ่”
“น่าเสียดาย พวกเราไม่มีคุณสมบัติขึ้นเขาไปร่วมงาน…”
พวกหลินสวินไม่ต้องสืบหาก็รู้ข่าวงานชุมนุมใหญ่พันกระแสจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จึงเดินไปยังใจกลางเมือง
ภูเขาใหญ่เดียวดายลูกหนึ่งตั้งตระหง่านกลางเมือง เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณชั้นเลิศ สูงถึงพันจั้ง
ด้านบนมีน้ำตกพันสายเทลงมาจากฟากฟ้า ปรากฏภาพอัศจรรย์ ‘พันกระแสไหลเชี่ยว ธารดาราม้วนตลบ’
นี่ก็คือเขาวิญญาณพันกระแส ที่มาที่ไปไม่ธรรมดายิ่งนัก
ใกล้ๆ กับภูเขาลูกนี้เป็นบริเวณที่ครึกครื้นหาใดเทียบแห่งหนึ่ง มีทั้งโรงน้ำชา โรงเตี๊ยม รวมถึงร้านขายโอสถวิญญาณและสมบัติวิญญาณ
เมื่อพวกหลินสวินมาถึง ผู้ฝึกปราณมากมายก็รวมตัวกันในบริเวณใกล้กันนี้แล้ว ต่างสนทนากันเรื่องงานชุมนุมเขาพันกระแส
“ไปเถอะ”
หลินสวินไม่ร่ำไร พาเจ้าคางคกและอาหลู่เดินไปบนภูเขาด้วยกัน
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างแสดงสีหน้าอิจฉาและหวั่นเกรง
เขาวิญญาณพันกระแสไม่ได้ขึ้นไปได้ง่ายดายปานนั้น บนภูเขาปกคลุมไปด้วยพลังมหามรรคประหลาด ทำให้ถูกกดข่มอย่างมากยามปีนเขา
นอกจากนี้หากพลังปราณไม่ถึงระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อาจย่างก้าวไปได้เลย ก็ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายทำได้เพียงหยุดลงตรงนี้
“เอ๊ะ เจ้าหมอนั่นดูไปแล้วคล้ายเทพมารหลินไหม”
มีคนสังเกตเงาหลังของหลินสวินแล้วเผยสีหน้าประหลาด รู้สึกคุ้นตา
“เป็นเขาจริงหรือ”
หลายคนตกใจ
สองเดือนมานี้หลินสวินเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด เหมือนหายไปจากโลก นอกจากเคยสู้กับฉู่จงเทียนครั้งหนึ่งก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาอีก
อีกทั้งสายตาของคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ล้วนถูกความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของฟ้าดินดึงดูด พากันจับจ้องไปที่สัตว์ประหลาดยุคโบราณเหล่านั้น
“แน่ใจว่าเป็นเขาหรือ”
ผู้ฝึกปราณหลายคนว้าวุ่น ตื่นเต้นยิ่งนัก ก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฟ้าดิน เทพมารหลินย่อมเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่คนรุ่นเยาว์ ถูกทั้งใต้หล้าจับจ้อง
ผ่านไปสองเดือน ถ้าเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่จริง ต้องก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่แน่!
ผู้ฝึกปราณหลายคนล้วนเข้าไปใกล้ด้วยต้องการจะชี้ชัดอย่างละเอียด ยืนยันตัวหลินสวิน น่าเสียดายที่พลังของพวกเขายังไม่มากพอจะปีนเขาได้
อีกทั้งตั้งแต่เริ่มจนจบพวกหลินสวินก็ไม่เคยหันหน้ากลับมา
ตรงไหล่เขามีศาลาอาคารนานาชนิดตั้งอยู่ ล้วนเก่าแก่ผ่านกาลเวลายาวนาน ตอนนี้มีผู้ฝึกปราณมากมายอ้อยอิ่งอยู่ในที่นั่น บ้างนั่งบ้างยืน
ส่วนบนยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไปยังมีแท่นมรรคแท่นหนึ่ง มีชั้นเมฆโอบล้อม พอจะเห็นเงาร่างบางส่วนยืนอยู่บนนั้นอย่างคลุมเครือ
ตอนพวกหลินสวินเพิ่งมาถึงไหล่เขาก็พบว่าที่นั่นมีคนไม่น้อยอยู่ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาร่วมงานชุมนุมทั้งนั้น
เพียงกวาดตาลวกๆ คราเดียว หลินสวินก็พบว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของยอดฝีมือ
คิดไปคิดมาก็สมควร หากไม่ใช่ระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อาจขึ้นเขานี้มาได้เลย
หลินสวินเสาะหาครู่หนึ่งก็ไม่พบเงาร่างเซียวชิงเหอ เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วหามุมที่อยู่ห่างไกลมุมหนึ่งนั่งลงทันที คิดจะฟังการสนทนาของทุกคนในที่นั้นก่อน
“ในบรรดาสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ปรากฏตัวกระทั่งตอนนี้ แทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อยู่ระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎทั้งนั้น พวกเขาจองหองผงาดผยอง เอาชนะยอดฝีมือยุคปัจจุบันไปไม่รู้เท่าไร ช่างน่าอับอายเสียจริง”
มีคนถอนใจ
สัตว์ประหลาดยุคโบราณปรากฏตัวอย่างโดดเด่น กดทับจนผู้กล้ายุคปัจจุบันเชิดหน้าไม่ได้ ย่อมทำให้คนเศร้าซึมอย่างเลี่ยงได้ยาก
“พวกเจ้าว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณนั้นเก่งกาจจนไร้ศัตรูต้านทานจริงหรือ ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วทำไมพวกเขาออกมาแต่ละคนถึงชนะได้ทุกครั้งล่ะ”
มีคนทุกข์ใจ
“ไร้ศัตรูต้านทานหรือ หึ! เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ในยุคปัจจุบันไม่ขาดผู้ที่สามารถประมือกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณพวกนี้ เพียงแต่ยังไม่ทันได้ลงมือเท่านั้นเอง เช่น อวิ๋นชิ่งไป๋ หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว เทพมารหลินเป็นอย่างไร มีคนไหนบ้างที่ไม่แข็งแกร่งเหลือล้น”
“เทพมารหลินหรือ พูดถึงคนผู้นี้ช่างยอดเยี่ยมนัก เมื่อหนึ่งเดือนก่อนฉู่จงเทียบปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งที่สี่ ชั่วขณะเดียวก็ไปทะเลหมากดาราหมายจะกำราบเทพมารหลิน ใครจะไปคิดว่ากลับถูกกำราบ หากไม่ใช่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาปกป้องก็เกือบสิ้นชีพแล้ว!”
คนเหล่านี้กำลังวิพากษ์วิจารณ์ ที่พูดล้วนเป็นเรื่องราวผกผันในใต้หล้า
นอกจากไหล่เขานี้ บนแท่นมรรคตรงยอดเขาก็มีหลายคนกำลังสนทนากัน คนเหล่านั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นบุคคลที่ฐานะสูงส่งหาใดเทียบทั้งนั้น
“เหตุใดพี่ฉีต้องถ่อมตัว การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เจ้าก็รับมือกับความยากลำบาก เอาชนะคู่ต่อสู้มากมาย พุ่งกวาดเหล่าผู้กล้า พาตัวเองไปอยู่ในสิบอันดับแรก เรียกได้ว่าผลงานการต่อสู้น่าทึ่ง” ที่แท่นมรรคบนยอดเขา หญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยปาก เจือด้วยน้ำเสียงนับถือ
บนแท่นมรรค ชายหนุ่มชุดสีฟ้าผู้หนึ่งนั่งบนเบาะรองนั่ง สีหน้าสุขุมเรียบเฉยเอ่ยว่า “ก็เพียงอันดับสิบเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”
หลายคนแสดงสีหน้าทอดถอนใจ จำฐานะของชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ได้ เขาก็คือฉีชงโต้ว ผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา กิตติศัพท์เลื่องระบือ เป็นยอดมกุฎรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณที่ไหล่เขาบางคนก็ล้วนมีสีหน้าตั้งใจฟัง ท่าทางยำเกรง เสียงพูดเบาลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าฐานะของผู้แข็งแกร่งบนแท่นมรรคเหล่านั้นไม่ธรรมดานัก
หลินสวินมองไป เพียงรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดฟ้าคนนั้นคุ้นตามาก ไม่นานก็นึกฐานะของฉีชงโต้วออก เขาก็คือศิษย์พี่ของเซียวชิงเหอ อันดับบนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็น่าชื่นชม
“เจ้ารู้จักเจ้าหมอนั่นหรือ” เจ้าคางคกเอ่ยถาม
“เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดคุยกัน” หลินสวินพูด
ข้างกันมีคนได้ยินการสนทนาของพวกเขา พลันอดไม่ได้ที่จะยิ้มหยัน “แค่เคยเห็นหน้าเท่านั้น น่าโอ้อวดนักหรือไง ยังโม้ออกมาได้ไม่อายปาก ไม่กลัวคนอื่นเห็นเป็นตัวตลกหรือ”
——
Comments