Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 2547 กระบี่ยอดเซียน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 2547 กระบี่ยอดเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ส่วนชิงเหมิ่งกับชายชุดดำสุ่ยฉางจิ้งก็เป็นอัจฉริยะที่ฉีหลิงอวิ๋นเลือก

จากคำพูดของหลิ่วเซียงเชวีย ชิงเหมิ่งกับสุ่ยฉางจิ้งต่างมาจากโลกยอดนิรันดร์ โดยเฉพาะสุ่ยฉางจิ้งยังเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจากน่านฟ้าที่หกด้วย

ทั้งสองล้วนฝึกในเมืองจรดฟ้ามาหลายสิบปี ทิ้งชื่อไว้บนกระดานเร้นลับ เป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง ถูกขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าที่เจ็ดมากมายหมายตา

แต่ทั้งสองล้วนปฏิเสธ

กระทั่งมาถึงศึกครองสังเวียนด่านแรกของโบราณสถานทวยเทพนี้ หลังจากทั้งสองทยอยได้ชัยชนะ ถึงถูกฉีหลิงอวิ๋นชวนมาอยู่ข้างกาย

การได้เข้าไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่แปด แน่นอนว่าทั้งสองยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยามปฏิบัติตัวกับฉีหลิงอวิ๋นก็ดูเคารพนบนอบมาก

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้หลินสวินจึงเข้าใจขึ้นมา ว่ากันตามจริงชิงเหมิ่งกับสุ่ยฉางจิ้งก็เป็นแค่ผู้มีความสามารถที่ฉีหลิงอวิ๋นนั่นหมายตาเท่านั้น

หลินสวินยังมีอีกเรื่องที่ไม่เข้าใจ “ด้วยฝีมือของชิงเหมิ่งนั่น มีหรือจะซัดผู้อาวุโสจนเป็นเช่นนี้ได้”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนกล่าวอยู่ด้านข้าง “ชิงเหมิ่งไม่มีความสามารถเช่นนี้ เป็นลิ่นเฟิงนั่นลงมือก่อน โจมตีท่านลุงของข้าจนบาดเจ็บสาหัสแล้วถึงให้ชิงเหมิ่งนั่นฉวยโอกาส”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนพูดถึงชิงเหมิ่งแล้วหว่างคิ้วฉายแววเกลียดชังวูบหนึ่ง “ภัยพิบัติครานี้เกิดขึ้นเพราะคนผู้นี้ชักนำมาทั้งสิ้น เขามองฐานะของข้ากับท่านลุงออก บอกว่าแค่จับตัวพวกเราก็บีบให้พี่หลินปรากฏตัวได้ ถึงตอนนั้นก็จะได้ดูว่าพี่หลินแข็งแกร่งเหมือนในข่าวลือหรือไม่กันแน่”

“เมื่อเอ่ยปากออกมาก็ดึงดูดความสนใจของฉีหลิงอวิ๋นนั่น จนกระทั่ง…”

พูดไม่ทันจบ แต่ความนัยเปิดเผยชัดเจนแล้ว

“ชิงเหมิ่งนี่อาจเป็นตัวการ แต่ฉีหลิงอวิ๋นคนนี้ก็เกี่ยวข้อง ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะข้า”

นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็นจนน่ากลัว

“พี่หลิน เจ้าอย่าไปสู้กับผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด พยายามอย่าหาเรื่องคนพวกนั้นดีกว่า” เซี่ยงเสี่ยวหยวนรีบร้อนกล่าว

“ไม่ผิด ตระกูลฉีอยู่สูงถึงน่านฟ้าที่แปด อิทธิพลยิ่งใหญ่สามารถปกคลุมน่านฟ้ามากมายในโลกยอดนิรันดร์ ตอนนี้สหายน้อยเดินทางตัวคนเดียว ไม่คุ้มที่จะไปแตกหักกับอีกฝ่ายจริงๆ” หลิ่วเซียงเชวียก็ห้ามปราม

หลินสวินพยักหน้าพลางยิ้มกล่าว “ท่านทั้งสองโปรดวางใจและรักษาบาดแผลก่อน ข้ารู้ตัวดี”

แต่ในใจคิดอย่างไรนั้น เซี่ยงเสี่ยวหยวนกับหลิ่วเซียงเชวียก็เดาไม่ออก

ในเวลาต่อมาทั้งสองเริ่มสงบจิตรักษาบาดแผล ส่วนหลินสวินก็เดินเล่นใกล้ทะเลสาบแห่งนี้

นี่เป็นวันที่สามของการล่าสัตว์แล้ว

อีกไม่กี่ชั่วยามด่านนี้ก็จะปิดฉาก

หลินสวินไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่า ยิ่งเป็นเวลานี้ การเข่นฆ่าและต่อสู้ที่เกิดขึ้นในแดนเซียนว่างเปล่านี้ยิ่งคลุ้มคลั่ง

แต่เรื่องพวกนี้ไม่ส่งผลต่อหลินสวินแล้ว

ทั้งเขายังไม่คิดจะล่าอีก มาถึงตอนนี้ แค่ผลงานการต่อสู้ที่สะสมอยู่บนป้ายยืนยันนั่นก็มีถึงสี่สิบสามสายแล้ว

กวาดสายตามองทั่วแดนเซียนว่างเปล่า เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่เทียบได้!

สิ่งเดียวที่เสียดาย อาจเป็นการที่ไม่อาจฉวยโอกาสนี้กำจัดผู้แข็งแกร่งของสองขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลกู้และตระกูลอวิ๋นได้

กาลเวลาล่วงเลย

ระหว่างนี้มีผู้ฝึกปราณที่ฆ่าคนจนตาแดงก่ำไม่น้อยผ่านมาทางนี้ เมื่อเห็นหลิ่วเซียงเชวียกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่กำลังนั่งสมาธิรักษาบาดแผล เดิมก็ท่าทีเหิมเกริม คิดจะจับเหยื่อ

แต่เมื่อเห็นเงาร่างสูงตระหง่านที่เดินเล่นริมทะเลสาบนั้นก็ขนพองสยองเกล้า หันหัวจากไปทันใด ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย กระทั่งแน่ใจว่าเงาร่างนั้นไม่ได้ตามมา พวกเขาก็รู้สึกว่าโชคดีที่รอดพ้นเคราะห์ร้ายอย่างอดไม่ได้

แดนเซียนว่างเปล่าในตอนนี้ ใครเล่าไม่รู้ผลงานที่ทั้งนองเลือดและแข็งแกร่งนั้นของหลินสวิน

พูดอย่างไม่เกินจริง ในสายตาผู้ฝึกปราณพวกนั้นคล้ายมองหลินสวินเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่ง ขอเพียงไม่โง่ก็ไม่มีสักคนยินดีไปปะทะกับหลินสวินซึ่งหน้า

นี่ก็คืออานุภาพของการบุกสังหาร

กระทั่งรัตติกาลปรากฏบนเวิ้งฟ้าของแดนเซียนว่างเปล่า ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ล้วนเป่าปากโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

นี่หมายความว่าเวลาสามวันผ่านไป การล่าสัตว์ด่านที่สองสิ้นสุดแล้ว!

“ในที่สุดก็จบแล้ว…” สายตาหลินสวินมองไปทางเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับหลิ่วเซียงเชวียพลางกล่าว “ท่านทั้งสอง ด่านที่สามศึกชิงบัลลังก์มาแล้ว ข้าคนแซ่หลินขอล่วงหน้าไปก่อน!”

เสียงเพิ่งสิ้นสุด แสงเซียนสีเงินดุจประกายดาราสายหนึ่งโน้มลงมาจากเวิ้งฟ้า ห่อหุ้มตัวหลินสวินไว้แล้วหายไปจากจุดเดิม

เงาร่างของหลิ่วเซียงเชวียกับเซี่ยงเสี่ยวหยวนก็ถูกแสงเซียนสีเงินสองสายอาบไล้ และหายลับไปในพริบตานี้เช่นกัน

ยังคงอยู่บนแท่นมรรคแห่งนั้น ร่างของหลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศ

พื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล อบอวลด้วยหมอกเซียนสีขาว แต่ที่แห่งนี้ไม่มี ‘ตำรามรรคต้นกำเนิด’ ซึ่งแผ่ออกเป็นแผนภาพแล้ว

วู้ม…

ป้ายยืนยันที่บันทึกผลงานรบมากมายในตัวเขาพุ่งออกมา สั่นสะเทือนครวญคร่ำกลางอากาศ คล้ายกำลังสัมผัสและเรียกหาอะไรบางอย่าง

หลินสวินกลั้นหายใจจดจ่อ สงบใจเฝ้ารอ

เหมือนการครองสังเวียนในด่านแรก หลังจากการล่าสัตว์ด่านสองสิ้นสุด ผู้ที่ได้ผลงานการต่อสู้สูงก็ยิ่งได้รางวัลมากมาย

ฟุ่บ!

ไม่นานแสงเซียนสีม่วงที่เจิดจรัสหาใดเปรียบสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหมอกควันขาวโพลนนั่น หมุนวนกลางอากาศแล้วเปลี่ยนเป็นกระบี่เซียนสีม่วงกระจ่างแวววาวเล่มหนึ่ง

กระบี่นี้ขนาดประมาณฝ่ามือเท่านั้น กว้างสองนิ้วมือ คมกระบี่เปล่งประกายพร่างพราวราวกับผลึก บนตัวกระบี่สลักอักษรเซียนที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามยิ่งใหญ่ไว้สองคำ…

ยอดเซียน!

แต่เมื่อมองโดยละเอียด กระบี่นี้กลับถูกผนึกมรรคเซียนลึกลับผนึกไว้เป็นชั้นๆ กระทั่งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยความเร้นลับ

หลินสวินใจกระตุกวูบ ชูมือกวักกลางอากาศ

กระบี่เซียนสีม่วงนามว่ายอดเซียนเล่มนี้ตกสู่มือหลินสวินทันใด ไอสังหารเยียบเย็นที่ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบแผ่กระจายกลางฝ่ามือหลินสวิน กร้าวแกร่งเสียดกระดูก ทำให้ร่างยของหลินสวินแข็งทื่อทันที ต้องโคจรพลังปราณจึงหักล้างสลายไอสังหารนี้ได้

นัยน์ตาดำเขาวาววาบ ตระหนักได้ว่ารางวัลครั้งนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ต้องรู้ว่ากระบี่นี้ยังอยู่ในสภาพที่ถูกผนึก ไอสังหารที่เอ่อล้นออกมากลับน่ากลัวเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่ายามปลดผนึก อานุภาพที่แท้จริงของมันจะชวนประหวั่นระดับใด!

ทว่าตอนที่หลินสวินต้องการปลดผนึกกลับพบอย่างน่าตกใจ ในผนึกมรรคเซียนแน่นหนานั้นถึงกับแฝงกลิ่นอายระเบียบเป็นเส้นริ้ว ดูลึกลับน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยพลังของเขาตอนนี้ไม่อาจหยั่งรู้นัยเร้นลับในนั้นได้อย่างสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำลาย

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้หลินสวินอัศจรรย์ใจไม่หยุด กระบี่นี้ต้องใช้พลังผนึกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายระเบียบมาผนึก มีหรือจะเป็นสิ่งที่สมบัติทั่วไปเทียบได้

‘ยอดเซียน ยอดเซียน… สมบัตินี้ปรากฏอยู่ในตำหนักเซียนใจกลาง เกรงว่าคงเป็นศาสตราเซียนชิ้นหนึ่งที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในมรรคเซียน…’

หลินสวินยังอดสงสัยไม่ได้ กระบี่ยอดเซียนที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนนี้ใช่ศาสตรามรรคอมตะหรือไม่!

‘คนอื่นเล่า พวกเขาได้รางวัลเป็นอะไร ได้สมบัติอัศจรรย์เช่นนี้หรือไม่’

หลินสวินครุ่นคิด

ความจริงแล้วหลินสวินไม่รู้ว่าผลงานการต่อสู้ที่เขาได้มาทั้งหมด อยู่สูงกว่าอันดับสองช่วงหนึ่ง กลายเป็นอันดับหนึ่งในศึกล่าสัตว์อย่างสมเกียรติ

ดังนั้นจึงได้รับกระบี่ยอดเซียนที่ถูกผนึกไว้เล่มนี้

นี่ก็คือยอดสมบัติชิ้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในตำหนักเซียนใจกลาง หากอยู่ในโลกมรรคเซียนยุคก่อน สามารถทำให้ผู้ฝึกเซียนคนใดก็ตามแย่งชิงอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ เดิมหลินสวินคิดเก็บกระบี่นี้ลงไป แต่กลับค้นพบอย่างน่าประหลาดว่ากระบี่นี้ถึงกับสร้างแรงต้านมหาศาล ไม่อาจบรรจุเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้!

เหตุการณ์นี้ยิ่งเสริมให้กระบี่นี้ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วอ้าปากสูดกลืน กระบี่นี้กลายเป็นแสงม่วงสายหนึ่งโผเข้าสู่โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ในตัวเขา

วู้ม…

เมื่อถูกพลังมหามรรคในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ห่อหุ้ม กระบี่ยอดเซียนสาดละอองแสงสีม่วงงามตระการแถบหนึ่งออกมา เหมือนประกายกระบี่ที่เฉียบคมไร้ใดเปรียบหลากสาย ดูอัศจรรย์หาใดเปรียบ

หลินสวินก็สังเกตเห็นอย่างฉับไว ว่าประทับผนึกมรรคเซียนบนกระบี่นี้มีสัญญาณว่าจะถูกหลอมอยู่รางๆ เพียงแต่เล็กน้อยหาใดเปรียบ แทบจะไม่อาจสังเกตเห็น

นี่ทำให้เขาคึกคักขึ้นมา รับรู้ว่าแค่หล่อเลี้ยงกระบี่นี้ไว้ภายใน เมื่อมรรควิถีของตนยกระดับอย่างต่อเนื่องก็จะปลดพลังผนึกบนกระบี่นี้ได้!

‘น่าสนใจ…’

ริมฝีปากหลินสวินระบายยิ้มเสี้ยวหนึ่ง

ฟุ่บ!

ครู่ต่อมาแท่นมรรคใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือน ทั้งตัวหลินสวินก็หายลับไป

ในยุคก่อน ด่านสามของศึกฟ้าเลือกสรรมีนามว่าชิงบัลลังก์

นี่ก็คือด่านสุดท้าย ขอแค่ก้าวออกจากการชิงบัลลังก์ก็เข้าสู่ตำหนักเซียนใจกลาง ได้รับมรดกปริศนาชั้นสูงภายในนั้น!

แสงขาวพุ่งวาบ หลินสวินปรากฏตัวอยู่บนที่ราบตรงไหล่เขาแห่งหนึ่ง ที่ราบกว้างใหญ่ไพศาล สามารถจุคนได้นับหมื่น เมฆเซียนลอยล่อง แสงเทพไหลวน

บนยอดเขาเหนือที่ราบกลับมีตำหนักเซียนกว้างใหญ่สูงเด่นหลังหนึ่งตั้งตระหง่าน อาบไล้ด้วยแสงมรรคไร้สิ้นสุดดุจแดนสวรรค์ในตำนาน

มองจากไกลๆ ยังทำให้คนรู้สึกเหมือนว่านั่นคือที่พำนักของทวยเทพ คือใจกลางของจักรวาลฟ้าดิน สื่อถึงความสูงส่งและไร้เทียมทาน!

ตำหนักเซียนใจกลาง!

หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออก นี่ก็คือตำหนักเซียนใจกลางที่สื่อถึงแดนมรรคเซียนชั้นสูงหนึ่งเดียวในยุคก่อนนั่น เป็นแดนราชันในใจผู้ฝึกเซียนมากมายบนแดนเซียนสี่พันเก้าร้อยแคว้น!

“หลบไปไกลหน่อย!”

“ระวัง คนร้ายกาจแซ่หลินมาแล้ว!”

บริเวณใกล้เคียงมีเสียงกระซิบดังขึ้น หลินสวินกวาดสายตามอง มีเงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายยืนอยู่บนที่ราบนี้ก่อนแล้ว

มีคนของเผ่าจักรพรรดิอมตะสองตระกูลอย่างพวกกู้ปั้นจวงกับอวิ๋นลั่วหง ทั้งมีบางคนที่ใบหน้าคุ้นเคย

หลินสวินถึงขั้นมองเห็นฉีหลิงอวิ๋นที่สวมชุดกระโปรง มือถือม้วนตำรา ลิ่นเฟิงที่สวมชุดผ้าหยาบ รวมถึงชายชุดดำสุ่ยฉางจิ้งด้วย

เมื่อเขาปรากฏตัวบนที่ราบนี้ก็ก่อให้เกิดความไม่สงบ ผู้ฝึกปราณมากมายล้วนหนีห่างตามจิตใต้สำนึก ถอยห่างจากหลินสวินไปไกล

สีหน้าของทุกคนแฝงความหวาดกลัวและเคร่งขรึม คล้ายมองหลินสวินเหมือนพิบัติใหญ่หลวง

ไม่นานหลินสวินก็มองเห็นเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับหลิ่วเซียงเชวีย เขาพยักหน้าอย่างไม่เป็นที่สังเกต ก่อนจะถอนสายตากลับไป

สถานการณ์คล้ายกับการครองสังเวียนในด่านแรก บนที่ราบนี้พลังปราณของทุกคนล้วนถูกพลังกฎระเบียบกลางฟ้าดินกำราบ ไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลินสวินคือ ผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในด่านชิงบัลลังก์นี้ สุดท้ายแล้วมีแค่สามร้อยกว่าคน

ต้องรู้ว่าในด่านแรกมีผู้ฝึกปราณเข้าร่วมเกือบสามหมื่นคน ในด่านสองก็มีมากเกือบสามพันคน

แต่สุดท้ายคนที่มาถึงด่านสามนี้กลับมีเพียงเท่านี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าในการล่าสัตว์นั้น มีบุคคลแข็งแกร่งสิ้นชีพไปสองพันกว่าคน!

นี่คือจำนวนที่น่าพรั่นพรึง คนที่สิ้นชีพไปนั้นล้วนเป็นระดับจักรพรรดิที่เคยชนะติดต่อกันเก้าครั้งในศึกครองสังเวียน!

ภายในนั้นคนที่พลังปราณอ่อนแอที่สุดคือมกุฎจักรพรรดิขั้นเจ็ด!

แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับฝังร่างอยู่ในแดนเซียนว่างเปล่านั่น…

คิดแล้วก็พาให้คนตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด