Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 563 แสงสายัณห์ยามตะวันรอนของเจ้าคางคก
<p>ห่างออกไปพันลี้ หลินสวินหยุดเท้าระแวดระวัง</p>
<p>ระหว่างทางเขาเจออันตรายหลายครั้ง ถึงขั้นที่เกือบเผชิญหน้ากับแมงป่องพิษห้าสีที่จำศีลอยู่ในส่วนลึกของทะเลทราย</p>
<p>แมงป่องพิษมีความยาวหลายจั้ง ลำตัวของมันราวกับหลอมด้วยสำริด ตะขอที่ปลายหางเต็มเปล่งแสงหลากสี กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก</p>
<p>โชคดีที่มันเหมือนหลับใหลอยู่ ทำให้หลินสวินหนีออกจากที่นั่นได้อย่างหวุดหวิด</p>
<p>หลินสวินยืนนิ่งทอดมองไปไกล เป็นสุดขอบทะเลทรายแล้ว ถัดออกไปตรงหน้าคือภูเขาสลับทับซ้อนต่อเนื่องกันไป แต่ละลูกพุ่งสูงเสียดฟ้า กว้างใหญ่ไพศาลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด</p>
<p>จู่ๆ หลินสวินก็หรี่ตา มองเห็นเงาร่างมากมายพุ่งเข้ามาจากระยะไกล</p>
<p>“น้องชาย เจ้ากลับมาจากส่วนลึกของทะเลทรายหรือ เห็นหรือไม่ว่าที่นั่นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น”</p>
<p>คนวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้ามาถาม</p>
<p>ไม่รอให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ หลินสวินน้าวธนูวิญญาณไร้แก่นสารแล้วยิงออกไปอย่างไม่ลังเล ได้ยินเพียงเสียงดังฉึก หน้าอกของชายกลางคนผู้นั้นทะลุเป็นรู เลือดสีสดไหลพรูออกมา</p>
<p>เขาเบิกตาโพลง เหมือนคิดไม่ถึงอยู่บ้าง ทั้งคล้ายกำลังเดือดดาลสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็นอนจมอยู่ในกองเลือด</p>
<p>“สารเลว! พวกข้าเพียงถามด้วยความหวังดี เจ้ากลับกล้าฆ่ากันหรือ”</p>
<p>เหล่าผู้ฝึกปราณที่ปรากฏตัวพร้อมกับชายวัยกลางคนต่างตะลึง แต่ละคนพุ่งขึ้นหน้ามาพร้อมไอสังหารที่พลุ่งพล่าน</p>
<p>“อยากฆ่าข้าก็พูดมาตามตรง เหตุใดต้องปกปิด”</p>
<p>หลินสวินยิ้มเยาะ การเคลื่อนไหวในมือกลับไม่ชักช้า ธนูวิญญาณไร้แก่นสารสั่นเบาๆ พลันยิงฝนธนูอันเงียบเชียบออกมาแถบหนึ่ง เทกระหน่ำไปทุกทิศ</p>
<p>“เจ้ากล้า!”</p>
<p>“ลงมือพร้อมกัน!”</p>
<p>มีหรือที่ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจะนั่งรอความตาย ต่างลงมืออย่างไม่ลังเล</p>
<p>เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประเมินความน่ากลัวของธนูวิญญาณไร้แก่นสารต่ำไป เพียงพริบตาเท่านั้นก็ถูกหลินสวินสังหารไปสี่ห้าคน</p>
<p>นี่ทำให้พวกเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติในที่สุด ตื่นกลัวขึ้นมาอยู่บ้าง ต่างตะเบ็งเสียงข่มขู่หลินสวิน</p>
<p>“เด็กเมื่อวานซืน เจ้าเป็นใคร กล้าขัดแย้งกับเผ่าวิญญาณเหินของพวกเราหรือ”</p>
<p>“สารเลว! เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่”</p>
<p>“รอให้บุตรเทพเผ่าข้ามาถึง เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”</p>
<p>สวบ!</p>
<p>สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบราวกับไม่ได้ยิน ทว่าเขาก็ไม่ยอมถูกพัวพัน ฉวยช่องว่างใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง พุ่งตัวไปยังหมู่เขาลึกที่สลับซับซ้อนซึ่งอยู่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว</p>
<p>ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณเหินกราดเกรี้ยวไม่ยอมความ แต่กลับไม่กล้าตามไปสังหาร</p>
<p>นี่ทำให้หลินสวินอดยิ้มเยาะไม่ได้ เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ตอนที่ชายวัยกลางคนถาม ผู้ฝึกปราณเผ่าวิญญาณเหินคนอื่นๆ ต่างเข้ามาใกล้เงียบๆ เห็นได้ชัดว่าคิดจะล้อมเขาเอาไว้ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่</p>
<p>ที่สำคัญที่สุดคือ หลินสวินรับรู้ได้ว่าบริเวณรอบๆ ยังมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ซ่อนตัวอยู่ และต่างลอบจับตามองทางนี้</p>
<p>นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกระแวง เมื่อลงมือขึ้นมาจึงย่อมไม่มีความเกรงใจ</p>
<p>แม้ว่าในแดนลับอสูรมารอริยะจะอันตราย แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าที่เข้ามาในดินแดนนี้ต่างหากที่อันตรายกว่า!</p>
<p>เพื่อช่วงชิงวาสนาและศุภโชค พวกเขาล้วนทำได้ทุกอย่าง</p>
<p>‘ต้องรีบยกระดับพลังปราณซะแล้ว…’</p>
<p>หลินสวินรู้สึกกังวลขึ้นมา ประสบการณ์ที่พบเจอก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตระหนักได้ถึงอันตรายของสถานการณ์อย่างลึกซึ้ง และพลอยรู้สึกกดดันขึ้นมา</p>
<p>เห็นว่าหลินสวินจากไป ผู้แข็งแกร่งที่ลอบจับตามองทางนี้อยู่ต่างหัวใจกระตุกวูบ ไม่ได้ตามไปโจมตี ด้วยตระหนักได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของหลินสวิน รู้ว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ต้องเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์อย่างแน่นอน ตัวคนเดียวแต่กลับกล้าสังหารเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณเหินอย่างไม่ปรานี!</p>
<p>ไม่นานเงาร่างของหลินสวินก็หายเข้าไปในภูเขาลึก</p>
<p>‘เหตุใดที่แห่งนี้จึงดึงดูดผู้แข็งแกร่งมามากมายเพียงนี้’</p>
<p>หลินสวินฉงนใจ ระหว่างทางเขาสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่า มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งมากมายต่างกำลังเคลื่อนไปทางผืนทะเลทรายนั่น</p>
<p>จวบจนกระทั่งสองชั่วยามหลังจากนั้น หลินสวินซ่อนตัวอยู่ในที่มืด และรู้เรื่องทุกอย่างจากเสียงพูดคุยของผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งที่พลังปราณไม่สูงมาก</p>
<p>ที่แท้ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของเกาะอริยะปัญจธาตุ!</p>
<p>การเคลื่อนไหวครั้งนั้นดังสะเทือนฟ้าดิน แม้แต่บนฟากฟ้ายังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าสะพรึงกลัว จึงดึงดูดความสนใจจากทั่วทุกสารทิศ คิดไปว่าตรงนั้นอาจจะปรากฏศุภโชคอันยิ่งใหญ่</p>
<p>หลังจากหลินสวินรู้เรื่องเหล่านี้ สีหน้าพลันแปลกประหลาดไป ที่นั่นมีศุภโชคจริงๆ เพียงแต่มันได้หายไปพร้อมกับการจมลงของเกาะอริยะปัญจธาตุตั้งนานแล้ว แม้ไปก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรอย่างแน่นอน</p>
<p>‘หึๆ ทะเลทรายนั่นอันตรายยิ่ง มีพญาเผิงปีกทอง มีเอกพญางู และมีแมงป่องพิษห้าสีที่น่าพรั่นพรึงเกินคาดเดา หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถรอดชีวิตกลับมาได้นะ…’</p>
<p>หลินสวินส่ายหน้า ไม่คิดมากไปกว่านี้</p>
<p>“ได้ข่าวหรือยัง เผ่าวัวมารทรงพลัง แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณและยอดฝีมือจากเผ่าอื่นๆ บางส่วนหมายตาสถานที่แห่งวาสนาเดียวกัน”</p>
<p>ตอนที่หลินสวินเตรียมจะจากไป ก็ถูกคำพูดของผู้ฝึกปราณคนนี้ดึงดูดทันที</p>
<p>“ได้ยินมาแล้ว สถานที่แห่งวาสนานั่นเหมือนจะเป็นแท่นมรรคของ ‘อสูรมารอริยะ’ ในตำนานท่านนั้น มีมรดกอันไร้เทียบเคียงซ่อนอยู่ เพียงแต่ยังไม่เคยมีใครค้นพบ”</p>
<p>“สถานที่ระดับนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปได้ เท่าที่ข้ารู้ ยอดฝีมือจากขุมกำลังบางส่วนมีไม่น้อยที่ยอมแพ้ไป ไม่ยอมเข้าร่วมด้วย”</p>
<p>แท่นมรรคของอสูรมารอริยะหรือ</p>
<p>หลินสวินตกใจ พลันนึกถึงแผนภาพลึกลับที่ผู้เฒ่าเกาหยางมอบให้พวกจ้าวจิ่งเซวียน หรือว่าแผนภาพลับนั่นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแท่นมรรคของอสูรวิญญาณ?</p>
<p>หากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าทึ่งเกินไปแล้ว และจะต้องทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนบ้าคลั่งอย่างแน่นอน ถ้าเป็นโลกภายนอก เกรงว่าต่อให้เป็นเหล่าคนใหญ่คนโตก็ยังต้องลงมือด้วยเช่นกัน</p>
<p>ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นยังคงวิพากษ์วิจารณ์และคาดเดาต่อ แต่ไม่มีข่าวอะไรที่มีค่าแล้ว หลินสวินจึงจากไปเงียบๆ อย่างไม่ลังเล</p>
<p>“ต้องไปฝึกปราณยกระดับพลังต่อสู้ก่อน!”</p>
<p>หลินสวินเดินเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา และเริ่มหาที่ปลอดภัยที่เหมาะกับการปิดด่านฝึกปราณ</p>
<p>ระหว่างทางเขาพบอย่างน่าดีใจว่า ภายในภูเขาเหล่านี้มีโอสถวิญญาณหายากมากมาย และยังมีวัตถุดิบวิญญาณที่อัศจรรย์หลายอย่าง</p>
<p>“กุหลาบรัศมี จักจั่นม่วงหกขา แมลงขาเงิน…” ดวงตาของหลินสวินเป็นประกาย พวกนี้ล้วนเป็นสมบัติหายากที่แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วในจักรวรรดิจื่อเย่า แต่กลับพบเห็นได้ที่นี่</p>
<p>ในขณะเดียวกัน เขาก็พบแร่ธาตุหายากมากมาย อย่างเช่น ‘เลือดแดงชาด’ ‘หินแสงสมบัติ’ ‘ทองแดงแสงสุริยน’ เป็นต้น</p>
<p>“เถาวัลย์สมบัติเอกอุ!”</p>
<p>ตอนที่หลินสวินพบเถาวัลย์ต้นหนึ่งที่มีแสงน้ำบริสุทธิ์รินไหลโดยบังเอิญก็จ้องตาไม่กะพริบ ในใจยินดีอย่างมาก</p>
<p>เถาวัลย์นี้หนาประมาณนิ้วโป้ง ยาวเพียงเจ็ดชุ่น ภายนอกมีลวดลายคลื่นน้ำไหลริน เติบโตในรอยแตกระหว่างหิน ไม่สะดุดตาเลยสักนิด</p>
<p>แต่ขอเพียงเป็นผู้มีความรู้ ย่อมรู้ว่านี่คือของมีค่า!</p>
<p>ภายในเถาวัลย์นี้มีน้ำแท้เอกอุ ไม่เพียงแค่เป็นยาได้ ยังสามารถหลอมโอสถสมบัติไร้เทียมทาน ทั้งยังสามารถหลอมรอยมรรคของน้ำแท้เอกอุออกมาได้อีกด้วย มีประโยชน์อย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่อการหยั่งรู้และควบคุมสัจวิถีธาตุน้ำ!</p>
<p>หลินสวินกำลังกังวลว่าจะควบคุมพลังของสัจวิถีธาตุน้ำที่ตนหยั่งถึงอย่างไรพอดี แต่ตอนนี้เถาวัลย์สมบัติเอกอุสร้างความมั่นใจอย่างมากให้เขาอย่างไม่ต้องสงสัย</p>
<p>หลังจากเด็ดเถาวัลย์สมบัติเอกอุมา หลินสวินก็มุ่งหน้าต่อไป</p>
<p>หลายวันหลังจากนั้น เขาค้นพบเทือกเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง จึงลงมือขุดถ้ำ วางกระบวนรอยสลักวิญญาณตัดกลิ่นอายแล้วเริ่มปิดด่าน</p>
<p>หลินสวินเตรียมจะปิดด่านมาตั้งนานแล้ว เพื่อบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะอย่างเต็มกำลัง เสียดายที่ถูกเรื่องต่างๆ รบกวนมาโดยตลอด จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้</p>
<p>และยามนี้หลังจากได้เห็นความน่ากลัวของแดนลับอสูรมารอริยะ และตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของตนกำลังอันตราย ทำให้หลินสวินตัดสินใจเริ่มการทะลวงระดับในที่สุด</p>
<p>……</p>
<p>ในภูเขา ถ้ำพำนักที่หลินสวินขุดนั้นถูกแยกตัดขาดจากโลกภายนอก</p>
<p>เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ไม่ได้เร่งรีบฝึกปราณ แต่เอาเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมาก่อน</p>
<p>“เจ้าคางคก เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย”</p>
<p>หลินสวินส่งจิตสำรวจชั้นแรกของเจดีย์ก็เห็นว่าจินตู๋อีนั่งขัดสมาธิอยู่ เผ้าผมยุ่งเหยิง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด</p>
<p>ตอนแย่งชิงคัมภีร์สีทองกับธิดาเทพหลินหลาง จินตู๋อีถูกมุกอสนีโลหิตสวรรค์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้หลินสวินอดเป็นห่วงหน่อยๆ ไม่ได้</p>
<p>คางคกทองสามขาตัวนี้แม้จะดูค่อนข้างอันตราย ต่ำช้า เย่อหยิ่ง และคุยโวเกินไปหน่อย แต่ครั้งนี้กลับช่วยหลินสวินไว้มาก เห็นเขาบาดเจ็บเพียงนี้ในใจก็ให้รู้สึกผิดอยู่บ้าง</p>
<p>“ข้า…ข้าไม่เป็นไร…”</p>
<p>จินตู๋อีลืมตาขึ้น สีหน้าซีดเซียว นัยน์ตาที่เดิมทีเป็นสีทองอร่ามก็มืดมนไร้แสง ท่าทางน่าสงสารอย่างคนบาดเจ็บสาหัส</p>
<p>นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกผิด เอ่ยว่า “เจ้าคางคก คราวนี้ต้องขอโทษด้วย รอเจ้าหายแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที”</p>
<p>จินตู๋อีกลับถอนหายใจ พูดด้วยเสียงอ่อนแรง “หากเจ้าอยากชดเชยให้ข้าจริง ก็ยกโสมราชันโคมสมบัติให้ข้าเถอะ บางทีอาจมีแค่มันที่สามารถฟื้นฟูมรรควิถีที่บาดเจ็บรุนแรงของข้า…”</p>
<p>ในขณะที่พูดเขาก็ไออย่างรุนแรง ใบหน้าขาวซีดบวมแดง ท่าทางเหมือนกำลังจะขาดใจตาย</p>
<p>“นี่…”</p>
<p>หลินสวินอึ้งไป ตามหลักแล้วเจ้าคางคกช่วยเขาไว้มากขนาดนี้ แม้ให้กินโสมราชันโคมสมบัติไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร</p>
<p>แต่ตอนที่ได้ยินเจ้าคางคกเอ่ยปากขอเอง หลินสวินกลับรู้สึกตะหงิดๆ</p>
<p>เห็นว่าหลินสวินลังเล จินตู๋อีเหมือนร้อนใจขึ้นมาอยู่บ้าง ไออย่างรุนแรงพลางหายใจหอบพูดเสียงอ่อนแรง “เฮ้อ ถ้าให้โสมราชันโคมสมบัติไม่ได้ หญ้ากิเลนนั่นก็พอจะได้อยู่ ข้า…ข้า…”</p>
<p>พูดพลาง เขาก็กระอักเลือดออกมา ร่างกายสั่นคลอน ยิ่งอ่อนแรงเข้าไปใหญ่</p>
<p>เห็นเช่นนี้หลินสวินกลับยิ่งสงสัย “เจ้าคางคก เช่นนั้นข้ายกโอสถสมบัติให้เจ้าทั้งสองต้นเลย ขอเพียงแค่ช่วยรักษาบาดแผลของเจ้าได้ เสียโอสถวิญญาณแค่สองต้นไม่ใช่ปัญหา”</p>
<p>“จริงหรือ” จินตู๋อีตาเป็นประกาย พลันรีบกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก โสมราชันโคมสมบัติต้นเดียวก็พอแล้ว อ้อ แน่นอนว่าถ้าได้หญ้ากิเลนด้วย ข้าคงกลับคืนสู่สภาพสูงสุดได้อย่างแน่นอน…”</p>
<p>พูดถึงตรงนี้เขาพลันน้ำตาคลอ ไอพลางกล่าว “แน่นอนว่า ข้ารู้ว่าคำขอนี้มันเกินไปหน่อย งั้น…เจ้าก็ดูตามความเหมาะสมเถอะ”</p>
<p>เพี๊ยะ!</p>
<p>พูดจบแสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งก็ฟาดใส่ตัวเขาราวกับแส้</p>
<p>จินตู๋อีร้องโหยหวนกระโดดเหยง แยกเขี้ยวยิงฟันคำรามอย่างเดือดดาล “ระยำเอ๊ย เจ้าหนูเจ้าทำบ้าอะไร ไม่เห็นหรือว่าข้าใกล้จะตายแล้ว”</p>
<p>“แหม ใกล้จะตายแล้ว ยังมีแรงกระโดดขึ้นมาด่าข้าอีกหรือ” หลินสวินยิ้มเย็น</p>
<p>“ข้า…”</p>
<p>จินตู๋อีสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นเขาพลันทรุดลงไปกองกับพื้น ตัวกระตุก เลือดไหลออกปาก พึมพำอย่างอนาถ “แย่แล้ว ข้าจะตายแล้ว เมื่อครู่นี้ต้องเป็นแสงสายัณห์ยามตะวันรอนแน่[1]…”</p>
<p>“แสงสายัณห์ยามตะวันรอนหรือ”</p>
<p>ในขณะที่หลินสวินพูด แสงมรรคทองนิลกาฬสายหนึ่งก็ตกลงมาอีกครั้งและกดดันอยู่ตรงหน้าจินตู๋อี “เช่นนั้น ข้าลองอีกครั้ง?”</p>
<p>มองแสงมรรคทองนิลกาฬที่อยู่ใกล้เพียงคืบ จินตู๋อีสีหน้าเปลี่ยนไป ดูกระปรี้กระเปร่าอย่างมาก ร่างกายหยุดกระตุกและปากก็ไม่กระอักเลือดแล้ว</p>
<p>ครู่ใหญ่ใบหน้าของเขาพลันดูหมดอาลัยตายอยาก พึมพำด้วยท่าทางที่สิ้นหวังอย่างที่สุด “ให้ตาย อยากได้ของดีจากมือคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกอย่างเจ้าสักนิด ช่างยากเย็นเหลือเกิน…”</p>
<p>………………….</p>
<p>[1] แสงสายัณห์ยามตะวันรอน เป็นการเปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่สติกลับมาแจ่มชัด ดูมีกำลังวังชาก่อนจะสิ้นชีวิต</p>
Comments