Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1146 กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะเทพ
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยซากศพเศษชิ้นส่วนทุกแห่งหน เลือดสีสดแสบตา
จู่ๆ ในอากาศก็อัดแน่นด้วยไอสังหารที่ชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดรุนแรงฉุนจมูก
ภาพนองเลือดแต่ละฉาก ราวกับภาพนรกที่วาดด้วยหมึกดำมากมาย
ส่วนหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็ประหนึ่งเทพสังหารสามองค์ที่อยู่ในภาพนรก ห่อหุ้มด้วยคาวเลือดและไอสังหาร ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“เพราะเหตุใด นี่มันที่บ้าบออะไรกัน!”
อูหลิงเฟยและผู้แข็งแกร่งที่เหลือยังคงคำรามอย่างเดือดดาล แต่ประตูตำหนักไม่ถูกสะเทือนแม้สักนิด
“นี่คือดินแดนแห่งศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเผาเซียน เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ ได้ตายที่นี่พวกเจ้าควรรู้สึกโชคดีอย่างมากถึงจะถูก”
เจ้าคางคกยิ้ม ในดวงตาสีทองกลับเย็นเยียบอย่างที่สุด
เขาไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกือบสิ้นชีพก่อนหน้านี้หรอกนะ!
เผาเซียน?
ใครกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เซียน’
สีหน้าของพวกอูหลิงเฟยเปลี่ยนไป แม้แต่หัวใจยังสั่นไหว
กระทั่งหลินสวินกับอาหลู่ยังอึ้งเล็กน้อย เผาเซียนหรือ
สรรพนามนี้เผด็จการอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังที่สะเทือนใจคน!
“ทั้งสามท่าน ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคร้าย ยินยอมชดเชยอย่างสาสมเพื่อแลกชีวิต ปล่อยพวกข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”
ชายคนที่ผิวพรรณเปล่งประกายสีเขียวอ่อน บนแก้มประทับรอยสักดอกไม้อสูรแปลกประหลาดสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พูดเสียงขรึมขึ้นมา
นี่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่งในเผ่าไพรปฐพี
“เป็นไปไม่ได้!”
เจ้าคางคกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แม้รู้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเจ้าคางคกก็ยังทำให้พวกอูหลิงเฟยหัวใจดิ่งวูบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็สู้กันให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!”
จู่ๆ ชายเผ่าไพรปฐพีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในฝ่ามือปรากฏโคมไฟที่สานจากเถาวัลย์สีเหลืองแปลกประหลาด
ทันทีที่ปรากฏ โคมไฟเถาวัลย์เหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางนี่ก็แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ในโคมไฟเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม ราวกับมีเทพไท้ควบคุม!
สมบัติอริยะ!
หลินสวินกับอาหลู่นัยน์ตาหดรัด
แต่เจ้าคางคกกลับยิ้ม มุมปากเผยองศายากจะคาดเดา “เจ้าโง่ ก่อนมาผู้อาวุโสของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า อริยะไม่อยู่ในแดนมกุฎ”
เขาเอามือไพล่หลัง ดูใจเย็นมาก ในสายตาที่จ้องโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนั่นแฝงความเสียดายและทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
แดนมกุฎ ไม่มีอริยะเทพ!
นี่คือกฎเหล็ก
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้นล้วนมาจากมหาสำนัก ก่อนมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยได้ยิน ‘กฎเหล็ก’ ขั้นสูงเช่นนี้
“จะตายอยู่แล้ว ไม่สู้สักหน่อยจะจำยอมได้อย่างไร”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีสีหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
“งั้นเจ้าสู้เถอะ”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ แฝงความสงสารเสี้ยวหนึ่ง
สายตานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีทนไม่ไหวทันที เขาส่งเสียงตะโกน จู่ๆ อานุภาพรอบตัวก็ยกระดับขึ้นจนถึงขีดสุด
และในมือเขา โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางก็เปล่งแสงสว่างไสว
โครม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน โคมไฟอันหนึ่งกลับเหมือนจะจุดประกายฟ้าดินโดยรอบ
พวกอูหลิงเฟยต่างถอยหนี สีหน้าอึมครึมสับสน
ห่างออกไปเจ้าคางคกสุขุมเยือกเย็น เพียงแต่สื่อจิตถึงหลินสวินกับอาหลู่ ‘แดนมกุฎไม่มีอริยะ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นอายอริยะ เมื่อใช้ล้วนถูกลบล้าง! ในสมัยบรรพกาลเคยเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว’
ระหว่างที่พูดผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีนั่นโจมตีออกมาแล้ว โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองปลดปล่อยเพลิงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งออกมา ขับให้สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดและดุดันเป็นพิเศษ
แน่อนอนว่าเขาเองก็รู้กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะ มิฉะนั้นคงใช้สมบัติอริยะต่อสู้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รอมาถึงตอนนี้
แต่ตอนนี้เขาจนหนทางแล้ว กลายเป็นหมาจนตรอก ฝากความหวังทั้งหมดบนสมบัติอริยะในมือ ในใจรู้สึกโชคดี
ถ้า… ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ล่ะ?
หมาจนตรอกยังกระโดดข้ามกำแพงไปได้อย่างไม่คาดคิด แล้วนับประสาอะไรกับคน
ครืน!
เพียงแต่ไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
ทันทีที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นปรากฏ ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ พลังกฎระเบียบไร้รูปสายหนึ่งก็พลุ่งพล่านขึ้นในอากาศกะทันหัน
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างหยุดหายใจ ในใจหวาดกลัว ทั้งยังมีความรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงกราบกับพื้น!
เหตุผลอยู่ที่ว่าพลังกฎระเบียบนี้สูงส่งและไร้เทียมทานเกินไป น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เผชิญหน้ากับมันก็เหมือนมดตะนอยแหงนมองเทพ!
ฉ่า!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นดับลง
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่งเสียงคำรามออกมา กระตุ้นโคมไฟเถาวัลย์เหลืองเต็มกำลัง
เพียงแต่ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึงของทุกคน สมบัติอริยะที่มีอานุภาพเทียมฟ้าและที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนกระดาษที่แสนเปราะบาง
จากนั้นก็แปรเป็นละอองแสงศักดิ์สิทธิ์งดงาม
สุดท้ายเหมือนมีฝ่ามือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งลูบในอากาศ ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ไม่มีการปะทะที่ดุเดือดสะเทือนฟ้าดิน และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะดิ้นรนใดๆ
อยู่เบื้องหน้าพลังกฎระเบียบที่ไร้รูปนั่น สมบัติอริยะที่เพียงพอจะสยบโลกชิ้นหนึ่งได้ถูกทำลายไปเช่นนี้!
ทุกคนหนาวสะท้านไปทั้งร่างราวกับร่วงลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
นี่เป็นพลังกฎระเบียบที่ไร้ที่เปรียบและน่ากลัวเพียงใด
นั่นเป็นถึงสมบัติอริยะ!
ถูกลบหายจนหมดจดไปง่ายๆ เช่นนี้ แม้แต่กลิ่นอายและร่องรอยก็ยังไม่หลงเหลือสักเสี้ยว!
“ไม่…!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีส่งเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกฟ้าผ่า สมบัติอริยะชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ทำให้เขารับการกระทบกระเทือนระดับนี้ไม่ไหว ในปากพลันกระอักเลือดออกมาทันใด เงาร่างโซซัดโซเซคล้ายจะร่วงลงมา
สมบัติอริยะ!
นี่ปกติเสียที่ไหน
“เจ้าโง่ ผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าอนุญาตให้เจ้าเอาสมบัตินี้เข้ามายังแดงมกุฎ ก็คงต้องเคยเตือนเจ้าว่า อนุญาตให้เจ้าใช้สมบัตินี้ในการเก็บวัตถุดิบเทพและวาสนาเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดมากว่าความโง่ของเจ้าทำให้สมบัติอริยะชิ้นนี้ถูกทำลายแล้ว!”
น้ำเสียงของเจ้าคางคกแฝงความเย้ยหยันและมีความปวดใจอย่างหนึ่ง เขาจำที่มาของโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนี้ได้ พอเห็นว่าสมบัติอริยะระดับนี้ถูกทำลายเขาเองก็เสียดาย
ฟุ่บ!
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีกระอักเลือดคำใหญ่ ใบหน้าซีดเซียว สายตายังมืดมนไร้ประกาย
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แต่แรก เหตุใดจึงไม่เตือนข้ากับพี่ใหญ่” อาหลู่เดือดดาล
เจ้าคางคกพูดอย่างไม่เข้าใจ “ก่อนจะเข้ามาในแดนมกุฎข้าบอกพวกเจ้าหมดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้สมบัติอริยะไม่ได้เด็ดขาด!”
หลินสวินพยักหน้า เขาก็จำเรื่องนี้ได้
ถึงขั้นที่ยังจำได้ว่า เจ้าคางคกเคยบอกว่าในการแย่งชิงอำนาจของแดนมกุฎ น้อยมากที่จะมีคนเอาสมบัติอริยะเข้าไป
เพราะหากคนตายไปแล้ว สมบัติอริยะที่ทิ้งเอาไว้ก็จะถูกทำลาย!
ตอนนั้นหลินสวินยังคิดจะซ่อนเจดีย์สมบัติไร้อักษร ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต และยานขนส่งอวกาศซ่อนไว้ในโลกภายนอก
แต่หลังจากนั้นพอคิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ถึงอย่างไรหากเขาตายในแดนมกุฎ สมบัติอริยะเหล่านี้หากไม่ถูกฝัง ก็คงถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ มาเจอเข้าแล้วครอบครอง เป็นการทำให้คนอื่นได้เปรียบไปเปล่าๆ
และตอนนี้เห็นว่าโคมไฟเถาวัลย์เหลืองถูกทำลาย ก็ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่มีอริยะ’
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีราวกับรับความกระทบกระเทือนนี้ไม่ไหว ตอนนี้ได้บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง สติแตกไปแล้ว!
พรูด!
สุดท้ายเขาแหงนหน้าขึ้นกระอักเลือดคำหนึ่ง จากนั้นเบิกตากลมโต ล้มหงายหลังลงพื้น สิ้นลมอย่างสิ้นเชิง
“โกรธจนตายไปเองหรือ” อาหลู่แปลกใจ
“จิตมรรคของเขาพังทลายแล้ว คิดๆ แล้วก็จริง เผชิญกับความสิ้นหวังเช่นนี้ ง่ายต่อการกระทบกระเทือนจิตใจมากอยู่แล้ว ตอนนี้สมบัติอริยะยังถูกทำลาย ถือว่าหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพียงแต่… ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะรับความกระทบกระเทือนไม่ได้ขนาดนี้”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ “สภาพจิตใจเช่นนี้ แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีทางกลายเป็นราชันในแดนมกุฎได้”
“หยุดพูดไร้สาระ จัดการเจ้าพวกนี้ก่อนค่อยว่า”
แม้จะสนทนากันหลินสวินก็ไม่ได้ผ่อนความระแวดระวังลง ยิ่งเวลาเช่นนี้ยิ่งอันตราย ต้องระวังการโต้ตอบก่อนตายของอีกฝ่าย
ตูม!
ราวกับเป็นการยืนยันการคาดเดาของหลินสวิน เขาพูดยังไม่ทันจบอูหลิงเฟยก็โจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว
เขาแปลงเป็นอีกาทองตัวหนึ่ง ปีกแผ่เปลวเพลิงสีทองที่สว่างไสวท่วมฟ้า พุ่งสังหารเข้ามาทางหลินสวิน
เปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างรุนแรงราวกับจะเผาไหม้ทุกอย่าง!
มองจากระยะไกลเหมือนสุริยันสีทองดวงหนึ่งลุกไหม้ขึ้นในชั่วขณะนี้
นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอูหลิงเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย มีความเด็ดเดี่ยวและเหี้ยมโหดที่หมายจะเผาผลาญให้ตายไปพร้อมกัน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ที่น่าเสียดายคือหลินสวินระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีทางทำให้เขาสมปรารถนา!
ฉัวะ!
ดาบหักที่สั่งสมพลังมานานแล้วโฉบพุ่งออกมา กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้กวาดออกไป ราวกับการเปลี่ยนแปลงมหามรรคลงมาเยือน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไม่อาจคาดเดา
ฮูม
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น อีกาทองที่ยังไม่เคยสังหารมาก็ถูกเฉือนปีกข้างหนึ่ง ฝนเลือดสาดกระเซ็น
อาหลู่ที่อยู่ข้างๆ กวัดแกว่งกระบองเหล็กยักษ์ ฉวยโอกาสนี้กระแทกศีรษะของอีกาทองจนแหลก
องค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานได้จบชีวิตลงเช่นนี้!
“ฆ่า!”
คนอื่นๆ แม้จะหมดหวังแต่ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมนอนรอความตาย ส่งเสียงตะโกนพร้อมพุ่งปราดขึ้นมา
เพียงแต่นี่ถูกกำหนดให้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ฟุ่บ!
ชายในชุดคลุมเงินถูกหลินสวินชิงสังหารไปก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างกายถูกเฉือนเป็นสองท่อนล้มลงบนพื้น เลือดสดไหลพรู
ร่างเดิมของเขาปรากฏออกมา เป็นนกเสวียนสีเงินตัวหนึ่ง
และในเวลาเดียวกันอีกด้านมีเสียงกึกก้องไม่หยุด เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกำลังสำแดงฤทธิ์เดช ทั้งสองร่วมมือกัน มีท่าทีว่าจะกวาดล้างทุกอย่าง
ไม่นานก็มีคู่ต่อสู้อีกคนถูกฆ่า ร่างกายถูกตีจนระเบิด ฝนเลือดปลิวว่อน
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน เจ้าคางคก หรืออาหลู่ ล้วนไม่มีทางออมมือ
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกปิดล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สั่งสมความแค้นจนเต็มอกมานานแล้ว จะยอมออมมือได้อย่างไร
เพียงแค่ชั่วขณะห้าคนที่เหลือก็ถูกพวกหลินสวินร่วมแรงกันโจมตีสังหาร เลือดกระเด็นเต็มพื้น ก่อนตายแต่ละคนล้วนแฝงความไม่จำยอมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่ยังไม่จบ!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังมีคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยถูกโจมตีจนหมดสติไป สูญเสียพลังต่อสู้แต่กลับยังไม่ตาย
ไม่รอหลินสวินออกคำสั่ง อาหลู่และเจ้าคางคกก็เคลื่อนไหวตรวจสอบสนามรบ สังหารคู่ต่อสู้ที่ยังเหลือรอดเหล่านั้น
หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตานิ่งสงบ ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
เขารู้ว่าอาหลู่และเจ้าคางคกต้องการระบาย ก่อนหน้านี้ทั้งสองถูกปิดล้อม เผชิญกับความสิ้นหวัง ในใจสั่งสมความเคียดแค้นไม่น้อย
และพอเห็นเลือดที่นองเต็มพื้น ในใจหลินสวินเองก็มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้ามาในตำหนักเพลิงเทพนี้ ล้วนก้าวเดินบนมกุฎมรรคาแล้ว ถูกขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคนฝากความหวังเอาไว้ มีความหวังที่จะทะลวงสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน
ในโลกภายนอกพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะเทือนฝั่งหนึ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยการตายของพวกเขา ทุกอย่างที่มีก่อนตายล้วนถูกกำหนดให้ไม่คงอยู่
นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรค โหดร้ายมาก!
หลินสวินรู้ดี หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่ถูกฆ่าวันนี้ ไม่ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีชื่อเสียงและความหวังมากเพียงใด ตายไปก็ต้องมลายหายไปทั้งหมด
เรื่องในทำนองนี้ ในอนาคตจะยังเกิดขึ้นอีก!
……………………….
Comments
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1146 กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะเทพ
ภายในตำหนักเต็มไปด้วยซากศพเศษชิ้นส่วนทุกแห่งหน เลือดสีสดแสบตา
จู่ๆ ในอากาศก็อัดแน่นด้วยไอสังหารที่ชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดรุนแรงฉุนจมูก
ภาพนองเลือดแต่ละฉาก ราวกับภาพนรกที่วาดด้วยหมึกดำมากมาย
ส่วนหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็ประหนึ่งเทพสังหารสามองค์ที่อยู่ในภาพนรก ห่อหุ้มด้วยคาวเลือดและไอสังหาร ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน
“เพราะเหตุใด นี่มันที่บ้าบออะไรกัน!”
อูหลิงเฟยและผู้แข็งแกร่งที่เหลือยังคงคำรามอย่างเดือดดาล แต่ประตูตำหนักไม่ถูกสะเทือนแม้สักนิด
“นี่คือดินแดนแห่งศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเผาเซียน เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ ได้ตายที่นี่พวกเจ้าควรรู้สึกโชคดีอย่างมากถึงจะถูก”
เจ้าคางคกยิ้ม ในดวงตาสีทองกลับเย็นเยียบอย่างที่สุด
เขาไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกือบสิ้นชีพก่อนหน้านี้หรอกนะ!
เผาเซียน?
ใครกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เซียน’
สีหน้าของพวกอูหลิงเฟยเปลี่ยนไป แม้แต่หัวใจยังสั่นไหว
กระทั่งหลินสวินกับอาหลู่ยังอึ้งเล็กน้อย เผาเซียนหรือ
สรรพนามนี้เผด็จการอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังที่สะเทือนใจคน!
“ทั้งสามท่าน ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคร้าย ยินยอมชดเชยอย่างสาสมเพื่อแลกชีวิต ปล่อยพวกข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”
ชายคนที่ผิวพรรณเปล่งประกายสีเขียวอ่อน บนแก้มประทับรอยสักดอกไม้อสูรแปลกประหลาดสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พูดเสียงขรึมขึ้นมา
นี่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่งในเผ่าไพรปฐพี
“เป็นไปไม่ได้!”
เจ้าคางคกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
แม้รู้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเจ้าคางคกก็ยังทำให้พวกอูหลิงเฟยหัวใจดิ่งวูบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็สู้กันให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!”
จู่ๆ ชายเผ่าไพรปฐพีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในฝ่ามือปรากฏโคมไฟที่สานจากเถาวัลย์สีเหลืองแปลกประหลาด
ทันทีที่ปรากฏ โคมไฟเถาวัลย์เหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางนี่ก็แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ในโคมไฟเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม ราวกับมีเทพไท้ควบคุม!
สมบัติอริยะ!
หลินสวินกับอาหลู่นัยน์ตาหดรัด
แต่เจ้าคางคกกลับยิ้ม มุมปากเผยองศายากจะคาดเดา “เจ้าโง่ ก่อนมาผู้อาวุโสของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า อริยะไม่อยู่ในแดนมกุฎ”
เขาเอามือไพล่หลัง ดูใจเย็นมาก ในสายตาที่จ้องโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนั่นแฝงความเสียดายและทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
แดนมกุฎ ไม่มีอริยะเทพ!
นี่คือกฎเหล็ก
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้นล้วนมาจากมหาสำนัก ก่อนมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยได้ยิน ‘กฎเหล็ก’ ขั้นสูงเช่นนี้
“จะตายอยู่แล้ว ไม่สู้สักหน่อยจะจำยอมได้อย่างไร”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีสีหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
“งั้นเจ้าสู้เถอะ”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ แฝงความสงสารเสี้ยวหนึ่ง
สายตานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีทนไม่ไหวทันที เขาส่งเสียงตะโกน จู่ๆ อานุภาพรอบตัวก็ยกระดับขึ้นจนถึงขีดสุด
และในมือเขา โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางก็เปล่งแสงสว่างไสว
โครม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน โคมไฟอันหนึ่งกลับเหมือนจะจุดประกายฟ้าดินโดยรอบ
พวกอูหลิงเฟยต่างถอยหนี สีหน้าอึมครึมสับสน
ห่างออกไปเจ้าคางคกสุขุมเยือกเย็น เพียงแต่สื่อจิตถึงหลินสวินกับอาหลู่ ‘แดนมกุฎไม่มีอริยะ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นอายอริยะ เมื่อใช้ล้วนถูกลบล้าง! ในสมัยบรรพกาลเคยเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว’
ระหว่างที่พูดผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีนั่นโจมตีออกมาแล้ว โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองปลดปล่อยเพลิงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งออกมา ขับให้สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดและดุดันเป็นพิเศษ
แน่อนอนว่าเขาเองก็รู้กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะ มิฉะนั้นคงใช้สมบัติอริยะต่อสู้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รอมาถึงตอนนี้
แต่ตอนนี้เขาจนหนทางแล้ว กลายเป็นหมาจนตรอก ฝากความหวังทั้งหมดบนสมบัติอริยะในมือ ในใจรู้สึกโชคดี
ถ้า… ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ล่ะ?
หมาจนตรอกยังกระโดดข้ามกำแพงไปได้อย่างไม่คาดคิด แล้วนับประสาอะไรกับคน
ครืน!
เพียงแต่ไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
ทันทีที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นปรากฏ ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ พลังกฎระเบียบไร้รูปสายหนึ่งก็พลุ่งพล่านขึ้นในอากาศกะทันหัน
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างหยุดหายใจ ในใจหวาดกลัว ทั้งยังมีความรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงกราบกับพื้น!
เหตุผลอยู่ที่ว่าพลังกฎระเบียบนี้สูงส่งและไร้เทียมทานเกินไป น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เผชิญหน้ากับมันก็เหมือนมดตะนอยแหงนมองเทพ!
ฉ่า!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นดับลง
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่งเสียงคำรามออกมา กระตุ้นโคมไฟเถาวัลย์เหลืองเต็มกำลัง
เพียงแต่ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึงของทุกคน สมบัติอริยะที่มีอานุภาพเทียมฟ้าและที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนกระดาษที่แสนเปราะบาง
จากนั้นก็แปรเป็นละอองแสงศักดิ์สิทธิ์งดงาม
สุดท้ายเหมือนมีฝ่ามือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งลูบในอากาศ ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ไม่มีการปะทะที่ดุเดือดสะเทือนฟ้าดิน และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะดิ้นรนใดๆ
อยู่เบื้องหน้าพลังกฎระเบียบที่ไร้รูปนั่น สมบัติอริยะที่เพียงพอจะสยบโลกชิ้นหนึ่งได้ถูกทำลายไปเช่นนี้!
ทุกคนหนาวสะท้านไปทั้งร่างราวกับร่วงลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
นี่เป็นพลังกฎระเบียบที่ไร้ที่เปรียบและน่ากลัวเพียงใด
นั่นเป็นถึงสมบัติอริยะ!
ถูกลบหายจนหมดจดไปง่ายๆ เช่นนี้ แม้แต่กลิ่นอายและร่องรอยก็ยังไม่หลงเหลือสักเสี้ยว!
“ไม่…!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีส่งเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกฟ้าผ่า สมบัติอริยะชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ทำให้เขารับการกระทบกระเทือนระดับนี้ไม่ไหว ในปากพลันกระอักเลือดออกมาทันใด เงาร่างโซซัดโซเซคล้ายจะร่วงลงมา
สมบัติอริยะ!
นี่ปกติเสียที่ไหน
“เจ้าโง่ ผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าอนุญาตให้เจ้าเอาสมบัตินี้เข้ามายังแดงมกุฎ ก็คงต้องเคยเตือนเจ้าว่า อนุญาตให้เจ้าใช้สมบัตินี้ในการเก็บวัตถุดิบเทพและวาสนาเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดมากว่าความโง่ของเจ้าทำให้สมบัติอริยะชิ้นนี้ถูกทำลายแล้ว!”
น้ำเสียงของเจ้าคางคกแฝงความเย้ยหยันและมีความปวดใจอย่างหนึ่ง เขาจำที่มาของโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนี้ได้ พอเห็นว่าสมบัติอริยะระดับนี้ถูกทำลายเขาเองก็เสียดาย
ฟุ่บ!
ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีกระอักเลือดคำใหญ่ ใบหน้าซีดเซียว สายตายังมืดมนไร้ประกาย
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แต่แรก เหตุใดจึงไม่เตือนข้ากับพี่ใหญ่” อาหลู่เดือดดาล
เจ้าคางคกพูดอย่างไม่เข้าใจ “ก่อนจะเข้ามาในแดนมกุฎข้าบอกพวกเจ้าหมดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้สมบัติอริยะไม่ได้เด็ดขาด!”
หลินสวินพยักหน้า เขาก็จำเรื่องนี้ได้
ถึงขั้นที่ยังจำได้ว่า เจ้าคางคกเคยบอกว่าในการแย่งชิงอำนาจของแดนมกุฎ น้อยมากที่จะมีคนเอาสมบัติอริยะเข้าไป
เพราะหากคนตายไปแล้ว สมบัติอริยะที่ทิ้งเอาไว้ก็จะถูกทำลาย!
ตอนนั้นหลินสวินยังคิดจะซ่อนเจดีย์สมบัติไร้อักษร ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต และยานขนส่งอวกาศซ่อนไว้ในโลกภายนอก
แต่หลังจากนั้นพอคิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ถึงอย่างไรหากเขาตายในแดนมกุฎ สมบัติอริยะเหล่านี้หากไม่ถูกฝัง ก็คงถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ มาเจอเข้าแล้วครอบครอง เป็นการทำให้คนอื่นได้เปรียบไปเปล่าๆ
และตอนนี้เห็นว่าโคมไฟเถาวัลย์เหลืองถูกทำลาย ก็ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่มีอริยะ’
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีราวกับรับความกระทบกระเทือนนี้ไม่ไหว ตอนนี้ได้บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง สติแตกไปแล้ว!
พรูด!
สุดท้ายเขาแหงนหน้าขึ้นกระอักเลือดคำหนึ่ง จากนั้นเบิกตากลมโต ล้มหงายหลังลงพื้น สิ้นลมอย่างสิ้นเชิง
“โกรธจนตายไปเองหรือ” อาหลู่แปลกใจ
“จิตมรรคของเขาพังทลายแล้ว คิดๆ แล้วก็จริง เผชิญกับความสิ้นหวังเช่นนี้ ง่ายต่อการกระทบกระเทือนจิตใจมากอยู่แล้ว ตอนนี้สมบัติอริยะยังถูกทำลาย ถือว่าหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพียงแต่… ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะรับความกระทบกระเทือนไม่ได้ขนาดนี้”
เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ “สภาพจิตใจเช่นนี้ แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีทางกลายเป็นราชันในแดนมกุฎได้”
“หยุดพูดไร้สาระ จัดการเจ้าพวกนี้ก่อนค่อยว่า”
แม้จะสนทนากันหลินสวินก็ไม่ได้ผ่อนความระแวดระวังลง ยิ่งเวลาเช่นนี้ยิ่งอันตราย ต้องระวังการโต้ตอบก่อนตายของอีกฝ่าย
ตูม!
ราวกับเป็นการยืนยันการคาดเดาของหลินสวิน เขาพูดยังไม่ทันจบอูหลิงเฟยก็โจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว
เขาแปลงเป็นอีกาทองตัวหนึ่ง ปีกแผ่เปลวเพลิงสีทองที่สว่างไสวท่วมฟ้า พุ่งสังหารเข้ามาทางหลินสวิน
เปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างรุนแรงราวกับจะเผาไหม้ทุกอย่าง!
มองจากระยะไกลเหมือนสุริยันสีทองดวงหนึ่งลุกไหม้ขึ้นในชั่วขณะนี้
นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอูหลิงเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย มีความเด็ดเดี่ยวและเหี้ยมโหดที่หมายจะเผาผลาญให้ตายไปพร้อมกัน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ที่น่าเสียดายคือหลินสวินระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีทางทำให้เขาสมปรารถนา!
ฉัวะ!
ดาบหักที่สั่งสมพลังมานานแล้วโฉบพุ่งออกมา กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้กวาดออกไป ราวกับการเปลี่ยนแปลงมหามรรคลงมาเยือน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไม่อาจคาดเดา
ฮูม
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น อีกาทองที่ยังไม่เคยสังหารมาก็ถูกเฉือนปีกข้างหนึ่ง ฝนเลือดสาดกระเซ็น
อาหลู่ที่อยู่ข้างๆ กวัดแกว่งกระบองเหล็กยักษ์ ฉวยโอกาสนี้กระแทกศีรษะของอีกาทองจนแหลก
องค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานได้จบชีวิตลงเช่นนี้!
“ฆ่า!”
คนอื่นๆ แม้จะหมดหวังแต่ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมนอนรอความตาย ส่งเสียงตะโกนพร้อมพุ่งปราดขึ้นมา
เพียงแต่นี่ถูกกำหนดให้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์
ฟุ่บ!
ชายในชุดคลุมเงินถูกหลินสวินชิงสังหารไปก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างกายถูกเฉือนเป็นสองท่อนล้มลงบนพื้น เลือดสดไหลพรู
ร่างเดิมของเขาปรากฏออกมา เป็นนกเสวียนสีเงินตัวหนึ่ง
และในเวลาเดียวกันอีกด้านมีเสียงกึกก้องไม่หยุด เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกำลังสำแดงฤทธิ์เดช ทั้งสองร่วมมือกัน มีท่าทีว่าจะกวาดล้างทุกอย่าง
ไม่นานก็มีคู่ต่อสู้อีกคนถูกฆ่า ร่างกายถูกตีจนระเบิด ฝนเลือดปลิวว่อน
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน เจ้าคางคก หรืออาหลู่ ล้วนไม่มีทางออมมือ
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกปิดล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สั่งสมความแค้นจนเต็มอกมานานแล้ว จะยอมออมมือได้อย่างไร
เพียงแค่ชั่วขณะห้าคนที่เหลือก็ถูกพวกหลินสวินร่วมแรงกันโจมตีสังหาร เลือดกระเด็นเต็มพื้น ก่อนตายแต่ละคนล้วนแฝงความไม่จำยอมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่นี่ยังไม่จบ!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังมีคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยถูกโจมตีจนหมดสติไป สูญเสียพลังต่อสู้แต่กลับยังไม่ตาย
ไม่รอหลินสวินออกคำสั่ง อาหลู่และเจ้าคางคกก็เคลื่อนไหวตรวจสอบสนามรบ สังหารคู่ต่อสู้ที่ยังเหลือรอดเหล่านั้น
หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตานิ่งสงบ ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง
เขารู้ว่าอาหลู่และเจ้าคางคกต้องการระบาย ก่อนหน้านี้ทั้งสองถูกปิดล้อม เผชิญกับความสิ้นหวัง ในใจสั่งสมความเคียดแค้นไม่น้อย
และพอเห็นเลือดที่นองเต็มพื้น ในใจหลินสวินเองก็มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้ามาในตำหนักเพลิงเทพนี้ ล้วนก้าวเดินบนมกุฎมรรคาแล้ว ถูกขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคนฝากความหวังเอาไว้ มีความหวังที่จะทะลวงสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน
ในโลกภายนอกพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะเทือนฝั่งหนึ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยการตายของพวกเขา ทุกอย่างที่มีก่อนตายล้วนถูกกำหนดให้ไม่คงอยู่
นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรค โหดร้ายมาก!
หลินสวินรู้ดี หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่ถูกฆ่าวันนี้ ไม่ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีชื่อเสียงและความหวังมากเพียงใด ตายไปก็ต้องมลายหายไปทั้งหมด
เรื่องในทำนองนี้ ในอนาคตจะยังเกิดขึ้นอีก!
……………………….
Comments