Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 583 ยอดนักหลอมยา
ด้วยการข่มขู่ที่ไม่ปิดบังเลยสักนิดของหลินสวิน ในที่สุดเจ้าคางคกก็พยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ
แต่ปากเขายังคงดื้อดึง ทั้งยังตบอกรับประกัน ว่าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ตนและจ้าวจิ่งเซวียนฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยสักนิด
หลินสวินกลอกตา คร้านจะถือสาเขา
ทว่าสุดท้ายหลินสวินก็เริ่มดำเนินการ
เขาเตรียมเตาหลอมสำริดสามเตา ล้วนเป็นอาวุธวิญญาณ ไม่ถึงกับมีค่ามากมาย แต่ใช้เคี่ยวยาย่อมไม่มีปัญหา
เวลานี้เจ้าคางคกจิตใจฮึกเหิมราวกับแปลงกายเป็นปฐมาจารย์หลอมยาผู้หนึ่ง มือเท้าโยนโอสถวิญญาณใส่เตาหลอมทั้งสามอย่างว่องไว
แน่นอนว่าโอสถวิญญาณเหล่านี้นำออกมาจากตัวหลินสวิน ในนั้นก็มีโอสถสมบัติหายากอย่างหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วง หญ้าแสงจันทร์เป็นต้น
โอสถหลายร้อยชนิด บ้างเป็นสิ่งที่หลินสวินเก็บมาด้วยตนเอง แต่ส่วนมากล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกในตัวศัตรูที่ฆ่าตายหลายวันมานี้
“ดอกโป่งรากสนพันปีบำรุงเลือดลมดีอย่างยิ่งยวด จับคู่กับผลเมฆเก้าแฉก รากหยกเขียว เถาวัลย์อรหันต์… หลอมเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้ต้องดีเลิศแน่!”
เจ้าคางคกสีหน้าตื่นเต้น พูดงึมงำไม่ชัดเจน โอสถวิญญาณแต่ละชนิดถูกเขาโยนเข้าไปในเตาหลอมอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น กลิ่นเข้มข้นหอมกรุ่นอบอวลในอากาศ พาให้ทั้งร่างปลอดโปร่ง
เมื่อดูในเตาหลอมอีกครั้ง โอสถสมบัติอย่างบัวหยกกระดูกดำ กล้วยไม้หิมะอสูรชาดเปล่งประกายเจิดจ้าเรืองรองออกมา ย้อมเตาหลอมด้วยแสงแวววาวชั้นหนึ่ง กลิ่นหอมโอสถเข้มข้น ทำให้รู้สึกราววิญญาณออกจากร่าง
นี่เป็นการหลอมยาที่ฟุ่มเฟือยที่สุดครั้งหนึ่งตั้งแต่หลินสวินฝึกปราณมา โอสถวิญญาณที่ใช้ไม่มีสิ่งใดไม่เป็นของล้ำค่าที่สาบสูญจากโลกภายนอกไปนานแล้ว มีเพียงในแดนลับอสูรมารอริยะเท่านั้นถึงหาได้ และตอนนี้ได้ถูกโยนลงไปในเตาหลอมสามเตาเพื่อดำเนินการหลอมจนสิ้นแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการลงมือครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าโอสถวิญญาณในเตาหลอมสามเตาไม่เหมือนกัน โอสถสมบัติที่หลอมออกมาย่อมไม่เหมือนกัน เพราะนี่แบ่งออกเป็นยาที่เตรียมไว้ให้จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคกและตัวหลินสวินเอง
สองคนแรกเพื่อรักษาบาดแผล ส่วนของหลินสวินเพื่อความเสถียรของระดับพลังปราณ โอสถสมบัติที่หลอมออกมาย่อมต่างกัน
ไม่อาจไม่พูดว่าเจ้าคางคกเป็นยอดฝีมือด้านการหลอมยาผู้หนึ่งจริงๆ รู้คุณสมบัติพิเศษของโอสถวิญญาณแต่ละชนิดเป็นอย่างดีราวกับสมบัติในบ้านตนเอง ทั้งเห็นได้ชัดว่าเชี่ยวชาญตำรับยาที่มีเอกลักษณ์ไม่น้อย ทำให้ยามเขาจับคู่โอสถวิญญาณล้วนหยิบจับโดยไม่คิด ดูคุ้นเคยหาใดเทียบ
นี่ก็คือพรสวรรค์ของเผ่าคางคกทองสามขา พวกเขาแยกแยะสรรพสมบัติล้ำค่า หากไปรับหน้าที่เป็นนักหลอมยา ต้องเป็นยอดฝีมือแน่
ไม่นานนักเจ้าคางคกค้นถุงเก็บของหลินสวินอยู่ครู่ใหญ่ หาผลึกแสงเมฆาเพลิงกองหนึ่งออกมาทำเป็นเชื้อเพลิง เริ่มทำการหลอม
แสงไฟลุกโหม เพียงชั่วพริบตาเดียวในเตาหลอมก็ปล่อยแสงหลากสีมากมายออกมา ไหลเอ่อไปในห้วงอากาศ ส่งกลิ่นหอมประหนึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในส่วนลึกของจิตวิญญาณ พาให้ผู้คนมัวเมา
สุดท้ายจ้าวจิ่งเซวียนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ ไม่ทันได้ถามไถ่มากมาย ก็ถูกหลินสวินกับเจ้าคางคกร่วมกันเชื้อเชิญเข้าไปฝึกในเตาหลอมเตาแรก
แน่นอนว่าเป็นการถอดอาภรณ์ทั้งร่าง ภายใต้สายตาสอดส่องอันเย็นชาของหลินสวิน เจ้าคางคกก็ไม่กล้าแอบดู
แม้จะเป็นเช่นนี้ จ้าวจิ่งเซวียนก็ยังเหนียมอายและขัดเขินอยู่บ้างเล็กน้อย หลังจากถอดเสื้อผ้าทั่วร่างโดยหันหลังให้ทั้งสองคนแล้ว ใบหน้างามซีดขาวก็ย้อมไปด้วยสีแดงซ่าน
ยังดีที่หลังจากเข้าไปนั่งในเตาหลอมแล้ว นางก็กลับมาสงบนิ่ง เริ่มนั่งสมาธิอย่างสงบใจ
“เจ้าหนู เจ้าคิดมากไปแล้ว มีหรือข้าจะเป็นคนบ้ากามชอบถ้ำมองพรรค์นั้น”
เจ้าคางคกพึมพำพร่ำบ่นยกหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระโดดเข้าไปในเตาหลอมเตาที่สองอย่างรีบร้อน แล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
เงาร่างของเขาแปรสภาพเป็นรูปลักษณ์เดิมที่เป็นคางคกทองสามขา นั่งยองอยู่ในเตาหลอมเริ่มกำหนดลมหายใจทำสมาธิ
“หึ หากข้ารู้ว่าเจ้าถ้ำมอง จะจับคางคกอย่างเจ้าย่างกินเสียเลย ได้ยินว่าขาคางคกกินแล้วชูกำลังได้ดีนี่”
หลินสวินเตือนครั้งหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุไม่คาดคิดแล้ว ก็เหยียบย่างเข้าไปนั่งขัดสมาธิในเตาหลอมเตาที่สาม
น้ำโอสถในเตาหลอมเข้มข้น โอสถวิญญาณกิ่งแล้วกิ่งเล่าจมๆ ลอยๆ บ้างสีทองอร่าม บ้างสีขาวส่องสว่าง บ้างเป็นสีแดงราวเปลวเพลิง บ้างปะทุแสงจันทรา สวยสดงดงาม กลิ่นหอมลอยละล่อง
นี่ย่อมเป็นสิ่งหรูหราน่าตื่นตะลึงหาใดเทียบ ต่อให้คนใหญ่คนโตจากเผ่าเหล่านั้นได้เห็นเกรงว่าจะอึ้งไปเช่นกัน โอสถสมบัติชั้นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงจัดเตรียมไว้ให้ผู้สืบทอดจำนวนจำกัดไม่กี่คน ไม่สามารถนำออกมาใช้อย่างทิ้งขว้างได้
หลินสวินสงบใจทำสมาธิ ในนิมิตแว่วเสียงคัมภีร์ประสานมายาที่สืบทอดมาในตระกูล เสียงสวดท่องราวเสียงธรรมดังขึ้นเป็นระลอก ทำให้เขาล่องลอยทั้งภายในภายนอก สงบราบเรียบ
จากนั้นโคจรเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินโคจร ทำให้แสงเทพภายในถ้ำสวรรค์ไหลวน ท่วงทำนองมรรคกึกก้อง แสงสมบัติไตรมรรคราวหยกขาวทอดตัวลงมาบนแท่นมรรคเก่าแก่ กลิ่นอายบริสุทธิ์ไพศาลพลิ้วลอย
หลินสวินเหม่อลอยเคลิบเคลิ้มโดยสิ้นเชิง ไม่นานนักก็จมสู่การฝึกปราณขั้นลึก ตั้งมั่นและขัดเกลาระดับปราณของตน
ในเตาหลอม นอกจากโอสถวิญญาณยังมีแร่ธาตุและวัตถุดิบวิญญาณบางชนิด อาทิผลึกแรกไม้เขียวที่รูปร่างราวกำปั้น หนอนเขาเงินที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ จักจั่นหยกหกขาที่ทั้งร่างราวเหล็กกล้า…
ทั้งหมดนี้ทำให้น้ำโอสถในเตาหลอมเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและพลังชีวิต อวลไอหมอกพวยพุ่งขมุกขมัว ไอมงคลนานาชนิดไหลเวียน แหล่งพลังชีวิตเข้มข้นจนแยกจากกันไม่ออก
ร่างของหลินสวินอยู่ภายในนั้น ถูกพลังโอสถชำระล้าง ใช้พลังโอสถเป็นตัวนำหลอมภายในและภายนอกร่างกาย บำรุงและขัดเกลา
หลังจากบรรลุระดับ สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือรากฐานไม่มั่นคง ด้วยเหตุนี้หลังผู้ฝึกปราณบรรลุระดับล้วนเลือกเก็บตัวระยะหนึ่ง จนเมื่อพลังปราณเสถียรโดยสมบูรณ์แล้ว จึงจะถือได้ว่าสำเร็จโดยสมบูรณ์
และตอนนี้หลินสวินก็กำลังสร้างความมั่นคงให้พลังปราณระดับใหม่ของตนอยู่
ระดับหยั่งสัจจะ แบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่คือขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง ทุกขั้นล้วนมีความมหัศจรรย์ของตัวเอง
ทว่าขอเพียงบรรลุระดับหยั่งสัจจะ ก็สามารถเริ่มเสาะหาหนทางสู่มหามรรคที่แท้จริง เริ่มหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งมหามรรคได้
นี่เป็นขอบเขตใหม่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
และสำหรับหลินสวินแล้ว หนทางของเขายังต่างกับผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะคนอื่น เป็นมกุฎมรรคาที่เกิดขึ้นหลังจากยกระดับจนสิ้นแล้ว ถือเป็นหนึ่งในมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถพบได้ในยุคบรรพกาล
อาทิ ยามอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ เขาก็ได้ครอบครองท่วงทำนองแห่งมรรคธาตุน้ำ ตอนนี้เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำและชำระล้างของด่านเคราะห์อสนีหกครั้งอันไร้เทียมทาน ทำให้เขาซึ่งอยู่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น สามารถสร้างแท่นมรรคที่มีเพียงผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงเท่านั้นถึงสร้างขึ้นได้!
อีกทั้งแท่นมรรคหยั่งสัจจะนั้นยังหลอมรวมพลังระเบียบกฎเกณฑ์ที่แปรสภาพมาจากเคราะห์สวรรค์ แปรเปลี่ยนเป็นมั่นคงและไพศาล ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ โดดเด่นเหนือใคร
ที่เหลือเชื่อที่สุดก็คือแสงสมบัติหยั่งสัจจะไตรมรรคที่พัวพันอยู่บนแท่นมรรคนั้น!
มรรคก่อเกิดหนึ่ง หนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดสรรพสิ่ง! แสงสมบัติไตรมรรคนี้คือการสะท้อนถึงมรรควิถีสูงสุด แสดงให้เห็นถึงพลังอันสัมบูรณ์ของหลินสวิน!
ตอนนี้แม้หลินสวินไม่รู้ว่าแสงสมบัติหยั่งสัจจะไตรมรรคนี้มีคุณประโยชน์เช่นไรกันแน่ แต่ที่คาดการณ์ได้ก็คือ ยิ่งเขาฝึกปราณลึกซึ้งขึ้น ไม่แน่สักวันก็จะมองทะลุความอัศจรรย์ที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายในนั้นได้!
สรุปแล้ว ทุกสิ่งที่หลินสวินครอบครองในตอนนี้ล้วนทำให้เขาโดดเด่นในหมู่ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น ถึงกับเรียกได้ว่าไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
ด้วยเหตุนี้ การขัดเกลาและการสร้างความมั่นคงที่เขาทำอยู่เวลานี้ ก็เพื่อทำความคุ้นเคยและควบคุมพลังสัมบูรณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงนี้โดยเร็วที่สุด!
…
สามวันผ่านไป
หลินสวินพลันลืมตาตามเสียงโครมครามที่ราวกับปะทุอยู่ภายในกาย แล้วพบว่าในเตาหลอมแห้งเหือดไปนานแล้ว พลังโอสถทั้งหมดล้วนถูกดูดซับอย่างหมดจดเหลือเพียงกากยา
‘ไม่คิดเลยว่าการสร้างความเสถียรให้ระดับปราณครั้งนี้ กลับทำให้ข้าอาศัยพลังโอสถทะลวงขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น…’
หลินสวินพึมพำในใจ ทั้งร่างเขาเกลี้ยงเกลาไร้รอยขีดข่วน เปล่งปลั่งเจิดจ้าราวกระจก ผิวหนังทุกกระเบียดล้วนเจือแสงท่วงทำนองมรรคที่พาให้ผู้อื่นหายใจไม่ออก บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างบอกไม่ถูก
‘นี่ก็คือประโยชน์ของการเสาะหาวาสนา หากครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาในแดนลับอสูรมารอริยะ ข้าก็คงไม่สามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่ยากเกินคาดคิดมากมายเช่นนี้ ไปพร้อมกับการผ่านความยากลำบากมากมายเพียงนี้ได้’
หลินสวินเกิดความรู้แจ้งขึ้นในใจ
นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้ฝึกปราณใต้หล้าต้องการเสาะหาวาสนา อาจเสียงภัยนัก อาจมีตัวแปรนับไม่ถ้วน แต่ขอเพียงได้พบวาสนาโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นการเคี่ยวกรำที่ไม่ทันตั้งตัวครั้งหนึ่ง ก็จะทำให้ผู้ฝึกปราณเกิดความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง แปรเปลี่ยนไปจากเดิม!
หากมัวแต่ปิดด่านเก็บตัวอยู่ในนครต้องห้าม ย่อมไม่มีทางมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
หลินสวินออกมาจากเตาหลอมแล้วสวมเสื้อผ้า เขาในเวลานี้รับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว พลังปราณและพละกำลังถูกทำให้มั่นคงและควบคุมได้หมดจด ไม่คลุมเครืออีกต่อไป
เขาทอดสายตาไปรอบทิศ ที่หมุนเวียนอยู่ในดวงตาดำราวหุบเหวใหญ่นั้นเป็นแสงลุ่มลึกที่จะกลืนกินเวิ้งฟ้าจนหมดสิ้นอย่างหนึ่ง!
หลินสวินในเวลานี้เมื่อยกมือวาดเท้าล้วนมีท่วงทำนองแห่งมรรค มีความเชื่อมั่นไร้เทียมทาน ทั้งยังมีท่วงท่าสง่าโดดเด่นที่กล้าหาญเกินใคร
เขาถึงกับกระหายอยู่บ้างว่าอยากออกไปประสบเคราะห์ข้างนอกสักครั้ง ดีที่สุดคือได้เจอกับบุคคลชั้นยอด เพื่อพิสูจน์พลังที่แท้จริงของตน
“มองอะไรลับๆ ล่อๆ น่ะ!”
ฉับพลัน หลินสวินชำเลืองเห็นว่าเจ้าคางคกยื่นหัวออกมาจากเตาหลอม กำลังมองลับๆ ล่อๆ ไปทางจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ในเตาหลอมเตาแรก
หลินสวินตบเข้าหน้าผากเจ้าคางคกดังเผียะ ฝ่ายหลังเจ็บปวด ร้องเสียงดังลอดไรฟันออกมาว่า “ให้ตายสิ เจ้าใช้แรงเช่นนี้ทำไม คิดจะปลิดชีพข้าหรือ!”
“กล้ามองมั่วซั่วอีก ข้าจะจับเจ้าย่างกินจริงๆ แล้ว!” หลินสวินสีหน้าร้ายกาจ
เจ้าคางคกหน้าหงอย พูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “ข้าห่วงความปลอดภัยของแม่นางจ้าว คิดจะดูเสียหน่อยว่าอาการบาดเจ็บของนางดีขึ้นหรือยัง จะไปเลวทรามต่ำช้าแบบที่เจ้าคิดได้อย่างไร ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าย่อมไม่ใช่คน เจ้าเป็นคางคกลาย ไม่เคยได้ยินหรือ คางคกลายยังอยากกินเนื้อหงส์ฟ้า ฝันไปเถอะ” หลินสวินยิ้มเหี้ยม
“นี่เจ้ากำลังลบหลู่ข้า! หากไม่ขอโทษ ข้าจะสู้กับเจ้าให้ตายไปข้างหนึ่งเพื่อเกียรติของเผ่าคางคกทองสามขา!” เจ้าคางคกสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
“เอาสิ ข้ากำลังอยากหากระสอบซ้อมมืออยู่พอดี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะส่งตัวเองมาให้ข้าถึงที่” หลินสวินลูบกำปั้นถูฝ่ามือ อยากลองเต็มที
เจ้าคางคกหน้าเปลี่ยนสี ครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจพูดออกมาว่า “ช่างเถอะๆ ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่อยากจะใช้ความอาวุโสรังแกผู้น้อย ไปเอาความกับเจ้าเปี๊ยกเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง”
คิก!
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเตาหลอมเตาแรก รื่นหูราวเสียงสวรรค์ ไพเราะอย่างบอกไม่ถูก เป็นจ้าวจิ่งเซวียนฟื้นขึ้นจากการนั่งสมาธิ
ทันใดนั้นหลินสวินก็ทอดสายตามองไป
เพียงแต่เวลาต่อมาเขาก็กระอักกระอ่วนเสียแล้ว จากมุมของเขา มองเห็นร่างขาวเปล่งปลั่งที่เปิดเปลือยของจ้าวจิ่งเซวียนพอดี ภาพนั้น…งดงามเย้ายวนนัก!
——
Comments