Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 517 จุตินพชาติ
ในโถงใหญ่สาขาสลักวิญญาณ
จ้าวไท่ไหลกับองค์หญิงจิ่งเซวียนรออยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าพวกเขามาเพื่อหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกร
หลินสวินเคยรับปากเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ย่อมไม่อาจปฏิเสธไม่เข้าพบได้
เพียงแต่เวลาเดียวกับที่เขามาถึงห้องโถง บุคคลทรงอำนาจที่คิดไม่ถึงผู้หนึ่งก็ตามมาด้วย ทำให้เขารู้สึกดีใจที่ได้รับความโปรดปรานอย่างอดไม่ได้
เมื่อเห็นคนผู้นั้น จ้าวไท่ไหลและองค์หญิงจิ่งเซวียนก็พากันตะลึง รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ
คนผู้นั้นใบหน้าซูบตอบ ท่าทางเรียบง่าย มีกลิ่นอายละซึ่งทางโลกราวนกกระเรียนป่าท่องเมฆา
เขาย่อมต้องเป็นเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต!
หลินสวินคิดไม่ถึงว่าบุคคลในตำนานซึ่งประหนึ่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางท่านนี้จะมาหาตนก่อนได้
“ทั้งสองท่านรอสักครู่ ข้ามาหาหลินสวินด้วยมีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งต้องสะสาง”
เจ้าสำนักเอ่ยปาก น้ำเสียงสงบนิ่ง มีพลังจูงใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แม้ในใจหลินสวินจะสงสัย แต่ย่อมไม่ปฏิเสธ เขากับเจ้าสำนักออกมาจากห้องโถงด้วยกันในทันใด
“ขนาดเจ้าสำนักยังต้องมาเชิญด้วยตัวเองเช่นนี้ ดูท่าเจ้าเด็กนี่จะได้รับความสำคัญกว่าที่ข้าคาดไว้นะ…” จ้าวไท่ไหลทอดถอนใจไม่หยุดหย่อน
“ท่านอาเก้า ท่านรู้ไหมว่าเจ้าสำนักท่านนี้ฝึกปราณถึงระดับไหนแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนถามเสียงเบา นางยังคงแต่งกายด้วยชุดม่วงทั้งตัว ริมฝีปากแดงฟันขาว สง่างามโดดเด่น ใบหน้าพริ้งพรายสดใสเป็นธรรมชาติ
จ้าวไท่ไหลนิ่งคิดอยู่นานแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ความยิ่งใหญ่ของเขาราวห้วงน้ำ มรรคของเขาราวมายา ลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึง”
จ้าวจิ่งเซวียนเลิกคิ้ว สั่นสะท้านในใจ
…….
สวบ!
หลินสวินถูกเจ้าสำนักพาตัวออกมา เดินตามเขามาก้าวเดียวพลันรับรู้ได้ถึงวิถีดาราตรงหน้า ราวกับแหวกว่ายกลางธารเวลาอันยืดยาว
เมื่อทัศนวิสัยตรงหน้าแจ่มชัด ก็มาถึงหน้าภูเขางดงามที่ห้อมล้อมด้วยหมอกเซียนลูกหนึ่ง ที่นั่นมีธารน้ำไหลเอื่อยสายหนึ่ง ริมธารเป็นกระท่อมฟางเรียบง่ายที่ทำได้เพียงกันลมกันฝนหลังหนึ่ง
หลินสวินสีหน้าเหม่อลอย หลุดปากถามว่า “ผู้อาวุโส นี่เป็นวิชาเคลื่อนย้ายหรือขอรับ”
นี่ช่างน่าตื่นตะลึงนัก
ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในสาขาสลักวิญญาณ เวลาต่อมาก็ปรากฏตัวที่หน้าภูเขาที่เงียบสงบบริสุทธิ์ประหนึ่งตัดขาดจากโลกลูกนี้เสียแล้ว
เวลาชั่วดีดนิ้วเท่านั้นกลับเหมือนพุ่งทะยานผ่านโลก ไม่ต่างอะไรกับวิชาเคลื่อนย้ายในตำนานเลย
“นี่เป็นวิชาเล็กน้อยเพียงเศษเสี้ยวของวิชาลับแห่งการเคลื่อนย้ายห้วงอากาศเท่านั้น รอเมื่อเจ้าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุติก็จะสามารถพบวิถีนี้ได้”
เจ้าสำนักเอ่ยตอบ ชี้ไปที่กระท่อมฟางริมธารที่อยู่ไกลออกไปพลางพูดว่า “มีสหายเก่าผู้หนึ่งรอเจ้าอยู่ ไปเถิด”
หลินสวินจึงเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่า เดิมทีคราวนี้ไม่ใช่เจ้าสำนักเรียกหาตน แต่เป็นผู้อื่น!
เป็นใครกันแน่นะ
หลินสวินก้าวเท้าเดินไป
กระท่อมฟางเรียบง่ายตั้งอยู่ริมธาร เบื้องหลังเป็นภูเขาเขียวที่มีเมฆเซียนอบอวล วิเวกผุดผ่อง กว้างใหญ่สงบเงียบ มีกลิ่นอายหวนคืนสู่ธรรมชาติ
หลินสวินยืนอยู่หน้ากระท่อม พูดเสียงเบาว่า “ข้าน้อยหลินสวินคารวะผู้อาวุโส”
“เข้ามาเถิด ไม่ต้องมากพิธี”
เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังออกมา
หลินสวินจิตใจสั่นไหว ผลักประตูเข้าไป อย่างที่คิด เป็นเงาร่างสหายเก่าที่คุ้นเคยคนหนึ่ง!
นั่นเป็นชายชราผู้หนึ่ง หนวดเคราเผ้าผมดุจสีเงิน สวมชุดเครื่องแบบราชสำนักที่ตัดเย็บพอดีตัว หลังตรงแน่ว ต่อให้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่งก็ยังคงดูจริงจัง มารยาทเพรียบพร้อม
ชายชราผู้นั้นที่ติดตามข้างกายราชินีรัตติกาล!
“ผู้อาวุโส เหตุใดถึงเป็นท่าน”
หลินสวินตกใจ ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาแล้วว่าราชินีรัตติกาลต้องการข้ามอมตะเคราะห์ครั้งแรก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกศัตรูโจมตีจึงย้ายตำหนักรัตติกาลไป
เดิมคิดว่าจะไม่ได้พบชายชราผู้นี้อีกพักใหญ่ ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับปรากฏตัวที่สำนักศึกษามฤคมรกตในตอนนี้!
“นั่งเถิด ข้ามีเวลาไม่มาก ครั้งนี้เพียงใช้เจตจำนงจำแลงร่างมา ใช้ได้ไม่นานก็จะหายไป”
ชายชราพูดพลางยิ้มบางๆ ยังเมตาและอ่อนโยนดังเดิม
หลินสวินพยักหน้า นั่งขัดสมาธิลงอีกด้านหนึ่ง เวลานี้ถึงได้รับรู้อย่างเฉียบแหลมว่า พลังปราณบนกายของชายชราต่างออกไปอยู่บ้าง ดูคลุมเครือคล้ายไม่มีจริง ทำให้ผู้อื่นคาดเดาไม่ได้
นี่ก็คือร่างแยกร่างหนึ่งที่เกิดจากการใช้เจตจำนงจำแลงร่างหรือ
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินจิตใจสั่นระรัว ต้องมีพลังปราณที่น่าหวาดหวั่นขนาดไหนถึงมีทักษะอัศจรรย์เกินธรรมดาเช่นนี้ได้
“เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาคร่าวๆ แล้วว่าก่อนหน้านี้คุณหนูออกจากจักรวรรดิจื่อเย่า มุ่งหน้าไปยังดินแดนลี้ลับเพื่อก้าวผ่านอมตะเคราะห์เป็นครั้งแรก”
ชายชราพุ่งตรงประเด็น ไม่พูดพร่ำทำเพลง บางทีคงเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขามีเวลาไม่มาก ร่างจำแลงเจตจำนงนี้ก็จะหายไป
“น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ล้มเหลวเสียแล้ว ไม่ได้แพ้ให้สวรรค์ ทั้งไม่ได้แพ้เพราะตัวเอง แต่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือศัตรู เฮ้อ!”
ชายชราทอดถอนใจแผ่วเบา ความไม่ยินยอมที่อยู่ในน้ำเสียงนั้นทำให้หลินสวินอดไหวหวั่นไม่ได้ อมตะเคราะห์ครั้งแรกล้มเหลวแล้วหรือ
นี่คงไม่ได้หมายความว่าราชินีรัตติกาลลึกลับผู้นั้นได้…
“คุณหนูยังไม่สิ้น”
ชายชราพูดขึ้นทันใด “เพราะก่อนอมตะเคราะห์ที่แท้จริงจะมาเยือน คุณหนูก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้ว นางรู้ตัวว่าต้องล้มเหลว จึงสำแดงวิชาจักจั่นทองลอกคราบ รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่คุณหนูทำได้เพียงจำศีลอย่างเงียบเชียบไปพักใหญ่”
หลินสวินลอบถอนหายใจโล่งอก ในสมองเขาคิดถึงราชินีรัตติกาลผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว
สตรีที่ท่วงท่าสง่างาม สามารถใช้คำว่าเทียมฟ้ามาบรรยายได้ผู้หนึ่ง ผมยาวเกล้าสูงใช้ปิ่นไม้ฉลุลายปักษาเพลิงสีดำเล่มหนึ่งเสียบไว้เป็นมวย นางดูอ่อนเยาว์มาก ผิวพรรณอ่อนนุ่มเปล่งปลั่ง ละเอียดบอบบาง นัยน์ตาสีท้องฟ้ามีความเฉยชาที่มีเพียงคนชั้นสูงจึงจะมีได้
ที่หลินสวินจำได้ดีที่สุดก็คือ บนนิ้วก้อยซ้ายเรียวเล็กขาวสะอาดของนางสวมแหวนฝังอัญมณีสีดำอยู่วงหนึ่ง แหวนนั้นมีรูปร่างราวนัยน์ตาแนวตั้งเบิกกว้างดวงหนึ่ง น่าหวั่นกลัวหาใดเทียบ ราวกับเป็นดวงตาของมารร้ายจากนรก สามารถเก็บชิงวิญญาณได้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสตรีผู้นี้รวมความโบราณ สง่างามและเพริศแพร้วไว้ในตัวคนเดียว ทั้งร่างแผ่กระจายความเย็นชาและความน่าเกรงขามที่เป็นของคนชั้นสูง
ไม่มีใครสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของนางอย่างชัดเจน เพราะในสายตาของผู้อื่น นางก็เหมือนเงาที่อาบไล้อยู่ภายในเงามืด ความมืดเช่นนั้นราวสามารถทำให้สรรพสิ่งในโลกาจ่อมจมได้!
ต่อให้หลินสวินไม่ได้รู้สึกอันใดต่อราชินีรัตติกาล แต่กลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สตรีนางนี้พิเศษและแข็งแกร่งนัก ทำให้เมื่อเขาคิดถึง ก็นึกย้อนถึงรายละเอียดทุกอย่างของนางได้อย่างลึกซึ้ง!
ราชินีผู้ลึกลับเช่นนี้ กลับถูกศัตรูกล้ำกราย ทำลายโอกาสก้าวข้ามอมตะเคราะห์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป น่ากลัวจะทำให้ทั้งใต้หล้าตกอยู่ในความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
ฉับพลันนั้นหลินสวินที่ความคิดโลดแล่นก็ถูกคลื่นพลังระลอกหนึ่งทำให้ตกใจตื่น ก็เห็นว่าชายชราที่อยู่ตรงข้ามยกหินหยกดำที่ยาวราวจั้งหนึ่งออกมา
มองดูแล้วเหมือนโลงศพใบหนึ่ง สีและความแวววาวดำสนิทราวราตรีนิรันดร์ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเปล่าเปลี่ยวและเย็นเยียบ
ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว ด้วยสายตาของหลินสวินถูกภาพภายในหินหยกดำนั้นดึงดูด
ภายในเป็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ หมวกม่านปิดบังใบหน้าส่วนใหญ่ เผยคางเล็กที่เกลี้ยงเกลาขาวกระจ่าง
สองมือของนางวางซ้อนกันบนท้องน้อย เกี่ยวกระหวัดเป็นท่ามุทราประหลาด นอนนิ่งอยู่เช่นนั้น สงบนิ่งผ่อนคลายราวกับตกอยู่ในห้วงนิทรานิรันดร์
ซย่าจื้อ!
หลินสวินจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้าง เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าในเวลาแบบนี้จะพบนางด้วยวิธีเช่นนี้
จะสามปีแล้ว!
เด็กหญิงในตอนนั้น หลังจากถูกราชินีรัตติกาลพาตัวไปก็หายไปโดยสิ้นเชิงเหมือนระเหยไปจากโลกนี้
แต่วันนี้ในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง นาง…กลับถูกผนึกอยู่ในหยกสีดำก้อนหนึ่ง!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
หรือว่า นางเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ครู่เดียวความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินก็กระเพื่อมไหว ยุ่งเหยิงไปหมด เอ่ยว่า “อาวุโส นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“นางไม่เป็นอะไร เพียงแต่กำลังแปรสภาพ”
ชายชราอธิบายเสียงนุ่ม
“แปรสภาพหรือ”
“ใช่ แปรสภาพ”
ชายชราสีหน้านิ่งสงบ มีพลังที่พาให้ผู้อื่นใจเย็นลง “ซย่าจื้อสืบทอดวิชาของคุณหนู ตั้งแต่เข้าไปในปราสาทรัตติกาลก็เริ่มฝึก ‘คัมภีร์จุตินพชาติ’ ทุกครั้งที่มีการตื่นขึ้นของพลัง ก็จะมีการจุติดับสูญครั้งหนึ่งตามมา ดังนั้นจึงเกิดการแปรสภาพราวเกิดใหม่ทำนองนี้ด้วย”
“ก่อนหน้านี้ซย่าจื้อบรรลุระดับกระบวนแปรจุติแล้ว เริ่มจุติและเกิดใหม่ครั้งแรก พลังที่ฝึกปราณมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะแปรสภาพเป็นพลังแฝง ทำให้ร่างกาย กระดูกและพรสวรรค์ของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด”
“เพียงแต่หลังจากนางตื่นขึ้นครั้งนี้ก็จะต้องเริ่มฝึกปราณใหม่ทั้งหมด ก็พูดได้ว่า ทักษะยุทธ์และพลังปราณก่อนจุติกำเนิดใหม่จะไม่มีอยู่แล้ว แต่จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังแฝงอย่างหนึ่ง กลายเป็นรากฐานให้นางฝึกปราณใหม่อีกครั้ง”
หลินสวินสั่นสะท้านในใจ นี่มันวิชาอะไรกัน ถึงได้เย้ยฟ้าเช่นนี้!?
จุติหนึ่งครั้ง ก็เหมือนขจัดสิ้นวิถียุทธ์ กลับมาหล่อเลี้ยงตนเองใหม่แล้วเริ่มฝึกปราณอีกครั้ง นี่ก็เหมือนเกิดใหม่มาฝึกปราณทุกครั้ง น่าตกใจเกินไปแล้ว
หลินสวินถึงกับทำใจเชื่อได้ยาก โลกนี้จะมีวิชาลึกลับเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างมหัศจรรย์เกินจินตนาการ
“ก่อนจุติครั้งนี้ ซย่าจื้อเคยพูดว่า หลังจากแปรสภาพแล้วต้องฝึกปราณอยู่ข้างกายเจ้า หาไม่ต่อให้ต้องหลับใหลชั่วนิรันดร์ก็ไม่เสียใจ”
ชายชราสีหน้าอ่านยากอยู่บ้าง
ในใจหลินสวินบังเกิดกระแสความอบอุ่นและรู้สึกผิดที่ยากบรรยาย เด็กน้อยคนนี้ที่แท้ก็คิดคำนึงถึงตนมาโดยตลอด
ต่อให้รู้เช่นนี้ หลินสวินก็ยังไม่เข้าใจ จึงถามว่า “เหตุใด…นางถึงทำเช่นนี้”
“เพราะทุกครั้งที่นางจุติ ที่ถูกขจัดไปไม่ได้มีเพียงวิชายุทธ์กับพลังปราณ ยังมีความทรงจำในอดีต นาง…กลัวจะลืมเจ้า”
ชายชราเอ่ยสาเหตุที่แท้จริงออกมา
นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
สูญเสียความทรงจำ!
เมื่อคิดว่าหลังจากซย่าจื้อฟื้นขึ้นมาแล้วจะจำตนไม่ได้ ไม่อาจนึกถึงเรื่องราวในวันวานได้อีก ในใจหลินสวินพลันเกิดความเดือดดาลที่พูดไม่ถูกขึ้นมา!
นี่มันวิชาบ้าบออะไรกัน!?
จริงอยู่ว่าวิชานี้เย้ยฟ้านัก ไม่อาจคาดคิดได้ยิ่ง แต่ทำให้สูญเสียความทรงจำในอดีตทุกครั้งที่จุติ นี่มันโหดร้ายขนาดไหน
สีหน้าหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น่าดู หากรู้อยู่ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ เขายอมไม่ให้ซย่าจื้อถูกราชินีรัตติกาลผู้นั้นพาตัวไปเสียดีกว่า!
สีหน้าชายชราฉายแววรู้สึกผิด ขณะกำลังจะพูดอะไรกลับได้ยินเสียงหักถี่ดังเปรี๊ยะๆ ขึ้น
ก็เห็นว่าหยกสีดำยาวราวจั้งนั้นกลับเกิดรอยแตกหักในเวลานี้!
การแปรสภาพของซย่าจื้อสมบูรณ์แล้วหรือ
ในใจหลินสวินรัดเกร็งในทันใด เขาพลันไม่กล้าเผชิญหน้าอยู่บ้าง กลัวว่าเมื่อซย่าจื้อฟื้นขึ้นมาจะลืมทุกอย่าง มองเขาเป็นคนแปลกหน้า…
——
Comments