Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2530 ตำหนักเซียนใจกลาง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2530 ตำหนักเซียนใจกลาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 2530 ตำหนักเซียนใจกลาง

นั่นเป็นตำหนักเซียนแห่งหนึ่งจริงๆ ตั้งตระหง่านอยู่บนเก้าสวรรค์ อาบอยู่ในแสงเซียนพร่างพราวทั้งหลัง มีประกายศักดิ์สิทธิ์มากมายไหลลู่ลงมา

ท่ามกลางความเลือนราง คล้ายสามารถมองเห็นว่าบนตำหนักเซียนมีป้ายที่หล่อขึ้นจากทองเซียนประหลาดแขวนอยู่…

ตำหนักเซียนใจกลาง!

และบนเสาสองข้าง สลักอักษรเซียนมหามรรคที่เป็นประกายสองแถว แบ่งเป็น :

ก้มมองดารา ประหนึ่งท่องนภาคราม เคาะระฆังเหล่าเซียนรวมตัว

สูงเหนือเมฆา เชื่อมสรวงสวรรค์ ตีกลองหยกหมื่นเทพมาเยือน!

ทุกคำล้วนงดงาม พุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

แวบแรกที่เห็นตำหนักเซียนใจกลาง หลินสวินเองก็อดหัวใจสั่นไหวไม่ได้

ที่ตรงนั้นเหมือนที่พักของเหล่าเทพ เป็นสถานที่ถกมรรคของเหล่าเซียน ศักดิ์สิทธิ์เกินไปแล้ว!

“ในตำหนักเซียนใจกลางนั่น คงไม่ใช่มีขุมทรัพย์เทพชั้นยอดของยุคก่อนซ่อนอยู่กระมัง”

“ตามตำนาน ในอารยธรรมเซียนยุทธ์ของยุคก่อน ตำหนักเซียนใจกลางควบคุมสี่พันเก้าร้อยแคว้นแห่งโลกเซียน เป็นสิ่งที่สูงส่งที่สุดของมรรคเซียน คิดไม่ถึงว่าตำนานนี้ดันเป็นความจริง…”

“รีบดูเร็ว นั่นคือสมรภูมิทวยเทพหรือ”

…เสียงอุทานด้วยความตกใจระลอกหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ

หลินสวินมองไปถึงพบว่า พื้นที่รอบๆ โดยมีตำหนักเซียนใจกลางนี้เป็นศูนย์กลางปรากฏเส้นทางหินเขียวสี่สิบเก้าสาย

ปลายทางของเส้นทางหินเขียวทุกเส้น ล้วนมีลานมรรครูปกลีบดอกไม้ ลานมรรคทุกแห่งใหญ่มาก ปูด้วยหยกเทพหินเซียน อบอวลกลิ่นอายผนึกมรรคเซียนที่ลึกลับแปลกประหลาด

ตอนนี้ในลานมรรคสี่สิบเก้าแห่งนั้นมีเงาร่างมากมายยืนอยู่นานแล้ว จำนวนนับพันหมื่น

เป็นเหล่าผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่โบราณสถานทวยเทพก่อนหน้านี้นั่นเอง

ปลายทางของเส้นทางหินเขียวที่หลินสวินอยู่ มีเงาร่างหลายร้อยร่างยืนอยู่ในลานมรรค มีทั้งชายและหญิง ทั้งแก่และเด็ก พลังปราณล้วนแตกต่างกัน

ตอนนี้ทุกสายตาล้วนพินิจตำหนักเซียนใจกลางที่อยู่กลางอากาศไกลๆ นั่น เอ่ยถกวิพากษ์วิจารณ์ สีหน้าแตกต่างกันไป

หลินสวินไม่เผยสีหน้า เดินหน้าต่อไป

เขาสังเกตเห็นแล้วว่าพลังระเบียบที่กดข่มอยู่บนร่างยังไม่หายไป ซึ่งก็หมายความว่าไม่สามารถใช้พลังปราณได้

สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแค่เขาคนเดียว ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ที่อยู่ในนี้ก็เช่นเดียวกัน

ไม่เช่นนั้นพวกที่มาถึงก่อนคงพุ่งไปยังตำหนักเซียนใจกลางนั่นทันที เพื่อช่วงชิงศุภโชคในนั้น

‘นี่ก็คือสมรภูมิทวยเทพหรือ’

จนกระทั่งก้าวขึ้นลานมรรคที่อยู่ปลายทางเส้นทางหินเขียวนั่น หลินสวินก็เห็นทันทีว่าในห้วงอากาศสูงที่อยู่ไม่ไกลลานมรรคนัก สนามรบแห่งหนึ่งลอยอยู่ตรงนั้น กว้างใหญ่อย่างมาก สามารถให้มหาจักรพรรดิสองคนต่อสู้กันในนั้นได้

สามารถมองเห็นว่ามันเป็นสีทองอ่อนทั้งหมด เหมือนหล่อขึ้นจากทองเทพ ขณะเดียวกันก็สลักกฎระเบียบฟ้าดินมากมาย พื้นดินของสนามรบเป็นสีเลือดแห้งกรัง ผ่านมาหมื่นกาลก็ยังไม่เคยจางหาย น่าสยดสยองนัก

สนามรบเช่นนี้มีทั้งหมดสี่สิบเก้าแห่ง กระจายอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ไกลจากลานมรรคแต่ละแห่ง

“ในตำราโบราณของตระกูลข้าบันทึกไว้ ว่าในยุคก่อนทุกๆ แสนปีตำหนักเซียนใจกลางจะจัดศึกฟ้าเลือกสรรขึ้นหนึ่งครั้ง คนที่ได้รับชัยชนะในสมรภูมิทวยเทพ ก็จะสามารถเข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลาง ได้รับมรดกเหนือสุด”

เฒ่าชราคนหนึ่งเอ่ยพูดเสียงต่ำลึก

เกี่ยวกับตำนานนี้หลายคนคุ้นเคยดี ตามข่าวลือ คนที่สามารถเข้าร่วมศึกฟ้าเลือกสรรได้ล้วนเป็นพวกชั้นยอดที่สุดของโลกเซียน เรียกได้ว่าเป็นราชันอหังการของยุคสมัยหนึ่ง

นั่นเป็นการประลองที่แท้จริง เป็นการประชันของบุคคลชั้นยอด ว่ากันว่าเป็นศึกใหญ่ที่พร่างพราวที่สุด ดุเดือดที่สุด และรุนแรงที่สุดของโลกเซียน

ในตอนนั้น เหล่าคนไร้เทียมทาน ผู้โดดเด่นหมื่นกาล เซียนเทพทั่วทุกมุมโลก จะเข้าร่วมสมรภูมิทวยเทพนี้ เรียกได้ว่าเหล่าผู้กล้าต่อสู้อหังการ ช่วงชิงความรุ่งโรจน์

และคนที่สามารถทะลวงผ่านสมรภูมิทวยเทพออกมาได้ ก็จะเป็นบุตรฟ้าเลือกสรรของยุคนั้น สามารถเข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลาง ยิ่งสามารถยืนบนจุดสูงสุดของหมื่นกาล หลุดพ้นอย่างแท้จริง!

หลินสวินเองก็เคยได้ยินตำนานเหล่านี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ของยุคก่อน ดันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นความจริง!

“ดูท่าหากอยากไปถึงตำหนักเซียนใจกลางนั่น จะต้องผ่านการคัดเลือกและต่อสู้บนสมรภูมิทวยเทพเป็นชั้นๆ ไป” มีคนพึมพำ

ในข่าวลือ ศึกฟ้าเลือกสรรของยุคก่อนพิถีพิถันมาก

ด่านที่หนึ่งเรียกว่า ‘ครองสังเวียน’ ในลานมรรคแห่งที่สี่สิบเก้า ต่างดำเนินการต่อสู้ครองสังเวียน

ขอเพียงสามารถได้รับชัยชนะเก้าครั้งต่อเนื่องจากสมรภูมิทวยเทพ ก็จะสามารถก้าวออกไป เข้าสู่ด่านที่สอง ‘ล่าสัตว์’

เวลาของด่านครองสังเวียนคือเจ็ดวัน ภายในเจ็ดวันของศึกครองสังเวียน แม้ถูกโจมตีพ่ายแพ้ก็ยังมีโอกาสต่อสู้และเข่นฆ่าใหม่

เจ็ดวันผ่านไป ศึกครองสังเวียนก็จะจบลง

สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ขอเพียงแค่ครองสังเวียนสำเร็จ ก็จะได้รับรางวัลจำนวนมหาศาล!

และคนที่สามารถผ่านการคัดเลือกด่านแล้วด่านเล่าและเข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลางได้ในท้ายที่สุด ก็จะได้รับศุภโชคเลิศล้ำที่ซ่อนอยู่ภายใน!

คิดถึงตรงนี้หลายคนอดตื่นเต้นไม่ได้

“ข้ายังนึกว่าโบราณสถานทวยเทพนี้จะอันตรายแค่ไหน เรียกกันว่าเขตผนึกอันดับหนึ่ง มีแต่ตายไร้ทางรอด แต่ตอนนี้ดูท่าก็แค่สังเวียนศึกเท่านั้น” มีคนหัวเราะขึ้นมา

“หากเป็นเพียงแค่สังเวียนศึกก็คงดี…” มีคนเผยความกังวล

ศึกครองสังเวียนตามที่เล่าลือ นั่นไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นตาย!

นี่น่ากลัวกว่าการเผชิญอันตรายและเหตุไม่คาดฝันใดๆ ถึงอย่างไรหากหมายจะชนะเก้าครั้งติด ย่อมยากจะเลี่ยงการบาดเจ็บและล้มตาย!

และนี่ยังเป็นเพียงด่านแรกเท่านั้น ว่ากันว่าอันตรายการบาดเจ็บล้มตายของด่านที่สอง ‘ล่าสัตว์’ ยิ่งสูงกว่า

“ใครกล้ามั่นใจว่าสิ่งที่พวกเราเผชิญอยู่คือศึกฟ้าเลือกสรรของยุคก่อน ควรรู้ว่ายุคก่อนดับสิ้นไปนานแล้ว”

มีคนสงสัย

“ทันทีที่มาถึงที่นี่ก็ถอนตัวไม่ได้แล้ว ไม่ได้สังเกตหรือว่าพลังปราณของทุกคนถูกข่มและผนึกไปแล้ว นี่ก็คือกฎที่มีในศึกฟ้าเลือกสรร ไม่อนุญาตให้ใครลงมือโดยพลการ”

มีคนอธิบายเสียงเบา

“ลานมรรคสี่สิบเก้าแห่ง สมรภูมิทวยเทพสี่สิบเก้าแห่ง ศึกครองสังเวียนที่มีเวลาเจ็ดวัน… นี่ไม่ใช่หมายความว่า แค่ด่านแรกก็จะมีผู้แข็งแกร่งกว่าครึ่งถูกคัดออกหรือ”

มีคนสูดหายใจสะท้าน

หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

หลินสวินได้ยินทุกอย่างนี้ ในใจลอบคิดว่ากฎนี้นับว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลการซุ่มจู่โจมและล้อมโจมตีอะไร!

“โอ๊ะ เจ้าหมอนั่นถึงกับมารนหาที่ตายจริงๆ ด้วย!” ทันใดนั้นเสียงที่เผยความประหลาดใจดังขึ้น

หน้าลานมรรคแห่งนี้ ชายหล่อเหลาชุดเทาคนหนึ่งหมุนตัว มองมายังหลินสวินด้วยสายตาเย้าหยอก

“หลินสวิน!”

บริเวณใกล้เคียง เหล่าผู้แข็งแกร่งที่กำลังพินิจตำหนักเซียนใจกลางและสมรภูมิมวยเทพที่อยู่ไกลๆ ตอนนี้ต่างสังเกตเห็นว่าหลินสวินมาถึงแล้ว ต่างอดเผยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้เรื่องที่หลินสวินจะปรากฏตัวในโบราณสถานทวยเทพหรือไม่ กลายเป็นข้อถกเถียงมากมายในเมืองจรดฟ้า

เหตุผลเพราะเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ประกาศว่าจะสังหารหลินสวินมีมากเกินไปแล้ว ยังไม่พูดถึงศัตรูเก่าอย่างตระกูลเหวิน เหิง ลั่ว จู้พวกนั้น

เพียงแค่สี่ตระกูลตงหวงก็สามารถทำให้คนหวาดหวั่นแล้ว

นี่เป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ของน่านฟ้าที่เจ็ดเ! ไม่ว่าใครหากตกอยู่ในสถานการณ์อย่างหลินสวิน ยังจะกล้าเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพอีกได้อย่างไร!

แต่หลินสวินดันมาแล้ว!

นี่เหนือความคาดหมายของทุกคน

ตอนนี้พลังปราณของหลินสวินถูกกำราบ แน่นอนว่าต้องเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง จึงถูกหนานเทียนเจิงชายหล่อเหลาคนนั้นจำได้

“ก่อนเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพ เจ้าถามว่าข้ากล้าหรือไม่ ตอนนี้ก็บอกว่าข้ามารนหาที่ตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกเดี๋ยวตอนที่ศึกครองสังเวียนเริ่มขึ้น เจ้าอย่าขี้ขลาดตาขาวเชียว”

หลินสวินสีหน้าราบเรียบ คำพูดสบายๆ ทว่าไอสังหารเผยออกมาอย่างหมดจด

หนานเทียนเจิงอดหัวเราะเยาะไม่ได้ สายตาเย็นเยียบดุดันกับคมดาบ กล่าวว่า “เจ้าพูดเองนะ ตัดสินเพียงเป็นตาย ไม่อนุญาตให้ยอมแพ้!”

“วางใจ แม้เจ้าจะยอมแพ้ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไว้” หลินสวินสีหน้าปกติ

“หึ!”

ใกล้ๆ กันนั้นหนานหย่งเชียงแค่นเสียงขึ้นจมูก กล่าวว่า “เทียนเจิง เหตุใดต้องเปลืองน้ำลายกับคนที่กำลังจะตายอย่างเขา รอศึกครองสังเวียนเริ่มขึ้นก็เด็ดชีวิตสุนัขของเขาเป็นพอ”

ผู้ฝึกปราณตระกูลหนานจำนวนไม่น้อยที่กระจายอยู่บริเวณใกล้เคียง ตอนนี้ต่างสีหน้าเรียบเฉย สายตาที่มองไปยังหลินสวินเหมือนมองคนตายคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

นี่ทำให้คนไม่น้อยบริเวณนั้นใจสั่น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหากศึกครองสังเวียนเริ่มขึ้น หลินสวินจะต้องกลายเป็นเป้าหมายของทุกคน!

“เฒ่าสวะ คนที่เย้ยหยันผู้อื่นมักจะขายหน้าเสนอ อย่าหาว่าข้าคนแซ่หลินไม่เตือนเจ้า ศึกครองสังเวียนนี้จะเด็ดหัวเจ้าแน่”

หลินสวินยิ้ม หนานหย่งเชียงคนนี้ไม่ปกปิดไอสังหารที่มีต่อตนตั้งแต่ตอนอยู่หน้าศิลาศึกข้ามแดนแล้ว นับว่าสามารถฉวยโอกาสนี้สังหารเขาไปด้วยได้

“เจ้า…”

หนานหย่งเชียงโกรธจนหน้าเขียว ไอสังหารพลุ่งพล่าน

น่าเสียดาย ไม่มีการคุกคามให้พูดถึง พลังปราณของผู้ฝึกปราณในนี้ล้วนถูกกำราบ ทำให้เขาเองก็ทำได้เพียงแค่ถลึงตา

“หลินสวินคนนี้ปากคอเราะราย คุยโวโอ้อวดอย่างไม่กระดาก ความตายมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัว เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ลานมรรคเดียวกับเขา ไม่เช่นนั้นจะต้องสังหารเขาเป็นคนแรก!”

ทันใดนั้นเสียงที่เรียบเฉยเย็นชาดังมาจากไกลๆ

หลินสวินหันมองไป ก็เห็นบนลานมรรคแห่งหนึ่งไกลๆ ชายห้าวหาญสวมเกราะจักรพรรดิ ผมยาวสยายคนหนึ่งกำลังมองมา สีหน้าเต็มไปด้วยไอสังหาร

“นี่เป็นขยะตระกูลไหน”

หลินสวินถาม ประหลาดใจมาก เขาไม่มีความทรงจำใดๆ จริงๆ

ทุกคนมองหน้ากัน นั่นคือลี่เฟยจิ้ง มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดของตระกูลลี่ เป็นพวกร้ายกาจยิ่งยวดที่ชื่อเสียงเหนือกว่าหนานเทียนเจิงเชียวนะ!

แต่หลินสวินกลับใช้คำว่า ‘ขยะ’ ตรงๆ…

“กำเริบ!”

“บังอาจ! หลินสวิน เจ้ามันสมควรโดนฟันเป็นพันหมื่นชิ้น!”

ห่างออกไป หลายคนข้างกายลี่เฟยจิ้งก่นด่าด้วยความเดือดดาล โกรธยิ่งกว่าลี่เฟยจิ้ง

“พวกขยะ” หลินสวินโยนคำหนึ่งออกไปเบาๆ

คราวนี้ใครต่างก็ดูออก ว่าเห็นชัดว่าหลินสวินจงใจ ก็เหมือนอย่างที่เขาพูด คนที่เย้ยหยันคนอื่นมักต้องขายหน้า!

ลานมรรคมีทั้งหมดสี่สิบเก้าแห่ง ตอนนี้ผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ภายในต่างสังเกตเห็นภาพนี้ มองเห็นหลินสวิน

ผู้แข็งแกร่งที่เกลียดหลินสวินเข้ากระดูกหลายคนอดหัวเราะเยาะไม่ได้ เจ้าหมอนี่… เห็นชัดว่ายังไม่รู้สถานการณ์ของตน

ส่วนพวกที่ไม่มีความแค้นกับหลินสวิน สีหน้ากลับแตกต่างกันไป ก่อนหน้านี้อวดดีก็ช่างเถอะ แต่ร้องโวยวายในสมรภูมิทวยเทพแห่งนี้… จะไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ

หลินสวินคนนี้ไร้กลัวเกรงเหมือนในข่าวลือจริงๆ!

และมีคนเลื่อมใสความกล้าอันน่าตกใจของหลินสวิน แต่ก็ทำได้เพียงชื่นชมในใจ ไม่กล้าพูดออกเสียงด้วยกลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย

นี่เป็นถึงเป้าหมายของทุกคนเชียวนะ

ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กลับเห็นหลินสวินเอ่ยเนิบๆ

“หรือไม่ พวกเจ้าที่อยากรนหาที่ตายยกมือขึ้นให้หมด แจ้งชื่อมา ข้าจะได้จำไว้ดีหรือไม่ ไม่เช่นนั้นรอตอนที่ตายไปแล้ว ข้าจำไม่ได้หรอกนะว่าพวกเจ้าเป็นใคร”

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด