Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 778 ตำหนักอมตะ
เจียวทองเก้าหัวสายพันธุ์บรรพกาลบรรทุกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลังหนึ่งลอยเหนือฟ้าลงมา!
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแห่งนครเตโชต่างถูกดึงดูด จากนั้นสีหน้าสั่นสะท้าน ภาพเช่นนี้ช่างยากพบเห็นเหลือเกิน
“นั่นคือเจียวทองเก้าหัว สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวโดยกำเนิด แค่พลานุภาพมันเกรงว่าเทียบกับราชันกึ่งระดับแล้วไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้กลับทำหน้าที่เป็นแค่ยานพาหนะ…”
ผู้ฝึกปราณไม่น้อยร้องตกใจ รู้สึกคาดไม่ถึง เสมือนเห็นฉากปาฏิหาริย์กับตา
“หนุ่มสาวเยาว์วัยพวกนั้นเป็นใคร แต่ละคนดั่งเทพเซียนเยือนโลกโลกีย์ ท่วงท่าสง่างามเลิศล้ำ ดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่พวกธรรมดา”
และมีคนสังเกตเห็นว่าหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลังนั้นมีหนุ่มสาวรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งยืนอยู่ แต่ละคนท่าทางไม่ธรรมดา ประดุจดวงดาราสุกสกาว
“สามารถควบคุมเจียวทองเก้าหัวให้มันยอมบรรทุกตำหนักด้วยความสมัครใจ นี่หาใช่สิ่งที่ขุมอำนาจทั่วไปสามารถทำได้ พวกเขามาจากสำนักโบราณไหนกัน เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อน แดนฐิติประจิมยังมีขุมอำนาจเช่นนี้อยู่ด้วยรึ”
ผู้ฝึกปราณเกือบทั้งหมดสงสัยและงุนงงนัก
ก่อนหน้าพวกเขาไม่เคยพบภาพเหตุการณ์เช่นนี้ กระทั่งล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน เจียวทองเก้าหัวสายพันธุ์พิเศษบรรพกาลอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ ถึงกับยอมเป็นยานพาหนะแก่ผู้คน
นี่เห็นได้ว่าน่าตระหนกเกินไปแล้ว!
“ไม่จำเป็นต้องเดาแล้ว พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกปราณแห่งแดนฐิติประจิม หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะมาจากสำนักโบราณซึ่งสืบทอดมานานเป็นหมื่นปีจากแดนกาฬทักษิณ… แดนพิสุทธิ์อมตะ!”
ผู้ชราคนหนึ่งทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาของผู้คนละแวกใกล้เคียง
แม้แต่หลินสวินยังหรี่ตาลง สำนักนี้ถึงกับกล้าเอาคำว่า ‘อมตะ’ สองคำนี้มาเป็นชื่อสำนัก เห็นได้ว่าไม่ธรรมดา
“เจียวทองเก้าหัวเป็นสิ่งมีชีวิตชวนประหวั่นซึ่งมีพลังแฝงบรรลุอริยะ จะกำราบมันได้ ทั่วแดนกาฬทักษิณมีเพียงไม่กี่สำนักที่สามารถทำได้ แดนพิสุทธิ์อมตะนี่เป็นหนึ่งในนั้น”
สายตาผู้ชราคนนั้นเจือความรู้สึกหวนถึงความหลัง กล่าวทอดถอนใจ “พวกเจ้าดูตำหนักที่มันบรรทุกบนหลัง เรียกว่าตำหนักอมตะ สูงเก้าสิบเก้าจั้ง สร้างจากเหล็กเทพนิลกาฬทั้งหลัง อบอวลไอมหามรรคศักดิ์สิทธิ์ นี่น่ะเป็นสมบัติอริยมรรค ทั้งโลกหล้ามีเพียงชิ้นเดียว!”
ตำหนักอมตะ!
สมบัติอริยะ!
บริเวณใกล้เคียงอึกทึกครึกโครม แต่ละคนต่างเบิกตาโพลงด้วยตื่นเต้นและตื่นตระหนก
ที่ดินแดนรกร้างโบราณ เหล่าอริยะเสมือนดั่งสุริยันจันทรา อานุภาพเด่นผงาด มีพลังเทียมฟ้า เวลาปกติไม่อาจพบเห็นร่องรอยโดยสิ้นเชิง
ส่วนสมบัติอริยะยิ่งหายาก สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ถูกเรียกว่ายอดอาวุธอริยะ มีสติปัญญาและจิตวิญญาณ ความแกร่งแห่งอานุภาพอยู่เหนือจินตนาการ สามารถจู่โจมสังหารราชันอย่างง่ายดาย!
บัดนี้เจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งบรรทุกหนึ่งสมบัติอริยะ เบื้องหน้าสมบัติอริยะหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งยืนตระหง่าน บรรยากาศเช่นนั้นเกรงว่าหากราชันที่แท้จริงพบเข้ายังไม่อาจรักษาความสุขุมได้
ที่น่าเสียดายคือ เจียวทองเก้าหัวนี้ไม่ช้าก็หายไปในท้องฟ้าอันห่างไกล ไม่อาจมองเห็นอีก กระทั่งถึงเวลานี้คนสัญจรบนท้องถนนจึงได้สติขึ้นจากความตื่นตระหนก
“ข้านึกออกแล้ว หลายวันก่อนสหายเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งส่งข่าวมา บอกว่าบุคคลไร้เทียมทานผู้หนึ่งแห่งแดนกาฬทักษิณจะมาเยี่ยมเยียนธิดาเทพแห่ง ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ในแดนฐิติประจิมของพวกเรา สันนิษฐานจากตรงนี้ บุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นไม่ใช่ว่ามาจากแดนพิสุทธิ์อมตะหรอกรึ”
มีคนร้องตกใจออกมา พาให้เกิดเสียงอึกทึกเซ็งแซ่
นี่มีความเป็นไปได้สูง อย่างไรเสียแม้แต่การเดินทางยังใช้เจียวทองเก้าหัวเป็นพาหนะ ใช้สมบัติอริยะเป็นตำหนัก แค่จุดนี้ก็เพียงพอแสดงให้เห็น ว่าผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาเยือนแดนฐิติประจิมครานี้จะต้องมีฐานะพิเศษโดดเด่นยิ่งยวด!
‘แดนพิสุทธิ์อมตะ เรือนกระบี่เร้นปุจฉา…’
ในใจหลินสวินไม่อาจนิ่งสงบ ในโลกชั้นล่างไม่มีทางพบเจอภาพเหตุการณ์เช่นนี้แน่
ที่ทำให้เขายิ่งทอดถอนใจคือ เส้นสนกลในของดินแดนรกร้างโบราณสั่นสะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว สามารถพบเจอบุคคลและสิ่งของซึ่งอุดมด้วยสีสันแห่งอริยะได้อย่างง่ายดาย นี่คือสิ่งที่โลกชั้นล่างไม่อาจเทียบเทียม
ทว่าหลังทอดถอนใจ หลินสวินกลับคิ้วขมวดเล็กน้อย สีหน้าเจือความคลางแคลงเสี้ยวหนึ่ง
เมื่อครู่ยามมองตำหนักอมตะที่เจียวทองเก้าหัวนั่นแบกอยู่ ในความรางเลือนเขาคล้ายมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยคนหนึ่งในบรรดาหนุ่มสาวซึ่งพิงรั้วราวเหล่านั้น
น่าเสียดาย เนื่องด้วยระยะห่างเกินไป ทำให้หลินสวินไม่กล้ายืนยัน
‘หากเป็นนางจริง ไม่ใช่หมายความว่าหลังนางออกจากจักรวรรดิ ก็เข้าร่วมในแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณเพื่อฝึกปราณอย่างนั้นรึ’
‘แต่ว่าด้วยพรสวรรค์ที่นางแสดงให้เห็นในค่ายกระหายเลือดเมื่อตอนนั้น ก็มีคุณสมบัติเข้าร่วมฝึกปราณในแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จริง’
ระหว่างคิดใคร่ครวญ ในห้วงความคิดของหลินสวินปรากฏภาพเด็กสาวหน้าตาดุจภาพวาด งามสง่าสันโดษ
“พี่หลินสวิน!”
ทันใดนั้นเสียงเรียกชัดกระจ่างดังขึ้น
หลินสวินเงยหน้าก็เห็นซย่าเสี่ยวฉงกำลังวิ่งมาจากที่ห่างไกล ฝีเท้าแผ่วเบา รูปร่างบางอรชร ประดุจผีเสื้อน้อยแสนร่าเริงตัวหนึ่ง
เดิมหลินสวินยังคิดไปตามหานางหนูนี่ด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเพิ่งออกจากประตูโรงเตี๊ยมนางก็วิ่งมาแล้ว
“พี่หลินสวิน เจียตัวใหญ่ยักษ์เมื่อครู่ท่านก็เห็นใช่ไหม แปลกประหลาดมากเลยเนอะ ถึงกับเกิดมามีเก้าหัว ยังมีตำหนักหลังนั้นอีก งดงามจนเหมือนที่พำนักเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ หากข้าได้ลองนั่งในนั้นชีวิตนี้ก็อยู่มาคุ้มแล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยปากชื่นชม บนใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
โป๊ก!
หลินสวินเคาะหน้าผากนางคราหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าให้ข้ารอจนป่านนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ละอายสักนิด กลับสนใจของไร้สาระพวกนั้น ก็ไร้หัวใจเกินไปหน่อยกระมัง”
ซย่าเสี่ยวฉงคล้องแขนหลินสวินด้วยท่าทีออดอ้อน ดวงตาโตใสกระจ่างกะพริบปริบๆ กล่าวหัวเราะแก้เก้อ “โธ่เอ๊ย นี่ข้าก็มาแล้วไม่ใช่รึ จริงสิ อาจารย์ข้าบอกว่าจากนี้สิบวันจะมาพบท่าน ให้ท่านรอก่อน”
ในใจหลินสวินพลันไม่พอใจอยู่บ้าง อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงเล่นตัวมากไปแล้ว ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนก็ให้ตนรอถึงสิบวัน
ก่อนหน้านี้ที่เขาอยากพบอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉง อันที่จริงหาได้มีจุดประสงค์อื่น แค่อยากรู้ว่าจะไปแดนชัยบูรพาอย่างไร
ทว่าบัดนี้เขามาถึงนครเตโช สามารถสืบข่าวสอบถามเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง การไปพบอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงจึงไม่มีความจำเป็นอะไรแล้ว
สาเหตุที่เขารออยู่ตรงนี้ก็แค่เพราะรับปากซย่าเสี่ยวฉงไว้ ไม่อาจไม่ไปตามนัด นี่เป็นเรื่องการรักษาคำมั่นสัญญา
“หากอาจารย์เจ้ามีเรื่องด่วนต้องจัดการ ไม่ได้พบกันก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดต้องทำเช่นนี้” หลินสวินถาม
“เอ่อ อาจารย์ข้าบอกว่า หากท่านคิดเดินทางไปแดนชัยบูรพาจริงก็ให้สงบใจรออยู่ที่นี่” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวง่ายๆ
หลินสวินพลันเลิกคิ้ว “หรืออาจารย์เจ้าคิดว่าถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากนาง ข้าจะไปแดนชัยบูรพานั่นไม่ได้”
แน่นอนว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ฟังความไม่พอใจในวาจาหลินสวินไม่ออกแต่แรก กล่าวพยักหน้าตามเหตุตามผล “โห นึกไม่ถึงว่าท่านจะเดาถูก อาจารย์ข้าคิดว่าอย่างนั้นแหละ ซ้ำยังบอกว่าการข้ามเขตแดนหนึ่งไม่ใช่เรื่อง”
หลินสวินมุ่นคิ้ว หรือจากแดนฐิติประจิมมุ่งหน้าสู่แดนชัยบูรพายังมีรายละเอียดอื่นอีก
ท้ายที่สุดหลินสวินตัดสินใจอดทนรอสิบวัน
เขารู้สึกว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงน่าจะไม่มีเจตนาล้อเล่นกับตน ทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง
“พี่หลินสวิน ข้าพาท่านเดินเล่นเอาไหม ข้าก็ไม่ได้มาเที่ยวนครเตโชนานแล้ว อาศัยช่วงอาจารย์ไม่อยู่ต้องเล่นสนุกให้สุดเหวี่ยง มิฉะนั้นหากกลับสำนักแล้วไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ออกมาเที่ยวอีก”
ซย่าเสี่ยวฉงมองหลินสวินด้วยดวงตาระยิบระยับ หน้าตาคาดหวัง
หลินสวินเองก็ว่างไม่มีธุระจึงตกปากรับคำ ซย่าเสี่ยวฉงพลันโห่ร้องอย่างยินดี กระโดดโหยงเหยงเหมือนเด็กไม่รู้จักโต
หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เด็กสาวคนนี้ช่างไร้เดียงสาไม่สมวัยซะจริง บริสุทธิ์ราวผ้าขาว ความรู้สึกอะไรล้วนซ่อนไม่อยู่
แต่เขากลับชอบอุปนิสัยไม่คิดอะไรมากเช่นนี้ของซย่าเสี่ยวฉงยิ่งนัก อยู่กับนางให้ความรู้สึกผ่อนคลายไร้วิตกกังวลอย่างหนึ่ง
“จริงสิ งานทดสอบรวมสำนักคราวนี้ อันดับสุดท้ายของพวกเจ้าเป็นยังไงบ้าง”
หลินสวินกล่าวถามเรียบง่าย
“แน่นอนว่าศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงแห่งสำนักยุทธ์พันเวทเป็นอันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อกังขา ศิษย์พี่สุ่ยซิ่วแห่งสำนักกระบี่สนขจีอยู่ในอันดับสอง ศิษย์พี่เวินหรูอวี้แห่งตระกูลเวินจัดอยู่ในอันดับสาม…”
ซย่าเสี่ยวฉงชูนิ้วนับ น้ำเสียงกระจ่างชัดบอกเล่ากับหลินสวิน “ที่ตลกที่สุดคือผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณ ก่อนหน้านี้อันดับของพวกเขาอยู่ในสามอันดับแรกตลอด แต่การทดสอบครานี้ พวกเขาแทบอยู่ในตำแหน่งรั้งท้ายทั้งสิ้น”
“ตอนนั้นผู้อาวุโสสำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งโกรธจนตัวสั่น ราวลมบ้าหมูกำเริบก็ไม่ปาน พวกโม่เฟิงแต่ละคนต่างก้มหัวงุดๆ หมดอาลัยตายอยาก ข้าขำจนปวดท้องไปหมด”
พูดถึงตอนท้ายนางก็อารมณ์ดีอีก ใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเปี่ยมรอยยิ้มสดใส
หลินสวินก็ยิ้มอย่างอดไม่อยู่เช่นกัน สมน้ำหน้าพวกโม่เฟิง ดันกล้ามาหาเรื่องตน ถูกจัดอยู่ในอันดับรั้งท้ายก็เป็นบทลงโทษที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
“เจ้าล่ะ” หลินสวินถาม
“อันดับห้าสิบเก้า” ซย่าเสี่ยวฉงภาคภูมินัก เชิดใบหน้าน้อยอย่างภูมิใจยิ่ง
“นี่ควรทะนงตัวหรือ” หลินสวินประหลาดใจ
“ไม่ควรทะนงตัวรึ” ซย่าเสี่ยวฉงถามกลับ
“สมควรจริงหรือ” หลินสวินหมดคำจะพูดอยู่บ้าง
“ไม่สมควรจริงรึ” ซย่าเสี่ยวฉงขมวดคิ้ว ถามกลับอย่างจริงจังยิ่ง
เห็นเด็กสาวนางนี้ท่าทางไม่ยอมแพ้ หน้าผากหลินสวินพลันมีเส้นเลือดปูดออกมา งานประลองใหญ่รวมสำนักซึ่งมีผู้เข้าร่วมแค่ร้อยกว่าคน กลับได้อันดับห้าสิบเก้า นี่… ควรทะนงตนเช่นนั้นจริงรึ
หลินสวินตัดสินใจทำให้เด็กสาวผู้หยิ่งทะนงลำพองตนตาสว่างสักหน่อย จึงกล่าวว่า “หากข้าเป็นอาจารย์เจ้า คงไล่เจ้าออกจากสำนักทันทีแน่ อันดับค่อนไปทางท้ายเช่นนี้ไม่คิดว่าน่าอาย กลับคิดว่าเป็นเกียรติยศ ข้าว่าเจ้าไม่ต่างอะไรกับหมูอสูรมารไร้ยางอายไม่มีคุณธรรมตัวนั้นเลย”
ซย่าเสี่ยวฉงพลันโมโห กล่าวแยกเขี้ยวยิงฟัน “ถ้าท่านแน่จริงก็มาลองเองสิ!”
“โอ๊ะ เจ้ายังไม่ยอมแพ้รึ”
หลินสวินยิ้ม แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา “จะบอกเจ้าให้ การทดสอบเช่นนี้ หากข้าเรียกว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าเรียกว่าเป็นที่หนึ่งหรอก!”
“ขี้โม้ คุยโวโอ้อวด!”
ซย่าเสี่ยวฉงดูถูกยิ่ง ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง “ท่านคิดว่าศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่เก่งรึ ท่านเห็นว่าศิษย์พี่สุ่ยซิ่วไม่เก่งรึ ท่านคิดว่าศิษย์พี่เวินหรูอวี้ไม่เก่งรึ ยังมาว่าข้าไร้ยางอายไม่มีคุณธรรมเหมือนหมูอสูรมาร ข้าหาว่าท่านนั่นแหละ!”
ถูกคนอื่นสบประมาท บางทีหลินสวินอาจคร้านจะใส่ใจ
อย่างไรเสียบนโลกนี้พวกที่สายตาตื้นเขินก็มากมายเหลือเกิน เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกสมองทึบไม่มีตา
แต่การถูกเด็กสาวใสซื่อไร้เดียงสาเช่นนี้สบประมาท หลินสวินออกจะทนรับไม่ได้อยู่บ้าง โดยเฉพาะนางถึงกับเอาเยวี่ยเจี้ยนหมิงมาเปรียบกับเขา!
นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนยามอยู่ในภูเขาโคม่วง ซย่าเสี่ยวฉงมีท่าทางคลั่งไคล้เลื่อมใสเยวี่ยเจี้ยนหมิง อีกทั้งยังเอาเยวี่ยเจี้ยนหมิงมาโจมตีตน หลินสวินยิ่งหดหู่กว่าเดิม
“ไป ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าเปิดหูเปิดตา ให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าแมลงหน้าร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง น้ำทะเลไม่อาจตวงวัด!”
ทันใดนั้นดวงตาหลินสวินพลันฉายแวววาบ คว้าแขนซย่าเสี่ยวฉงเดินห่างออกไป
……………
Comments