Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1204 แหวนทองแดง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1204 แหวนทองแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงถอนหายใจที่ราวกับพึมพำดังขึ้นอย่างเลือนราง วนเวียนอยู่ในใจของทุกคนไม่เสื่อมคลาย พาให้อารมณ์ดิ่งวูบ

นาง…

เป็นใคร

เงยหน้าขึ้นมองกลับพบว่าหมอกโลหิตคละคลุ้ง กองกระดูกที่สูงเป็นเนินและเงาร่างไร้หัวในชุดสีเลือดนั่นหายไปนานแล้ว

“พวกเจ้าไปหมดแล้ว ใครจะจำข้าอู๋ยางได้?”

จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงคำพูดของเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ของเซียนผลาญเฉินหลินคง ยามอยู่ที่หุบเขาผลาญสวรรค์ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

‘คราวนั้นตอนที่กลุ่มพวกเราออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเป็นห่วงว่าการไปครั้งนี้จะมีอันตราย เป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงทิ้งมรดกวิชาและศุภโชคไว้ที่นี่เพื่อสืบทอดพลัง แม้พวกข้าสิ้นชีพในต่างแดน การสืบทอดก็จะไม่ขาดหาย…’

นี่คือคำพูดเดิมของเฉินหลินคง

ตอนนี้ได้ยินคำพูดของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘อู๋ยาง’ ในใจหลินสวินอดมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาไม่ได้

‘พวกเจ้า’ หมายถึงผู้แข็งแกร่งในกลุ่มของเฉินหลินคงที่ไปจากดินแดนรกร้างโบราณหรือไม่

“อู๋ยาง! จวนเทพขุมทมิฬของข้าเคยมีบันทึก สมัยบรรพกาลเคยมีจักรพรรดิสงครามอู๋ยางที่พรสวรรค์โดดเด่น เบื้องบนทะยานเก้าสวรรค์ เบื้องล่างรบสยบเก้านรก เป็นหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คนในรุ่นเดียวกันล้วนมืดมนอับแสง!”

ทันใดนั้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงร้องเสียงหลง เอ่ยพูดเรื่องลับบรรพกาลออกมา

จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง!

ทุกคนต่างสะท้านไหว ในใจสั่นสะเทือน หรือหญิงไร้หัวชุดเปื้อนเลือดเมื่อครู่นั่น คือจักรพรรดิสงครามคนหนึ่งในสมัยบรรพกาล?

คนที่ถูกขนานนามว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ไม่มีใครไม่ใช่บุคคลเทียมฟ้าที่สามารถกดข่มยุคสมัยหนึ่งเอาไว้ได้!

ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ได้ชื่อว่าผู้คุมอำนาจในระยะเวลาหนึ่ง เดิมก็เหมือนเป็นดั่งตำนานอยู่แล้ว เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตะลึง

“แต่… นางปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ทั้งยัง… หัวขาดด้วย”

โม่เทียนเหอสูดหายใจเย็น

ทุกคนล้วนสะท้านใจ จริงด้วย จักรพรรดิสงครามคนหนึ่งเหตุใดถึงหัวขาดได้

ไม่มีใครรู้

แต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ ทำให้ทุกคนยิ่งตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดและอัปมงคลของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนี่ ความลับที่ซ่อนอยู่ในนี้ เปิดเผยออกมาเพียงมุมเดียวเท่านั้นก็เรียกได้ว่าตะลึงโลกแล้ว!

ยานสำเภามุ่งหน้าต่อ หมอกหนาทึบ คลุมเครือราวกับปกคลุมมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เต็มไปด้วยปริศนา

ไม่มีใครสังเกตว่าตรงท้ายยานสำเภามีเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น สวมชุดกระโปรงเปื้อนเลือด เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนรางอยู่ในหมอกสีเลือด พร่าเลือนราวกับภาพมายา

หลินสวินคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อดหันมองไม่ได้

แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย เงาร่างนั่นนั่งอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่ในครรลองสายตาของเขากลับว่างเปล่า!

จนกระทั่งถึงฝั่งตรงข้าม ระหว่างทางกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

หมอกโลหิตจางหายไป ปรากฏท้องฟ้าและตะวันโลหิตเก้าดวงอีกครั้ง ทุกคนต่างถอนหายใจยาวโดยไม่ได้นัดหมาย

ห่างออกไป บนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขา ยอดเขาหยัดตัวสูง

ทุกคนต่างขึ้นฝั่งอย่างไม่ลังเล อยากจะออกจากแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตและปริศนานี้ให้เร็วที่สุด

ก่อนไปข้างหูหลินสวินราวกับมีเสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

หลินสวินหันขวับไป

หมอกโลหิตหนาทึบ ก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เขามีความรู้สึกที่แรงกล้ามาโดยตลอดว่า ในส่วนลึกของหมอกโลหิตนั่นราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องตนอยู่

แต่พอสัมผัสอย่างละเอียดแล้ว กลับมีเพียงแค่หมอกโลหิตที่พลิกม้วนไม่หยุด

“เป็นอะไรไป”

จี้ซิงเหยาหันไป มองหลินสวินอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง

“ไม่มีอะไร”

หลินสวินส่ายหน้า รีบตามทุกคนไป

เพียงแต่ไม่ทันไรในใจเขาก็กระตุกวูบ เพราะบนเส้นผมข้างหูเขา ไม่รู้มีแหวนทองแดงที่เก่าคร่ำคร่ามืดมนวงหนึ่งแขวนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่

ขนาดประมาณเหรียญทองแดงเท่านั้น ดูเก่าเก็บไร้ประกาย

เหงื่อเย็นไหลซึมแผ่นหลังหลินสวิน แหวนทองแดงนี้ถูกมัดอยู่บนผมของตน แต่ตนกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!

นี่เป็นฝีมือใคร

หากอีกฝ่ายต้องการ ก็สามารถฆ่าตนตายอย่างไร้สุ้มเสียงได้เลยไม่ใช่หรือ

หลินสวินเหลือบมองพวกจี้ซิงเหยา เจิ้นอวิ๋นเฟิงอย่างไม่ทิ้งร่องรอยคราหนึ่ง กลับพบว่าพวกเขาไม่รับรู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด

ใช่นางหรือไม่

หลินสวินนึกถึงเงาร่างในชุดกระโปรงเปื้อนเลือดบนกองกระดูกขาวนั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ…

หลินสวินถือแหวนทองแดงไว้ในมือ สัมผัสคร่าวๆ กลับรับรู้ได้เพียงแค่ความเย็นเยียบถึงขั้วกระดูก นอกจากนี้ก็ไม่พบอย่างอื่นอีกเลย

ไม่นานในที่สุด ‘แสงเทพนำทาง’ ในมือของจี้ซิงเหยาก็กลับเป็นปกติ นำทางไปยังทิศทางใหม่อีกครั้ง

นี่ทำให้ทุกคนต่างโล่งอก

อยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือหลงทาง

“สหายยุทธิ์เจิ้น รบกวนเจ้าเล่าเรื่องของ ‘จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง’ ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”

หลินสวินเดินเข้าไป เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

นี่ทำให้คนอื่นๆ ต่างตะลึง พลันอดหันมองไปยังเจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ได้

ในใจพวกเขาเองก็สงสัยเช่นกัน จักรพรรดิสงครามที่เคยเป็นที่โดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งคนนี้ ปรากฏตัวกลางหมอกโลหิตที่แปลกประหลาดนั่นได้อย่างไร ทั้งยังไม่มีหัวอีกด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวังคือ เจิ้นอวิ๋นเฟิงเองก็รู้น้อยมาก รู้เพียงแค่ชื่อจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง แต่ไม่รู้เรื่องราวและที่มาของเรื่องนี้

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ บุคคลใดถูกขนานนามว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ล้วนต้องเคยเปิดมรรคาที่เป็นของตนสายหนึ่ง!”

ในสายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงแฝงความเทิดทูน “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีมรรคามากมายสืบทอดอยู่ในโลก หากย้อนไปถึงที่มา มรรคาเหล่านี้ล้วนเกิดจากเมธีใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมและความเพียรพยายามสรรสร้างขึ้นมา!”

“มรรคาบางอย่าง ดับสูญไปกับกาลเวลา”

“มรรคาบางอย่างกลับอยู่มาจนถึงปัจจุบัน อย่างจวนเทพขุมทมิฬที่พวกข้าอยู่ เรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่พวกเทพธิดาจี้อยู่ ล้วนมีมรดกวิชาพิทักษ์สำนัก”

“มรดกวิชานี้ก็คือมรรคาที่บรรพจารย์ริเริ่มสรรสร้างขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นโชควาสนาอันเนิ่นนาน ทำให้ยามที่คนรุ่นข้าก้าวสู่หนทางบำเพ็ญเพียรในคราแรก ก็ได้รับประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด ไม่ต้องกังวลว่าจะเดินผิดทาง!”

ทุกคนต่างเห็นด้วย

สีหน้าของหลินสวินกลับต่างออกไปเล็กน้อย มีทั้งความตะลึง และมีความภาคภูมิใจ

เพราะมรรคาของเขาเป็นมรรคาที่เขาเปิดทางเองเช่นกัน ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต ไม่ด้อยไปกว่าเมธีในสมัยบรรพกาลเหล่านั้น สิ่งที่ขาดก็คือการเสาะแสวงหาเข้าไปอีกขั้น

หากวันหนึ่งเขาสามารถบรรลุอริยะได้ ย่อมสามารถเปิดสำนักของตน อบรมสั่งสอนผู้คน สืบทอดวิชา ชื่อเสียงโด่งดังตลอดกาล เป็นที่เคารพนับถือ!

ไม่เดินบน ‘ทางเดินเก่า’ ของคนในอดีต คำว่า ‘ทางเดินเก่า’ นี้ เปิดขึ้นโดยบุคคลเทียมฟ้าอย่างจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง

สำหรับผู้ฝึกปราณยุคหลัง นี่เป็นมรดกที่เรียกได้ว่าล้ำค่าอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกรอบที่คอยจำกัด!

สำหรับหลินสวินแล้ว ประสบการณ์และมรดกของคนโบราณสามารถอ้างอิงและเรียนรู้ได้ แต่ถ้าอยากสร้างความสำเร็จบนมรรคาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ต้องเดินบนมรรคาของตนเอง

การเรียนรู้อ้างอิงทุกอย่างไม่ใช่เพื่อการเลียนแบบ

แต่การอ้างอิงเพื่อวิเคราะห์ ขบคิดอนุมาน เอาสติปัญญาของคนโบราณมาใช้ จึงจะมีโอกาสเหนือกว่าคนในอดีต

เลียนอย่างชีวิตข้า ตายเช่นเดียวกับข้า อย่าให้เป็นเช่นนี้

……

คนทั้งกลุ่มเดินหน้าโดยมีจี้ซิงเหยานำทาง

ระหว่างทางเจออันตรายอยู่เป็นระยะๆ แต่ล้วนถูกสลายอย่างหวุดหวิด

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหลังจากพวกเราข้ามแม่น้ำยาวหมอกโลหิตนั่น อันตรายที่เจอระหว่างทางก็น้อยลงมาก ถึงขั้นที่ไม่เคยมีเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิต”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม โม่เทียนเหอส่งเสียงอย่างแปลกใจ

ทุกคนใคร่ครวญคร่าวๆ ต่างก็ลอบพยักหน้า

“นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หากมีเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิตจริงๆ นั่นย่อมเป็นความโชคร้าย พูดได้เพียงว่าโชคของพวกเราถือว่าไม่เลว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มพูด

หลินสวินลูบแหวนทองแดงเก่าคร่ำที่อยู่ระหว่างนิ้ว คล้ายขบคิดอะไรอยู่ เป็นโชคดีจริงๆ หรือ

“ข้างหน้านี่แหละ”

ทันใดนั้นจี้ซิงเหยาที่นำทางอยู่ด้านหน้าก็เอ่ยปาก แฝงความดีใจเสี้ยวหนึ่ง

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าในบริเวณที่ห่างออกไปไกลโพ้นมีภูเขาหัวโล้นที่สูงใหญ่สองลูกตั้งตระหง่านอยู่ เหมือนผู้พิทักษ์คู่หนึ่งที่คุ้มครองฟ้าดิน

ตรงกลางเป็นหุบเขาหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยหมอกโลหิต มองสภาพการณ์ภายในได้ไม่ชัด

‘คราวก่อนข้าเจอบ่อโลหิตนรกเทพที่นี่ เจ้าคางคกที่เจ้าพูดถึงนั่นก็ถูกขังอยู่ในนั้นแหละ’

จี้ซิงเหยาสื่อจิตหาหลินสวิน

หลินสวินใจสะท้าน พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว

ทุกคนเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ สีหน้าต่างแฝงความคาดหวังเสี้ยวหนึ่ง

บ่อโลหิตนรกเทพ สถานที่ที่มีศุภโชคพลิกฟ้าถูกปิดผนึกมาเป็นเวลานาน สมัยบรรพกาลก็มีผู้แข็งแกร่งเข้ามาถึงที่นี่

แต่ทุกคนล้วนพ่ายแพ้กลับไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เห็นผลอยู่ที่ว่า ศุภโชคในที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกไม่สามารถเปิดออกได้!

แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อน ศุภโชคพลิกฟ้าที่ในอดีตถูกปิดผนึกไว้ จะปรากฏสู่โลกในมหายุคครั้งนี้!

หมอกโลหิตหนาทึบ คนทั้งกลุ่มแม้จะตื่นเต้นแต่ล้วนระมัดระวังอย่างที่สุด ยิ่งเป็นศุภโชคที่พลิกฟ้า ก็ย่อมมาพร้อมกับอันตรายที่น่ากลัว

ในบรรดาพวกเขาล้วนเป็นมกุฎราชันที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อยครั้ง ย่อมรู้ดีว่าหากต้องการศุภโชค ก็ต้องแบกรับอันตรายในนั้น!

ไม่นานบ่อน้ำแห่งหนึ่งปรากฏในสายตาของทุกคน

บ่อน้ำนี้รัศมีประมาณจั้งกว่า ผนังหินข้างบ่อมีรอยกระดำกระด่างเปื้อนเลือด เผยไอที่เย็นยะเยือกแปลกประหลาดชวนให้หวาดหวั่น

ตอนนี้เองเจิ้นอวิ๋นเฟิงเปิดม้วนภาพที่เก่าและไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่งออกมา พินิจดูคร่าวๆ แล้วยิ้มพูดว่า “ไม่ผิด ที่แห่งนี้ก็คือทางเข้า ‘แดนแห่งนรกโลหิต’!”

ฟุ่บ!

เงาร่างสีดำที่ราวกับสายฟ้าแลบสายหนึ่งพุ่งออกจากกลางหมอกโลหิตใกล้ๆ กะทันหัน ในระหว่างที่ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ก็พุ่งเข้าไปในบ่อน้ำนั้นและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

“สมควรตาย!”

ทุกคนต่างตกใจ สีหน้ามืดทะมึนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้มีคนชิงเข้าไปในบ่อโลหิตนรกเทพตัดหน้าพวกเขา

ที่น่ากลัวคือ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เลย

คนผู้นั้นเป็นใคร

มีเพียงหลินสวินที่ในดวงตาวาบแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง เขารู้สึกว่าเงาดำเมื่อครู่นี้ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง จากนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ เป็นปักษาทมิฬต้าเฮยที่ชอบแบกกระทะดำตัวนั้น!

เจ้านี่ก็มาด้วยหรือ

“จะรอช้าไม่ได้ พวกเราก็รีบลงมือกันเถอะ”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เดินขึ้นหน้าก่อน พินิจดูคร่าวๆ จากนั้นก็เรียกกระถางหยกที่แสงมรรคสีม่วงพรั่งพรูออกมาอันหนึ่ง ให้มันคุ้มกันรอบตัว แล้วจึงกระโดดเข้าไปในบ่อโลหิตนรกเทพนั้น

เห็นได้ชัดว่าเขากลัวว่าก้นบ่อจะมีอันตรายซ่อนอยู่ จึงเตรียมพร้อมไว้ก่อน

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างรีบตามเข้าไป

หลินสวินเดินอยู่ด้านหลังสุด ชั่วขณะที่เงาร่างของเขากระโดดเข้าไปในบ่อ ระหว่างนิ้วเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน

เป็นแหวนทองแดงที่เรียบง่ายและเก่าคร่ำนั่น!

เพียงแต่ตอนที่สัมผัสอย่างละเอียด แหวนทองแดงก็ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีปฏิกิริยา ยิ่งไม่มีความผิดปกติใดๆ

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้หลินสวินรู้สึกว่าแหวนวงนี้จะต้องมีความแปลกประหลาดแน่นอน!

“เร็ว ตรงนั้น!”

พวกของหลินสวินจากไปได้ไม่นาน ทางเข้าหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกปราณกลุ่มทะยานเข้ามา

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 1204 แหวนทองแดง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 1204 แหวนทองแดง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เสียงถอนหายใจที่ราวกับพึมพำดังขึ้นอย่างเลือนราง วนเวียนอยู่ในใจของทุกคนไม่เสื่อมคลาย พาให้อารมณ์ดิ่งวูบ

นาง…

เป็นใคร

เงยหน้าขึ้นมองกลับพบว่าหมอกโลหิตคละคลุ้ง กองกระดูกที่สูงเป็นเนินและเงาร่างไร้หัวในชุดสีเลือดนั่นหายไปนานแล้ว

“พวกเจ้าไปหมดแล้ว ใครจะจำข้าอู๋ยางได้?”

จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงคำพูดของเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ของเซียนผลาญเฉินหลินคง ยามอยู่ที่หุบเขาผลาญสวรรค์ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

‘คราวนั้นตอนที่กลุ่มพวกเราออกจากดินแดนรกร้างโบราณ ข้าเป็นห่วงว่าการไปครั้งนี้จะมีอันตราย เป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงทิ้งมรดกวิชาและศุภโชคไว้ที่นี่เพื่อสืบทอดพลัง แม้พวกข้าสิ้นชีพในต่างแดน การสืบทอดก็จะไม่ขาดหาย…’

นี่คือคำพูดเดิมของเฉินหลินคง

ตอนนี้ได้ยินคำพูดของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า ‘อู๋ยาง’ ในใจหลินสวินอดมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาไม่ได้

‘พวกเจ้า’ หมายถึงผู้แข็งแกร่งในกลุ่มของเฉินหลินคงที่ไปจากดินแดนรกร้างโบราณหรือไม่

“อู๋ยาง! จวนเทพขุมทมิฬของข้าเคยมีบันทึก สมัยบรรพกาลเคยมีจักรพรรดิสงครามอู๋ยางที่พรสวรรค์โดดเด่น เบื้องบนทะยานเก้าสวรรค์ เบื้องล่างรบสยบเก้านรก เป็นหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คนในรุ่นเดียวกันล้วนมืดมนอับแสง!”

ทันใดนั้นเจิ้นอวิ๋นเฟิงร้องเสียงหลง เอ่ยพูดเรื่องลับบรรพกาลออกมา

จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง!

ทุกคนต่างสะท้านไหว ในใจสั่นสะเทือน หรือหญิงไร้หัวชุดเปื้อนเลือดเมื่อครู่นั่น คือจักรพรรดิสงครามคนหนึ่งในสมัยบรรพกาล?

คนที่ถูกขนานนามว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ไม่มีใครไม่ใช่บุคคลเทียมฟ้าที่สามารถกดข่มยุคสมัยหนึ่งเอาไว้ได้!

ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ได้ชื่อว่าผู้คุมอำนาจในระยะเวลาหนึ่ง เดิมก็เหมือนเป็นดั่งตำนานอยู่แล้ว เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตะลึง

“แต่… นางปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร ทั้งยัง… หัวขาดด้วย”

โม่เทียนเหอสูดหายใจเย็น

ทุกคนล้วนสะท้านใจ จริงด้วย จักรพรรดิสงครามคนหนึ่งเหตุใดถึงหัวขาดได้

ไม่มีใครรู้

แต่หลังจากผ่านเรื่องนี้ ทำให้ทุกคนยิ่งตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดและอัปมงคลของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนี่ ความลับที่ซ่อนอยู่ในนี้ เปิดเผยออกมาเพียงมุมเดียวเท่านั้นก็เรียกได้ว่าตะลึงโลกแล้ว!

ยานสำเภามุ่งหน้าต่อ หมอกหนาทึบ คลุมเครือราวกับปกคลุมมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เต็มไปด้วยปริศนา

ไม่มีใครสังเกตว่าตรงท้ายยานสำเภามีเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น สวมชุดกระโปรงเปื้อนเลือด เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนรางอยู่ในหมอกสีเลือด พร่าเลือนราวกับภาพมายา

หลินสวินคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อดหันมองไม่ได้

แต่กลับไม่เห็นอะไรเลย เงาร่างนั่นนั่งอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่ในครรลองสายตาของเขากลับว่างเปล่า!

จนกระทั่งถึงฝั่งตรงข้าม ระหว่างทางกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

หมอกโลหิตจางหายไป ปรากฏท้องฟ้าและตะวันโลหิตเก้าดวงอีกครั้ง ทุกคนต่างถอนหายใจยาวโดยไม่ได้นัดหมาย

ห่างออกไป บนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยภูเขา ยอดเขาหยัดตัวสูง

ทุกคนต่างขึ้นฝั่งอย่างไม่ลังเล อยากจะออกจากแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตและปริศนานี้ให้เร็วที่สุด

ก่อนไปข้างหูหลินสวินราวกับมีเสียงถอนหายใจหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

หลินสวินหันขวับไป

หมอกโลหิตหนาทึบ ก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า เขามีความรู้สึกที่แรงกล้ามาโดยตลอดว่า ในส่วนลึกของหมอกโลหิตนั่นราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องตนอยู่

แต่พอสัมผัสอย่างละเอียดแล้ว กลับมีเพียงแค่หมอกโลหิตที่พลิกม้วนไม่หยุด

“เป็นอะไรไป”

จี้ซิงเหยาหันไป มองหลินสวินอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง

“ไม่มีอะไร”

หลินสวินส่ายหน้า รีบตามทุกคนไป

เพียงแต่ไม่ทันไรในใจเขาก็กระตุกวูบ เพราะบนเส้นผมข้างหูเขา ไม่รู้มีแหวนทองแดงที่เก่าคร่ำคร่ามืดมนวงหนึ่งแขวนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่

ขนาดประมาณเหรียญทองแดงเท่านั้น ดูเก่าเก็บไร้ประกาย

เหงื่อเย็นไหลซึมแผ่นหลังหลินสวิน แหวนทองแดงนี้ถูกมัดอยู่บนผมของตน แต่ตนกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!

นี่เป็นฝีมือใคร

หากอีกฝ่ายต้องการ ก็สามารถฆ่าตนตายอย่างไร้สุ้มเสียงได้เลยไม่ใช่หรือ

หลินสวินเหลือบมองพวกจี้ซิงเหยา เจิ้นอวิ๋นเฟิงอย่างไม่ทิ้งร่องรอยคราหนึ่ง กลับพบว่าพวกเขาไม่รับรู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด

ใช่นางหรือไม่

หลินสวินนึกถึงเงาร่างในชุดกระโปรงเปื้อนเลือดบนกองกระดูกขาวนั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ…

หลินสวินถือแหวนทองแดงไว้ในมือ สัมผัสคร่าวๆ กลับรับรู้ได้เพียงแค่ความเย็นเยียบถึงขั้วกระดูก นอกจากนี้ก็ไม่พบอย่างอื่นอีกเลย

ไม่นานในที่สุด ‘แสงเทพนำทาง’ ในมือของจี้ซิงเหยาก็กลับเป็นปกติ นำทางไปยังทิศทางใหม่อีกครั้ง

นี่ทำให้ทุกคนต่างโล่งอก

อยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก สิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือหลงทาง

“สหายยุทธิ์เจิ้น รบกวนเจ้าเล่าเรื่องของ ‘จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง’ ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”

หลินสวินเดินเข้าไป เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน

นี่ทำให้คนอื่นๆ ต่างตะลึง พลันอดหันมองไปยังเจิ้นอวิ๋นเฟิงไม่ได้

ในใจพวกเขาเองก็สงสัยเช่นกัน จักรพรรดิสงครามที่เคยเป็นที่โดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งคนนี้ ปรากฏตัวกลางหมอกโลหิตที่แปลกประหลาดนั่นได้อย่างไร ทั้งยังไม่มีหัวอีกด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวังคือ เจิ้นอวิ๋นเฟิงเองก็รู้น้อยมาก รู้เพียงแค่ชื่อจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง แต่ไม่รู้เรื่องราวและที่มาของเรื่องนี้

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ บุคคลใดถูกขนานนามว่า ‘จักรพรรดิสงคราม’ ล้วนต้องเคยเปิดมรรคาที่เป็นของตนสายหนึ่ง!”

ในสายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงแฝงความเทิดทูน “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีมรรคามากมายสืบทอดอยู่ในโลก หากย้อนไปถึงที่มา มรรคาเหล่านี้ล้วนเกิดจากเมธีใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมและความเพียรพยายามสรรสร้างขึ้นมา!”

“มรรคาบางอย่าง ดับสูญไปกับกาลเวลา”

“มรรคาบางอย่างกลับอยู่มาจนถึงปัจจุบัน อย่างจวนเทพขุมทมิฬที่พวกข้าอยู่ เรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่พวกเทพธิดาจี้อยู่ ล้วนมีมรดกวิชาพิทักษ์สำนัก”

“มรดกวิชานี้ก็คือมรรคาที่บรรพจารย์ริเริ่มสรรสร้างขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นโชควาสนาอันเนิ่นนาน ทำให้ยามที่คนรุ่นข้าก้าวสู่หนทางบำเพ็ญเพียรในคราแรก ก็ได้รับประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด ไม่ต้องกังวลว่าจะเดินผิดทาง!”

ทุกคนต่างเห็นด้วย

สีหน้าของหลินสวินกลับต่างออกไปเล็กน้อย มีทั้งความตะลึง และมีความภาคภูมิใจ

เพราะมรรคาของเขาเป็นมรรคาที่เขาเปิดทางเองเช่นกัน ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต ไม่ด้อยไปกว่าเมธีในสมัยบรรพกาลเหล่านั้น สิ่งที่ขาดก็คือการเสาะแสวงหาเข้าไปอีกขั้น

หากวันหนึ่งเขาสามารถบรรลุอริยะได้ ย่อมสามารถเปิดสำนักของตน อบรมสั่งสอนผู้คน สืบทอดวิชา ชื่อเสียงโด่งดังตลอดกาล เป็นที่เคารพนับถือ!

ไม่เดินบน ‘ทางเดินเก่า’ ของคนในอดีต คำว่า ‘ทางเดินเก่า’ นี้ เปิดขึ้นโดยบุคคลเทียมฟ้าอย่างจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง

สำหรับผู้ฝึกปราณยุคหลัง นี่เป็นมรดกที่เรียกได้ว่าล้ำค่าอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกรอบที่คอยจำกัด!

สำหรับหลินสวินแล้ว ประสบการณ์และมรดกของคนโบราณสามารถอ้างอิงและเรียนรู้ได้ แต่ถ้าอยากสร้างความสำเร็จบนมรรคาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ต้องเดินบนมรรคาของตนเอง

การเรียนรู้อ้างอิงทุกอย่างไม่ใช่เพื่อการเลียนแบบ

แต่การอ้างอิงเพื่อวิเคราะห์ ขบคิดอนุมาน เอาสติปัญญาของคนโบราณมาใช้ จึงจะมีโอกาสเหนือกว่าคนในอดีต

เลียนอย่างชีวิตข้า ตายเช่นเดียวกับข้า อย่าให้เป็นเช่นนี้

……

คนทั้งกลุ่มเดินหน้าโดยมีจี้ซิงเหยานำทาง

ระหว่างทางเจออันตรายอยู่เป็นระยะๆ แต่ล้วนถูกสลายอย่างหวุดหวิด

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าหลังจากพวกเราข้ามแม่น้ำยาวหมอกโลหิตนั่น อันตรายที่เจอระหว่างทางก็น้อยลงมาก ถึงขั้นที่ไม่เคยมีเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิต”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม โม่เทียนเหอส่งเสียงอย่างแปลกใจ

ทุกคนใคร่ครวญคร่าวๆ ต่างก็ลอบพยักหน้า

“นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ หากมีเคราะห์สังหารที่อันตรายถึงชีวิตจริงๆ นั่นย่อมเป็นความโชคร้าย พูดได้เพียงว่าโชคของพวกเราถือว่าไม่เลว”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มพูด

หลินสวินลูบแหวนทองแดงเก่าคร่ำที่อยู่ระหว่างนิ้ว คล้ายขบคิดอะไรอยู่ เป็นโชคดีจริงๆ หรือ

“ข้างหน้านี่แหละ”

ทันใดนั้นจี้ซิงเหยาที่นำทางอยู่ด้านหน้าก็เอ่ยปาก แฝงความดีใจเสี้ยวหนึ่ง

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าในบริเวณที่ห่างออกไปไกลโพ้นมีภูเขาหัวโล้นที่สูงใหญ่สองลูกตั้งตระหง่านอยู่ เหมือนผู้พิทักษ์คู่หนึ่งที่คุ้มครองฟ้าดิน

ตรงกลางเป็นหุบเขาหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยหมอกโลหิต มองสภาพการณ์ภายในได้ไม่ชัด

‘คราวก่อนข้าเจอบ่อโลหิตนรกเทพที่นี่ เจ้าคางคกที่เจ้าพูดถึงนั่นก็ถูกขังอยู่ในนั้นแหละ’

จี้ซิงเหยาสื่อจิตหาหลินสวิน

หลินสวินใจสะท้าน พยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว

ทุกคนเดินเข้าไปอย่างไม่รีรอ สีหน้าต่างแฝงความคาดหวังเสี้ยวหนึ่ง

บ่อโลหิตนรกเทพ สถานที่ที่มีศุภโชคพลิกฟ้าถูกปิดผนึกมาเป็นเวลานาน สมัยบรรพกาลก็มีผู้แข็งแกร่งเข้ามาถึงที่นี่

แต่ทุกคนล้วนพ่ายแพ้กลับไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เห็นผลอยู่ที่ว่า ศุภโชคในที่แห่งนี้ถูกปิดผนึกไม่สามารถเปิดออกได้!

แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง นี่เป็นมหายุคที่ไม่เคยมีมาก่อน ศุภโชคพลิกฟ้าที่ในอดีตถูกปิดผนึกไว้ จะปรากฏสู่โลกในมหายุคครั้งนี้!

หมอกโลหิตหนาทึบ คนทั้งกลุ่มแม้จะตื่นเต้นแต่ล้วนระมัดระวังอย่างที่สุด ยิ่งเป็นศุภโชคที่พลิกฟ้า ก็ย่อมมาพร้อมกับอันตรายที่น่ากลัว

ในบรรดาพวกเขาล้วนเป็นมกุฎราชันที่ผ่านการต่อสู้มานับร้อยครั้ง ย่อมรู้ดีว่าหากต้องการศุภโชค ก็ต้องแบกรับอันตรายในนั้น!

ไม่นานบ่อน้ำแห่งหนึ่งปรากฏในสายตาของทุกคน

บ่อน้ำนี้รัศมีประมาณจั้งกว่า ผนังหินข้างบ่อมีรอยกระดำกระด่างเปื้อนเลือด เผยไอที่เย็นยะเยือกแปลกประหลาดชวนให้หวาดหวั่น

ตอนนี้เองเจิ้นอวิ๋นเฟิงเปิดม้วนภาพที่เก่าและไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่งออกมา พินิจดูคร่าวๆ แล้วยิ้มพูดว่า “ไม่ผิด ที่แห่งนี้ก็คือทางเข้า ‘แดนแห่งนรกโลหิต’!”

ฟุ่บ!

เงาร่างสีดำที่ราวกับสายฟ้าแลบสายหนึ่งพุ่งออกจากกลางหมอกโลหิตใกล้ๆ กะทันหัน ในระหว่างที่ทุกคนยังไม่ทันตอบสนอง ก็พุ่งเข้าไปในบ่อน้ำนั้นและหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

“สมควรตาย!”

ทุกคนต่างตกใจ สีหน้ามืดทะมึนขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้มีคนชิงเข้าไปในบ่อโลหิตนรกเทพตัดหน้าพวกเขา

ที่น่ากลัวคือ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เลย

คนผู้นั้นเป็นใคร

มีเพียงหลินสวินที่ในดวงตาวาบแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง เขารู้สึกว่าเงาดำเมื่อครู่นี้ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง จากนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ เป็นปักษาทมิฬต้าเฮยที่ชอบแบกกระทะดำตัวนั้น!

เจ้านี่ก็มาด้วยหรือ

“จะรอช้าไม่ได้ พวกเราก็รีบลงมือกันเถอะ”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เดินขึ้นหน้าก่อน พินิจดูคร่าวๆ จากนั้นก็เรียกกระถางหยกที่แสงมรรคสีม่วงพรั่งพรูออกมาอันหนึ่ง ให้มันคุ้มกันรอบตัว แล้วจึงกระโดดเข้าไปในบ่อโลหิตนรกเทพนั้น

เห็นได้ชัดว่าเขากลัวว่าก้นบ่อจะมีอันตรายซ่อนอยู่ จึงเตรียมพร้อมไว้ก่อน

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างรีบตามเข้าไป

หลินสวินเดินอยู่ด้านหลังสุด ชั่วขณะที่เงาร่างของเขากระโดดเข้าไปในบ่อ ระหว่างนิ้วเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน

เป็นแหวนทองแดงที่เรียบง่ายและเก่าคร่ำนั่น!

เพียงแต่ตอนที่สัมผัสอย่างละเอียด แหวนทองแดงก็ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีปฏิกิริยา ยิ่งไม่มีความผิดปกติใดๆ

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้หลินสวินรู้สึกว่าแหวนวงนี้จะต้องมีความแปลกประหลาดแน่นอน!

“เร็ว ตรงนั้น!”

พวกของหลินสวินจากไปได้ไม่นาน ทางเข้าหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอกโลหิตแห่งนี้ก็มีผู้ฝึกปราณกลุ่มทะยานเข้ามา

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+