Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 752 เล่ห์เพทุบายใต้น้ำ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 752 เล่ห์เพทุบายใต้น้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าวางแผนจะไปดินแดนรกร้างโบราณเมื่อไร”

บนยอดภูเขาชำระจิต ขณะที่หลินสวินเพิ่งวกกลับมา จ้าวไท่ไหลก็เดินตามหลังเข้ามาติดๆ

หลินสวินอึ้ง “เหตุใดจู่ๆ ถึงถามคำถามนี้”

จ้าวไท่ไหลกล่าว “ร่องรอยของพิบัติมหามรรคเริ่มปรากฏแล้ว ช่องทางจากจักรวรรดิสู่ดินแดนรกร้างโบราณเริ่มไม่เสถียร ถ้าหากเจ้าคิดจะดำเนินการก็รีบทำให้ทันการณ์ จากการคำนวณของโหรอาวุโสที่หอดูดาวหลวง อย่างมากครึ่งปี ‘โลกชั้นล่าง’ ที่ว่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นคิดจะจากไปก็สายไปแล้ว”

ในใจหลินสวินรู้สึกหนาวเยือก “กล่าวเช่นนี้ ต่อให้ข้าสามารถจากไปโดยสวัสดิภาพ แต่คิดกลับมาในภายภาคหน้าอาจเป็นไปไม่ได้แล้ว?”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะร่วน “เรื่องราวต่อจากนี้ใครจะบอกได้แม่นยำกัน ลำพังพิบัติมหามรรคนี้ แม้แต่อริยะยังไม่สามารถสรุปตัวแปรทั้งหมดออกมาได้อย่างสิ้นเชิง เรื่องราวต่อจากนี้… ใครก็ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น”

“ข้าจะระวังไว้”

หลินสวินกล่าวเสียงต่ำ เดิมทีเขาวางแผนเคี่ยวกรำพลังทั้งหมดของตนให้ไปถึงขอบเขตสมบูรณ์ยามอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด แต่เรื่องราวไม่เป็นดั่งใจ จวบจนบัดนี้เขายังมีช่องโหวบางส่วนที่ยากจะเติมเต็ม

ตัวอย่างเช่นมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ยังขาดมรดกวิชาลับอีกสามร่างที่ยังไม่อาจครอบครองได้

หรืออย่างระดับขอบเขตมหามรรค ก็ยังติดอยู่ที่ท่วงทำนองมรรคขั้นสมบูรณ์ คิดทะลวงไประดับเจตจำนงมรรค ยังต้องใช้เวลาอีกโข

ยิ่งไปกว่านั้นการหยั่งถึงมหามรรค สิ่งจำเป็นคือวาสนาและการหยั่งรู้ ใช่ว่าพากเพียรฝึกฝนแล้วจะสามารถเชี่ยวชาญได้

“รอเจ้าตัดสินใจว่าจะออกไปเมื่อไร ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ เขาจะต้องส่งเจ้าออกเดินทางด้วยตัวเองเป็นแน่”

ทันทีที่จ้าวไท่ไหลเอ่ยประโยคนี้ออกมาก็พาให้หลินสวินไหวหวั่น ตระหนักได้ว่าที่จ้าวไท่ไหลทำขนาดนี้ เบื้องหลังจะต้องได้รับการฝากฝังจากจักรพรรดิเป็นแน่!

“ได้!”

หลินสวินพยักหน้ารับคำ

ไม่นานนักจ้าวไท่ไหลก็จากไปอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกเฒ่าคนนี้มักจะดูรีบร้อนยิ่ง ไวเหมือนปรอทตลอดเวลา

หลินสวินเคยชินตั้งนานแล้ว เวลานี้เขายืนอยู่บนยอดภูเขาชำระจิต สองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองทะเลเมฆตลบ ลมภูเขาพัดหวีดหวิว พาให้อาภรณ์ของเขาพลิ้วไสว เรือนผมยาวปลิวสยาย

เพิ่งผ่านศึกใหญ่มา หลินสวินไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันมากนัก เขาเพียงแต่นึกถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่างเท่านั้น

ในปีนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ก็สังหารคนตระกูลหลินสายตรงของเขาบนภูเขาชำระจิตนี้

และวันนี้ ศิษย์คนหนึ่งจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็มาท้าดวลกับตนภายใต้การยุยงของอวิ๋นชิ่งไป๋

อวิ๋นชิ่งไป๋รู้ถึงการคงอยู่ของตนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

หลินสวินไม่ได้กังวลใจอะไร จ้าวไท่ไหลเคยรับรองแต่แรกแล้วว่า แม้อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนจักรวรรดิอีก ก็จะไม่ยอมให้เหตุการณ์นองเลือดในปีนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินไม่เข้าใจคือ ในเมื่อชิงเจ๋อไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตนให้ตายในการดวล เช่นนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋… ต้องการทำอะไรกันแน่

“บางทีคงต้องรอให้ข้าเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ไปทำความเข้าใจศัตรูที่ไม่เคยพบหน้าคนนี้ด้วยตัวเอง บางทีอาจจะล่วงรู้คำตอบได้กระมัง…”

หลินสวินพึมพำ

อาทิตย์ยามสายัณห์ย้อมทะเลเมฆเป็นสีแดง ลมภูเขาเจือไอน้ำเข้มข้นพัดมา นำมาซึ่งความหนาวเย็นกรีดลึกในกระดูกวูบหนึ่ง

หลินสวินยืนเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ท้ายที่สุดก็หมุนกายจากไป

เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว นับแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจะเตรียมความพร้อมเพื่อมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ

……

จักวรรดิ วังแรกสมโภช

ที่นี่คือสถานที่พักผ่อนที่ราชวงศ์จัดสรรให้คนในสำนักกระบี่เทียมฟ้า

“ผู้อาวุโส ข้าสรุปได้ว่าบนตัวเด็กคนนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เย้ยฟ้าพลิกชะตาบางอย่างแน่ ไม่เช่นนั้นเขาซึ่งเป็นทารกก็น่าจะตายไปตั้งแต่ปีนั้นแล้ว ไม่มีทางครอบครองความสำเร็จเหมือนเช่นวันนี้เป็นอันขาด!”

ภายในห้อง ชิงเจ๋อมีท่าทางเย็นชา หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยแววอึมครึม คำพูดมาดมั่นหนักแน่น แต่กลับเจือความเคียดแค้นและไม่ยินยอมสายหนึ่ง

“นี่ก็คือสิ่งที่ชิ่งไป๋ให้เจ้าลองหยั่งเชิง?” ด้านข้าง กู้ตงถิงคล้ายกำลังขบคิด

ชิงเจ๋อร้องอืมคราหนึ่ง ท่าทียังคงเคร่งขรึม วันนี้ถูกหลินสวินสยบอย่างแข็งกร้าวภายใต้สายตาจับจ้องของธารกำนัล จนป่านนี้ยามนึกถึงก็ยังทำให้เขาแค้นจนแทบคลั่งขึ้นมา

“เย้ยฟ้าพลิกชะตา?”

กู้ตงถิงมุ่นคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี “ทารกที่สูญเสียชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดคนหนึ่ง ถูกลิขิตให้ตายก่อนวัยอันควร แม้ว่าบนโลกนี้จะมียาวิเศษโอสถวิญญาณที่พอช่วยชีวิตเขาได้ แต่ก็คงเป็นได้แค่คนพิการคนหนึ่ง ไม่อาจเหยียบย่างบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณได้เลยแม้แต่น้อย แต่เด็กคนนี้… ทำได้อย่างไรกัน”

ชิงเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้ากำลังโกหกหรือไร การต่อสู้ก่อนหน้านี้ท่านเองก็เห็นแล้ว เด็กคนนี้สามารถเอาชัยเหนือข้าด้วยปราณระดับหยั่งสัจจะ ในดินแดนรกร้างโบราณเกรงว่ายังแทบไม่มีใครทำได้ถึงขั้นนี้เลย!”

การยอมรับว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอ ยิ่งทำให้เห็นว่าตนไม่เอาไหนยิ่งกว่าโดยไม่ต้องสงสัย ชิงเจ๋อไม่ต้องการให้กู้ตงถิงเกิดความคิดอื่นใด

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

กู้ตงถิงส่ายหน้า นัยน์ตามีแสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน “หากเด็กคนนี้เป็นทารกในปีนั้นจริงๆ เช่นนั้นบางทีก็อาจเหมือนที่เจ้าคาดเดาเอาไว้ บนตัวเด็กคนนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เย้ยฟ้าพลิกชะตาบางประการ!”

กล่าวถึงจุดนี้เขาก็ลังเลเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าถึงขั้นสงสัยว่า เขาอาจสร้างชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!”

เพล้ง!

มือของชิงเจ๋อพลันสั่นจนถ้วยชาที่เพิ่งยกขึ้นตกลงพื้น แต่เขากลับเหมือนไม่รู้ตัว นัยน์ตามีแสงสีเขียวอันน่าสยดสยองพวยพุ่งออกมา กล่าวว่า “ต้องเป็นเช่นนี้แน่ หุบเหวกลืนกิน เดิมก็เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งที่ลึกลับที่สุดตั้งแต่บรรพกาล ศิษย์พี่อวิ๋นก็อาศัยพรสวรรค์นี้ในการเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาสัมบูรณ์เช่นกัน!”

เขาเว้นช่วงไปครู่ค่อยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “แต่เด็กนี่ก็เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาเช่นเดียวกัน นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญง่ายๆ ขนาดนั้นเป็นแน่!”

เห็นได้ชัดว่ากู้ตงถิงก็คาดเดาถึงจุดนี้เช่นกัน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

สิ่งที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทำลงไปในจักรวรรดิจื่อเย่าเมื่อปีนั้นค่อนข้างไร้เกียรติ แม้แต่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังมีน้อยคนนักที่รู้ แต่นั่นไม่ได้รวมกู้ตงถิงและชิงเจ๋อ

ตรงกันข้ามพวกเขาสองคนต่างรู้ดีว่า ที่อวิ๋นชิ่งไป๋ประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ในดินแดนรกร้างโบราณ มีความเกี่ยวข้องกับชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่เขา ‘ได้รับมา’ ในปีนั้นอย่างแยกไม่ออก

ว่ากันตามจริง อวิ๋นชิ่งไป๋เดิมก็เป็นอัจฉริยะผู้ฝึกปราณที่มีพรสวรรค์โดดเด่นร่างกายเป็นเลิศอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าโดยกำเนิด

ทว่าถ้าไม่มี ‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด’ เส้นนั้น เขาเองก็คงไม่สามารถเหยียบย่างบนมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดสายนั้นซึ่งผู้อื่นเฝ้าฝันหาได้รวดเร็วขนาดนั้นเป็นอันขาด!

“ผู้อาวุโส ข้ามีคำขอที่ไม่คู่ควรประการหนึ่ง” ทันใดนั้นชิงเจ๋อเหยียดกายขึ้นเต็มความสูง จากนั้นถึงกับคุกเข่าลงต่อหน้ากู้ตงถิงเสียงดังปึง

นัยน์ตากู้ตงถิงหรี่ลง คล้ายคาดเดาบางอย่างได้ “เจ้า… หรือว่าก็คิดจะ…”

ดวงตาของชิงเจ๋อเปี่ยมด้วยความมาดมั่นและปรารถนา “ผู้อาวุโส อีกไม่นานเท่าไรมหาสงครามก็จะมาเยือนแล้ว ถึงตอนนั้นหมื่นผู้กล้าทั่วหล้ารวมตัว วีรชนร่วมวิถี หมื่นมรรคาประชันขันแข่ง ล้วนเพื่อแก่งแย่งมหาศุภโชคอันกลายเป็นอริยะ นั่นจะต้องเป็นมหายุครุ่งเรืองที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้า… ไม่อยากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง!”

กู้ตงถิงนิ่งเงียบไปสักพักค่อยกล่าวว่า “เรื่องนี้เกรงว่าข้าคงช่วยเจ้าไม่ได้ ในจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งนี้ แม้ข้าคิดช่วยก็ได้แต่มีใจทว่าไร้แรง”

ชิงเจ๋อรีบกล่าว “ตอนนี้แน่นอนว่าไม่เหมาะสม แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้ หลินสวินคนนี้ช้าเร็วก็ต้องมุ่งหน้าไปดินแดนรกร้างโบราณ ถึงตอนนั้นข้ามีโอกาสล้นเหลือที่จะทำเรื่องนี้!”

กู้ตงถิงยังคงส่ายหน้า “เรื่องนี้เกรงว่าไม่เหมาะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากเท่าไรเพื่อหลอมรวมชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดนั้น ยิ่งกว่านั้นยามนี้หลินสวินผงาดกร้าว คิดจะแย่งชิงพรสวรรค์ของเขามาเป็นของตัว กลัวว่าคงยากยิ่งกว่ายาก”

ชิงเจ๋อยังคงมีท่าทีแน่วแน่ กล่าวว่า “ผู้อาวุโส สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านกังวล ขอเพียงท่านรับปากข้าหนึ่งเรื่องก็เพียงพอแล้ว”

“เรื่องใด”

ชิงเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือกแล้วกัดฟันกล่าวว่า “ปกปิดข่าวที่เกี่ยวกับหลินสวินคนนี้ โดยฉพาะกับศิษย์พี่อวิ๋นยิ่งไม่อาจเอ่ย”

กู้ตงถิงนิ่งขรึมไปทันที

บรรยากาศภายในห้องพลันเปลี่ยนเป็นควบแข็งขึ้นในบัดดล

“ผู้อาวุโส เผ่ากระเรียนเขียวของข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณใหญ่หลวงของผู้อาวุโสในครั้งนี้เป็นอันขาด อีกทั้งวันหน้าจะต้องตอบแทนเป็นเท่าตัวแน่!”

ชิงเจ๋อพลันเอ่ยต่อว่า “ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสใกล้จะเผชิญหน้ากับบททดสอบอมตะนพเคราะห์ ถ้าหากผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ก็สามารถไปข้ามด่านเคราะห์ที่เผ่ากระเรียนเขียวของข้าได้ เชื่อว่าหากบิดาของข้าทราบเรื่องนี้ จะต้องยินดีให้ผู้อาวุโสยืมใช้แดนศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าอย่างแน่นอน”

ดวงตาของกู้ตงถิงไหววูบอย่างไม่เป็นที่สังเกต ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้าขอร้องแน่วแน่ ครั้งนี้ข้าจะรับปากเจ้า ครั้งหน้าไม่มีอีกแล้ว”

ชิงเจ๋อกล่าวพลางโขกศีรษะทันใด “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!”

“เจ้า… วางแผนลงมือเมื่อใด” กู้ตงถิงอดถามไม่ได้

“ไม่รีบร้อน อย่างน้อยต้องรอให้เด็กคนนี้ไปถึงดินแดนรกร้างโบราณก่อน” ชิงเจ๋อยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเปี่ยมด้วยแววมั่นใจ

ในดินแดนรกร้างโบราณ ลำพังแค่พลังของเผ่ากระเรียนเขียวของเขา อย่าว่าแต่หลินสวินคนเดียวเลย แม้แต่การรับมือกับราชันแท้จริงผู้หนึ่งก็เป็นเรื่องเล็กจ้อย

กู้ตงถิงร้องอ้อคราหนึ่งแล้วกล่าวออกมากะทันหัน “ในมือเด็กคนนี้น่าจะมีศาสตราจิตเล่มหนึ่ง เฮ้อ ถ้าหากครอบครองสมบัติเช่นนี้แต่แรก เกรงว่าข้าคงเหยียบย่างบนเส้นทางข้ามอมตะเคราะห์ไปตั้งนานแล้ว”

ชิงเจ๋อเข้าใจโดยพลัน กล่าวว่า “ผู้อาวุโสไม่ต้องเสียดายไป รอยามที่จับกุมเด็กคนนี้ได้ ข้าย่อมต้องมอบศาสตราจิตนี้ให้ท่านอย่างรู้คุณด้วยตัวเอง”

กู้ตงถิงระเบิดหัวเราะขึ้นมาพลัน พยุงชิงเจ๋อที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา “เจ้ามีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็พอใจมากแล้ว”

ชิงเจ๋อก็ยิ้มเช่นกัน เพียงแต่ภายในใจกลับเจ็บปวดเล็กน้อย ลอบด่าว่ากู้ตงถิงคนนี้โลภมากเกินไปแล้ว ไม่เพียงต้องการยืมใช้แดนสมบัติของเผ่ากระเรียนเขียวของพวกเขาข้ามด่านเคราะห์ ยังคิดเขมือบศาสตราจิตเล่มนั้นอีกด้วย!

ทว่าไม่นานชิงเจ๋อก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ หากสามารถเหยียบย่างบนมรรคาเช่นเดียวกับอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ ค่าตอบแทนพวกนี้ยังนับเป็นอะไรอยู่อีกเล่า

‘หลินสวินหนอหลินสวิน เจ้าอย่าตายเป็นอันขาดเชียว ข้าจะรอให้เจ้ามาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ!’

ชิงเจ๋อพึมพำในใจ

เพียงแต่ชิงเจ๋อไม่รู้เลย วิธีการที่ปกปิดไม่ยอมแจ้งข้อมูลเช่นนี้ของเขา จับพลัดจับผลูกลายเป็นการช่วยหลินสวินสลายเคราะห์สังหารหนึ่งไปได้!

……

ชิงเจ๋อผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าถูกหลินสวินโจมตีอย่างแข็งกร้าวจนปราชัย!

นครต้องห้ามในวันนี้ตกสู่ความฮือฮาใหญ่ยิ่งจากข่าวนี้ เสียงเกรียวกราวดังขึ้นรอบทิศ พลุ่งพล่านถึงที่สุด

หลินสวินที่เงียบหายไปนานครึ่งปีทำให้ผู้คนตกใจอีกครั้ง ทำเอาขุมอำนาจทุกฝ่ายในนครต้องห้ามล้วนสั่นสะท้าน นั่งไม่อยู่สุขอย่างสิ้นเชิง

ขุมอำนาจบางส่วนที่เคยมีความแค้นกับตระกูลหลิน ต่างไม่มีใครไม่กังวลต่อเรื่องนี้ รับรู้ถึงความไม่มั่นคงยิ่งยวด หลินสวินเติบใหญ่รวดเร็วเกินไป และน่ากลัวเกินไป ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้อำนาจไร้กำลังเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ครอบครองพลังน่ายำเกรงและสะท้านสะเทือนอย่างที่สุด!

ส่วนขุมอำนาจที่ผูกมิตรกับตระกูลหลินต่างก็ลอบดีใจที่จับทางถูก ต่อจากนี้ขอเพียงหลินสวินเดินบนเส้นทางแห่งมหามรรคได้ไกลเท่าไร ก็จะยิ่งนำพาผลประโยชน์มากมายมาสู่พวกเขา

และในคืนนั้น วีรกรรมที่เกี่ยวกับการกรำศึกของหลินสวินในสมรภูมิกระหายเลือดภายใต้ชื่อ ‘หลินสือเอ้อร์’ ก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วท่ามกลางม่านรัตติกาล…

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด