Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 719 อริยมรรคประจัญบาน
ตู้ม!
มู่หลิงเฟิงเคลื่อนไหว เวลานี้เขาดูระมัดระวังและเยือกเย็น โคจรพลังเต็มขีดจำกัด ถึงกับเรียกสมบัติก้นกรุออกมา
ทั้งสร้อยคอกระดูกสัตว์ ชุดเกราะลึกลับ ผ้าคลุมที่โอบล้อมด้วยรอยสัญลักษณ์คนเถื่อน ทั้งในมือยังถือทวนโบราณสีเขียวที่ส่องแสงหลากสีเล่มหนึ่ง ท่าทางดุจติดอาวุธพร้อมมือ
ทั้งร่างของเขาส่องแสง ดูสะดุดตาถึงที่สุด ขนาดหลินสวินที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดยังมองจนตาแข็งทื่อ ตอนนี้ถึงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งไม่ธรรมดาดังคาด
ในขณะเดียวกัน จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็คอยป้องกัน เรียกสมบัติลับต่างๆ ออกมาระวังภัยรอบทิศเพื่อคุ้มครองมู่หลิงเฟิง
จัดแจงเรียบร้อย!
มู่หลิงเฟิงเงยหน้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาเพ่งไปที่ยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เยือกแข็งนั้นในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกแล้วก้าวย่างไป
โครม!
พลานุภาพทั้งร่างของเขาเพิ่มขึ้นฉับพลัน ชั่วพริบตาก็ไต่ถึงจุดสูงสุด ทำให้หลินสวินรู้สึกเย็นเยียบในจิตใจ รู้ดีว่าถ้าประจันหน้ากับเจ้าแก่พวกนี้ตรงๆ ในตอนนี้ เกรงว่าตนคงตั้งรับการโจมตีไม่ได้สักกระบวนท่าเดียว
สวบ!
มู่หลิงเฟิงก้าวย่างไปในอากาศ โผบินขึ้นไม่รวดเร็วนัก ดูรอบคอบระมัดระวัง
ไม่นานนักเขาก็เข้าใกล้ยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้แม้แต่ตัวมู่หลิงเฟิงเองก็รู้สึกคอแห้งผาก หัวใจเต้นโครมคราม
ถ้าสามารถชิงวาสนาไร้เทียมทานครั้งนี้ได้ เช่นนั้น…จะสามารถทำให้ตนก้าวเข้าสู่ระดับราชันที่แท้จริงได้หรือไม่
ใจเย็นไว้! ใจเย็นไว้!
เวลานี้มู่หลิงเฟิงแสดงความหนักแน่นที่ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งมี เขารอบคอบโดยสมบูรณ์ ยิ่งระวังตัวขึ้นไปอีก
ใกล้แล้ว!
เขาถึงกับสามารถมองเห็นได้ว่า รอบๆ ผลที่เปล่งประกายราวดวงระวีหิมะน้ำแข็งนั้น บังเกิดภาพปรากฏการณ์ประหลาดลี้ลับภาพแล้วภาพเล่า มีเสียงธรรมโบราณไพศาลดังแว่ว ศักดิ์สิทธิ์หาใดเทียบ
ละอองแสงปลิวกระจาย กลิ่นหอมบริสุทธิ์ที่แทรกซึมเข้าไปถึงส่วนลึกของกระดูกปลิวว่อน ทำให้มู่หลิงเฟิงสบายจนแทบวิญญาณหลุดลอย!
ในที่สุดมู่หลิงเฟิงก็ทนไม่ไหวแล้ว ลงมือว่องไวราวสายฟ้าแลบ แหวกอากาศพุ่งไปคว้าผลนั้น
แต่ก็แทบจะเวลาเดียวกันนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงจักจั่นร้องขึ้นแผ่วเบาราวสายพิณกระทุ้งน่าหวั่นใจ กังวานไหลลื่นอย่างบอกไม่ถูก
แต่เมื่อเข้าสู่โสตประสาทของมู่หลิงเฟิง กลับทำให้จิตวิญญาณของเขาถูกจองจำในชั่วพริบตา โลหิตในกายจับตัวเป็นน้ำแข็ง พลังฉีกทึ้งที่น่าหวาดหวั่นก็ขยายออกภายในร่างไปพร้อมกัน
“นี่…”
รูม่านตาของมู่หลิงเฟิงเบิกกว้าง เขาเห็นจักจั่นขาวหิมะตัวหนึ่งปรากฏสู่สายตา มันมีขนาดเท่าฝ่ามือทารกเท่านั้น กำลังฟุบอยู่ในดอกไม้หิมะน้ำแข็งที่อยู่ใต้ผล ดวงตาเย็นชาเรียบเฉยคู่นั้นแฝงไปด้วยความดูถูกอย่างลึกซึ้ง
ก็เหมือนเทพบนสรวงสวรรค์กำลังมองดูมดที่อยู่บนพื้นดิน
“จักจั่นขาว… เป็น… เป็นมัน…” มู่หลิงเฟิงสีหน้าซีดเผือดในทันใด ด้วยนึกข่าวลือข่าวหนึ่งที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในป่าต้นหม่อนออก
เคยมีผู้ฝึกปราณสาบานเป็นมั่นเหมาะว่าเขาบังเอิญพบจักจั่นขาวตัวหนึ่งที่ส่วนลึกของป่าต้นหม่อน จักจั่นมีขนาดเท่าฝ่ามือทารก บนตัวมีละอองแสงเซียนไหลเวียน ร้องเสียงแผ่วเบาก็ทำลายล้างทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้ได้!
แม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยแห่งจักรวรรดิสันนิษฐานไว้ว่า หากข่าวลือเป็นจริง เช่นนั้นจักจั่นขาวตัวนี้ก็เป็นไปได้สูงยิ่งที่จะบรรลุอริยมรรค!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มู่หลิงเฟิงก็พบเข้าจริงๆ ว่ารอบตัวจักจั่นขาวนั้นปกคลุมไปด้วยละอองแสงละมุนละไมราวภาพนิมิต ประดุจแสงยามเซียนเหาะเหิน…
ต่อจากนั้น เขาก็สูญเสียการรับรู้และสติสัมปชัญญะ
…….
ด้านล่างของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ยามเห็นมู่หลิงเฟิงเข้าใกล้ผลอริยะ จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยที่เฝ้าระวังและรอตั้งรับมาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือทั้งสองข้างจนแน่น ในใจตื่นเต้นและตั้งตาคอย
เพียงแต่ไม่นานพวกเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เห็นได้ชัดว่ามู่หลิงเฟิงเริ่มลงมือแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับแข็งทื่ออยู่เช่นนั้นราวกับถูกผนึกไว้ รักษาท่วงท่าประหลาดถึงที่สุด ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
“หรือว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นแล้ว”
ทั้งสองคนตื่นตระหนก แต่ที่ทำให้พวกเขาฉงนก็คือ ตั้งแต่เริ่มจนจบกลับไม่ได้รู้สึกว่ามีไอสังหารและอันตรายใดๆ มาเยือนเลย
พรูดๆๆ!
ทันใดนั้นนัยน์ตาของทั้งสองพลันขยายกว้างขึ้น
ในครรลองสายตา มู่หลิงเฟิงไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด แต่จู่ๆ ร่างกายก็แหลกสลายอย่างไร้เสียง กลายเป็นเลือดเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยแหลกละเอียดร่วงรินลงมา
ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย ขนาดเสียงโหยหวนหรือร้องขอชีวิตยังไม่มี ราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งแปรสภาพเป็นเลือดเนื้อป่นปี้อย่างเงียบเชียบ!
จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญแขวน ราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง เกือบร้องเสียงหลงออกมา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้
ภาพนี้ดูแปลกประหลาดและน่าสยดสยองเกินไปแล้ว ทำให้ทั้งสองแทบเลือกหนีตายก่อนโดยไม่ทันรู้ตัว!
เวลานี้อย่าว่าแต่วาสนาไร้เทียมทานเลย ต่อให้ความลับแห่งอายุวัฒนะที่แท้จริงวางอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ไม่หันกลับมามองโดยเด็ดขาด
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
และตอนนี้หลินสวินก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเช่นกัน ในใจสั่นสะท้าน ความเก่งกาจของมู่หลิงเฟิง เขาได้รู้ได้เห็นอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับสิ้นชีพกะทันหันแล้ว!
นี่เป็นถึงราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งเชียวนะ จัดอยู่ในหมู่ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดแห่งโลกมานานแล้ว จะตายเช่นนี้หรือ
นี่กระตุ้นให้หลินสวินอยากจะหันหลังหนี ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นนี้ต่อให้น่าเย้ายวน แต่ไอสังหารที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นกลับน่าพรั่นพรึงไร้ที่สิ้นสุด!
จากนั้นภาพที่ทำให้เขายิ่งใจหายก็ปรากฏขึ้น ก็เห็นว่าจินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยที่หนีตายอยู่ไม่ไกล ร่างกายกลับแหลกสลายไปทุกกระเบียดนิ้วระหว่างหลบหนี แปรสภาพเป็นเลือดเนื้อปลิวว่อนไปตามทาง…
หลินสวินตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก
วิธีการตายเช่นนี้เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก น่าสะพรึงเกินไปแล้ว เงียบเชียบไร้เสียง ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ!
เดิมทีเมื่อได้เห็นพวกมู่หลิงเฟิงพากันตายไป หลินสวินก็ควรจะยินดีปรีดา แต่ตอนนี้เขากลับไม่ดีใจเลยสักนิด
ตอนนี้เขาซ่อนอยู่ข้างต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง แม้จะใช้ไอซวนหนีปกปิดกลิ่นอายทั้งตัว แต่เขารู้ดีว่าตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวที่นี่ เกรงว่าจะถูกจับจ้องมานานแล้ว!
ซ่า!
ฉับพลันปรากฏการณ์ประหลาดระลอกหนึ่งก็เกิดขึ้นในบริเวณไกลออกไป ฟังดูเสียดหูท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบเช่นนี้
จู่ๆ ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น ร่างเพรียวบางราวหยกโลหิตแกะสลักที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก สีแดงสดศักดิ์สิทธิ์ พลิ้วไหวปราดเปรียว แต่ยามกระพือปีก ห้วงอากาศกลับจ่อมจมไร้เสียงเหมือนหลุมดำ
กลิ่นอายบนตัวมันพุ่งทะลุเมฆาราวมหาอำนาจสูงสุดมาเยือนโลกา แยงตาหลินสวินนัก พาให้สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
กลิ่นอายนี้… น่ากลัวกว่าราชันระดับสังสารวัฏเสียอีก!
หลินสวินนึกถึงวานรเฒ่าที่บรรลุอริยมรรคซึ่งตนเคยพบที่แดนลับอสูรมารอริยะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวระดับเดียวกัน
ฉึบ!
เพียงแต่ยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาก็รับรู้ได้ว่าสายตาเย็นชาเรียบเฉยทอดมองมาที่ตน
ชั่วพริบตานั้นเหมือนดาบคมทิ่มคอ!
ทว่าไม่นานนักสายตานี้ก็มลายไป ต่อจากนั้นหลินสวินที่ตกใจจนเหงื่อกาฬชโลมกายก็มองเห็นจักจั่นขาวตัวหนึ่ง
มันบินขึ้นจากยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างบริสุทธิ์ราวหิมะน้ำแข็งโปรยละอองแสงดุจภาพนิมิต ไปถึงห้วงอากาศไกลออกไปในเวลาไม่นาน
ทันใดนั้นเสียงร้องของจักจั่นก็ดังขึ้นแผ่วเบาราวเสียงพิณ สะท้านไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
ก็เห็นว่าบนร่างของจักจั่นขาวนั้นบังเกิดพลังศักดิ์สิทธิ์โหมคลั่งทะยานขึ้นสู่เวิ้งฟ้า ทำให้ห้วงอากาศบริเวณนี้สั่นสะเทือนเลือนลั่น เกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมรุนแรง
“ข้ามเขตแล้ว”
จักจั่นขาวส่งคลื่นเสียงเย็นชา “พิบัติมหามรรคครั้งนี้ยังมาไม่ถึง เจ้าก็คิดจะลงมือแล้วหรือ”
“ข้าหยั่งรู้มรรคเมื่อครั้งบรรพกาล ตื่นขึ้นในกาลปัจจุบัน จำหลายเรื่องไม่ได้แล้ว แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนเก่าบางเรื่องกลับไม่อาจลืมเลือนได้”
ไกลออกไป ผีเสื้อราตรีสีเลือดลอยละล่องพลิ้วไหว เปล่งประกายเจิดจ้า ถ้าพูดถึงอานุภาพแล้ว ไม่อ่อนด้อยไปกว่าจักจั่นขาวตัวนั้นเลย
นี่คือสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่น่าหวาดหวั่นสองตัว!
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือก พอจะเดาได้แล้วว่า บางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนี้ ถึงทำให้จักจั่นขาวตัวนั้นไม่สนใจจัดการตน ส่งผลให้ตนโชคดีพ้นเคราะห์ไป
หาไม่แล้ว เกรงว่าตนก็คงพบจุดจบเช่นเดียวกับพวกมู่หลิงเฟิงแน่!
“ไม่ว่าเรื่องใด ข้ามเขตก็เป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง!”
น้ำเสียงจักจั่นขาวเย็นเยียบ มีท่วงทำนองเป็นเอกลักษณ์ เหมือนเสียงธรรมดังก้อง ฟ้าดินเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไพศาล
“อ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มาสู้กันสักตั้งดีไหม”
ผีเสื้อราตรีสีเลือดก็เหมือนคร้านจะอธิบาย เสียงของมันเรียบเฉย ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนและอวดดี
“สมใจเจ้า!”
โครม!
จักจั่นขาวพุ่งขึ้นไปเหนือชั้นฟ้าอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันผีเสื้อราตรีสีเลือดก็กระพือปีก พุ่งตามไปสู่เวิ้งฟ้าราวพายุสีเลือดลูกหนึ่ง
“เจ้ากล้าขัดขวางไม่ให้ข้าฆ่าเด็กนี่หรือ”
ทันใดนั้นเสียงของจักจั่นขาวยิ่งเย็นชา เหมือนถูกยั่วโมโห
หลินสวินอึ้งไป นิ่งงันไปโดยสิ้นเชิง รับรู้ได้ว่าเมื่อครู่นี้จักจั่นขาวตัวนั้นถึงกับจะลงมือกำจัดตน เพียงแต่ไม่รู้ด้วยความบังเอิญเช่นไร กลับถูกผีเสื้อราตรีสีเลือดนั้นมาขวางไว้!
“ทำไม โมโหกราดเกรี้ยวแล้วหรือ”
ผีเสื้อราตรีสีแดงหัวเราะเสียงเรียบ
ตู้ม!
เหนือเวิ้งฟ้า มหาศึกปะทุขึ้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลบ่า ประหนึ่งระเบิดท้องนภายามราตรี ภาพน่าหวาดหวั่นสะท้านโลกาเต็มฟ้า
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งที่จำศีลในบริเวณต่างๆ ของป่าต้นหม่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิหรือผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน ไม่ว่าพลังปราณจะสูงหรือต่ำล้วนพรั่นพรึงโดยพร้อมเพรียง สายตาพากันมองไปยังเหนือท้องฟ้ายามราตรี
ที่นั่นมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เหลือคณาสองสายปะทะกันอยู่ เปล่งประกายช่วงโชติส่องสว่างทั่วท้องนภา รัตติกาลถูกทำลายลง
ทั้งยังมีปรากฏการณ์ประหลาดอย่างมหามรรคมลายหาย เทพมารหลั่งโลหิตเกิดขึ้นอย่างคลุมเครือ!
“อริยมรรคประจัญบาน!”
ราชันอย่างแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ย เซี่ยซื่ออัน ราชันนภาเพลิง ราชันเมฆาอสนี ราชันอำพันทองล้วนตะลึงพรึงเพริด
อริยมรรค!
พลังระดับนี้ไม่ได้ปรากฏในใต้หล้ามานานแค่ไหนแล้ว
แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งในป่าต้นหม่อนแห่งนี้ นี่ช่างน่าตกใจยิ่งนัก หากข่าวกระจายออกไป ต้องก่อให้เกิดแรงสะเทือนในใต้หล้าแน่!
หน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง หลินสวินที่เพิ่งรอดชีวิตมาอย่างเฉียดฉิว อาภารณ์ทั้งตัวถูกเหงื่อกาฬชโลมชุ่ม เขายังหวาดหวั่นมาก คืนนี้อันตรายไปแล้ว เหมือนเป็นการเดินสู่ประตูยมโลก
‘หนี!’
ไม่ต้องลังเลใดๆ ทั้งสิ้น หลินสวินจะจากไปทันที ไม่ถือโอกาสนี้หนีไป หากจักจั่นขาวตัวนั้นกลับมา เช่นนั้นก็จะพบเคราะห์เข้าจริงๆ แล้ว
สำหรับผลที่อยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั้น เขาไม่มีแก่ใจเสียดายเลยสักนิด เขาถึงกับมั่นใจได้ว่าหากตนกล้าบุ่มบ่ามเข้าใกล้ เช่นนั้นเจ้าจักจั่นขาวที่กำลังต่อสู้อยู่ต้องสังหารตนโดยไม่สนใจว่าจะแลกกับอะไรแน่!
“สหาย ในเมื่อมาแล้วเหตุใดถึงจะไปเสียเล่า ศึกใหญ่อยู่ตรงหน้า ย่อมไม่อาจชี้ขาดได้ในเวลาอันสั้น ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ส่วนเจ้าก็จับพลัดจับผลูหนีภัยมาที่นี่ พูดได้ว่ากฎกรรมฟ้าลิขิตให้ข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน เหตุใดจึงไม่ถือโอกาสนี้สนทนากัน”
แต่ในตอนที่หลินสวินจะจากไป เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั้น กลับมีเสียงสดใสนุ่มนวลดูมีเจตนาดีดังขึ้นเชื้อเชิญหลินสวิน
ทว่าหลินสวินกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว ขนลุกเกรียว หนีอย่างบ้าคลั่งพลางร้องออกมาว่า “ช่างมันเถอะ เจ้าหาคนอื่นคุยด้วยก็แล้วกัน ข้าไปก่อนล่ะ หากมีวาสนาไว้ค่อยพบกันอีก! ไม่สิ ดีที่สุดต่อให้มีวาสนาก็ไม่ต้องพบกัน!”
__
Comments