Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 637 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 637 ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาหนึ่งเค่อ หากเป็นเมื่อก่อนก็เหมือนแค่ช่วงเวลาเพียงดีดนิ้ว

ทว่าตอนนี้สำหรับพวกหลินสวินแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่าดูยาวนานและแสนทรมานเป็นพิเศษ

ราชันระดับสังสารวัฏรวมสิบสามคนกรีธาทัพมาพร้อมกัน สำแดงกระบวนสังหาร โจมตีจนพลิกฟ้าคว่ำดิน หมายจะพิฆาตพวกเขา

หากไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คงไม่สามารถจินตนาการถึงความรู้สึกน่าสะพรึงที่ทำให้ผู้คนสิ้นหวังเช่นนั้นได้อย่างสิ้นเชิง

เจ้าคางคกที่แต่เดิมร้องลั่นด้วยความดาลเดือดไม่หยุดยังนิ่งเงียบอย่างน่าประหลาดใจ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอึมครึม เจียนจะมีน้ำไหลพรากออกมา สิ่งที่ฉายเด่นกลางนัยน์ตาคือความกังวล ยังมีความเดือดดาลและเคียดแค้นไม่รู้จบ

สถานการณ์เช่นนี้ ลางร้ายล้อมกาย ประดุจเดินอยู่บนเส้นแห่งความเป็นความตาย หากประมาทเพียงเสี้ยวเดียว ก็จะตกสู่จุดจบที่ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ตลอดกาล

หลินสวินเองก็นิ่งเงียบเช่นกัน นัยน์ตาดำสนิทลุ่มลึกจนน่ากลัว ราวกับก้นเหวไร้จุดสิ้นสุด

ไปๆ มาๆ แม้ในระดับหยั่งสัจจะเขาอาจกำราบศัตรูแทบทั้งปวงได้ ทว่าครั้นเผชิญหน้ากับราชันระดับสังสารวัฏ ท้ายที่สุดก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี!

ความรู้สึกที่ได้แต่เผ่นหนี ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไปต่อต้านเช่นนั้น ทำให้หลินสวินโหยหาจะครอบครองพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเป็นครั้งแรก

ใช่แล้ว พลัง!

……

ดวงหน้าพริ้มพรายของอาหูขาวซีดเล็กน้อย ถึงแม้การแสดงออกจะยังคงนิ่งสงบ ทว่าร่างกายที่สั่นน้อยๆ และหยาดเหงื่อชุ่มบนหน้าผากของนางกลับเผยให้เห็น ว่านางกำลังฝืนตนประคับประคอง จวนเจียนจะถึงขีดสุด

เวลาหนึ่งเค่อ

สำหรับนางแล้วเห็นชัดว่าทรหดและยาวนานเช่นเดียวกัน ดุจว่ากำลังดิ้นรนอยู่หน้าประตูนรก ใครก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าความตายจะมาเยือนเมื่อไรกันแน่

ได้เห็นฉากนี้ หลินสวินอยากถามอยู่หลายหนว่า ไฉนรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดเคราะห์สังหารระดับนี้ขึ้น เจ้ายังอยากช่วยพวกเราอีก

ทว่าท้ายที่สุดหลินสวินก็ไม่ได้เอ่ยปาก

เวลานี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีที่สุดในการพูดคุยกันสักนิด สิ่งนี้จะกระทบต่ออาหู และยิ่งกระทบต่อชะตาชีวิตของพวกเขาทุกคนอีกด้วย

เพียงแต่ว่าส่วนลึกภายในจิตใจ ไม่ว่าเหตุผลใดที่ทำให้อาหูทำเช่นนี้ หลินสวินก็จดจำความเมตาอันใหญ่หลวงครั้งนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตูม!

เสียงการจู่โจมสนั่นโลกต่างประดังพรั่งพรูอยู่ทุกเวลา ทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี สรรพสิ่งล้วนสั่นสะเทือน ระหว่างทางทั้งโขดหินและหมู่เกาะถูกทำลายราบไปไม่รู้เท่าไร

ยิ่งไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายแค่ไหน ที่ถูกทำลายในเคราะห์สังหารซึ่งมาเยือนอย่างปุบปับฉากนี้

และกับเรื่องทั้งหมดนี้ ราชันระดับสังสารวัฏที่ไล่สังหารเหล่านั้นกลับไม่ใส่ใจ

ในสายตาพวกเขามีแต่ยานขนส่งอวกาศลำนั้นเท่านั้น!

ในนั้นซุกซ่อนมหาศุภโชคที่พวกเขาปรารถนาเอาไว้ ไม่ว่าเป็นใครล้วนไม่อาจหักใจพลาดโอกาสทองหายากระดับนี้ไปทั้งนั้น

เพียงแต่เหนือความคาดหมายของพวกเขา ยานขนส่งอวกาศลำนั้นเหมือนเป็นแสงสายหนึ่งก็ไม่ปาน ไม่เพียงความเร็วที่ไวอย่างมหัศจรรย์ราวกับเคลื่อนย้าย ทั้งพิกัดยังล่องลอย แม้จะเผชิญกับการจู่โจมสังหารของพวกเขา ก็ยังสามารถหลบหนีหลุดรอดได้ทุกครั้ง!

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจล้นเหลือ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

ยานสมบัติลำหนึ่งเท่านั้น บรรทุกเจ้าเด็กที่ไม่ควรค่าชายตาแลไม่กี่คนเอาไว้ ถ้าหากปล่อยให้มันหนีรอด เช่นนั้นพวกเขาคงต้องขายหน้าทั้งเผ่าแล้ว

หากแพร่ไปทั่วน่านสมุทรทะเลใต้ คงหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นตัวตลกคนหนึ่งอย่างแน่นอน

ไล่ตาม!

สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างมีโทสะ ลงมือจัดการสุดกำลัง

……

ท้ายที่สุดอาหูก็ไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงหนึ่งเค่อ ระหว่างทางนางแค่นเสียงอู้อี้ออกมาคราอย่างแรง มุมปากที่ซีดขาวไปนานแล้วผุดคราบเลือดสีแดงสดหนึ่งสาย

หนำซ้ำบริเวณหว่างคิ้วของนางยิ่งปรากฏความเหนื่อยล้าที่ยากขจัดทิ้งเสี้ยวหนึ่ง

ขาดอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น…

จะล้มเหลวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายกระนั้นหรือ

ภายในใจอาหูปรากฏความโรยแรงอันลุ่มลึกขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง นางฮึดสู้เต็มที่ รีดเร้นพลังของตนอย่างถึงที่สุด

“บอกเคล็ดวิธีบังคับกับข้า ให้ข้าจัดการเอง”

เวลานี้เสียงของหลินสวินพลันดังกระทบโสต อาหูนิ่งงัน เมื่อหันมองไปก็เห็นนัยน์ตาดำที่ทั้งเยือกเย็นและลึกล้ำคู่นั้นของหลินสวิน

นางเลือกจะเชื่อตามจิตใต้สำนึก เอ่ยขึ้นมาว่า “ได้!”

หลินสวินก้าวไปเบื้องหน้า สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ท่าทางเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและจดจ่ออย่างสิ้นเชิง ราวกับก้นสมุทรที่เมื่อถึงเวลา ไม่ว่ากระแสคลื่นจะซัดสาดอย่างไรก็ยังคงไม่ไหวติง

เดิมทีเจ้าคางคกวิตกกังวลหาใดเปรียบ อยากถามสักคำนักว่าเจ้าไหวหรือ

ทว่าท้ายที่สุดเขาก็กลั้นเอาไว้ เห็นได้ชัดแล้วว่าอาหูยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว พริบตาสถานการณ์ก็เลวร้ายและอันตรายเยี่ยงนี้ ก็ได้แต่ลองเสี่ยงดูสักตั้ง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เจ้าคางคกและอาหูคาดไม่ถึงคือ หลังจากที่หลินสวินจับเคล็ดการบังคับได้แล้ว ถึงกับแสดงมาตรฐานที่เยี่ยมยอดหาใดเปรียบออกมา!

ภายใต้การบังคับของเขา ยานขนส่งอวกาศได้เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี หลบเลี่ยงเคราะห์สังหารครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างหวุดหวิด ทักษะการบังคับอันชำนาญเช่นนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าตอนอาหูเป็นผู้บังคับเองด้วยซ้ำ ดูไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าหลินสวินบังคับยานขนส่งอวกาศเป็นครั้งแรก

จนกระทั่งในเวลาต่อมา อาจเพราะคุ้นเคยกับการควบคุมประเภทนี้แล้ว ทักษะของหลินสวินก็เริ่มแม่นยำ ช่ำชองและแยบยลขึ้นเรื่อยๆ

เจ้าคางคกมองจนไม่วางตา กู่ร้องว่าวิปริต

ส่วนอาหูเองก็นิ่งงันไปเช่นเดียวกัน ดวงตาสุกปลั่งมองไปที่ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่มข้างกาย ก่อนปรากฏแววแปลกประหลาดที่หาได้ยาก

สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือ ตลอดทางก่อนหน้านี้หลินสวินลอบจับตามองและเรียนรู้อย่างลับๆ และสันทัดจัดเจนในทักษะการบังคับของอาหูตั้งนานแล้ว

กอปรกับเขาสลักรอยสลักวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัย เดิมทีก็เป็นหนุ่มน้อยปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งอยู่แล้ว และตอนนี้เขาแค่บังคับสมบัติที่ปกคลุมด้วยกระบวนสลักวิญญาณโบราณมากมายลำหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่ยากสำหรับหลินสวินอยู่แล้ว

กระทั่งอาศัยองค์ความรู้แกร่งกล้าที่เขามีต่อกระบวนสลักวิญญาณ เมื่อบังคับยานสมบัติ ยิ่งสามารถแสดงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดออกมา

ในจุดนี้เกรงว่าแม้แต่อาหูยังไม่อาจทำได้

“หืม? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”

“สมควรตาย พลังของยานขนส่งอวกาศลำนี้ไฉนจึงน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้ ไม่ใช่บอกว่านี่เป็นสมบัติอริยะบรรพกาลที่ชำรุดชิ้นหนึ่งหรอกหรือ”

“น่าชังนัก! หากให้ข้ารู้ว่าผู้ใดใช้สมบัติชิ้นนี้ช่วยเหลือไอ้เศษเดนนั่น ข้าจะป่นกระดูกมันเป็นแน่แท้!”

ด้านนอก ราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งต่างสัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงการเปลี่ยนแปลงของยานขนส่งอวกาศ ครู่เดียวสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นอักโข

ไล่สังหารมาจนตอนนี้ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ แล้ว พวกเขาราชันระดับสังสารวัฏกลุ่มหนึ่งกลับยืดยาดจนปัญญาต่อสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกถึงความอัปยศ ความอับอายกลายเป็นโกรธ

“แย่แล้ว เบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นสุสานสมุทรฝังมรรค!”

ฉับพลันราชันระดับสังสารวัฏจำนวนมากตระหนึกถึงความไม่ชอบมาพากล กลางนัยน์ตาฉายประกายกริ่งเกรงลุ่มลึกเสี้ยวหนึ่ง จากที่พวกเขารู้ พื้นที่ทะเลที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่พันลี้ ก็คืออาณาเขตที่ ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ แผ่คลุมอยู่

นั่นเป็นดินแดนแห่งมหันตภัยแห่งหนึ่ง!

ในสมัยบรรพกาล ในนั้นเคยเป็นสนามรบเทพมาร อัครบุคคลไม่รู้ตั้งเท่าไรร่วงหล่นและคงอยู่มาจวบจบปัจจุบัน ที่นั่นกลายเป็นดินแดนพิศวงและอวมงคลผืนหนึ่ง ดุจหนึ่งแดนต้องห้าม เปี่ยมด้วยอันตรายน่าหวาดหวั่นที่ไม่สามารถจินตนาการได้

แม้จะเป็นราชันระดับสังสารวัฏ ล้วนไม่กล้าผลีผลามบุกทะลวงเข้าไปในนั้น!

“เร็ว ขวางพวกเขาไว้! จะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในนั้นไม่ได้เด็ดขาด!”

ชายชราชุดคลุมดำแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนองส่งเสียงร้องยาว

ตูม!

เพียงชั่วครู่พื้นที่บริเวณนี้ต่างสับสนวุ่นวาย สัตว์ประหลาดเฒ่าสิบกว่าคนร่วมกันโจมตีสุดกำลัง ปราศจากการออมชอมใดๆ อีกต่อไป หมายจะรั้งยานขนส่งอวกาศเอาไว้

เวลานี้เป็นช่วงอันตรายและน่าสะพรึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะเดียวกัน หลินสวินในยามนี้เยือกเย็นเป็นประวัติการณ์ สมาธิแน่วแน่ ใช้พลังทั้งหมดไปกับการบังคับยานขนส่งอวกาศ

การโจมตีที่ห้ำหั่นไม่ขาดสายจากภายนอกนั้นถูกเขาสังเกตอย่างแม่นยำ จากนั้นจึงบังคับยานขนส่งอวกาศด้วยวิธีอันน่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่ง

บางครั้งดูเหมือนถูกปิดผนึกและล้อมรอบแล้วแท้ๆ ทว่าหลินสวินกลับพบโอกาสเสี้ยวหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เอาชีวิตรอดจากสถานการณ์หมดหวัง หลุดพ้นพันธนาการอย่างหวุดหวิดอยู่ร่ำไป

ทั้งหมดนี้ถูกเจ้าคางคกและอาหูมองเห็นอยู่ในสายตา ทำให้ทั้งสองต่างตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมกาย หัวใจกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ

“นั่น…นั่นคือสุสานสมุทรฝังมรรค!” ฉับพลันเจ้าคางคกร้องเสียงหลงขึ้นมา มองเห็นพื้นที่ทะเลซึ่งถูกปกคลุมด้วยพยับหมอกสีเทาผืนหนึ่ง

เวิ้งนภาตรงนั้นล้วนมืดครึ้มดุจรัตติกาลนิรันดร์ น้ำทะเลดำสนิท พยับหมอกพวยพุ่ง เร้นลับทั้งยังมืดมน ทำให้ผู้คนหวาดผวา

และตอนที่เจ้าคางคกได้สติตื่นขึ้นมานั้น ก็อาศัยอยู่ที่นั่นมาโดยตลอดเหตุใดจะจำไม่ได้กันเล่า

น้ำเสียงของเขาเพิ่งสิ้นสุดก็ได้ยินเสียงสวบดังขึ้นหนึ่งที ยานขนส่งอวกาศราวกับแสงกะพริบสีเงินเสี้ยวหนึ่ง พุ่งเข้าไปในพยับหมอกอันเวิ้งว้างโดยพลัน

แทบในเวลาเดียวกัน การโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏทั้งหมดพลันปกคลุมลงมา ทำให้พื้นที่ทะเลแถบนี้เกือบระเบิดกลายเป็นความว่างเปล่าที่พังทลาย

เฉียดฉิวไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น!

พวกหลินสวินเกือบประสบภัยเข้าให้แล้ว!

ทว่าเป็นเพราะความเฉียดฉิวนี้ ทำให้พวกเขารอดพ้นพันธนาการ พุ่งสู่พื้นที่ทะเลอันเป็นที่ตั้งของสุสานสมุทรฝังมรรค

“หยุดได้ ไม่ต้องหนีอีกแล้ว ตอนนี้พวกเราควรมาชมเรื่องบันเทิงฉากหนึ่งดีกว่า!”

ทันใดนั้นอาหูเปล่งเสียง นัยน์ตาสุกปลั่งฉายแววเกลียดชังเสี้ยวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านางเดือดดาลหาใดเปรียบต่อการถูกไล่สังหารเมื่อครู่

“ชมเรื่องบันเทิง? เจ้ายังมีแก่ใจชมเรื่องบันเทิง? ที่ระยำนี่เป็นถึงสุสานสมุทรฝังมรรคเชียวนะ น่ากลัวยิ่งกว่าราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นอีก!”

เจ้าคางคกโกรธจนเต้นเร่าๆ เมื่อก่อนเขามั่วสุมอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ มีหรือจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวและอันตรายของที่นี่

และไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะหนีเอาชีวิตรอด ออกไปจากสถานที่บัดซบนี้ได้

ใครจะไปคิด วันนี้จะหนีกลับมาอีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้สภาพอารมณ์ของเขาย่ำแย่จนไม่อาจแย่ไปมากกว่านี้ได้แล้ว

อาหูหัวเราะร่วน กล่าวโดยไม่ได้อธิบายอะไร “เชื่อข้า ไม่ผิดแน่นอน พวกเจ้าไม่อยากดูว่าเจ้าเฒ่าที่ไล่สังหารพวกเราเหล่านั้นจะดวงซวยขนาดไหนหรือ”

ประโยคเดียวก็ทำให้เจ้าคางคกหัวใจกระตุกเสียแล้ว

ส่วนหลินสวินกลับมองไปที่อาหูคล้ายขบคิดใคร่ครวญ ท้ายที่สุดก็ยังรับคำ จอดยานขนส่งอวกาศอยู่ในพยับหมอกจุดหนึ่ง

เรื่องบันเทิง?

จะเป็นเรื่องบันเทิงแบบไหนกันแน่

สายตาของพวกเขามองออก ไปเบื้องหน้านอกยานขนส่งอวกาศ

……

“น่าชังนัก!”

“ดันปล่อยพวกเขาหนีเข้าไปจนได้!”

ละแวกสุสานสมุทรฝังมรรคมีเสียงตวาดเดือดดาลระลอกแล้วระลอกเล่าดังก้องขึ้น ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความขัดใจและไฟโทสะ ประดุจฟ้าคำรามปั่นป่วน พรั่งพรูไปทั่ว

ราชันระดับสังสารวัฏมาถึงคนแล้วคนเล่า เงาร่างปรากฏอยู่ละแวกใกล้เคียง ทว่าชั่วขณะนี้พวกเขาต่างลังเล คล้ายกับกริ่งเกรง ไม่กล้าผลีผลามบุกทะลวงเข้าไป

“ทำอย่างไรดี ที่แห่งนี้น่าสะพรึงนัก หากบุ่มบ่ามเข้าไปในนั้น เกรงแต่จะประสบภัยพิบัติร้ายแรงเท่านั้น!”

มีสัตว์ประหลาดเฒ่าเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ยังจะทำอย่างไรได้ บุกเข้าไป! มหาศุภโชคบนตัวของเจ้าเศษเดนนั่นมีความเกี่ยวข้องกับอริยมรรคบรรพกาล วาสนาระดับนี้จะพลาดได้อย่างไร”

มีคนแค่นเสียงเย็นอย่างแข็งกร้าวยิ่ง ทว่ากลับไม่ได้เริ่มกระทำการทันทีทันใด เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เขาจะเอ่ยคำอย่างกึกก้อง แต่ที่จริงแล้วภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

นี่ก็คือความน่ากลัวของสุสานสมุทรฝังมรรค ดุจดั่งแดนต้องห้าม สามารถทำให้ราชันระดับสังสารวัฏต่างหน้าถอดสี แค่คิดก็รู้ว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความพิศวงและอวมงคลมากเพียงใด

“พวกเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าก็ขอนำหน้าก้าวหนึ่งแล้ว!”

ทันใดนั้นชายชราชุดคลุมดำแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนองสาวเท้าย่างก้าวฉับๆ เงาร่างพลันหายลับไปในพยับหมอกสีเทาอันเวิ้งว้างแห่งนั้น

สิ่งนี้ทำให้ราชันระดับสังสารวัฏคนอื่นๆ ล้วนกระสับกระส่าย สายตาวูบไหว

ไม่ทันไรก็มีสัตว์ประหลาดเฒ่าห้าหกคนกัดฟันแน่น ทำการตัดสินใจ ทะยานตัวพุ่งเข้าไปทันที

ราชันระดับสังสารวัฏคนอื่นๆ ครุ่นคิดสักพัก ถึงแม้ภายในใจจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้

พวกเขาหาได้ใจเสาะไม่ แต่เป็นเพราะรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของสุสานสมุทรฝังมรรค หากผลีผลามบุกเข้าไปในนั้น ก็เป็นไปได้ว่าอาจถึงขั้นไม่มีโอกาสเดินออกมาอีกเลย!

แต่แม้จะเลือกหยุดฝีเท้า สัตว์ประหลาดเฒ่าที่เหลือเหล่านี้ก็ไม่ได้จากไป พวกเขากำลังเฝ้าสังเกต ไม่ยอมจำนนทั้งอย่างนี้

ขอเพียงมีโอกาสแม้เสี้ยวเดียวปรากฏขึ้น พวกเขาก็จะลงมือโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด