Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก 49

Now you are reading Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก Chapter 49 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 การต่อสู้ตัวต่อตัวท่ามกลางสมรภูมิรบเป็นสิ่งที่มีแต่ในนิยายเท่านั้น

 

 เพราะในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างต่างออกไป

 

 ไหนจะระยะทางระหว่างค่ายที่พักของทั้งสองฝ่าย หรือกองกำลังทหารที่อยู่ขั้นกลาง แค่การที่แม่ทัพทั้งสองจะเห็นหน้าค่าตากันก็ว่ายากแล้ว

 

 ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่ของแม่ทัพคือการบัญชาการรบและสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหาร การเผชิญหน้าดวลกันตัวต่อตัวไม่ได้จบลงแค่หนึ่งชีวิต แต่รวมถึงชีวิตของทหารทั้งกองทัพด้วย

 

‘นั่นคือสาเหตุทั่วไปละนะ’

 

 หากทว่าสงครามในบทกวีแห่งผู้กล้าได้ต่างออกไป แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัย แต่สาเหตุที่แท้จริงคือสิ่งอื่น

 

 ลมปราณ เวทมนตร์ พลังจิต รัศมีเทพ รวมถึงความสามารถเฉพาะตัวอีกหลากหลาย

 

 ความสามารถเหล่านี้ทำให้แม่ทัพบางตนเทียบเท่ากองทัพทั้งกองเสียด้วยซ้ำ

 

 แวนเดล คริสต์ และเคทลินก็จัดอยู่ในแม่ทัพประเภทนี้

 

‘ก็เลยมีพวกมือสังหาร’

 

 ชื่อของหน่วยที่พุ่งเป้าไปที่การสังหารแม่ทัพของศัตรูโดยเฉพาะ

 

 อีกหนึ่งสาเหตุที่ทั้งคริสต์และเคทลินถูกเรียกว่าอสูรกายกระหายเลือด นั่นก็เพราะทั้งคู่จัดเป็นมือสังหารเช่นกัน แต่วิธีการของทั้งสองต่างจากมือสังหารทั่วไป

 

 ลืมเรื่องการหลบซ่อนลอบโจมตีไปได้เลย ทั้งคู่มุ่งตรงไปยังแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามโดยใช้กำลังทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง

 

 นั่นทำให้ทุกที่ที่ทั้งสองมุ่งไป จะเป็นเส้นทางที่โชยไปด้วยเลือด

 

 ซึ่งในขณะนี้ อินกองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทำตัวเป็นมือสังหาร

 

‘แต่เราขอทำแบบมีศิลปะกว่าพี่น้องนั้นหน่อยละกัน’

 

 เดรโก้พุ่งตรงไปข้างหน้าท่ามกลางท้องฟ้ายามพลบค่ำ

 

 อินกองมองภาพรวมสนามรบผ่านทางแผนที่ย่อของเขา

 

 เดรคโอเกอร์ตัวเป้าหมายอยู่ห่างไปอีกไกล แต่เขาไม่จำเป็นต้องฝ่ากองทัพเพื่อเข้าถึงเป้าหมาย

 

‘ถึงเวลาเปิดทาง’

 

 แผนการทุกอย่างอยู่ในหัวของอินกองเรียบร้อย เวทีประลองสำหรับการต่อสู้ได้ถูกเตรียมไว้ในแผนการนี้ด้วย

 

“กรีนวินด์”

 

 ทันทีที่อินกองเรียกชื่อของนาง สายลมรอบตัวก็รวมตัวขึ้นเป็นร่างของกรีนวินด์อยู่ข้างกายเขา นางเข้าใจความคิดของอินกองโดยไม่ต้องอธิบาย

 

“ข้าจะทำตามความต้องการของเจ้า บุตรแห่งอันเคล”

 

 เขาต้องอาศัยกรีนวินด์เพื่อออกคำสั่งให้เหล่าทรีเอนท์

 

 อินกองยื่นมือออกไปหานาง หลังจากผ่านการทบสอบจากมังกรบรรพกาลถึงสองครั้ง นั่นทำให้เขาเข้าใจขั้นตอนทั้งหลาย

 

“ขอความร่วมมือด้วย”

 

 กรีนวินด์ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่ต่างจากอันเคล

 

“ข้าเข้าใจ”

 

 กรีนวินด์กางแขนของนางออกโอบกอดอินกอง

 

 นางยินยอมเข้ารับการควบคุมจากพลังแห่งอาณัติ

 

 นางสลายตัวออกเข้าปกคลุมแขนขาของอินกอง แสงสีเขียวรวมเข้ากับลมปราณสีขาวทำให้เขารู้สึกเบาหวิว ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมรอบตัว

 

“เปิดทาง!”

 

 อินกองออกคำสั่งโดยดูตำแหน่งจากแผนที่ย่อของเขา เหล่าทรีเอนท์รับบัญชาอย่างว่างายโดยไม่ปริปาก

 

 พวกมันเข้าผลักและดันเดรคโอเกอร์ทั้งหลายให้ออกห่างจากพื้นที่เป้าหมาย ถึงแม้การปะทะระหว่างทรีเอนท์และเดรคโอเกอร์ที่เหลือจะยังดำเนินอยู่รอบด้านก็ตาม หัวหน้าเดรคโอเกอร์ก็รู้ได้ว่ามันยืนอยู่ตนเดียวท่ามกลางพื้นที่ที่ถูกเปิดออก

 

 เดรคโอเกอร์ตนนี้มีชื่อว่า มุสตาฟา แม้มันจะสังเกตถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ไม่รีบร้อนวิ่งไล่ตามเหล่าทรีเอนท์แต่อย่างใด

 

 ในทางกลับกัน มันกลับยิ้มราวกับพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น มันหันมาคำรามให้กับอินกองที่กำลังควบเดรโก้เข้ามาตามทางที่ถูกเปิด

 

 เสียงอันดังสนั่นราวกับแผ่นดินกำลังพังทลาย อินกองยิ้มรับเสียงคำรามศึกจากแม่ทัพตรงหน้า ก่อนจะควบเดรโก้พุ่งเข้าไปด้วยร่างกายอันสั่นเทา

 

‘ข้าเชื่อว่าเจ้าจะได้รับชัยในการต่อสู้ นายท่านเพียงชั่วคราวของข้า’

 

 เสียงกระซิบของกรีนวินด์ดังขึ้นในหูของเขา ถึงมันจะดูไร้ความหมายในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานขณะนี้

 

 แต่เสียงกระซิบนั้นกลับทำให้เขาผ่อนคลายลงอย่างประหลาด

 

 เสียงนั้นช่วยย้ำเตือนจุดมุ่งหมายของเขา นั่นคือการเอาชนะแม่ทัพของศัตรู

 

“โลหิตมังกร”

 

 ทักษะพิเศษที่มาพร้อมกับร่างกายที่กลายเป็นร่างมังกรจำแลง พลังเวทมังกรที่กระจายอยู่ทั่วร่างตื่นตัวตอบรับการเรียกขานจากอินกอง

 

 ลมปราณและพลังเวทแก่กล้าขึ้น ค่าสถานะทั้งหมดของเขาก็เพิ่มขึ้น เขารู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจขึ้นราว 10% แม้จะไม่ได้เปิดหน้าต่างสถานะตรวจดู

 

 ยิ่งไปกว่านั้น บางสิ่งที่เหนือความคาดหมายของอินกองก็เกิดขึ้น

 

 พสุธากัมปนาทส่งเสียงคำรามร้องออกมา แสงสีแดงเหลืองส่องประกายเข้มขึ้นจนมองเห็นเป็นรูปมังกรได้เลือนลาง

 

 พสุธากัมปนาทถูกปลุกเสกจากพญามังกรเอนคิดู แน่นอนว่ามันย่อมมีปฏิกิริยาต่อร่างมังกรจำแลง

 

 [คุณได้เรียนรู้ทักษะพิเศษของพสุธากัมปนาท กระสุนสังหาร ขั้น1]
 [ปลดปล่อยพลังแฝงบางส่วนของพสุธากัมปนาท ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น]
 [พละกำลังเพิ่มขึ้น 20]
 [ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 15]
 [ความทนทานเพิ่มขึ้น 20]
 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ ลมปราณ]
 [เพิ่มระดับขั้นทักษะ วิชาควบคุมธรรมชาติ]

 

 กรีนวินด์ก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน นางร่ายพรให้กับเขา

 

 [พละกำลังเพิ่มขึ้น 10%.]
 [ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 10%]
 [ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 10%]
 [ความทนทานเพิ่มนขึ้น 10%]
 [คุณได้รับพรแห่งสายลม ความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น]
 [คุณได้รับพรแห่งทุ่งหญ้า ความสามารถฟื้นตัวเพิ่มขึ้น]

 

 [คุณได้เรียนรู้ พรแห่งสายลม ขั้น1]
 [คุณได้เรียนรู้ พรแห่งทุ่งหญ้า ขั้น1]

 

 เสียงของสตรีปริศนาดังขึ้นในหัวของอินกองอย่างต่อเนื่อง ความสามารถที่เพิ่มอย่างกระทันหันทำให้เขาเสียหลักควบคุมตัวเองไม่ถูก

 

 แต่นั่นไม่ทำให้เขาตื่นตระหนก เขากำหมัดแน่นพร้อมจ้องไปทางมุสตาฟา

 

“ลองดูซักตั้งละวะ”

 

 การเสียหลักทำให้เขาหล่นลงจากหลังของเดรโก้ แต่เขาก็ม้วนตัวกลางอากาศ ก่อนจะใช้เท้าถืบพื้นพุ่งตัวเข้าใส่หัวหน้าเดรคโอเกอร์ ในขณะเดียวกันเขาก็เดินลมปราณเตรียมใช้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ

 

 ลมปราณสีขาวเข้าปกคลุมร่าง…

 

 แสงสีเหลืองแดงรูปมังกรจากพสุธากัมปนาท

 

 แสงสีเขียวจากกรีนวินด์

 

 ท่ามกลางแสงเหล่านี้ อินกองแสยะยิ้มเยาะเย้ยท้าทายเป้าหมาย

 

 แน่นอนว่ามุสตาฟาคำรามขึ้นมาอีกครั้ง มันเตรียมเคียวอันใหญ่โตในมือก่อนจะวิ่งตรงเข้าหาอินกอง

 

 เป็นความเร็วที่เหลือเชื่อว่าจะมาจากร่างกายที่ใหญ่โตถึงหกเมตร รถไฟทั้งสองขบวนพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว

 

 อินกองมองดูทุกสิ่งอย่างจดจ่อ เขาไม่กล้ากระพริบตาในวินาทีที่ตัดสินความเป็นตายเหล่านี้ได้ กรีนวินด์ช่วยเหลือเขาด้วยกระซิบบอกทางเคียวที่แหวกอากาศตรงหน้า

 

 นางสามารถรับรู้ได้ผ่านการแปรเปลี่ยนของสายลม

 

 อินกองเตะพื้นกระโดดม้วนตัวหลบคมเคียวที่เชือดเฉือนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงจอดบนหลังของมุสตาฟา เขาต่อยไปยังร่างกายโอเกอร์อันใหญ่โตในโอกาสที่เกิดขึ้น

 

 พลังทำลายล้างระเบิดออกมาจากพสุธากัมปนาท!

 

เคล้ง!

 

 มุสตาฟาตวัดเคียวขึ้นมารับการโจมตีไว้ได้ทัน เคียวของมันแตกออกเล็กน้อย แรงระเบิดทำให้ร่างกายมันเสียหลัก แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด คมเคียววาดต่อในอากาศอย่างไม่ชะลอความเร็ว

 

 อินกองรีบกระโดดลงจากแผ่นหลังของเดรคโอเกอร์เพื่อหลบการโจมตี แม้จะรอดตายได้อย่างหวุดหวิด แต่สายลมจากคมเคียวก็เฉี่ยวคอสร้างบาดแผลให้กับเขา เพราะร่างกายท่อนล่างปกคลุมด้วยเกล็ดมากมาย เขาจึงเลือกโจมตีไปยั่งร่างกายส่วนบน แต่ประสาทสัมผัสของมุสตาฟาก็เฉียบคมสมกับเป็นแม่ทัพ

 

 ด้านมุสตาฟาก็ประหลาดใจกับพลังทำลายล้างที่อินกองปลดปล่อยออกมาเช่นกัน แม้จะป้องกันการโจมตีเอาไว้ได้ แต่มันก็ได้รับบาดแผลจากเศษเคียวที่แตกออก มันควงเคียวมาในท่าเตรียมเพื่อเตรียมโจมตีอีกครั้ง อินกองพยายามบุกเข้าประชิดตัวมุสตาฟา การปะทะที่ผ่านมาทำให้เขาต้องการเพิ่มความได้เปรียบขึ้น แม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม

 #เผื่อมีคนงงว่าวิ่งเข้าไปบุกมันจะได้เปรียบยังไง? นั่นเพราะเคียวมีระยะการโจมตีที่กว้างกว่า แถมไม่ต้องโดนจุดสำคัญก็สร้างบาดแผลได้ ผิดกับสนับที่จะโจมตีได้ต้องประชิดตัว แถมต้องโดนจุดสำคัญไม่งั้นสร้างบาดแผลได้ไม่มาก ถ้าเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว อีกฝั่งย่อมรักษาระยะไม่มีทางเข้ามาให้อินกองโจมตีแน่นอน การวิ่งฝ่าคมเคียวบุกเข้าไปถึงจะดูบ้าและเสี่ยงตาย แต่มันก็มีโอกาสชนะมากกว่าตั้งรับรอความตายแน่นอน นี่ยังไม่นับเรื่องประสบการณ์ศึกและปัจจัยทางร่างกายอย่างอื่นอีกนะ

 

‘ยิ่งยื้อยิ่งเสียเปรียบ’

 

 พรจากกรีนวินด์ทำให้ความสามารถของอินกองพุ่งขึ้นมาอย่างมหาศาล แต่ก็เป็นการดึงขีดจำกัดสร้างความเสียหายให้ร่างกายในขณะเดียวกัน และด้วยอาวุธของทั้งสองฝ่าย ทำให้เขาต้องหลบหลีกทุกการโจมตี เขาจึงต้องใช้สมาธิมากยิ่งขึ้นไปอีก หากการต่อสู้ยิ่งยืดเยื้อ ความอ่อนล้าจากร่างกายและจิตใจก็จะยิ่งถาโถม

 

 เขาต้องจบการต่อสู้ให้ได้ในโอกาสโจมตีครั้งถัดไป

 

 อินกองรวบรวมลมปราณของเขาไปที่พสุธากัมปนาท แสงสีเหลืองแดงรูปมังกรปกคลุมด้วยควันสีขาว ดูเหมือนมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยว

 

 มุสตาฟารู้สึกถึงอันตรายจากพลังในอาวุธของศัตรู นั่นทำให้มันกวัดแกว่งเคียวโดยรักษาระยะเอาไว้ เผื่อพร้อมรับการโจมตีจากทุกมุม ทว่าอินกองก็หลบการโจมตีของมันได้ทุกครั้ง มันจึงตัดสินใจร่ายพลังบางอย่างลงบนเคียว

 

 แสงสีม่วงออกดำให้ความรู้สึกสยดสยองราวกับคำสาป

 

 มุสตาฟาฟาดเคียวมาอย่างรวดเร็วเพื่อโจมตี แต่อินกองก็หลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิด การโจมตีในครั้งนี้เหมือนจะเป็นการทุ่มสุดตัวจึงทำให้มุสตาฟาไม่สามารถดึงเคียวกลับมาทันตั้งรับได้ อินกองพุ่งเข้าโจมตีในโอกาสอันน้อยนิดที่เกิดขึ้น แต่ทันใดนั้น มุสตาฟาก็อ้าปากคำรามออกมา เป็นเสียงคำรามที่ต่างไปจากทุกที นี่คือเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของเดรคโอเกอร์ เป็นเวทมนตร์ข่มขวัญสร้างความเสียหายต่อจิตใจให้ศัตรูสับสน

 

 เสียงคำรามพุ่งเป้าโจมตีมายังอินกอง แสงสีม่วงเรืองขึ้นจากคอของเขา อัสสุภูติราตรี จี้ห้อยคอที่ทำให้ผู้สวมทนทานต่อเวทมนตร์

 

 อินกองพุ่งเข้าพลิกวิกฤตในครั้งนี้ให้เป็นโอกาส

 

 อินกองตะโกนเรียกออกมาในทันที

 

“คารัค!”

 

 นี่ไม่ใช่การตะโกนเรียกธรรมดา แต่เป็นการใช้ทักษะของเขา

 

 ทักษะพิเศษจากมหาดเล็กราชวัลลภ รับสั่ง!

 

 ร่างกายของเจ้าออร์คปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา มันมีอาการสับสนเล็กน้อย ก่อนสัญชาติญาณนักรบจะสั่งให้มันโจมตีศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่คิด

 

“คุร่า!”

 

 คารัคคำรามออกมาพร้อมก้มตัวใช้ขวานโจมตีขาของมุสตาฟา แม้เกล็ดจะปกป้องทำให้มันไม่ได้รับความเสียหาย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ อินกองวิ่งกระโดดขึ้นเหยียบหลังคารัคก่อนจะถีบตัวพุ่งตรงไปยังหัวของมุสตาฟา

 

 แม้หัวหน้าเดรคโอเกอร์จะดึงเคียวกลับมาป้องกันไม่ทันแต่มันยังไม่หมดพิษสง มันอ้าปากเพื่อใช้เขี้ยวอันคมกริบขย้ำอินกองที่กระโดดเข้ามาตรงหน้า และนั่นคือจุดพลิกผัน

 

‘เทเลคิเนซิส!’

 

 อินกองใช้ไพ่ตายโจมตีหัวของมุสตาฟา เขาขยับเปลือกตาของมันให้ปิดลง เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ศัตรูคลาดสายตามากพอที่จะตัดสินความเป็นตายได้ อินกองหวดหมัดของเขาเข้าโจมตีศีรษะมุสตาฟาที่สูญเสียการมองเห็น

 

 แต่ที่เขาใช้ไม่ใช่การระเบิดลมปราณอย่างทุกที นี่คือทักษะพลังแฝงของพสุธากัมปนาท!

 

 กระสุนสังหาร!

 

 ถุงมือส่งเสียงคำรามออกมาก่อนจะยิงกระสุนลมปราณใส่มุสตาฟาอย่างจัง แม้พลังทำลายวงกว้างอาจจะไม่เทียบเท่าการระเบิด แต่พลังอำนาจทะลุทะลวงมีมากกว่าหลายเท่า

 

 มีรูขนาดเท่ากำปั้นโผล่ขึ้นทะลุใบหน้าของมุสตาฟา กรามของมันยังคงพยายามกัดฉีกอินกองจากคำสั่งสุดท้ายที่ได้รับ ก่อนร่างกายของหัวหน้าเดรคโอเกอร์จะเริ่มหยุดนิ่งและเซจากแรงกระแทก

 

 อินกองตกลงมากองกับพื้น เขาใช้พลังในการต่อสู้จนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะตั้งท่ารับแรงกระแทก เขายิงลมปราณมหาศาลออกไปติดกันถึงสองครั้งทำให้หายใจติดขัด การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัวราวกับจะหมดสติ

 

 ร่างของมุสตาฟายังคงตั้งตระหง่านอยู่ ก่อนจะเริ่มเสียสมดุลย์ ร่างกายอันสูงใหญ่ถึงหกเมตรล้มลงทำให้พื้นสั่นสะเทือน แสงสีน้ำเงินออกม่วงที่ปกคลุมร่างของมันลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนจะแตกตัวกระจายไปในทุกทิศทาง

 

 เหล่าเดรคโอเกอร์ในบริเวณใกล้เคียงส่งเสียงกรีดร้องออกมา แสงที่ควบคุมครอบงำเหล่าคาเซียก็เลือนลางหายไป เสียงร้องอย่างสับสนของเหล่าสัตว์อสูรดังไปทั่วสนามรบ

 

 ทว่าอินกองไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ทั้งสิ้น สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มจางหายก่อนเสียงสตรีนิรนามจะดังขึ้นในหัว

 

 [เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]

 

 ร่างกายของอินกองเรืองแสงสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง

 

#บรรทัดแรกสุดอะไรนะ ‘การต่อสู้ตัวต่อตัวท่ามกลางสมรภูมิรบเป็นสิ่งที่มีแต่ในนิยายเท่านั้น’ ผิดแล้วขนาดในนิยายพระเอกยังเรียกลูกน้องมาช่วยรุมเลย

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด