Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 401 ระดับ ค. ห้องเก้า

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 401 ระดับ ค. ห้องเก้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 401 ระดับ ค. ห้องเก้า
โดย

เสิ่นทั่วกล่าวเสริม “ทุกปีสำนักศึกษาจะจัดการประลองใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วใช้สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงรายชื่อที่อยู่ในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ แต่ลำดับบนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ส่วนใหญ่ถูกยึดครองด้วยยอดฝีมือจากสาขายุทธ์วิถี”

หลินสวินครุ่นคิด นี่เป็นเรื่องปกติ ศิษย์สาขามังกรเร้นย่อมไม่มีทางสู้กับยอดฝีมือของสาขายุทธ์วิถีได้อยู่แล้ว

ส่วนศิษย์สาขายอดยุทธศาสตร์นั้น ทุกคนต่างมีปราณระดับหยั่งสัจจะ ล้ำเกินขอบเขตของระดับมหาสมุทรวิญญาณแต่แรกแล้ว ย่อมไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมได้

“ด้วยฐานะของข้าในตอนนี้ สามารถเข้าร่วมการประลองใหญ่เช่นนี้ได้หรือไม่” หลินสวินพลันถามขึ้น

เสิ่นทั่วอึ้งไป “ย่อมได้”

เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่กี่เดือนก่อนหลินสวินสามารถเอาชนะฮวาอู๋โยวได้ในการโจมตีเดียว และฮวาอู๋โยวผู้นั้นก็เป็นศิษย์คนหนึ่งในสาขายุทธ์วิถี!

เมื่อคิดคำนวณเช่นนี้ เพียงอาศัยความสามารถในการต่อสู้ของหลินสวินตอนนี้ ดูท่า…จะสามารถแย่งอันดับบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณได้แล้วกระมัง

คิดถึงตรงนี้ขนาดเสิ่นทั่วยังอดพึมพำในใจออกมาไม่ได้ว่าวิปริต ในศาสตร์การสลักรอยวิญญาณก็แสดงให้เห็นพรสวรรค์ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว แต่หลินสวินผู้นี้ในด้านการฝึกยุทธ์ฝึกปราณก็ไม่ดูด้อยไปกว่ากัน ล้วนเรียกได้ว่าสะดุดตาโดดเด่นเหนือธรรมดา

คนร้ายกาจชั้นนี้ สอดส่ายสายตาไปทั่วสำนักศึกษามฤคมรกต คงหาได้ไม่กี่คน!

“ไปเถอะ”

เสิ่นทั่วพาหลินสวินเดินต่อไปข้างหน้า

ไม่นานนักก็เข้าไปในหมู่สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่เสียดฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าเขียวครึ้ม สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเก่าแก่หาใดเปรียบ ประทับไปด้วยร่องรอยด่างพร้อยของกาลเวลา

เมื่อแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งสาดส่อง ก็มีกลิ่นอายเงียบสงบน่าเกรงขาม

ที่นี่ก็คือสาขาสลักวิญญาณ

เสิ่นทั่วนำหลินสวินเข้าไปยังหนึ่งในหมู่อาคารนั้นก่อน ที่นี่คือสถานที่ที่เตรียมไว้ให้อาจารย์พำนัก

ครั้งนี้สำนักศึกษามฤคมรกตย่อมใช้ความพยายามไม่น้อยเพื่อรั้งหลินสวินไว้ ที่พำนักที่จัดให้หลินสวินเป็นห้องที่กว้างขวางใหญ่โตยิ่ง ในห้องประดับประดาอย่างประณีต ทุกที่ล้วนตกแต่งขึ้นอย่างพิเศษ สิ่งของต่างๆ ที่ควรมีก็ครบถ้วน

ในห้องนั้นได้ตระเตรียมชุดสีน้ำเงินเข้มสามชุดที่อาจารย์สวมใส่ ป้ายหยกเขียวที่แทนฐานะอาจารย์สาขาสลักวิญญาณชั้นหนึ่งแผ่นหนึ่ง รวมถึงกุญแจห้องโบราณหนึ่งดอกให้หลินสวินอยู่ก่อนแล้ว

“ในป้ายหยกนี้ยังมีความลี้ลับอีกนะ สามารถใช้บันทึกแต้มที่อาจารย์ได้รับ และแต้มนั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงเอามาแลกสิ่งของอย่างอาวุธวิญญาณ ยาสมุนไพรได้ เมื่อไปยืมตำราที่หอเก็บตำราก็ยังต้องจ่ายแต้มให้”

เสิ่นทั่วอธิบาย “หรือพูดได้ว่า ยิ่งสะสมแต้มเยอะเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสะดวกสบายและผลประโยชน์ในสำนักศึกษามากขึ้นเท่านั้น”

หลินสวินพลันรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าไม่เพียงแต่ศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตเท่านั้น ขนาดอาจารย์ยังต้องแสวงหาและสะสมแต้มด้วย

นี่ทำให้หลินสวินเหม่อลอยคิดถึงค่ายกระหายเลือด ตอนที่อยู่ที่ค่ายกระหายเลือดก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ

“ในเมื่อเตรียมตัวประมาณหนึ่งแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปห้องเรียน”

เสิ่นทั่วพูดพลางพาหลินสวินที่เปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงินเข้มทั้งตัว เกล้ามวยผมไว้เหนือศีรษะเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์

“ตำแหน่งที่สำนักศึกษาจัดให้เจ้าครั้งนี้คืออาจารย์ชั้นหนึ่ง เจ้าจะรับหน้าที่สอนหนังสือห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า”

อิงตามสิ่งที่เสิ่นทั่วพูด ห้องเรียนในสาขาสลักวิญญาณนั้น แบ่งศิษย์ตามความสามารถในการสลักรอยวิญญาณที่มากน้อยแตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็นสามระดับ คือ ระดับ ก. ข. และ ค.

ห้องเรียนระดับ ก. มีขึ้นเพื่อศิษย์ที่มีคุณสมบัติเป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูง อาจารย์ที่สอนโดยทั่วไปล้วนเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ

อย่างเสิ่นทั่ว ตัวเขาเองแม้เป็นหัวหน้าอาจารย์ แต่เขายังควบสอนในห้องเรียนระดับ ก. ห้องหนึ่งอีกด้วย

ห้องเรียนระดับ ข. มีขึ้นเพื่อศิษย์ที่มีคุณสมบัติเป็นนักสลักวิญญาณชั้นกลาง

ส่วนห้องเรียนระดับ ค. นั้นมีขึ้นเพื่อศิษย์ที่มีคุณสมบัติเป็นนักสลักวิญญาณชั้นต้น

ที่หลินสวินต้องไปสอนก็คือศิษย์ระดับ ค. ห้องเก้า

ที่ควรยกขึ้นมาพูดก็คือ คะแนนทดสอบของอาจารย์นั้นขึ้นอยู่กับคะแนนทดสอบของศิษย์ คะแนนทดสอบของศิษย์ยิ่งสูงเท่าไร คะแนนของอาจารย์ก็ยิ่งดีตาม แต้มสะสมที่ได้รับก็พลอยมากตามไปด้วย

พูดได้ว่า ถ้ารุ่งเรืองก็รุ่งเรืองตามกัน ถ้าเสียหายก็เสียหายไปด้วยกัน

ห้องเรียนระดับ ค. มีทั้งหมดเก้าห้อง กระจายอยู่ในตึกเล็กเก่าแก่สามชั้น

ทุกชั้นมีห้องเรียนสามห้อง แต่ละห้องมีศิษย์สามสิบคน

ห้องเรียนที่หลินสวินต้องสอนตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของชั้นหนึ่งตึกเล็ก บนกำแพงปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เขียวมันปลาบมากมาย ดูแล้ววังเวงนัก

“เหล่าศิษย์รอเจ้าไปสอนอยู่ ไปเถอะ”

เสิ่นทั่วพาหลินสวินมาถึงตรงนี้ก็หยุดเดิน

หลินสวินพยักหน้าแล้วก้าวเท้าขึ้นกำลังจะเข้าไป ทว่าฉับพลันกลับสัมผัสอะไรได้เข้า ดวงตามองไปทั่วทั้งตึกเล็ก ดวงตาสีดำฉายแววครุ่นคิด

และในชั่วพริบตานี้เองที่เขาสัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ซึ่งจับจ้องมาที่นี่ บ้างสงสัย บ้างเยาะหยัน บ้างตื่นเต้น หลากหลายยิ่งนัก

หลินสวินถอนสายตากลับมา เดินเข้าไปในห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้า

มองตามเงาร่างหลินสวินที่เดินเข้าไป สีหน้าเสิ่นทั่วกลับเจือแววแปลกประหลาด หยุดอยู่ที่เดิมไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจเสียงเบาแล้วหันกายจากมา

เขาไม่ได้เดินไปไกลนัก แต่หาสถานที่ลับตาคนมองไปยังห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าที่อยู่ไกลออกไป ราวกับกำลังรอคอยอะไรอยู่

“หึ เสียงร้องเก้ามังกรมีอะไรดีเด่นนัก ยังเป็นแค่เด็กน้อยอายุสิบกว่าปีคนหนึ่งเท่านั้น ประสบการณ์การสอนก็ไม่มี พวกเจ้ากลับให้เขาไปสอนหนังสือห้องเรียนระดับค. ห้องเก้าแทนข้า นี่ไม่ยิ่งทำให้วุ่นวายขึ้นไปอีกหรือ”

ผู้สูงวัยใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งไม่รู้ว่าเดินมาตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าถมึงทึง ร้องหึแล้วเอ่ยว่า “ข้าล่ะอยากเห็นนัก การสอนครั้งแรกเขาจะสร้างเรื่องตลกได้มากมายขนาดไหน อย่าให้ถูกศิษย์พวกนั้นไล่ออกมาจากห้องเรียนเชียวล่ะ”

น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความโกรธเกลียดและความสนุกบนความทุกข์ของผู้อื่น

เขามีนามว่าฟางจงเจียน เป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงมากประสบการณ์ผู้หนึ่ง เดิมทีห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้าก็เป็นเขารับหน้าที่สอน

แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินโผล่มาฉกฉวยไป นี่ทำให้เขาไม่พอใจยิ่ง

“เหล่าฟาง สำนักศึกษาจัดหาอีกตำแหน่งหนึ่งให้เจ้า ตำแหน่งนั้นดีกว่าอาจารย์ไม่น้อย เจ้าอย่าได้พูดจาแดกดันเลย”

เสิ่นทั่วขมวดคิ้ว อย่าได้มองว่าฟางจงเจียนผู้นี้เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นสูงผู้หนึ่ง ประสบการณ์เขากลับมากมายนัก เป็นคนรุ่นเดียวกันกับเสิ่นทั่ว พาให้เสิ่นทั่วพูดอะไรไม่ได้มากนัก

“เหอะๆ เพื่อเชิญเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งก็ถีบหัวส่งข้า นี่อาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนแบบเขาอาจเป็นผู้มีฝีมือเกินธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณก็จริง แต่ตัวเขาตอนนี้กลับไม่เคยมีผลงานที่แท้จริงสักชิ้นเดียวมาพิสูจน์ความสามารถของตน!”

ฟางจงเจียนพูดอย่างไม่พอใจ “ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่มีประสบการณ์การสอนเลย ให้เขารับหน้าที่เป็นอาจารย์ ชัดเจนว่าเป็นการเอาคนไร้ความสามารถมาขัดขวางการเรียนรู้ของลูกศิษย์ ถ้าเกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น ผลลัพธ์นั้นใครจะรับผิดชอบได้กัน”

เสิ่นทั่วสีหน้านิ่งขรึม “เหล่าฟาง ระวังคำพูดด้วย!”

ฟางจงเจียนพูดฮึดฮัด “ได้ ข้าไม่พูดอะไรอีกแล้ว ก็รอดูว่าประเดี๋ยวเจ้าเด็กนี่จะอับอายอย่างไรก็แล้วกัน!”

เสิ่นทั่วมุ่นคิ้ว ในใจก็อดกังวลไม่ได้

เท่าที่เขารู้มา ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้านั้นเป็นห้องเรียนที่รับมือได้ยากที่สุดห้องหนึ่ง ถ้าคิดจะกลั่นแกล้งหลินสวิน น่ากลัวว่าชั้นเรียนแรกของหลินสวินคงถูกก่อเรื่องเสียจนน่าสลด อับอายต่อหน้าผู้คน

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นทั่วหวังจะได้เห็น

ที่สำคัญกว่านั้นคือ เป็นจริงอย่างที่ฟางจงเจียนกล่าวไว้ หลินสวินแม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งแล้ว ทั้งพรสวรรค์ยังโดดเด่น ชักนำเสียงร้องเก้ามังกรได้ แต่อย่างไรก็เพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น ไม่เคยมีประสบการณ์การสอนสักครั้งเดียว

นี่ก็หมายความว่าหากหลินสวินทำผิดพลาดอะไรเข้าในชั้นเรียนแรก ย่อมก่อให้เกิดเรื่องตลกไม่น้อยแน่ ถึงกับสามารถทำให้เสียหน้า เชิดหน้าชูคอต่อหน้าศิษย์พวกนั้นอีกได้ยาก

นี่มันชักจะยุ่งยากเสียแล้ว

แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว เสิ่นทั่วก็ได้แต่ภาวนาให้หลินสวินรับมือศิษย์เหล่านั้นได้ เดินออกมาจากชั้นเรียนแรกได้อย่างราบรื่น

“ลืมบอกไป เพราะการมาของหลินสวินในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือศิษย์ทั่วทั้งสาขาสลักวิญญาณ ต่างจับตาดูความเป็นไปของชั้นเรียนแรกของเขา

ฟางจงเจียนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นลอยๆ

ประโยคนี้ทำให้สีหน้าเสิ่นทั่วเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “เป็นเจ้าให้ทุกคนทำเช่นนี้หรือ จงใจขู่หลินสวินตั้งแต่วันแรกที่มารับตำแหน่งเลยหรือ”

ฟางจงเจียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าหลินสวินก็คือปรมาจารย์สลักวิญญาณที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ ข่าวเกี่ยวกับเขายังแพร่สะพัดไปในนครต้องห้ามถึงตอนนี้เลย ลองถามสิ ใครไม่อยากเห็นอัจฉริยะหนุ่มน้อยในคำร่ำลือผู้นี้บ้าง”

คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่ถ้อยคำของเขากลับคลุมเครือ เผยให้เห็นความประชดประชัน พาให้เสิ่นทั่วอดโมโหไม่ได้ “เหล่าฟาง เจ้าพูดเกินไปหน่อยแล้ว!”

“เกินไปหรือไม่ เรื่องราวก็เกิดขึ้นแล้ว พวกเราก็สงบใจดูเรื่องสนุกอยู่ตรงนี้เถอะ” ฟางจงเจียนหัวเราะเบาๆ

เสินทั่วถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่พูดอะไรอีก

ความจริงนั้นก็เป็นไปตามที่ฟางจงเจียนพูด เมื่อได้รู้ว่าวันนี้หลินสวินจะมายังสาขาสลักวิญญาณ ก็ดึงดูดสายตามากมายอย่างเงียบเชียบอยู่ก่อนแล้ว

ทุกสายตาล้วนรอดูว่าหลินสวิน ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่โดดเด่นที่สุดในนครต้องห้ามขณะนี้ จะปฏิบัติตัวอย่างไรในชั้นเรียนแรก

จะอับอายในท้ายที่สุด กลายเป็นตัวตลกตัวหนึ่ง หรือจะหยัดยืนไปได้อย่างราบรื่นกัน

ทุกคนล้วนรอคอยอยู่

ห้องเรียนระดับ ค. ห้องเก้านั้นกว้างขวางยิ่งนัก โต๊ะเรียนสามสิบตัวเรียงอย่างเป็นระเบียบ ในโต๊ะเรียนมีเด็กหนุ่มเด็กสาววัยเบ่งบานกลุ่มหนึ่งนั่งหลังตรงอยู่

ทุกคนล้วนอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดสีขาวอ่อนแบบเดียวกัน แม้ไม่สามารถสังเกตอะไรได้จากการแต่งกาย

ทว่าเพียงดูท่าทีและสีหน้าที่พวกเขาแสดงออกมานั้น ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนี้ต้องล้วนเป็นผู้มีอันจะกินแน่นอน

ยิ่งไม่ขาดเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีพื้นเพไม่ธรรมดา ดูจากความเย่อหยิ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงออกมาทางสีหน้าของพวกเขาก็พอจะรู้ได้แล้ว

ตั้งแต่หลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม ก็ได้พบลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลมากมาย ดวงตาเฉียบแหลมขึ้นนานแล้ว จะดูเรื่องพวกนี้ไม่ออกได้อย่างไร

ยามหลินสวินประเมินศิษย์เหล่านั้น ฝ่ายหลังเองก็ประเมินหลินสวินเช่นกัน

สายตาเหล่านั้น บ้างเย่อหยิ่ง บ้างจองหอง บ้างสงสัย และบ้างประหลาดใจ ในชั่วเวลาหนึ่ง ห้องเรียนใหญ่โตก็เงียบเชียบหาใดเปรียบ

“ทุกท่าน…”

หลินสวินที่ยืนอยู่บนยกพื้นกำลังจะเริ่มแนะนำตัว ก็ถูกเสียงร้องหนึ่งขัดขึ้น

“เวรเอ๊ย เจ้าก็คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นโตกว่าพวกเรานี่หว่า! ขนยังไม่ยาวเลยมั้ง”

เสียงนี้ไร้มารยาทและสามหาวถึงที่สุด ทำให้ถ้อยคำที่หลินสวินเตรียมเอ่ยถูกดึงกลับไปในคออย่างฝืดเคือง

เสียงหัวเราะครืนพลันดังขึ้น

หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตามองออกไป ก็เห็นว่าที่นั่งริมหน้าต่างแถวที่สาม เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวอ้วนหูโตผู้หนึ่งกำลังกอดอก เชิดคางรั้น เหล่ตามาที่ตน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความล้อเลียน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด