Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 302

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 302 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ความผิดพลาด
โดย

เมืองมังกรเหลือง

เพียงเดินเข้าประตูเมืองมาก็ได้ยินเสียงครึกครื้น

ถนนเส้นใหญ่เป็นระเบียบสะอาดตา มีผู้คนเดินขวักไขว่กันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงผู้คน ไม่ด้อยไปกว่าเมืองหมอกอำพรางแม้แต่น้อย

หลินสวินทำตัวราวกับนักท่องเที่ยว เดินทอดน่องชมเมืองไปเรื่อยๆ ส่วนลู่เซ่าอวิ๋นที่เป็นผู้ติดตามนั้นหน้าครึ้มสลับเขียวเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง

“น่าสนใจ” จู่ๆ หลินสวินก็รำพึงรำพันกับตัวเองแล้วเผยยิ้มบางเบา

“เจ้าว่าอะไรนะ” ลู่เซ่าอวิ๋นถาม

หลินสวินไม่ได้สนใจเขา ก้าวเดินต่อไป

ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าครึ้มสลับขาว หากทำได้ เขาไม่ลังเลเลยที่จะแล่เนื้อหลินสวินทั้งเป็น เจ้าคนนี้น่าบัดซบเป็นที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเก็บความคับแค้นเกลียดชังเอาไว้แล้วเดินตามไป

“ระวังด้วย เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว แถมยังมีบุรุษชุดแพรตามมาด้วยอีกคน”

“ให้สายลับจับตามองเป้าหมายไว้ แล้วให้คนไปสืบที่มาของบุรุษชุดแพรคนนี้ด้วย”

“จำเอาไว้ ทำงานอย่างระมัดระวังด้วย เป้าหมายเป็นบุคคลอันตราย ไม่มีคำสั่งห้ามลงมือเด็ดขาด”

ทันทีที่หลินสวินกับลู่เซ่าอวิ๋นย่างเข้ามาในเมืองหวงเฉิงก็ถูกจับตามองจากที่ลับอยู่ตลอดเวลา

โรงเตี๊ยมรวมโชค

หลินสวินเช่าห้องพักติดกันเอาไว้สองห้อง สำหรับตัวเองหนึ่งห้องและอีกห้องให้ลู่เซ่าอวิ๋น

“ข้าจะเก็บตัวฝึกปราณหลายวัน เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสงบล่ะ หากทะเล่อทะล่าออกไปวิ่งเล่นจนพิษกำเริบขึ้นมาก็รับผิดชอบตัวเองแล้วกัน” หลินสวินขู่แล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป

“ข้า” ลู่เซ่าอวิ๋นเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็มีเสียงปิดประตูใส่หน้าเสียแล้ว เขากัดริมฝีปากด้วยความคับแค้น อยากจัดการหลินสวินให้รู้แล้วรู้รอด บังอาจรังแกคนอื่นเช่นนี้ช่างสารเลวนัก จะฆ่าจะแกงอย่างไรก็ทำให้มันชัดเจนไปเลยสิ

ลู่เซ่าอวิ๋นนึกสลดใจ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ให้ตายเขาก็ไม่มีทางหาเรื่องหลินสวินหรอก แต่แน่นอนว่าเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว

“ไม่ได้ ข้าจะนั่งรอความตายอย่างนี้ไม่ได้” ลู่เซ่าอวิ๋นตัดสินใจหลังจากเดินเข้าห้องพัก เขาต้องช่วยเหลือตัวเองอย่าคิดรอให้คนสารเลวอย่างหลินสวินปรานีปล่อยเขาเด็ดขาด เขากัดฟันคว้ากระดาษและพู่กันมาเขียนบางอย่างลงไป

ลู่เซ่าอวิ๋นเป็นถึงลูกชายของลู่เทียนจ้าว ผู้จัดการอาวุโสของสำนักงานใหญ่แห่งอัครการค้าประจำนครต้องห้าม แม้จะไม่เอาการเอางาน เบ่งอำนาจอวดกร่างไปวันๆ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาพึ่งพาได้ในยามนี้ก็คือสถานะของตัวเอง

เมื่อเขียนเสร็จและปิดผนึกจดหมายเรียบร้อยแล้ว ลู่เซ่าอวิ๋นก็เดินออกมาจากห้องพัก เรียกคนงานมาสั่งการและแนบเหรียญเงินให้ไป ฝ่ายคนงานออกอาการดีใจรีบจากไปทันที

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสรรพ ลู่เซ่าอวิ๋นก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาเดินกลับไปที่ห้องพักอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะนั่งรออย่างใจเย็น

เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป

ชายชุดแพรจีนกลุ่มนึงเดินตามหลังชายชราคล้ายดาวล้อมเดือน พวกเขาเดินเข้าไปที่ห้องพักของลู่เซ่าอวิ๋นในโรงเตี๊ยมรวมโชคด้วยความรีบเร่ง

ขณะเดียวกัน ห้องของหลินสวินกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาเจ้าของ ที่มุมหนึ่งข้างกำแพงมีพื้นไม้ถูกเปิดออก ไม่นานก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นแผ่นไม้ถึงปิดลงตามเดิม หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่เห็นร่องรอยเลยแม้แต่น้อย

แสงไฟตามริมทางเปิดได้ไม่นาน กลุ่มชายชุดแพรจีนก็คุ้มกันชายชราออกมาจากโรงเตี๊ยมรวมโชค

ลู่เซ่าอวิ๋นที่อยู่ในห้องพักยิ้มย่ามใจ จิบสุราด้วยความอภิรมย์

ที่โรงชาตรงข้ามโรงเตี๊ยมรวมโชค

“ตรวจสอบได้หรือยัง” ชายรูปลักษณ์ธรรมดาสวมงอบเอ่ยถาม

“ตรวจสอบมาแล้วขอรับ ชายที่อยู่กับเป้าหมายคือลู่เซ่าอวิ๋น บิดาเป็นผู้จัดการอาวุโสของสำนักงานใหญ่แห่งอัครการค้าประจำนครต้องห้าม นามว่าลู่เทียนจ้าว”

ตรงข้ามชายหนุ่มสวมงอบเป็นชายหนุ่มร่างผอมผิวคร้ามดำ ที่ตอบคำถามด้วยเสียงเบาอย่างรวดเร็ว

“ตระกูลลู่นับว่าเป็นตระกูลมีอำนาจระดับกลางในนครต้องห้าม แต่ก็เทียบกับตระกูลเก่าแก่ไม่ได้”

“อัครการค้า ตระกูลลู่ พวกเขากล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ”

ชายสวมงอบผงะ ขมวดคิ้วพึมพำสักพักก็เอ่ยถาม “ตรวจสอบหรือยังว่าลู่เซ่าอวิ๋นมีความสัมพันธ์ธ์กับเป้าหมายอย่างไร”

“ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ขอรับ” ชายหนุ่มร่างผอมส่ายหัว

ในตอนนั้นเองชายร่างอ้วนก็เดินเข้ามาหย่อนก้นลงตรงข้ามชายสวมงอบ แล้วกล่าวว่า “หัวหน้า ตรวจสอบได้แล้วขอรับ จดหมายที่ลู่เซ่าอวิ๋นส่งออกมา คือจดหมายขอความช่วยเหลือจากหลีเทียนเป่า ผู้จัดการของอัครการค้าแห่งเมืองมังกรเหลือง”

ชายสวมงอบหรี่ตา ประกายวาบหนึ่งพาดผ่านแววตา เอ่ย “หึๆ ไม่คิดเลยว่าลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้จะใจกล้าขนาดนี้ คิดจะยืมอำนาจบิดามาช่วยเหลือเป้าหมายงั้นหรือ รนหาที่จริงๆ “

หากลู่เซ่าอวิ๋นได้ยินคงมีกระอักเลือด เขาขอความช่วยเหลือเพียงเพราะให้พวกเขามาช่วยเหลือตัวเอง ไหนเลยจะอยากช่วยหลินสวิน น่าเสียดายที่ตัวลู่เซ่าอวิ๋นไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย

และการเข้าใจที่ผิดพลาดก็บังเกิดด้วยประการฉะนี้

“หัวหน้า คนพวกนั้นออกมากันแล้ว”

ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยขึ้น ชายสวมงอบกับชายร่างอ้วนต่างหันขวับไปมองที่ประตูของโรงเตี๊ยมรวมโชค ต่อมาพวกเขาก็เห็นว่าเหล่าชายชุดแพรจีนคุ้มกันชายชราขึ้นรถม้าไป

“หัวหน้า ตาเฒ่านั่นคือหลีเทียนเป่า ผู้จัดการของอัครการค้าแห่งเมืองมังกรเหลือง” ชายร่างอ้วนตาเป็นประกาย

ตอนนี้ชายสวมงอบเชื่อสนิทใจแล้วว่าลู่เซ่าอวิ๋นจะสอดมือเข้าช่วยเป้าหมายในเรื่องนี้ เขาเห็นกับตาว่าหลีเทียนเป่าพาคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมรวมโชค หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงมีแต่ผีที่เชื่อแล้ว

“ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าคุณชายตระกูลลู่จะกล้าหาญเช่นนี้ กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเราเพื่อช่วยเหลือเป้าหมาย เก่งนัก เก่งเสียจริง” ชายหนุ่มร่างผอมแค่นยิ้ม คำพูดแปลกประหลาดนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังค่อนขอด

“เหอะ กล้าหาญหรือ ข้าว่าเขากำลังทรยศบิดา ทรยศต่อตระกูลเสียมากกว่า กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเราในยามนี้ ถึงจะเป็นอัครการค้าก็ช่วยตระกูลลู่ไม่ได้”

ชายสวมงอบสูดลมหายใจลึก ก่อนออกคำสั่ง “รวมพลกำลังทั้งหมดมาเฝ้าสังเกตการณ์ที่โรงเตี๊ยมรวมโชค แล้วจับตาดูความเคลื่อนไหวของอัครการค้าของเมืองมังกรเหลืองให้ดี ข้าต้องการรายงานกับข้อมูลโดยละเอียด”

ชายสวมงอบเอ่ยต่อหลังเงียบไปเพียงครู่ “แล้วอีกอย่าง ให้คนเข้าไปเป็นคนงานอยู่ในโรงเตี๊ยมรวมโชค ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดว่าเป้าหมายกำลังวางแผนอะไรอยู่ คิดจะยืมอำนาจจากลู่เซ่าอวิ๋นเพื่อสู้กับพวกเราอย่างนั้นหรือ อย่าแม้แต่จะคิด”

“ขอรับ” ชายหนุ่มร่างผอมกับชายร่างอ้วนตอบรับพร้อมกัน

ไม่นานชายสวมงอบก็หยัดกายลุกจากไป นำข้อมูลผนึกด้วยวิชาลับมอบต่อให้เหยี่ยวสอดแนมส่งข้อมูลออกไป

เรือนโบราณในนครต้องห้าม

ตุบ!

ฉือฉางเหมยข่มอารมณ์โกรธเกรี้ยวในแววตาไว้ไม่อยุ่ นางวาดฝ่ามือตบลงบนเอกสารตรงหน้าจนกระเด็นไป

ดวงตาสุกใสของนางคมกริบดุจใบมีด เย็นเยือกปานน้ำแข็ง ทั่วสรรพางค์มีแต่พลังอันน่ากดดัน “ภารกิจที่หมู่บ้านหลิวเขียวล้มเหลว ไม่มีสวี่เชียนจิ้งประจำการอยู่ที่นั่น พวกเจ้าก็เดินหมากไม่เป็นแล้วกระนั้นหรือ”

ผู้ช่วยโดยรอบพากันเงียบกริบ หน้าเสียกันยกใหญา

ก่อนหน้านี้เหยี่ยวสอดแนมมาส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจที่หมู่บ้านหลิวเขียว รวมถึงจอภาพบันทึกการต่อสู้ทั้งหมด

เมื่อเห็นว่าส่งกองกำลังไปมากมาย ทั้งยังมีกับดักอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังสังหารเป้าหมายไม่ได้ ทำให้ฉือฉางเหมยอดโมโหไม่ได้

ที่แย่ไปกว่านั้น การต่อสู่ในหมู่บ้านหลิวเขียว หน้าไม้ที่เป้าหมายใช้เป็นอาวุธ ก็ล้วนเป็นของตระกูลฉือ

มาวันนี้ อาวุธของตระกูลถูกนำมาใช้ทำร้ายคนของตระกูล ถือเป็นการตบหน้ากันชัดๆ

“เหมยจวิ้นจู่ ท่านไม่ได้มาร่วมในภารกิจครั้งก่อนๆ คงไม่เข้าใจสถานการณ์ ความจริงแล้ว…ภารกิจณ์ครั้งนี้ล้มเหลวก็ไม่ผิดแปลกไปจากครั้งก่อนๆ เลย ไม่ใช่ว่าการจัดการรบไม่ดี แต่เพราะว่าเป้าหมายแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก”

ใครบางคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงตะกุกตะกัก คนอื่นต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดเขา

ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนเข้าร่วมจัดกองทัพกับสวี่เชียนจิ้ง รู้เห็นว่าเป้าหมายฝ่าฟันการล้อมวงโจมตีอย่างไร แต่ฉือฉางเหมยไม่เป็นเช่นนั้น นางเพิ่งมาร่วมจัดทัพเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจเหตุการณ์จึงไม่แปลก

แม้คำพูดนั้นจะเป็นความจริง แต่ฉือฉางเหมยกลับรู้สึกฟังแล้วไม่เข้าหูนัก นางตีสีหน้าเงียบขรึม ก่อนจะแสยะยิ้มด้วยความโมโห “หากพูดเช่นนั้น พวกเจ้าคิดว่าการที่ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวเป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่”

ทุกคนรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาโดยพลัน พากันส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียง ฉือฉางเหมยที่ไม่สบอารมณ์สุดขีดอาจจะสะบัดก้นทิ้งกันได้ทุกเมื่อ พวกเขาต่างไม่อยากรับเคราะห์จากนาง

ตอนนั้นเอง องครักษ์นายหนึ่งเดินปรี่เข้ามารายงาน “ทัพหน้ารายงานมาว่า เป้าหมายปรากฏตัวที่เมืองมังกรเหลือง แต่สถานการณ์คราวนี้แปลกออกไป ข้างกายเป้าหมายมีคนชื่อลู่เซ่าอวิ๋นอยู่ด้วย…”

องครักษ์รายงานสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ฟังจบเหล่าผู้ช่วยล้วนพากันโมโหฟาดงวงฟาดงา

“ลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้บังอาจยิ่งนัก! รนหาที่ตายชัดๆ เลย!”

“ข้ารู้จักลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้ บิดาของเขาเป็นผู้จัดการของอัครการค้าจริงอย่างที่ว่า แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้เรื่อง วันๆ เอาแต่เกี้ยวสตรี เบ่งอำนาจ ข้ายังสงสัยเลยว่าเขาโดนมนตร์อะไรดลใจเข้า ถึงกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเรา”

“เหตุใดต้องสนอัครการค้าหรือตระกูลลู่นั่นด้วย ในเมื่อเด็กคนนี้เลือกจะช่วยเหลือเป้าหมายโดยไม่หวาดกลัวความตายก็ย่อมเป็นศัตรูของเรา”

ผู้ช่วยเหล่านี้ล้วนแต่มาจากตระกูลผู้มีอำนาจของนครต้องห้าม หากพูดถึงสถานะอาจจะสูงศักดิ์กว่าลู่เซ่าอวิ๋นด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่สนใจลู่เซ่าอวิ๋นแม้แต่น้อย

เมื่อรู้ว่าลู่เซ่าอวิ๋นเสียสติคิดช่วยเหลือหลินสวิน พวกเขาจึงโมโหเป็นอย่างมาก

เวลานี้พวกเขาทำอะไรหลินสวินไม่ได้ แต่หากคิดจะจัดการลู่เซ่าอวิ๋นก็ง่ายนิดเดียว

หากลู่เซ่าอวิ๋นรับรู้เรื่องเหล่านี้จะมีท่าทียังไงหนอ จะร้องไห้หรือโมโหจนสิ้นใจกันแน่

“ถ่ายทอดคำสั่งจากข้าส่งถึงตระกูลลู่ ไปถามพวกเขาว่าเป็นความคิดของลู่เซ่าอวิ๋นคนเดียวหรือว่าพวกเขาคอยชักนำอยู่เบื้องหลัง ความอดทนของข้ามีจำกัด ให้พวกเขารีบให้คำตอบที่ชัดเจนตอบกับข้าโดยเร็วที่สุด!” หลังจากใคร่ครวญสักพักแล้ว ฉือฉางเหมยที่ยามนี้นิ่งสงบลงมากก็ออกประกาศิต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด