Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 38 : Chance to Redemption
หลังจากที่นากาได้วิ่งไล่ตามเอริซาเบธไปตามถนนริมสนามหญ้าสักพัก อยู่ดีๆ เอริซาเบธที่วิ่งนำเขาอยู่นั้นก็ได้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันจนทำให้นากาแทบจะชนเข้ากับเธอ
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามหาสาเหตุที่เธอหยุดวิ่งลง เขาก็ได้สังเกตเห็นตัวอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐสีขาวตรงหน้าเข้าซะก่อน
ซึ่งถึงแม้ว่าตัวอาคารสีขาวเบื้องหน้าเขานั้นจะดูค่อนข้างเล็กกว่าตัวอาคารเรียนอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็ทอดยาวไปจนเกือบจะสุดเขตสนามหญ้าที่กว้างนับร้อยเมตร
“โหโฮวววว~”
“อย่าบอกนะว่าตึกหลังนี้คือโรงอาหารน่ะ? มันจะไม่ใหญ่เกินไปหน่อยหรือไงน่ะ?”
ในระหว่างที่พรีมูล่าส่งเสียงออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจนั้น นากาเองก็พยายามเก็บอาการตกตะลึงของตัวเองและเอ่ยปากถามเอริซาเบธขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเห็นตัวอาคารสีขาวนี้ตั้งแต่ทีแรกที่เดินเข้ามาในโรงเรียนแล้ว แต่ว่าด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมันนั้นก็ทำให้เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นโรงอาหารเลยแม้แต่น้อย
“เห็นเขาว่ากันว่าก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงอาหารมันเคยเป็นคลังแสงสำหรับเก็บอาวุธขนาดใหญ่หรืออะไรพวกนั้นมาก่อนน่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงแค่ไหนเหมือนกันสิ”
“เดี๋ยวก่อนนะ… เห็นเอริกะเขาบอกว่าโรงเรียนนี้เคยเป็นโบสถ์มาก่อนไม่ใช่หรอ”
นากาที่ได้ยินว่าตัวโรงอาหารนั้นเคยเป็นคลังแสงมาก่อนก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเรื่องที่คาใจเขาอยู่ออกมา
“โบสถ์… อ้อ ถ้าหมายถึงอาคารเรียนที่เธอเข้าไปยื่นเอกสารก่อนจะเริ่มสอบนั่นก็น่าจะตามนั้นแหล่ะ”
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมในโบสถ์ถึงมีคลังเก็บอาวุธด้วยล่ะ?”
“เอ๋ะ? แล้วมันทำไมอ่ะพี่นากา? ขนาดในบ้านของพี่เอริกะยังมีห้องเก็บอุปกรณ์เลยนะ ทำไมในโบสถ์ถึงจะมีคลังเก็บอาวุธบ้างไม่ได้อ่ะ?”
เมื่อนากาได้ยินคำถามของพรีมูล่าที่ถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสานั้น เขาก็กะพริบตามองเธอเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา ก่อนที่จะหันไปฟังคำตอบของเอริซาเบธแทน
“เอาจริงๆ ทั้งเรื่องโบสถ์ทั้งเรื่องคลังเก็บอาวุธนี่มันเป็นเรื่องที่คนเขาเล่าต่อๆ กันมาเฉยๆ น่ะ เรื่องจริงจะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ~”
เอริซาเบธพูดตอบขึ้นมาพลางเดินเข้าไปลูบเสาอิฐสีขาวบริเวณประตูหน้าของตัวอาคาร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อค้ำยันหลังคาที่ยื่นออกมาด้านหน้า
“อีกอย่างหนึ่ง ถึงจะบอกกันว่ามันเคยเป็นนู้นเป็นนี่มาก่อนก็เถอะ แต่ว่าตัวอาคารพวกนี้มันก็ถูกดัดแปลงไม่ก็บูรณะมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าที่จริงมันอาจจะเคยเป็นโรงพยาบาลหรือห้องสมุดก็ได้นะใครจะไปรู้ล่ะ”
“เอ๋… แบบนี้ก็หมายความว่าที่พี่เอริกะเขาเล่ามาไม่เป็นความจริงหรอ?”
“ก็ไม่รู้สินะ~ ทางโรงเรียนเขาก็ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศซะด้วยสิ อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้อาคารนี้จะเคยเป็นคลังแสงมาก่อนจริงๆ มันก็อาจจะเป็นของทางวังก็ได้นี่ เพราะว่าแถวนี้ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากวังหลวงสักเท่าไหร่ด้วยนะ”
“เอ๊ะ… แต่ว่าเอริกะเขา…”
เมื่อนากาได้ยินเอริซาเบธพูดขึ้นมาแบบนั้นเขาก็เลิกคิ้วมองเธออย่างแปลกใจในทันที เพราะว่าในสายตาของเขาแล้ว เอริกะนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้รอบรู้ที่เก่งกาจไปในทุกด้าน ทำให้เขานึกว่าทุกอย่างที่เธอพูดขึ้นมานั้นจะเป็นเรื่องจริงซะอีก ซึ่งเอริเซเบธที่เห็นท่าทางสับสนของนากาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา
“อ้ะใช่แล้ว~ ถ้าเป็นพวกเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี่ เป็นไปได้อย่าไปถามคุณเอริกะเขาจะดีกว่านะ เพราะว่าคุณเอริกะเขาไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนั้นเลยน่ะ~”
“เอ๋? ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องพวกนี้ไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรอ?”
“นั่นสิ? ตอนอยู่ที่หมู่บ้านพวกอาจารย์เขายังบังคับให้หนูเรียนเลยอ้ะ”
“…ก็เพราะว่าฉันไม่สนใจเรื่องที่มันปนเปื้อนได้ง่ายยิ่งกว่าเชื้อโรคแบบนั้นยังไงล่ะ”
ในระหว่างที่นากาและพรีมูล่ากำลังถามเอริซาเบธกลับไปอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงของเอริกะดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของสองพี่น้อง
และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่าเอริกะที่มายืนฟังพวกเธอคุยกันได้สักพักแล้วนั้นเอ่ยปากพูดขึ้นมา เธอก็เลยรีบแกล้งทำเป็นโบกมือทักทายไปในทันที
“ว่าไงคะคุณเอริกะ~ เมื่อกี้เห็นวิ่งซะวุ่นเลยไม่ใช่หรอคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
“อื้อ ก็พอดีจำวันผิดนิดหน่อยน่ะ แต่ได้นั่งพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“เล่นทำเอาพวกฉันหัวใจแทบวายเลยนะ!/ ช่าย!ขนาดหนูเองยังตกใจแทบแย่เลย!”
“อ่ะ—”
เอริกะที่ได้ยินทั้งสองคนโวยวายมาแบบนั้นก็ถึงกับทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรีบกระแอ่มคอออกมาเบาๆ พร้อมพูดเปลี่ยนประเด็นกลับไปทันที
“ฮะแฮ่ม— เรื่องวันสอบนั่นมันผ่านไปแล้วก็ช่างมันไปละกันเนอะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมฉันถึงไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ก็เพราะว่ามันน่ารังเกียจน่ะสิ”
“น่ารังเกียจหรอ…?”
“อื้ม… แต่ก่อนอื่นต้องอธิบายให้ฟังก่อนสินะ สำหรับฉันแล้วคนที่ทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์น่ะมันมีอยู่สามประเภทด้วยกัน”
เอริกะพูดขึ้นมาพร้อมกับเหลือบตาไปมองเอริซาเบธเล็กน้อย ซึ่งเอริซาเบธที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเอริกะกำลังจะพูดอะไรขึ้นมาก็ส่ายหางจิ้งจอกไปมาพลางลูบหัวของตนอย่างเขินๆ
“ประเภทแรกเป็นคนที่เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ พวกเขาสามารถยอมรับและเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้และบันทึกมันลงไปอย่างเที่ยงธรรม… ต้องบอกว่ากลุ่มคนพวกนี้แหล่ะที่มีส่วนช่วยให้พวกเราสามารถหยุดปัญหาเดิมๆ ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นซ้ำสองน่ะ”
“หือ? ไม่ใช่ว่าปกติแล้วเขาก็ทำกันอย่างงั้นอยู่แล้วหรอกหรอ”
“ถ้านักประวัติศาสตร์ทุกคนเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ… แต่ว่าโลกนี้ยังมีคนประเภทที่สองอยู่อีกด้วย คนประเภทนี้จะเป็นพวกที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับประวัติศาสตร์และอยากให้ชื่อของตัวเองถูกเล่าต่อๆ กันไป
พวกเขาจะเขียนประวัติศาสตร์จากมุมมองของตัวเองและสอดแทรกเรื่องที่พวกเขาทำลงไปเพื่อที่จะทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือน่ะ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรกับคนประเภทนี้หรอกนะ… ขอแค่พวกเขาไม่มาบังคับให้ฉันอ่านก็พอแล้ว”
“อ่าหะ ราวๆ ว่าตระกูลของตัวเองได้สร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้างแบบนั้นสินะ”
“อื้มๆๆ ~”
นากาที่ได้ยินเอริกะอธิบายมานั้นก็พอจะทำความเข้าใจได้ ในระหว่างที่พรีมูล่านั้นก็ได้พยายามทำสีหน้าจริงจังและพยักหน้ารัวๆ จนทุกคนไม่แน่ใจว่ามีอะไรเข้าหัวเธอไปบ้างหรือเปล่ากันแน่
“แต่ว่าที่ฉันเกลียดที่สุดน่ะมันคือคนประเภทสุดท้ายนี่ต่างหาก… พวกมันพยายามที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่พวกมันได้ทำลงไป โดยการสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาบังหน้าแล้วก็เอาไปเที่ยวป่าวประกาศให้คนรับรู้ แถมยังพยายามที่จะปิดบังเรื่องที่พวกมันได้ทำลงไปทุกวิถีทางอีกต่างหาก”
“หะ—”
ซึ่งพอนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็เบิ่งตามองเอริกะอย่างประหลาดใจก่อนจะรีบถามเธอกลับไปในทันที
“ไม่ใช่ว่าปกติแล้วเรื่องพวกนั้นมันต้องมีการตรวจสอบแล้วก็ค้นคว้าก่อนถึงจะอนุญาตให้เผยแพร่หรอกหรอ?”
“ก็ใช่ แต่ว่าถ้าเธอมีกำลังคนหรืออำนาจมากพอก็ไม่เห็นจะต้องไปสนใจอะไรแบบนั้นเลยใช่มั้ยล่ะ~”
“น—นี่เธอกำลังหมายความว่ายังไงน่ะ”
นากาที่ได้ยินอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยจากปากของเอริกะก็ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก แต่ว่าเอริกะก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับเอริซาเบธแทน
“นั่นสิน๊า~ จริงด้วยสิเอริ วันนี้โรงอาหารเปิดอยู่ใช่มั้ย? ถ้าได้กาแฟเพิ่มสักแก้วน่าจะดีมากเลยล่ะ~”
“อ–เอ๋ะ— เดี๋ย—”
“อ๋อ! เปิดสิคะ~ ถึงจะไม่ครบทุกร้านเพราะว่าปิดภาคเรียนอยู่ก็เถอะ แต่ว่าร้านกาแฟกับร้านขนมน่าจะยังเปิดอยู่นะคะ”
“เอ่ะ มีขนมด้วยหรอ~ พี่นากาไปกันเถอะ!!”
และเมื่อพรีมูล่าได้ยินคำว่าขนมเธอก็รีบหันมามองเอริซาเบธตาเป็นประกาย โดยที่ไม่ได้สนใจพี่ชายของตนที่กำลังอ้าปากอึ้งกับความเร็วในการเปลี่ยนประเด็นของเอริกะอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ถ้างั้นเราก็เข้าไปด้านในกันเถอะพริมจัง~ แล้วไหนๆ พวกเธอก็เพิ่งจะสอบเสร็จกันทั้งที เดี๋ยวฉันเลี้ยงขนมให้เป็นรางวัลดีมั้ยเอ่ย~”
“เย้~ ไปกันเถอะพี่นากาาาา~”
“ด—เดี๋ยว—”
เมื่อพรีมูล่าได้ยินคำว่าเลี้ยงขนม เธอก็ร้องขึ้นมาอย่างดีใจและคว้าแขนของนากาเพื่อที่จะให้เขาเดินเข้าไปในโรงอาหารทันที แต่ว่านากาก็ยังยืนอึ้งอยู่กับที่จนทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นเดินเข้าตบไหล่เขาอย่างเห็นใจ
“เหนื่อยหน่อยนะนากาคุง แต่ว่าคุณเอริกะเขาก็แบบนี้แหละ ถ้าเกิดว่าเธอคิดจะไม่บอกอะไร ต่อให้เอาขนมมาล่อเธอก็ไม่พูดหรอก”
“ไอเอาขนมมาล่อนี่คิดว่าน่าจะใช้ได้ผลแค่กับยัยพรีมูล่าคนเดียวนะ…”
“ฮะฮะ แต่ถ้าเป็นคุกกี้ก็ไม่แน่หรอกมั้ง~ ว่าแต่พอจะเข้าใจสาเหตุที่คุณเอริกะเขาไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์รึยังล่ะนากาคุง?”
“จะว่าเข้าใจมันก็เข้าใจแหล่ะ… แต่ว่าที่เอริกะเขาพูดขึ้นมาตอนท้ายสุดนั่นหมายความว่าไงกันแน่น่ะ…”
ทันทีที่ได้ยินนากาพูดขึ้นมาแบบนั้น เอริซาเบธก็ยักไหล่ด้วยท่าทางเดียวกับเอริกะ ก่อนจะหันไปลูบหัวของพรีมูล่ากำลังพยายามลากนากาให้เดินเข้าไปในโรงอาหารอยู่
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาถอนหายใจออกมาเพราะดูท่าว่าเอริซาเบธก็คงจะไม่พูดอธิบายให้เขาเข้าใจเหมือนกัน เขาจึงได้หันไปชะโงกหน้ามองดูด้านในโรงอาหารนั่นแทน
“ใหญ่เอาเรื่องเหมือนกันแฮะ…”
นากาพูดขึ้นมาหลังจากที่เขาเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ทางฝั่งหนึ่งของมันมีโต๊ะโลหะยาวเหยียดนับสิบตัวตั้งเรียงรายกันไปเป็นทางยาว ในขณะที่ทางฝั่งซ้ายมือนั้นก็ถูกแบ่งเป็นล็อกๆ ให้ร้านขายอาหารได้จับจองที่ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีแค่บางร้านเท่านั้นที่เปิดให้บริการก็ตาม
“ก็นะ โรงเรียนนี้มีนักเรียนตั้งหลายร้อยคนนี่นา แถมเผลอๆ บางปีก็ยังทะลุหลักพันเลยซะด้วยซ้ำ ถ้าโรงอาหารไม่ใหญ่ขนาดนี้ก็คงเอาไม่อยู่หรอก~”
“บู่วววววว พี่นากาช้าอ่ะ!!หนูเข้าไปเองก่อนก็ได้ แบร่!”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ดีๆ พรีมูล่าก็ได้เป่าปากเสียงดังและปล่อยมือของเธอออกจากแขนของนากาก่อนจะเดินนำเข้าไปหาเอริกะก่อนในทันที เพราะว่าการที่เอริซาเบธมาลูบหัวของเธอนั้นเทียบไม่ได้กับการที่เอริกะบอกว่าจะเลี้ยงขนมเธอเลยแม้แต่น้อย
“อ่าว พรีมูล่าเขางอลหนีไปแล้วนะ ไม่ต้องรีบตามไปง้อหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวขนมเข้าปากเมื่อไหร่ก็กลับมาซนเหมือนเดิมเองแหล่ะ ว่าแต่เธอบอกว่าจะมาตามใครไปซ่อมสนามไม่ใช่หรอเอริซาเบธ?”
“ช่าย~ น่าจะอยู่ในโรงอาหารเนี่ยล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันเข้าไปเดินหาข้างในก่อนละกันนะ~”
และเมื่อเอริซาเบธพูดจบเธอก็เดินเข้าไปด้านในโรงอาหารทันที โดยปล่อยให้นากาไม่อยากกินอะไรสักเท่าไหร่นักยืนชมบรรยากาศอันเงียบสงบของโรงอาหารอยู่คนเดียว
“หือ…?”
ในระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆ โรงอาหารอยู่นั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกระจกอันเล็กๆ ที่ถูกแขวนประดับเอาไว้ในล็อกขายอาหารอันหนึ่ง ซึ่งมันก็สะท้อนภาพของเขาที่กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้า โดยมีอะไรสักอย่างสีเขียวๆ เหลืองๆ กำลังโยกไปมาอยู่ที่ด้านหลังของเขา
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปมองในทันที แต่ว่าเขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย มีเพียงถนนที่ว่างเปล่ากับนักเรียนบางคนที่กำลังเดินอยู่ไกลๆ
และในขณะที่เขากำลังจะหันกลับไปเพื่อดูกระจกบานนั้นให้ชัดๆ ว่าเขาตาฝาดไปเองหรือเปล่านั้น อยู่ดีๆ ก็มีใบหน้าของเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่กำลังฉีกยิ้มกว้างพุ่งเข้ามาใช้นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเธอจ้องมองใบหน้าของเขาในระยะประชิดโดยที่นากานั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเธอเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เหวอ!!?”
ปึ้ง!!
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
ในขณะเดียวกันที่โบสถ์หลังเล็กๆ สภาพเก่าทรุดโทรมซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองรีมินัสนั้น อยู่ดีๆ ประตูไม้ผุๆ ของมันก็ได้ถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงจนแทบจะหลุดออกมา
ซึ่งผู้ที่ใช้ฝ่าเท้าเตะประตูให้เปิดออกและรีบวิ่งเข้ามาหลบด้านในนั้นก็ไม่ใช่ใครซะจาก นิลิม หญิงสาวผมสีชมพูร่างเล็กที่เคยพยายามติดต่อหาเอริกะผ่านแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมสีดำในวันแรกที่พวกนากาเพิ่งจะมาถึงเมืองนั่นเอง
โดยสภาพของนิลิมตอนนี้นั้นก็ยังมีแท่งเหล็กสีดำปักยึดแขนทั้งสองข้างของเธอให้ติดกันอยู่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาถึงสามวันแล้วก็ตาม ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุให้เธอต้องยกเท้าขึ้นถีบบานประตูให้เปิดออกนั่นเอง
“ให้ตายสิ… การเดินทางก็ล่าช้าจะตายอยู่แล้วยังจะมีคนมาตามล่าอีก… หวังว่าเซซิเรียจะไม่เป็นอะไรนะ…”
เธอบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะรีบใช้ไหล่ของตนดันประตูขึ้นสนิมขนาดใหญ่นั่นให้ปิดกลับไปตามเดิม
และเมื่อเห็นว่าตัวเองน่าจะปลอดภัยแล้ว เธอจึงได้หันไปมองดูรอบๆ สถานที่ที่เธอเข้ามาหลบอยู่ด้านใน ซึ่งเธอก็พบว่ามันคือโบสถ์ขนาดเล็กที่มีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้างเอาไว้นานแล้ว
โดยเก้าอี้ไม้แถวยาวที่ถูกตั้งเรียงกันไว้กลางห้องนั้นก็ได้ผุพังลงไปตามกาลเวลา รวมถึงกำแพงและเพดานเองก็พังถล่มลงมาบางส่วนและถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อย และยิ่งไปกว่านั้น รูปปั้นอะไรบางอย่างที่เหมือนจะเป็นเทพีที่โบสถ์นี้นับถือนั้นได้ก็หักกลางและถล่มลงมาทับเก้าอี้บางส่วนไปอีกด้วย
“เป็นสถานที่ที่ทำให้รู้สึกสงบดีใช่มั้ยล่ะคะ ถึงตอนนี้จะเหลือแค่ซากไปแล้วก็เถอะ~”
“—!?”
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของฐานรูปปั้นที่หักครึ่งนั้น ทำให้นิลิมที่กำลังมองสำรวจดูรอบๆ ต้องรีบหันไปทางต้นเสียงทันที
ซึ่งเธอก็พบกับเด็กสาวหูแมวผมสีดำตาสองสีในชุดเดรสสีชมพูอ่อนประดับด้วยลูกไม้ซึ่งสวมผ้าคลุมหัวสีขาวโปรงใสคล้ายๆ กับที่พวกแม่ชีสวมใส่กัน
“ยินดีต้อนรับสู้โบสถ์ของหนูค่ะ~ แฮะๆ ถึงมันจะเป็นแค่สถานที่ชั่วคราวก็เถอะ…”
“ท—ที่นี่มีคนอยู่หรอ…!? ขอโทษทีฉันนึกว่ามันเป็นโบสถ์ร้างน่ะ!เดี๋ยวจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“อ่ะ เดี๋ยวสิคะพี่สาว!”
ทันทีที่เด็กสาวได้ยินนิลิมขอโทษขอโพยและทำท่าเหมือนกับจะวิ่งกลับออกไปทันทีแบบนั้นเธอก็รีบร้องห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจดูเหล็กสีดำที่ปักแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้วยกันใกล้ๆ
“นี่พี่สาวไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้เนี่ย? ไหนๆ ก็ได้พบกันแล้วทั้งทีแล้ว พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่าว่ากำลังหนีอะไรมาอยู่น่ะ?”
เด็กสาวตาสองสีพูดขึ้นมาหลังจากจ้องมองบริเวณปากแผลของนิลิมที่มีน้ำแข็งสีแดงจากเลือดของเธอคอยช่วยห้ามเลือดเอาไว้ไม่ให้ไหลทะลักออกมา
“เอาเป็นว่ามีคนกลุ่มนึงไล่ตามฉันมาอยู่น่ะ… ถึงเพื่อนของฉันจะช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีพวกมันหลุดรอดมาได้บางส่วน… ถ้าเธอไม่อยากติดร่างแหไปด้วยก็เปิดประตูให้ฉันออกไปเร็ว!”
นิลิมที่เห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าท่าทางจะไม่ปล่อยเธอไปไหนง่ายๆ ก็พยายามอธิบายอย่างรวบรัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำท่าเหมือนกับว่าจะถีบประตูให้เปิดออกอีกครั้งเพื่อที่จะออกไปหาที่หลบที่อื่นจะได้ไม่ทำให้เด็กสาวตรงหน้าต้องโดนลูกหลงไปด้วย
ซึ่งเด็กสาวตาสองสีที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งมาขวางประตูเอาไว้และร้องห้ามเธอออกมาทันที
“เดี๋ยวสิคะ พี่สาวไม่ต้องหนีไปไหนหรอก”
แต่ทันใดนั้นเองเด็กสาวก็กลับพูดออกมาพร้อมดึงตัวของนิลิมกลับออกมาจากประตู ก่อนที่เธอนั้นจะนำตัวเองมาขวางระหว่างนิลิมและประตูโบสถ์เอาไว้
“ท–ทำอะไรของเธอน่ะ–!? ถ้าเกิดว่าพวกนั้นเห็นเธออยู่กับฉันแบบนี้มีหวัง—”
“พี่สาวไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ!เดี๋ยวพวกหนูจัดการให้~”
ถึงแม้ว่าจะได้ยินนิลิมพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ แต่ว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอก็กลับยิ้มออกมาและหันไปทางบันไดทางลงห้องใต้ดินที่อยู่ไม่ไกล
“ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ~ ถ้าอยากจะชดเชยในเรื่องแย่ๆ ที่คุณเคยทำลงไปล่ะก็ การช่วยเหลือคนอื่นก็นับว่าเป็นการทำความดีเหมือนกันนะคะ”
ทันทีที่เธอตะโกนไปทางบันไดนั้นก็ได้มีร่างของชายคนหนึ่งที่สวมใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดิน พร้อมกับพูดตอบเธอกลับมาเบาๆ
“ได้ยินแล้วครับ…คุณหนูทีเอร่า…”
“น—นี่เดี๋ยวสิ!? พวกเธอคิดจะทำอะไรน่ะ!?”
“หน่าๆ คนที่ตามพี่สาวมาปล่อยให้เพื่อนของหนูจัดการไปเถอะ ส่วนพวกเรารีบไปช่วยเพื่อนของพี่สาวกันดีกว่า~”
ทีเอร่าหันกลับมายิ้มตอบนิลิม ก่อนที่เธอจะหันไปกำชับกับชายในชุดคลุมว่าอย่ากระทำการรุนแรงเกินไปนัก
“อย่าลืมว่าแค่ไล่พวกเขากลับไปเฉยๆ ก็พอแล้วนะคะ~”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ…”
เขาพูดตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะเลื่อนมือเข้าไปด้านใต้ผ้าคลุม และทันใดนั้นเองก็ได้มีแท่งเหล็กอะไรบางอย่างดีดตัวออกมาจากด้านหลังเอวของเขาจนทำให้ผ้าคลุมนั้นสะบัดเปิดออกและเผยให้เห็นอุปกรณ์ที่มีหน้าตาเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่ติดอยู่กับตัวแท่งเหล็กนั้น
ซึ่งถึงแม้ว่าแท่งเหล็กและอุปกรณ์เหล่านั้นจะเต็มไปด้วยรอยไหม้และร่องรอยของการซ่อมแซมเหมือนกับว่ามันเพิ่งจะพังยับเยินมาก็ตามที
แต่ว่าเมื่อชายตรงหน้าได้ส่งพลังวิซของเขาเข้าไปแล้ว ตัวอุปกรณ์นั้นก็ได้พ่นไฟสีเขียวอ่อนออกมาเล็กน้อยจนทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างน่าประหลาดใจ
“เครื่องนั่น—น—นี่พวกเธอ… เป็นใครกัน…”
นิลิมที่เห็นอุปกรณ์ของชายในผ้าคลุมนั้นก็ได้รีบหันไปร้องถามทีเอร่าในทันที แต่ว่าเด็กสาวตรงหน้าทำเพียงแค่หันไปมองชายในชุดคลุมที่กำลังลอยตัวเหนือพื้นอยู่เล็กน้อย และเมื่อเขาได้พยักหน้าให้กับเธอ ทีอาร่าจึงได้หันกลับมาตอบนิลิมกลับไป
“พวกหนูก็เป็นแค่กลุ่มคนที่ติดอยู่ในอดีตแล้วบังเอิญได้มาพบกันเท่านั้นแหละค่ะ แต่ว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ที่สำคัญคือการไปช่วยเหลือเพื่อนของพี่สาวต่างหากล่ะคะ”
“คุณหนูทีเอร่า…พร้อมกันแล้วใช่มั้ย…?”
“อื้อ!เดี๋ยวหนูฝากพี่สาวบอกทางที่พี่วิ่งมาหน่อยนะ!”
“อ…อ่า”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้าไปนิลิมก็ได้แต่พยักหน้าให้กับเด็กสาวอย่างไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเธอรู้ดีว่าอุปกรณ์ของชายในชุดผ้าคลุมนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง และเธอก็มั่นใจว่าอุปกรณ์ของชายเบื้องหน้านั้นจะทำให้เธอสามารถช่วยเหลือเซซิเรียที่กำลังถ่วงเวลาศัตรูอยู่ได้อย่างแน่นอน
และเมื่อได้ยินว่านิลิมยอมตกลงที่จะทำตามแผนของทีเอร่าแล้ว ชายในชุดผ้าคลุมที่กำลังลอยตัวอยู่เหนือพื้นนั้นก็ได้ดึงผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่นั้นทิ้งไป เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าที่มีผ้าพันปิดเอาไว้ข้างหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นมาก่อนจะเตะประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้าให้เปิดออกในทันที
“ถ้างั้นไปกันเถอะครับ…!”
ปึ้ง!!
Comments
Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 38 : Chance to Redemption
หลังจากที่นากาได้วิ่งไล่ตามเอริซาเบธไปตามถนนริมสนามหญ้าสักพัก อยู่ดีๆ เอริซาเบธที่วิ่งนำเขาอยู่นั้นก็ได้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันจนทำให้นากาแทบจะชนเข้ากับเธอ
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามหาสาเหตุที่เธอหยุดวิ่งลง เขาก็ได้สังเกตเห็นตัวอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐสีขาวตรงหน้าเข้าซะก่อน
ซึ่งถึงแม้ว่าตัวอาคารสีขาวเบื้องหน้าเขานั้นจะดูค่อนข้างเล็กกว่าตัวอาคารเรียนอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็ทอดยาวไปจนเกือบจะสุดเขตสนามหญ้าที่กว้างนับร้อยเมตร
“โหโฮวววว~”
“อย่าบอกนะว่าตึกหลังนี้คือโรงอาหารน่ะ? มันจะไม่ใหญ่เกินไปหน่อยหรือไงน่ะ?”
ในระหว่างที่พรีมูล่าส่งเสียงออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจนั้น นากาเองก็พยายามเก็บอาการตกตะลึงของตัวเองและเอ่ยปากถามเอริซาเบธขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเห็นตัวอาคารสีขาวนี้ตั้งแต่ทีแรกที่เดินเข้ามาในโรงเรียนแล้ว แต่ว่าด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมันนั้นก็ทำให้เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นโรงอาหารเลยแม้แต่น้อย
“เห็นเขาว่ากันว่าก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงอาหารมันเคยเป็นคลังแสงสำหรับเก็บอาวุธขนาดใหญ่หรืออะไรพวกนั้นมาก่อนน่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงแค่ไหนเหมือนกันสิ”
“เดี๋ยวก่อนนะ… เห็นเอริกะเขาบอกว่าโรงเรียนนี้เคยเป็นโบสถ์มาก่อนไม่ใช่หรอ”
นากาที่ได้ยินว่าตัวโรงอาหารนั้นเคยเป็นคลังแสงมาก่อนก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเรื่องที่คาใจเขาอยู่ออกมา
“โบสถ์… อ้อ ถ้าหมายถึงอาคารเรียนที่เธอเข้าไปยื่นเอกสารก่อนจะเริ่มสอบนั่นก็น่าจะตามนั้นแหล่ะ”
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมในโบสถ์ถึงมีคลังเก็บอาวุธด้วยล่ะ?”
“เอ๋ะ? แล้วมันทำไมอ่ะพี่นากา? ขนาดในบ้านของพี่เอริกะยังมีห้องเก็บอุปกรณ์เลยนะ ทำไมในโบสถ์ถึงจะมีคลังเก็บอาวุธบ้างไม่ได้อ่ะ?”
เมื่อนากาได้ยินคำถามของพรีมูล่าที่ถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสานั้น เขาก็กะพริบตามองเธอเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา ก่อนที่จะหันไปฟังคำตอบของเอริซาเบธแทน
“เอาจริงๆ ทั้งเรื่องโบสถ์ทั้งเรื่องคลังเก็บอาวุธนี่มันเป็นเรื่องที่คนเขาเล่าต่อๆ กันมาเฉยๆ น่ะ เรื่องจริงจะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ~”
เอริซาเบธพูดตอบขึ้นมาพลางเดินเข้าไปลูบเสาอิฐสีขาวบริเวณประตูหน้าของตัวอาคาร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อค้ำยันหลังคาที่ยื่นออกมาด้านหน้า
“อีกอย่างหนึ่ง ถึงจะบอกกันว่ามันเคยเป็นนู้นเป็นนี่มาก่อนก็เถอะ แต่ว่าตัวอาคารพวกนี้มันก็ถูกดัดแปลงไม่ก็บูรณะมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าที่จริงมันอาจจะเคยเป็นโรงพยาบาลหรือห้องสมุดก็ได้นะใครจะไปรู้ล่ะ”
“เอ๋… แบบนี้ก็หมายความว่าที่พี่เอริกะเขาเล่ามาไม่เป็นความจริงหรอ?”
“ก็ไม่รู้สินะ~ ทางโรงเรียนเขาก็ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศซะด้วยสิ อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้อาคารนี้จะเคยเป็นคลังแสงมาก่อนจริงๆ มันก็อาจจะเป็นของทางวังก็ได้นี่ เพราะว่าแถวนี้ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากวังหลวงสักเท่าไหร่ด้วยนะ”
“เอ๊ะ… แต่ว่าเอริกะเขา…”
เมื่อนากาได้ยินเอริซาเบธพูดขึ้นมาแบบนั้นเขาก็เลิกคิ้วมองเธออย่างแปลกใจในทันที เพราะว่าในสายตาของเขาแล้ว เอริกะนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้รอบรู้ที่เก่งกาจไปในทุกด้าน ทำให้เขานึกว่าทุกอย่างที่เธอพูดขึ้นมานั้นจะเป็นเรื่องจริงซะอีก ซึ่งเอริเซเบธที่เห็นท่าทางสับสนของนากาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา
“อ้ะใช่แล้ว~ ถ้าเป็นพวกเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี่ เป็นไปได้อย่าไปถามคุณเอริกะเขาจะดีกว่านะ เพราะว่าคุณเอริกะเขาไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนั้นเลยน่ะ~”
“เอ๋? ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องพวกนี้ไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรอ?”
“นั่นสิ? ตอนอยู่ที่หมู่บ้านพวกอาจารย์เขายังบังคับให้หนูเรียนเลยอ้ะ”
“…ก็เพราะว่าฉันไม่สนใจเรื่องที่มันปนเปื้อนได้ง่ายยิ่งกว่าเชื้อโรคแบบนั้นยังไงล่ะ”
ในระหว่างที่นากาและพรีมูล่ากำลังถามเอริซาเบธกลับไปอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงของเอริกะดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของสองพี่น้อง
และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่าเอริกะที่มายืนฟังพวกเธอคุยกันได้สักพักแล้วนั้นเอ่ยปากพูดขึ้นมา เธอก็เลยรีบแกล้งทำเป็นโบกมือทักทายไปในทันที
“ว่าไงคะคุณเอริกะ~ เมื่อกี้เห็นวิ่งซะวุ่นเลยไม่ใช่หรอคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”
“อื้อ ก็พอดีจำวันผิดนิดหน่อยน่ะ แต่ได้นั่งพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“เล่นทำเอาพวกฉันหัวใจแทบวายเลยนะ!/ ช่าย!ขนาดหนูเองยังตกใจแทบแย่เลย!”
“อ่ะ—”
เอริกะที่ได้ยินทั้งสองคนโวยวายมาแบบนั้นก็ถึงกับทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรีบกระแอ่มคอออกมาเบาๆ พร้อมพูดเปลี่ยนประเด็นกลับไปทันที
“ฮะแฮ่ม— เรื่องวันสอบนั่นมันผ่านไปแล้วก็ช่างมันไปละกันเนอะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมฉันถึงไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ก็เพราะว่ามันน่ารังเกียจน่ะสิ”
“น่ารังเกียจหรอ…?”
“อื้ม… แต่ก่อนอื่นต้องอธิบายให้ฟังก่อนสินะ สำหรับฉันแล้วคนที่ทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์น่ะมันมีอยู่สามประเภทด้วยกัน”
เอริกะพูดขึ้นมาพร้อมกับเหลือบตาไปมองเอริซาเบธเล็กน้อย ซึ่งเอริซาเบธที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเอริกะกำลังจะพูดอะไรขึ้นมาก็ส่ายหางจิ้งจอกไปมาพลางลูบหัวของตนอย่างเขินๆ
“ประเภทแรกเป็นคนที่เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ พวกเขาสามารถยอมรับและเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้และบันทึกมันลงไปอย่างเที่ยงธรรม… ต้องบอกว่ากลุ่มคนพวกนี้แหล่ะที่มีส่วนช่วยให้พวกเราสามารถหยุดปัญหาเดิมๆ ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นซ้ำสองน่ะ”
“หือ? ไม่ใช่ว่าปกติแล้วเขาก็ทำกันอย่างงั้นอยู่แล้วหรอกหรอ”
“ถ้านักประวัติศาสตร์ทุกคนเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ… แต่ว่าโลกนี้ยังมีคนประเภทที่สองอยู่อีกด้วย คนประเภทนี้จะเป็นพวกที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับประวัติศาสตร์และอยากให้ชื่อของตัวเองถูกเล่าต่อๆ กันไป
พวกเขาจะเขียนประวัติศาสตร์จากมุมมองของตัวเองและสอดแทรกเรื่องที่พวกเขาทำลงไปเพื่อที่จะทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือน่ะ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรกับคนประเภทนี้หรอกนะ… ขอแค่พวกเขาไม่มาบังคับให้ฉันอ่านก็พอแล้ว”
“อ่าหะ ราวๆ ว่าตระกูลของตัวเองได้สร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้างแบบนั้นสินะ”
“อื้มๆๆ ~”
นากาที่ได้ยินเอริกะอธิบายมานั้นก็พอจะทำความเข้าใจได้ ในระหว่างที่พรีมูล่านั้นก็ได้พยายามทำสีหน้าจริงจังและพยักหน้ารัวๆ จนทุกคนไม่แน่ใจว่ามีอะไรเข้าหัวเธอไปบ้างหรือเปล่ากันแน่
“แต่ว่าที่ฉันเกลียดที่สุดน่ะมันคือคนประเภทสุดท้ายนี่ต่างหาก… พวกมันพยายามที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่พวกมันได้ทำลงไป โดยการสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาบังหน้าแล้วก็เอาไปเที่ยวป่าวประกาศให้คนรับรู้ แถมยังพยายามที่จะปิดบังเรื่องที่พวกมันได้ทำลงไปทุกวิถีทางอีกต่างหาก”
“หะ—”
ซึ่งพอนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็เบิ่งตามองเอริกะอย่างประหลาดใจก่อนจะรีบถามเธอกลับไปในทันที
“ไม่ใช่ว่าปกติแล้วเรื่องพวกนั้นมันต้องมีการตรวจสอบแล้วก็ค้นคว้าก่อนถึงจะอนุญาตให้เผยแพร่หรอกหรอ?”
“ก็ใช่ แต่ว่าถ้าเธอมีกำลังคนหรืออำนาจมากพอก็ไม่เห็นจะต้องไปสนใจอะไรแบบนั้นเลยใช่มั้ยล่ะ~”
“น—นี่เธอกำลังหมายความว่ายังไงน่ะ”
นากาที่ได้ยินอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยจากปากของเอริกะก็ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก แต่ว่าเอริกะก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับเอริซาเบธแทน
“นั่นสิน๊า~ จริงด้วยสิเอริ วันนี้โรงอาหารเปิดอยู่ใช่มั้ย? ถ้าได้กาแฟเพิ่มสักแก้วน่าจะดีมากเลยล่ะ~”
“อ–เอ๋ะ— เดี๋ย—”
“อ๋อ! เปิดสิคะ~ ถึงจะไม่ครบทุกร้านเพราะว่าปิดภาคเรียนอยู่ก็เถอะ แต่ว่าร้านกาแฟกับร้านขนมน่าจะยังเปิดอยู่นะคะ”
“เอ่ะ มีขนมด้วยหรอ~ พี่นากาไปกันเถอะ!!”
และเมื่อพรีมูล่าได้ยินคำว่าขนมเธอก็รีบหันมามองเอริซาเบธตาเป็นประกาย โดยที่ไม่ได้สนใจพี่ชายของตนที่กำลังอ้าปากอึ้งกับความเร็วในการเปลี่ยนประเด็นของเอริกะอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ถ้างั้นเราก็เข้าไปด้านในกันเถอะพริมจัง~ แล้วไหนๆ พวกเธอก็เพิ่งจะสอบเสร็จกันทั้งที เดี๋ยวฉันเลี้ยงขนมให้เป็นรางวัลดีมั้ยเอ่ย~”
“เย้~ ไปกันเถอะพี่นากาาาา~”
“ด—เดี๋ยว—”
เมื่อพรีมูล่าได้ยินคำว่าเลี้ยงขนม เธอก็ร้องขึ้นมาอย่างดีใจและคว้าแขนของนากาเพื่อที่จะให้เขาเดินเข้าไปในโรงอาหารทันที แต่ว่านากาก็ยังยืนอึ้งอยู่กับที่จนทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นเดินเข้าตบไหล่เขาอย่างเห็นใจ
“เหนื่อยหน่อยนะนากาคุง แต่ว่าคุณเอริกะเขาก็แบบนี้แหละ ถ้าเกิดว่าเธอคิดจะไม่บอกอะไร ต่อให้เอาขนมมาล่อเธอก็ไม่พูดหรอก”
“ไอเอาขนมมาล่อนี่คิดว่าน่าจะใช้ได้ผลแค่กับยัยพรีมูล่าคนเดียวนะ…”
“ฮะฮะ แต่ถ้าเป็นคุกกี้ก็ไม่แน่หรอกมั้ง~ ว่าแต่พอจะเข้าใจสาเหตุที่คุณเอริกะเขาไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์รึยังล่ะนากาคุง?”
“จะว่าเข้าใจมันก็เข้าใจแหล่ะ… แต่ว่าที่เอริกะเขาพูดขึ้นมาตอนท้ายสุดนั่นหมายความว่าไงกันแน่น่ะ…”
ทันทีที่ได้ยินนากาพูดขึ้นมาแบบนั้น เอริซาเบธก็ยักไหล่ด้วยท่าทางเดียวกับเอริกะ ก่อนจะหันไปลูบหัวของพรีมูล่ากำลังพยายามลากนากาให้เดินเข้าไปในโรงอาหารอยู่
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาถอนหายใจออกมาเพราะดูท่าว่าเอริซาเบธก็คงจะไม่พูดอธิบายให้เขาเข้าใจเหมือนกัน เขาจึงได้หันไปชะโงกหน้ามองดูด้านในโรงอาหารนั่นแทน
“ใหญ่เอาเรื่องเหมือนกันแฮะ…”
นากาพูดขึ้นมาหลังจากที่เขาเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ทางฝั่งหนึ่งของมันมีโต๊ะโลหะยาวเหยียดนับสิบตัวตั้งเรียงรายกันไปเป็นทางยาว ในขณะที่ทางฝั่งซ้ายมือนั้นก็ถูกแบ่งเป็นล็อกๆ ให้ร้านขายอาหารได้จับจองที่ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีแค่บางร้านเท่านั้นที่เปิดให้บริการก็ตาม
“ก็นะ โรงเรียนนี้มีนักเรียนตั้งหลายร้อยคนนี่นา แถมเผลอๆ บางปีก็ยังทะลุหลักพันเลยซะด้วยซ้ำ ถ้าโรงอาหารไม่ใหญ่ขนาดนี้ก็คงเอาไม่อยู่หรอก~”
“บู่วววววว พี่นากาช้าอ่ะ!!หนูเข้าไปเองก่อนก็ได้ แบร่!”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ดีๆ พรีมูล่าก็ได้เป่าปากเสียงดังและปล่อยมือของเธอออกจากแขนของนากาก่อนจะเดินนำเข้าไปหาเอริกะก่อนในทันที เพราะว่าการที่เอริซาเบธมาลูบหัวของเธอนั้นเทียบไม่ได้กับการที่เอริกะบอกว่าจะเลี้ยงขนมเธอเลยแม้แต่น้อย
“อ่าว พรีมูล่าเขางอลหนีไปแล้วนะ ไม่ต้องรีบตามไปง้อหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวขนมเข้าปากเมื่อไหร่ก็กลับมาซนเหมือนเดิมเองแหล่ะ ว่าแต่เธอบอกว่าจะมาตามใครไปซ่อมสนามไม่ใช่หรอเอริซาเบธ?”
“ช่าย~ น่าจะอยู่ในโรงอาหารเนี่ยล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันเข้าไปเดินหาข้างในก่อนละกันนะ~”
และเมื่อเอริซาเบธพูดจบเธอก็เดินเข้าไปด้านในโรงอาหารทันที โดยปล่อยให้นากาไม่อยากกินอะไรสักเท่าไหร่นักยืนชมบรรยากาศอันเงียบสงบของโรงอาหารอยู่คนเดียว
“หือ…?”
ในระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆ โรงอาหารอยู่นั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกระจกอันเล็กๆ ที่ถูกแขวนประดับเอาไว้ในล็อกขายอาหารอันหนึ่ง ซึ่งมันก็สะท้อนภาพของเขาที่กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้า โดยมีอะไรสักอย่างสีเขียวๆ เหลืองๆ กำลังโยกไปมาอยู่ที่ด้านหลังของเขา
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปมองในทันที แต่ว่าเขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย มีเพียงถนนที่ว่างเปล่ากับนักเรียนบางคนที่กำลังเดินอยู่ไกลๆ
และในขณะที่เขากำลังจะหันกลับไปเพื่อดูกระจกบานนั้นให้ชัดๆ ว่าเขาตาฝาดไปเองหรือเปล่านั้น อยู่ดีๆ ก็มีใบหน้าของเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่กำลังฉีกยิ้มกว้างพุ่งเข้ามาใช้นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเธอจ้องมองใบหน้าของเขาในระยะประชิดโดยที่นากานั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเธอเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เหวอ!!?”
ปึ้ง!!
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
ในขณะเดียวกันที่โบสถ์หลังเล็กๆ สภาพเก่าทรุดโทรมซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองรีมินัสนั้น อยู่ดีๆ ประตูไม้ผุๆ ของมันก็ได้ถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงจนแทบจะหลุดออกมา
ซึ่งผู้ที่ใช้ฝ่าเท้าเตะประตูให้เปิดออกและรีบวิ่งเข้ามาหลบด้านในนั้นก็ไม่ใช่ใครซะจาก นิลิม หญิงสาวผมสีชมพูร่างเล็กที่เคยพยายามติดต่อหาเอริกะผ่านแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมสีดำในวันแรกที่พวกนากาเพิ่งจะมาถึงเมืองนั่นเอง
โดยสภาพของนิลิมตอนนี้นั้นก็ยังมีแท่งเหล็กสีดำปักยึดแขนทั้งสองข้างของเธอให้ติดกันอยู่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาถึงสามวันแล้วก็ตาม ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุให้เธอต้องยกเท้าขึ้นถีบบานประตูให้เปิดออกนั่นเอง
“ให้ตายสิ… การเดินทางก็ล่าช้าจะตายอยู่แล้วยังจะมีคนมาตามล่าอีก… หวังว่าเซซิเรียจะไม่เป็นอะไรนะ…”
เธอบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะรีบใช้ไหล่ของตนดันประตูขึ้นสนิมขนาดใหญ่นั่นให้ปิดกลับไปตามเดิม
และเมื่อเห็นว่าตัวเองน่าจะปลอดภัยแล้ว เธอจึงได้หันไปมองดูรอบๆ สถานที่ที่เธอเข้ามาหลบอยู่ด้านใน ซึ่งเธอก็พบว่ามันคือโบสถ์ขนาดเล็กที่มีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้างเอาไว้นานแล้ว
โดยเก้าอี้ไม้แถวยาวที่ถูกตั้งเรียงกันไว้กลางห้องนั้นก็ได้ผุพังลงไปตามกาลเวลา รวมถึงกำแพงและเพดานเองก็พังถล่มลงมาบางส่วนและถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อย และยิ่งไปกว่านั้น รูปปั้นอะไรบางอย่างที่เหมือนจะเป็นเทพีที่โบสถ์นี้นับถือนั้นได้ก็หักกลางและถล่มลงมาทับเก้าอี้บางส่วนไปอีกด้วย
“เป็นสถานที่ที่ทำให้รู้สึกสงบดีใช่มั้ยล่ะคะ ถึงตอนนี้จะเหลือแค่ซากไปแล้วก็เถอะ~”
“—!?”
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของฐานรูปปั้นที่หักครึ่งนั้น ทำให้นิลิมที่กำลังมองสำรวจดูรอบๆ ต้องรีบหันไปทางต้นเสียงทันที
ซึ่งเธอก็พบกับเด็กสาวหูแมวผมสีดำตาสองสีในชุดเดรสสีชมพูอ่อนประดับด้วยลูกไม้ซึ่งสวมผ้าคลุมหัวสีขาวโปรงใสคล้ายๆ กับที่พวกแม่ชีสวมใส่กัน
“ยินดีต้อนรับสู้โบสถ์ของหนูค่ะ~ แฮะๆ ถึงมันจะเป็นแค่สถานที่ชั่วคราวก็เถอะ…”
“ท—ที่นี่มีคนอยู่หรอ…!? ขอโทษทีฉันนึกว่ามันเป็นโบสถ์ร้างน่ะ!เดี๋ยวจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
“อ่ะ เดี๋ยวสิคะพี่สาว!”
ทันทีที่เด็กสาวได้ยินนิลิมขอโทษขอโพยและทำท่าเหมือนกับจะวิ่งกลับออกไปทันทีแบบนั้นเธอก็รีบร้องห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจดูเหล็กสีดำที่ปักแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้วยกันใกล้ๆ
“นี่พี่สาวไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้เนี่ย? ไหนๆ ก็ได้พบกันแล้วทั้งทีแล้ว พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่าว่ากำลังหนีอะไรมาอยู่น่ะ?”
เด็กสาวตาสองสีพูดขึ้นมาหลังจากจ้องมองบริเวณปากแผลของนิลิมที่มีน้ำแข็งสีแดงจากเลือดของเธอคอยช่วยห้ามเลือดเอาไว้ไม่ให้ไหลทะลักออกมา
“เอาเป็นว่ามีคนกลุ่มนึงไล่ตามฉันมาอยู่น่ะ… ถึงเพื่อนของฉันจะช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีพวกมันหลุดรอดมาได้บางส่วน… ถ้าเธอไม่อยากติดร่างแหไปด้วยก็เปิดประตูให้ฉันออกไปเร็ว!”
นิลิมที่เห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าท่าทางจะไม่ปล่อยเธอไปไหนง่ายๆ ก็พยายามอธิบายอย่างรวบรัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำท่าเหมือนกับว่าจะถีบประตูให้เปิดออกอีกครั้งเพื่อที่จะออกไปหาที่หลบที่อื่นจะได้ไม่ทำให้เด็กสาวตรงหน้าต้องโดนลูกหลงไปด้วย
ซึ่งเด็กสาวตาสองสีที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งมาขวางประตูเอาไว้และร้องห้ามเธอออกมาทันที
“เดี๋ยวสิคะ พี่สาวไม่ต้องหนีไปไหนหรอก”
แต่ทันใดนั้นเองเด็กสาวก็กลับพูดออกมาพร้อมดึงตัวของนิลิมกลับออกมาจากประตู ก่อนที่เธอนั้นจะนำตัวเองมาขวางระหว่างนิลิมและประตูโบสถ์เอาไว้
“ท–ทำอะไรของเธอน่ะ–!? ถ้าเกิดว่าพวกนั้นเห็นเธออยู่กับฉันแบบนี้มีหวัง—”
“พี่สาวไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ!เดี๋ยวพวกหนูจัดการให้~”
ถึงแม้ว่าจะได้ยินนิลิมพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ แต่ว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอก็กลับยิ้มออกมาและหันไปทางบันไดทางลงห้องใต้ดินที่อยู่ไม่ไกล
“ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ~ ถ้าอยากจะชดเชยในเรื่องแย่ๆ ที่คุณเคยทำลงไปล่ะก็ การช่วยเหลือคนอื่นก็นับว่าเป็นการทำความดีเหมือนกันนะคะ”
ทันทีที่เธอตะโกนไปทางบันไดนั้นก็ได้มีร่างของชายคนหนึ่งที่สวมใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดิน พร้อมกับพูดตอบเธอกลับมาเบาๆ
“ได้ยินแล้วครับ…คุณหนูทีเอร่า…”
“น—นี่เดี๋ยวสิ!? พวกเธอคิดจะทำอะไรน่ะ!?”
“หน่าๆ คนที่ตามพี่สาวมาปล่อยให้เพื่อนของหนูจัดการไปเถอะ ส่วนพวกเรารีบไปช่วยเพื่อนของพี่สาวกันดีกว่า~”
ทีเอร่าหันกลับมายิ้มตอบนิลิม ก่อนที่เธอจะหันไปกำชับกับชายในชุดคลุมว่าอย่ากระทำการรุนแรงเกินไปนัก
“อย่าลืมว่าแค่ไล่พวกเขากลับไปเฉยๆ ก็พอแล้วนะคะ~”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ…”
เขาพูดตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะเลื่อนมือเข้าไปด้านใต้ผ้าคลุม และทันใดนั้นเองก็ได้มีแท่งเหล็กอะไรบางอย่างดีดตัวออกมาจากด้านหลังเอวของเขาจนทำให้ผ้าคลุมนั้นสะบัดเปิดออกและเผยให้เห็นอุปกรณ์ที่มีหน้าตาเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่ติดอยู่กับตัวแท่งเหล็กนั้น
ซึ่งถึงแม้ว่าแท่งเหล็กและอุปกรณ์เหล่านั้นจะเต็มไปด้วยรอยไหม้และร่องรอยของการซ่อมแซมเหมือนกับว่ามันเพิ่งจะพังยับเยินมาก็ตามที
แต่ว่าเมื่อชายตรงหน้าได้ส่งพลังวิซของเขาเข้าไปแล้ว ตัวอุปกรณ์นั้นก็ได้พ่นไฟสีเขียวอ่อนออกมาเล็กน้อยจนทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างน่าประหลาดใจ
“เครื่องนั่น—น—นี่พวกเธอ… เป็นใครกัน…”
นิลิมที่เห็นอุปกรณ์ของชายในผ้าคลุมนั้นก็ได้รีบหันไปร้องถามทีเอร่าในทันที แต่ว่าเด็กสาวตรงหน้าทำเพียงแค่หันไปมองชายในชุดคลุมที่กำลังลอยตัวเหนือพื้นอยู่เล็กน้อย และเมื่อเขาได้พยักหน้าให้กับเธอ ทีอาร่าจึงได้หันกลับมาตอบนิลิมกลับไป
“พวกหนูก็เป็นแค่กลุ่มคนที่ติดอยู่ในอดีตแล้วบังเอิญได้มาพบกันเท่านั้นแหละค่ะ แต่ว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ที่สำคัญคือการไปช่วยเหลือเพื่อนของพี่สาวต่างหากล่ะคะ”
“คุณหนูทีเอร่า…พร้อมกันแล้วใช่มั้ย…?”
“อื้อ!เดี๋ยวหนูฝากพี่สาวบอกทางที่พี่วิ่งมาหน่อยนะ!”
“อ…อ่า”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้าไปนิลิมก็ได้แต่พยักหน้าให้กับเด็กสาวอย่างไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเธอรู้ดีว่าอุปกรณ์ของชายในชุดผ้าคลุมนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง และเธอก็มั่นใจว่าอุปกรณ์ของชายเบื้องหน้านั้นจะทำให้เธอสามารถช่วยเหลือเซซิเรียที่กำลังถ่วงเวลาศัตรูอยู่ได้อย่างแน่นอน
และเมื่อได้ยินว่านิลิมยอมตกลงที่จะทำตามแผนของทีเอร่าแล้ว ชายในชุดผ้าคลุมที่กำลังลอยตัวอยู่เหนือพื้นนั้นก็ได้ดึงผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่นั้นทิ้งไป เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าที่มีผ้าพันปิดเอาไว้ข้างหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นมาก่อนจะเตะประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้าให้เปิดออกในทันที
“ถ้างั้นไปกันเถอะครับ…!”
ปึ้ง!!
Comments