Dungeon Defense (WN) 113 ผู้สาปแช่งที่ขุดหลุมฝังศพสองหลุม(9)
ใบหน้าของสิตริบูดเบี้ยว เธอตะโกนออกมาว่า นี่มันไร้สาระสิ้นดี แต่ไพมอนยังรักษาความเยือกเย็นไว้ได้
ไพมอนเข้าใจว่า เสียงส่วนใหญ่น่ะอยู่ข้างเรา
ทุกอย่างจะเลวร้ายลงหากเธอพยายามทำตัวเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่นี่
นั่นคือ สิ่งที่เธอคิด หรืออย่างน้อยเธอก็มีอะไรในหัวแบบนั้น
สิตริตะโกนขึ้นมา
“ก็แต่แรกแล้ว มันไม่น่าใช่อยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน! อะไรนะ? พวกเรามาที่นี่เพื่อโจมตีฝ่ายที่ราบจากด้านหลัง? เฮ้ยแก เฮ้ยแกน่ะแหละ ดันทาเลี่ยนหรืออะไรก็ตาม ข้าได้ยินว่า แกส่งข้อความไปหาใช่ไหม? ถ้ามีหลักฐานก็โชว์ออกมาสิ”
แหม ที่รัก ลูกธนูพุ่งมาหาผมแทน เธอคิดว่า ผมนั้นจะจัดการง่ายกว่าบาร์บาทอสอย่างนั้นสินะ?
ไม่ว่าจะที่นี่หรือในเกม เธอไม่เคยเป็นจอมมารที่เก่งทางวาทศิลป์เลยนะ
เธออาจจะเป็นนักสู้ผู้เก่งกาจ แต่ดูเหมือนสมองกล้ามเนื้อนั่นจะเข้าใจไปเองว่า ดูถูกผมได้
แต่สำหรับจอมมารตนอื่น การที่ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้กลับเหมือนมีดวงดาวระยิบระยับในดวงตาของพวกเขา
ในความจริงแล้ว พวกเขาก็แค่กระทำตามข้อความของผม มาร์บาสเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่มาอยู่ที่นี่ตามโชคชะตาเดียวกันกับในราตรีวัลเพอกีส ถึงอย่างนั้นที่นี่น่ะเป็นเหมือนสถานที่เดบิวของผมสำหรับพวกเขา
เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็ดีมาร์บาสก็เป็นเจ้าภาพของที่นี่ ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นเจ้าภาพหลังม่านก็แล้วกัน ในฐานะเจ้าภาพหน้าที่ของผมก็คือ ทำให้แขกรู้สึกสนุก ผมจะโยนเหยื่อล่อชิ้นไหนไปดีนะ?
“ถ้าว่าด้วยเรื่องหลักฐาน ก็มีมากจนเกินไป ชัดเจนยิ่งกว่ากลางวันเสียอีก หากดูจดหมายที่ส่งมาให้กับฝ่ายที่ราบ”
ผมหยิบจดหมายออกมาแล้วโบกให้ผู้คนทั้งหลายเห็นชัดๆ
“เห็นด้วยกับสัญญาสงบศึกกับกองทัพมนุษย์ที่สาบานตนจะเป็นศัตรูกับเหล่าปีศาจ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเราจะจัดการแก…….ไม่ว่าจะมองมุมไหน นี่มันก็การคิดคดทรยศกันชัดๆ ไม่มีหลักฐานใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เฮอะ แค่นั้นไม่สามารถทำกับพวกเราเป็นเหมือนคนทรยศได้”
สิตริพ่นลมออกมาราวกับคาดไว้แล้ว
“พวกเราทำแบบนั้นเพื่อภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่า การเอาดินแดนพวกนั้นมาเป็นดินแดนให้เหล่าปีศาจได้อยู่อาศัย
นี่คือ จุดมุ่งหมายของพวกเรา พวกเราจะสามารถเอาดินแดนทางเหนือของฮับบวร์มาได้โดยไม่เสียเลือดสักหยด หากพวกเราตกลงสัญญาสงบศึก”
“โดยไม่เสียเลือดสักหยดเลย ถูกไหม?”
ผมหัวเราะเยาะออกมา นั่นไม่ใช่การแสดงหรอก ผมแสดงอารมณ์ที่ตัวเองรู้สึกออกมาจริงๆ
“แล้วเลือดที่ว่าจะไม่เสียสักหยดนั่นเป็นเลือดของใครกันล่ะ?”
“อะไรนะ?”
“พวกเราต่อสู้กันอย่างสุดกำลังเพื่อให้ทะลุผ่านป้อมปราการทั้งหลายที่ภูเขาดำไปได้ พวกเราเอาชนะมาร์คกราฟโรเซนเบิร์กและสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นที่ดินแดนทางเหนือได้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราเอาชนะทหารจักรวรรดิถึง 50,000 นายได้
นี่ท่านเชื่อจริงๆเหรอ ว่า จะไม่มีการเสียเลือดแม้สักหยดเดียว ในขั้นตอนที่ว่านั่น? ปีศาจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนต้องตายลงไปเท่าไหร่”
แม้แต่ผมเองก็ยังโดนธนูปักที่น่องในการต่อสู้ที่ออสเตอร์ลิทซ์ อย่างน้อยๆเลือดผมก็ไหลซึมลงดินผืนนี้ด้วย
“จอมมารสิตริ คำว่า ‘พวกเรา’ ที่ท่านหมายถึงนั้น มีความหมายกับแค่ฝ่ายภูเขา ผู้ตายนับไม่ถ้วนแห่งกองทัพภาค 6 แห่งทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรามิได้นับรวมเป็น ‘พวกเรา’ ด้วย
ก่อนจะคิดว่า ทั้งหมดเป็นไปเพื่อฝ่ายพันธมิตร จอมมารฝ่ายภูเขาก็เอาแต่คิดถึงแต่ฝ่ายของพวกตนเท่านั้น ช่างเป็นการทอดทิ้งหน้าที่ที่น่ายกย่องเหลือเกิน”
ผมยักไหล่ มีจอมมารไม่กี่คนรอบตัวเราที่หัวเราะออกมา นั่นคือ บาร์บาทอสกับกามิกิน สุดยอดผู้ซาดิสม์กับมาโซคิสม์แห่งกองกำลังจอมมาร
ห้ะ? นี่ดูเหมือนผมจะยิ่งเพิ่มความประทับใจให้กับอีโรคจิตไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้ว ดูเหมือนสำนวนที่ว่า หงส์อยู่กับหงส์ กาอยู่กับกาจะผิดเสียแล้วล่ะ
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะพูด!”
ใบหน้าของสิตรินั้นแดงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น การที่เธออ้างว่า สิ่งที่ผมพูดมันผิด แต่ความไม่สอดคล้องมันก็ตามจี้มาภายหลังอยู่ที่ ผมพบว่าตัวเองกำลังถอนใจครั้งใหญ่ออกมา บทสนทนานี้มันช่างน่าผิดหวังนัก
หรืออย่างน้อยที่สุด ไพมอน ที่ตอนนี้ยืนห่างออกไปโดยไม่แสดงอารมณ์อะไร คนที่เกือบจะฆ่าผมให้ตายในราตรีวัลเพอกีส
หากผมไม่ใช้ความรู้ส่วนตัวจากเกมมาจูงใจให้อิวาร์ ล็อดบรอคแบบนั้น ผมคงต้องแพ้แน่ มันจะดีกว่าหากเธอแสดงความสามารถออกมามากกว่านี้
……แต่ผมคงจะเรียกร้องมากเกินไปจากคนที่มีสมองทำจากกล้ามเนื้อล้วนๆเองแหละ
“จะไม่ว่ายังไง ข้าจะพูดว่า คำกล่าวอ้างของเจ้ามันไร้หลักฐาน!”
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ฝ่ายภูเขานั้นไม่เคยแอบติดต่อกับจักรวรรดิฮับบวร์กเลย อย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“แน่นอน ฝ่ายภูเขาเรานั้นทำเพื่อเผ่าปีศาจทั้งนั้น”
ผมทำท่าเหม่อแล้วแกล้งทำเป็นคิดถึงคำพูดของเธอ
“ถ้าอย่างนั้นฝ่ายภูเขาก็คิดว่า ฝ่ายที่ราบเป็นพันธมิตรกันใช่ไหม?”
“แน่นอนล่ะ ก็พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพพันธมิตรอยู่แล้วนี่”
“อื้มม, ดีเยี่ยมไปเลย ถ้าอย่างนั้น”
ผมยอมถอยให้
สิตรินั้นขมวดคิ้ว เธอคงรู้สึกแปลกที่ผมยอมตามอย่างว่าง่าย แม้ก่อนหน้านั้นำไม่กี่วินาทียังก้าวร้าวใส่
แต่ถึงอย่างไรก็ดีผมก็หย่อนเบ็ดลงไปแล้ว แถมยังได้ปลาตัวใหญ่จากฝั่งภูเขาติดเบ็ดมาด้วยล่ะ
“ข้าก็ปรารถนาให้ฝ่ายภูเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ปัญหาก็จะเกิดกับคนอื่นด้วย”
“คนอื่น?”
สิตริยิ่งทำหน้างง
“นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ?”
“ก็ถ้าเป็นไปตามเจตนาของท่านแล้ว ฝ่ายภูเขาพยายามคุกคามฝ่ายที่ราบ หากผู้บัญชาการคนอื่นไม่โผล่มาถึงที่นี่วันนี้
ฝ่ายที่ราบก็จะถูกกำจัดทิ้งไปจนหมด และสังคมปีศาจก็ย่อมต้องเริ่มปฏิบัติต่อท่านไพมอนเป็นดั่งผู้ทรยศ”
“หาาาา ? ไอ้ระยำที่ไหนมันจะคิด…….”
ผมตัดบทเธอทันที
“ท่านกามิกินครับ ขอข้าถามความเห็นท่านเป็นการส่วนตัวได้ไหม ? ท่านเชื่อว่า ไพมอนและฝ่ายภูเขานั้นได้ทรยศกองทัพจอมมารหรือไม่?”
“แน่นอนนนน ข้าคิดว่าพวกเขาทรยศเรา”
จอมมารผมบลอนด์ตอบผมทันควันด้วยยิ้มแฉ่ง
“ขอโทษน้า ที่ไอ้ระยำอย่างข้าก็คิดแบบน้านนน~”
“…….”
“แต่ก็ควรจะรู้ไว้นะ ไม่ใช่คนส่วนน้อยหรอกที่จะคิดอย่างนั้นน่ะ?
“จบแล้วสำหรับการพยายามหาความชอบธรรม ที่อ้างมานั้นมันไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่า ฝ่ายที่ราบจะจบลงด้วยการถูกกำจัดหรอก การจะอ้างมันว่าเพื่อเหล่าปีศาจก็ได้นะ แต่ท่านก็ยังคงพยายามที่จทำลายความแข็งแกร่งของกองทัพพันธมิตรอยู่ดี”
สิตริไม่มีอะไรจะพูด กามิกินทำตาวิบวับใส่ผม เธอดูเหมือนต้องการจะให้ผมชมว่า ทำได้ดีมาก ผมรู้สึกเหมือนกำลังมองหมาตัวใหญ่ที่มีผมสีบลอนด์
(TTL : จอมมาร โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ สินะ!)
“เอาล่ะ มันเป็นเช่นนี้เอง ไม่ว่าท่านสิตริจะยอมรับว่าหลักฐานมีหรือไม่ก็ตาม การที่ฝ่ายภูเขาก็ยังเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี หากเปิดการพิจารณาคดีขึ้น
กรณีนี้ไม่นับ โจทย์และจำเลย ซึ่งก็คือ ฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขา
……จอมมารเกือบ 25 คนที่อยู่ที่นี่ก็จะเข้าร่วมการพิจารณาคดีด้วย จะมีสักกี่คนในพวกเขาที่เชื่อว่า ฝ่ายภูเขานั้นมีข้ออ้างชอบธรรมอันที่สูงส่งและบริสุทธิ์ล่ะ?”
จอมมารนั้นเป็นพวกละโมบโลกมาก พวกเขาไม่พลาดโอกาสที่จะทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอลงอย่างเด็ดขาด
ผมยืนยันเลยว่า ฝ่ายภูเขานั้นจะโดนตัดสินโทษว่า ผิดจริงอย่างแน่นอน สิตริก็คงตระหนักเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน เธอจึงพูดด้วยเสียงที่มั่นใจน้อยลง
“ถ้าพวกแก ยั้งการพิจารณาคดีไว้ก่อน ถ้าอย่างนั้น…….”
“พวกเราขอปฏิเสธ ท่านพูดเองมิใช่หรือว่าไม่มีหลักฐานชี้มูลความผิดของฝ่ายภูเขา ถูกไหม? ถ้าอย่างนั้นขอให้ข้าได้ย้อนคำพูดนั้นคืนไป มันก็ไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่า ฝ่ายภูเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน?”
สิตริไม่อาจตอบอะไรกลับมาได้
“ในเมื่อทั้งสองฝ่าย ไม่มีข้อพิสูจน์ทั้งคู่ ถ้าอย่างนั้นเรามาโหวตตัดสิน เพื่อความยุติธรรมกันดีกว่า”
“…….”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ กามิกินและบาร์บาทอสกระซิบคุยกันเอง แต่บทสนทนาดูจะไม่เหมือนคนคุยกัน
“ข้าชอบเขา ข้าชอบเขา~ ขอได้ป่ะ?”
“ตลกละ นังมาโซคิสม์ รอไปอีก 140,000,000 ปีเหอะ ”
“เอ๋ ไม่แฟร์เลย”
……อย่าทำเหมือนคนอื่นเป็นของที่ส่งต่อ หรือให้ยืมกันได้สิฟะ
ผู้นำฝ่ายเป็นกลาง,มาร์บาส ถอนใจออกมา รอยย่นของเขาลึกขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาคนหนึ่ง
“ดันทาเลี่ยน,จอมมารหลากหน้า ข้ารู้ว่า ที่เจ้าพูดมาก็มีประเด็น
แต่ถึงอย่างนั้นหากพวกเราปล่อยให้มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่ไม่อาจประสานจะเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขา
ทั้งฝ่ายภูเขาและฝ่ายที่ราบนั้นต่างเป็นสองกำลังหลักของกองทัพจอมมาร ความจริงแล้ว
และนั่นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กองทัพจอมมารแตกเป็นเสี่ยง”
“แล้วตอนนี้มันยังไม่แตกเป็นเสี่ยง?”
“มันยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ ดันทาเลี่ยน ทุกอย่างในโลกนี้มีระดับที่พอรับได้อยู่”
มาร์บาสนั้นถอดแว่นโมโนเคิ่ลออกแล้วเช็ดถูมันด้วยผ้าไหม
“เราควรจะรบกับมนุษย์ต่อหรือเราควรประเมินสถานการณ์แล้วถอนกำลัง……?
ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด มันเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และเวลา
แต่ถึงพวกเราจะเป็นอมตะ แต่มิได้แปลว่าพวกเราจะล่วงรู้ได้ทุกสิ่ง
จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง”
แล้วพวกเราต้องทำอะไร? เขาถามเช่นนั้น
“นี่คือ สาเหตุที่ว่า ทำไมพวกเราถึงต้องมีฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็ประกาศว่า เหตุใดสงครามจึงดี ขณะที่อีกฝ่ายประกาศว่า ทำไมสงครามถึงแย่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อของตน
ด้วยการทำแบบนี้ กองทัพจอมมารจะได้ความเห็นที่เป็นกลาง เรียกได้ว่า เป็นการแบ่งกันทำงาน เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?
เป้าหมายของการโต้เถียงมิใช่เพื่อการโต้เถียง หากแต่เป้าหมายของมันคือ การเข้าถึงจุดสมดุลด้วยการโต้เถียง”
“…….”
ช่างเป็นคำกล่าวที่เหมาะสมกับฝ่ายเป็นกลางอย่างมาก เขาพูดว่า ความไม่ลงรอยกันระหว่างฝ่ายนั้นเกิดขึ้นได้ แต่การเลยเถิดถึงขั้นฆ่าแกงอีกฝ่ายเพื่อเอาชีวิตหรือนั้นมันมากเกินไป อย่าไปให้ไกลถึงขนาดนั้น
“นกที่เสียปีกข้างหนึ่งไม่อาจบินได้ ดันทาเลี่ยน การที่ฝ่ายภูเขาตั้งใจจะโจมตีฝ่ายที่ราบนั้นมันผิดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ผิดอะไรหากฝ่ายที่ราบจะพยายามกวาดล้างฝ่ายภูเขาด้วยความรุนแรงเป็นการตอบแทนอย่างนั้นหรือ?
ข้าหวังว่าจะได้รับการประนีประนอมกัน แน่นอนว่า หากฝ่ายที่ราบจะเป็นฝ่ายอดทนข่มขั้น เมื่อนั้นฝ่ายเป็นกลางจะสนับสนุนอย่างเต็มที่”
ว่าง่ายๆคือ เขาอยากที่จะชดเชยให้เราทั้งทางการเมืองและทางวัตถุด้วย
หืมมมม
แต่เดิมผมไม่ได้วางแผนที่จะกวาดล้างฝ่ายภูเขา เพราะนั่นเป็นการดีต่อฝ่ายมนุษย์
ถึงผมจะอยู่ฝ่ายที่ราบอย่างเป็นทางการแล้ว แต่จุดมุ่งหมายสูงสุดของผมคือ การเอาชีวิตรอดแล้วพิชิตโลกใบนี้ให้ได้
เพื่อการนั้นแล้วทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายจอมมารจะต้องสมดุลกันในแง่ ของกำลังพล
ปัญหาก็คือ การโน้มน้าวบาร์บาทอสเนี่ยแหละ
หากมีการพิจารณาคดี ฝ่ายเป็นกลางจะเข้าข้างฝ่ายภูเขา ฝ่ายเป็นกลางนั้นจะดึงเรื่องไปดึงเรื่องมาแล้วสุดท้ายก็จะแนะนำให้ประนีประนอมกัน
ผมวางแผนที่จะโน้มน้าวให้บาร์บาทอส ‘ถอนกลับมาที่นี่’ ณ จุดนี้แหละ
แต่นี่มันต่างออกไป ……มาร์บาสเป็นฝ่ายเสนอขอประนีประนอมเอง ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี หากเป็นเช่นนี้ผมก็จะสามารถโน้มน้าวบาร์บาทอสได้
แต่ก็มีคำถามเหือนกันว่า จะมีสักกี่คนที่สังเกตข้อแตกต่างอันเล็กน้อยมากเบื้องหลังคำพูดของมาร์บาส น้อยแบบน้อยจริงๆ
ผมสังเกตเห็นมัน สิ่งที่เป็นไปได้ยากมากที่จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายเป็นกลางในการพิจารณาคดี
……ท่ามกลางจอมมารทั้ง 25 ตนที่มีสิทธิในการโหวต ฝ่ายเป็นกลางมีสมาชิกถึง 10 ราย ผมต้องถอยหลังหนึ่งก้าว
ผมพูดอย่างใจเย็นโดยไม่กะพริบตา
“ท่านพูดได้ตรงจุดมาก การพิจารณาคดีนั้นเป็นสิ่งที่คอยกีดขวาง
เช่นเดียวกับที่ ท่านได้ระบุว่าตนเป็นกองกำลังจอมมารก่อนที่จะเป็นหนึ่งของฝ่ายเป็นกลาง
ข้าเองก็เป็นจอมมารตนหนึ่งก่อนจะมาเป็นฝ่ายที่ราบ”
มาร์บาสนั้นไม่เคยพูดว่า ‘เขาเป็นสมาชิกกองทัพจอมมารก่อนจะมาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายเป็นกลาง’ เหตุผลที่ผมจงใจบิดเบือนคำพูดพวกนั้นก็เพราะหวังผลการเมืองล้วนๆ
ตอนแรกที่ผมพูดว่า ‘การพิจารณาคดีนั้นเป็นสิ่งที่คอยกีดขวาง’ นั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า วาทศิลป์ทางการทูตเลยด้วยซ้ำ การที่ผมใส่คำว่า ‘พิจารณาคดี’ ตรงหน้าก็แทบไม่ต่างจากไฟสัญญาณจราจรที่ไหลไปตามบริบทแวดล้อม
เมื่อผมพูดอย่างนั้น ผมกำลังจะบอกว่า
‘ข้าเข้าใจถึงตำแหน่งในฝ่ายเป็นกลาง ที่จะเข้าร่วมการพิจารณาคดี แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงตำแหน่งของกองกำลังจอมมารทั้งหมดด้วย’
หากดูคำพูดนี้เผินๆก็จะพบว่า มันเป็นเพียงการตอบกลับ แต่หากลงไปให้ลึกก็จะพบการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองกัน
มาร์บาสเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างฝ่ายภูเขาและที่ราบมานานกว่าพันปี ดังนั้นเขาต้องเข้าใจถึงความหมายเล็กๆน้อยๆเบื้องหลังคำพูดของผมได้โดยง่าย
แน่นอนแหละว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น
「ค่าความชอบของจอมมารมาร์บอสเพิ่มขึ้น 10」
หน้าต่างแจ้งเตือนเด้งขึ้นพร้อมซาวด์เอฟเฟ็ค มาร์บาสนั้นพึงพอใจที่เจตนาของเขาส่งมาถึงอย่างชัดเจนและเขายังได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการอีกด้วย
“แน่นอนว่า ฝ่ายภูเขาผิดโดยไม่ต้องสงสัย ข้าเพียงแต่ปรารถนาให้อารมณ์ที่ร้อนแรงเย็นลงสักหน่อย เพื่อที่จะได้ไม่สายไปหากจะมาคุยกันเรื่องพิจารณาคดีนี้กันภายหลังจากนี้”
จะให้ผมพูดอะไรล่ะ? ผมไม่ได้เกลียดจอมมารเฒ่าตรงหน้าผมหรอกนะ เขานั้นตอกย้ำความจริงว่า ‘ฝ่ายภูเขานั้นผิด’ เพื่อเอาใจฝ่ายที่ราบ
และระหว่างนั้นก็สร้างหมอกกำบังปกปิดบริบทที่เราพูดคุยกันโดยอ้างว่า เขานั้นต้องการให้ ‘อารมณ์ที่ร้อนแรงเย็นลงสักหน่อย’
หลังจากรักษาหน้าอีกฝ่ายแล้วเก็บงำบทสนทนาแล้ว
เขาก็ได้เพิ่มเติมไปว่า ‘เพื่อที่จะได้ไม่สายไปหากจะมาคุยกันเรื่องพิจารณาคดีนี้กันภายหลังจากนี้’ เขากำลังบอกให้ผมไปพูดคุยกับบาร์บาทอส
“ตอนนี้ข้าขอต้อนรับทุกๆท่านที่ตอบรับคำเชิญนี้”
มาร์บาสปรบมือเบาๆ
พอเขาทำอย่างนั้น ชายหญิงผู้มากเน่ห์ก็เรียงแถวเข้ามาระหว่างแถบผ้าแล้วก็เต้นรำ ผิวหนังของพวกเขานั้นชุ่มไปด้วยน้ำมัน มีบางจุดเท่านั้นที่มีเสื้อผ้า แต่เกือบทั้งหมดก็เปลือยเปล่า มันเป็นการตอบสนองรสนิยมที่หลากหลาย มีอยู่หลายคนแหละที่ชอบให้มีเสื้อผ้าอยู่บ้าง
นักดนตรีหลังกำแพงผ้านั้นเล่นดนตรีเสียงดัง ยกเว้นไพมอนกับสิตริ จอมมารตนอื่นๆต่างเอนจอยกับปาร์ตี้สุดๆ ผมแอบกระซิบคุยกับบาร์บาทอสระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินไปกับปาร์ตี้ที่แสนจะฟุ่มเฟือยนี้
“พวกเราควรจะทำอะไรต่อดีล่ะ? จะให้มีการพิจารณาคดีต่อไหม?”
“พูดอะไรของเธอน่ะ? แน่นอน เราต้องให้พักการพิจารณาคดี”
ฮื่มม บาร์บาทอสไม่สามารถจับความหมายโดยนัยที่ ผมกับมาร์บาสพูดคุยกันได้ แต่พอผมแอบอธิบายเบาๆให้เธอฟัง เธอก็บ่นออกมา
“โอ้ พระเจ้า ,ฟัค”
พวกเรายิ้มกันอย่างชื่นบาน แต่ก็พยายามปั้นหน้าไม่ให้คนอื่นรู้ว่า พวกเรากำลังพูดเรื่องอะไรกัน
Comments
Dungeon Defense (WN) 113 ผู้สาปแช่งที่ขุดหลุมฝังศพสองหลุม(9)
ใบหน้าของสิตริบูดเบี้ยว เธอตะโกนออกมาว่า นี่มันไร้สาระสิ้นดี แต่ไพมอนยังรักษาความเยือกเย็นไว้ได้
ไพมอนเข้าใจว่า เสียงส่วนใหญ่น่ะอยู่ข้างเรา
ทุกอย่างจะเลวร้ายลงหากเธอพยายามทำตัวเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ที่นี่
นั่นคือ สิ่งที่เธอคิด หรืออย่างน้อยเธอก็มีอะไรในหัวแบบนั้น
สิตริตะโกนขึ้นมา
“ก็แต่แรกแล้ว มันไม่น่าใช่อยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน! อะไรนะ? พวกเรามาที่นี่เพื่อโจมตีฝ่ายที่ราบจากด้านหลัง? เฮ้ยแก เฮ้ยแกน่ะแหละ ดันทาเลี่ยนหรืออะไรก็ตาม ข้าได้ยินว่า แกส่งข้อความไปหาใช่ไหม? ถ้ามีหลักฐานก็โชว์ออกมาสิ”
แหม ที่รัก ลูกธนูพุ่งมาหาผมแทน เธอคิดว่า ผมนั้นจะจัดการง่ายกว่าบาร์บาทอสอย่างนั้นสินะ?
ไม่ว่าจะที่นี่หรือในเกม เธอไม่เคยเป็นจอมมารที่เก่งทางวาทศิลป์เลยนะ
เธออาจจะเป็นนักสู้ผู้เก่งกาจ แต่ดูเหมือนสมองกล้ามเนื้อนั่นจะเข้าใจไปเองว่า ดูถูกผมได้
แต่สำหรับจอมมารตนอื่น การที่ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้กลับเหมือนมีดวงดาวระยิบระยับในดวงตาของพวกเขา
ในความจริงแล้ว พวกเขาก็แค่กระทำตามข้อความของผม มาร์บาสเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่มาอยู่ที่นี่ตามโชคชะตาเดียวกันกับในราตรีวัลเพอกีส ถึงอย่างนั้นที่นี่น่ะเป็นเหมือนสถานที่เดบิวของผมสำหรับพวกเขา
เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็ดีมาร์บาสก็เป็นเจ้าภาพของที่นี่ ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นเจ้าภาพหลังม่านก็แล้วกัน ในฐานะเจ้าภาพหน้าที่ของผมก็คือ ทำให้แขกรู้สึกสนุก ผมจะโยนเหยื่อล่อชิ้นไหนไปดีนะ?
“ถ้าว่าด้วยเรื่องหลักฐาน ก็มีมากจนเกินไป ชัดเจนยิ่งกว่ากลางวันเสียอีก หากดูจดหมายที่ส่งมาให้กับฝ่ายที่ราบ”
ผมหยิบจดหมายออกมาแล้วโบกให้ผู้คนทั้งหลายเห็นชัดๆ
“เห็นด้วยกับสัญญาสงบศึกกับกองทัพมนุษย์ที่สาบานตนจะเป็นศัตรูกับเหล่าปีศาจ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเราจะจัดการแก…….ไม่ว่าจะมองมุมไหน นี่มันก็การคิดคดทรยศกันชัดๆ ไม่มีหลักฐานใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
“เฮอะ แค่นั้นไม่สามารถทำกับพวกเราเป็นเหมือนคนทรยศได้”
สิตริพ่นลมออกมาราวกับคาดไว้แล้ว
“พวกเราทำแบบนั้นเพื่อภาพรวมที่ยิ่งใหญ่กว่า การเอาดินแดนพวกนั้นมาเป็นดินแดนให้เหล่าปีศาจได้อยู่อาศัย
นี่คือ จุดมุ่งหมายของพวกเรา พวกเราจะสามารถเอาดินแดนทางเหนือของฮับบวร์มาได้โดยไม่เสียเลือดสักหยด หากพวกเราตกลงสัญญาสงบศึก”
“โดยไม่เสียเลือดสักหยดเลย ถูกไหม?”
ผมหัวเราะเยาะออกมา นั่นไม่ใช่การแสดงหรอก ผมแสดงอารมณ์ที่ตัวเองรู้สึกออกมาจริงๆ
“แล้วเลือดที่ว่าจะไม่เสียสักหยดนั่นเป็นเลือดของใครกันล่ะ?”
“อะไรนะ?”
“พวกเราต่อสู้กันอย่างสุดกำลังเพื่อให้ทะลุผ่านป้อมปราการทั้งหลายที่ภูเขาดำไปได้ พวกเราเอาชนะมาร์คกราฟโรเซนเบิร์กและสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นที่ดินแดนทางเหนือได้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราเอาชนะทหารจักรวรรดิถึง 50,000 นายได้
นี่ท่านเชื่อจริงๆเหรอ ว่า จะไม่มีการเสียเลือดแม้สักหยดเดียว ในขั้นตอนที่ว่านั่น? ปีศาจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนต้องตายลงไปเท่าไหร่”
แม้แต่ผมเองก็ยังโดนธนูปักที่น่องในการต่อสู้ที่ออสเตอร์ลิทซ์ อย่างน้อยๆเลือดผมก็ไหลซึมลงดินผืนนี้ด้วย
“จอมมารสิตริ คำว่า ‘พวกเรา’ ที่ท่านหมายถึงนั้น มีความหมายกับแค่ฝ่ายภูเขา ผู้ตายนับไม่ถ้วนแห่งกองทัพภาค 6 แห่งทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรามิได้นับรวมเป็น ‘พวกเรา’ ด้วย
ก่อนจะคิดว่า ทั้งหมดเป็นไปเพื่อฝ่ายพันธมิตร จอมมารฝ่ายภูเขาก็เอาแต่คิดถึงแต่ฝ่ายของพวกตนเท่านั้น ช่างเป็นการทอดทิ้งหน้าที่ที่น่ายกย่องเหลือเกิน”
ผมยักไหล่ มีจอมมารไม่กี่คนรอบตัวเราที่หัวเราะออกมา นั่นคือ บาร์บาทอสกับกามิกิน สุดยอดผู้ซาดิสม์กับมาโซคิสม์แห่งกองกำลังจอมมาร
ห้ะ? นี่ดูเหมือนผมจะยิ่งเพิ่มความประทับใจให้กับอีโรคจิตไม่ใช่คนธรรมดาซะแล้ว ดูเหมือนสำนวนที่ว่า หงส์อยู่กับหงส์ กาอยู่กับกาจะผิดเสียแล้วล่ะ
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะพูด!”
ใบหน้าของสิตรินั้นแดงขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น การที่เธออ้างว่า สิ่งที่ผมพูดมันผิด แต่ความไม่สอดคล้องมันก็ตามจี้มาภายหลังอยู่ที่ ผมพบว่าตัวเองกำลังถอนใจครั้งใหญ่ออกมา บทสนทนานี้มันช่างน่าผิดหวังนัก
หรืออย่างน้อยที่สุด ไพมอน ที่ตอนนี้ยืนห่างออกไปโดยไม่แสดงอารมณ์อะไร คนที่เกือบจะฆ่าผมให้ตายในราตรีวัลเพอกีส
หากผมไม่ใช้ความรู้ส่วนตัวจากเกมมาจูงใจให้อิวาร์ ล็อดบรอคแบบนั้น ผมคงต้องแพ้แน่ มันจะดีกว่าหากเธอแสดงความสามารถออกมามากกว่านี้
……แต่ผมคงจะเรียกร้องมากเกินไปจากคนที่มีสมองทำจากกล้ามเนื้อล้วนๆเองแหละ
“จะไม่ว่ายังไง ข้าจะพูดว่า คำกล่าวอ้างของเจ้ามันไร้หลักฐาน!”
“นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ฝ่ายภูเขานั้นไม่เคยแอบติดต่อกับจักรวรรดิฮับบวร์กเลย อย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“แน่นอน ฝ่ายภูเขาเรานั้นทำเพื่อเผ่าปีศาจทั้งนั้น”
ผมทำท่าเหม่อแล้วแกล้งทำเป็นคิดถึงคำพูดของเธอ
“ถ้าอย่างนั้นฝ่ายภูเขาก็คิดว่า ฝ่ายที่ราบเป็นพันธมิตรกันใช่ไหม?”
“แน่นอนล่ะ ก็พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพพันธมิตรอยู่แล้วนี่”
“อื้มม, ดีเยี่ยมไปเลย ถ้าอย่างนั้น”
ผมยอมถอยให้
สิตรินั้นขมวดคิ้ว เธอคงรู้สึกแปลกที่ผมยอมตามอย่างว่าง่าย แม้ก่อนหน้านั้นำไม่กี่วินาทียังก้าวร้าวใส่
แต่ถึงอย่างไรก็ดีผมก็หย่อนเบ็ดลงไปแล้ว แถมยังได้ปลาตัวใหญ่จากฝั่งภูเขาติดเบ็ดมาด้วยล่ะ
“ข้าก็ปรารถนาให้ฝ่ายภูเขานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ปัญหาก็จะเกิดกับคนอื่นด้วย”
“คนอื่น?”
สิตริยิ่งทำหน้างง
“นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ?”
“ก็ถ้าเป็นไปตามเจตนาของท่านแล้ว ฝ่ายภูเขาพยายามคุกคามฝ่ายที่ราบ หากผู้บัญชาการคนอื่นไม่โผล่มาถึงที่นี่วันนี้
ฝ่ายที่ราบก็จะถูกกำจัดทิ้งไปจนหมด และสังคมปีศาจก็ย่อมต้องเริ่มปฏิบัติต่อท่านไพมอนเป็นดั่งผู้ทรยศ”
“หาาาา ? ไอ้ระยำที่ไหนมันจะคิด…….”
ผมตัดบทเธอทันที
“ท่านกามิกินครับ ขอข้าถามความเห็นท่านเป็นการส่วนตัวได้ไหม ? ท่านเชื่อว่า ไพมอนและฝ่ายภูเขานั้นได้ทรยศกองทัพจอมมารหรือไม่?”
“แน่นอนนนน ข้าคิดว่าพวกเขาทรยศเรา”
จอมมารผมบลอนด์ตอบผมทันควันด้วยยิ้มแฉ่ง
“ขอโทษน้า ที่ไอ้ระยำอย่างข้าก็คิดแบบน้านนน~”
“…….”
“แต่ก็ควรจะรู้ไว้นะ ไม่ใช่คนส่วนน้อยหรอกที่จะคิดอย่างนั้นน่ะ?
“จบแล้วสำหรับการพยายามหาความชอบธรรม ที่อ้างมานั้นมันไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่า ฝ่ายที่ราบจะจบลงด้วยการถูกกำจัดหรอก การจะอ้างมันว่าเพื่อเหล่าปีศาจก็ได้นะ แต่ท่านก็ยังคงพยายามที่จทำลายความแข็งแกร่งของกองทัพพันธมิตรอยู่ดี”
สิตริไม่มีอะไรจะพูด กามิกินทำตาวิบวับใส่ผม เธอดูเหมือนต้องการจะให้ผมชมว่า ทำได้ดีมาก ผมรู้สึกเหมือนกำลังมองหมาตัวใหญ่ที่มีผมสีบลอนด์
(TTL : จอมมาร โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ สินะ!)
“เอาล่ะ มันเป็นเช่นนี้เอง ไม่ว่าท่านสิตริจะยอมรับว่าหลักฐานมีหรือไม่ก็ตาม การที่ฝ่ายภูเขาก็ยังเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี หากเปิดการพิจารณาคดีขึ้น
กรณีนี้ไม่นับ โจทย์และจำเลย ซึ่งก็คือ ฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขา
……จอมมารเกือบ 25 คนที่อยู่ที่นี่ก็จะเข้าร่วมการพิจารณาคดีด้วย จะมีสักกี่คนในพวกเขาที่เชื่อว่า ฝ่ายภูเขานั้นมีข้ออ้างชอบธรรมอันที่สูงส่งและบริสุทธิ์ล่ะ?”
จอมมารนั้นเป็นพวกละโมบโลกมาก พวกเขาไม่พลาดโอกาสที่จะทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอลงอย่างเด็ดขาด
ผมยืนยันเลยว่า ฝ่ายภูเขานั้นจะโดนตัดสินโทษว่า ผิดจริงอย่างแน่นอน สิตริก็คงตระหนักเรื่องนั้นด้วยเหมือนกัน เธอจึงพูดด้วยเสียงที่มั่นใจน้อยลง
“ถ้าพวกแก ยั้งการพิจารณาคดีไว้ก่อน ถ้าอย่างนั้น…….”
“พวกเราขอปฏิเสธ ท่านพูดเองมิใช่หรือว่าไม่มีหลักฐานชี้มูลความผิดของฝ่ายภูเขา ถูกไหม? ถ้าอย่างนั้นขอให้ข้าได้ย้อนคำพูดนั้นคืนไป มันก็ไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่า ฝ่ายภูเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน?”
สิตริไม่อาจตอบอะไรกลับมาได้
“ในเมื่อทั้งสองฝ่าย ไม่มีข้อพิสูจน์ทั้งคู่ ถ้าอย่างนั้นเรามาโหวตตัดสิน เพื่อความยุติธรรมกันดีกว่า”
“…….”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ กามิกินและบาร์บาทอสกระซิบคุยกันเอง แต่บทสนทนาดูจะไม่เหมือนคนคุยกัน
“ข้าชอบเขา ข้าชอบเขา~ ขอได้ป่ะ?”
“ตลกละ นังมาโซคิสม์ รอไปอีก 140,000,000 ปีเหอะ ”
“เอ๋ ไม่แฟร์เลย”
……อย่าทำเหมือนคนอื่นเป็นของที่ส่งต่อ หรือให้ยืมกันได้สิฟะ
ผู้นำฝ่ายเป็นกลาง,มาร์บาส ถอนใจออกมา รอยย่นของเขาลึกขึ้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาคนหนึ่ง
“ดันทาเลี่ยน,จอมมารหลากหน้า ข้ารู้ว่า ที่เจ้าพูดมาก็มีประเด็น
แต่ถึงอย่างนั้นหากพวกเราปล่อยให้มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่ไม่อาจประสานจะเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขา
ทั้งฝ่ายภูเขาและฝ่ายที่ราบนั้นต่างเป็นสองกำลังหลักของกองทัพจอมมาร ความจริงแล้ว
และนั่นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กองทัพจอมมารแตกเป็นเสี่ยง”
“แล้วตอนนี้มันยังไม่แตกเป็นเสี่ยง?”
“มันยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ ดันทาเลี่ยน ทุกอย่างในโลกนี้มีระดับที่พอรับได้อยู่”
มาร์บาสนั้นถอดแว่นโมโนเคิ่ลออกแล้วเช็ดถูมันด้วยผ้าไหม
“เราควรจะรบกับมนุษย์ต่อหรือเราควรประเมินสถานการณ์แล้วถอนกำลัง……?
ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด มันเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และเวลา
แต่ถึงพวกเราจะเป็นอมตะ แต่มิได้แปลว่าพวกเราจะล่วงรู้ได้ทุกสิ่ง
จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านั้นได้ถูกต้อง”
แล้วพวกเราต้องทำอะไร? เขาถามเช่นนั้น
“นี่คือ สาเหตุที่ว่า ทำไมพวกเราถึงต้องมีฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็ประกาศว่า เหตุใดสงครามจึงดี ขณะที่อีกฝ่ายประกาศว่า ทำไมสงครามถึงแย่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อของตน
ด้วยการทำแบบนี้ กองทัพจอมมารจะได้ความเห็นที่เป็นกลาง เรียกได้ว่า เป็นการแบ่งกันทำงาน เจ้าเข้าใจหรือเปล่า?
เป้าหมายของการโต้เถียงมิใช่เพื่อการโต้เถียง หากแต่เป้าหมายของมันคือ การเข้าถึงจุดสมดุลด้วยการโต้เถียง”
“…….”
ช่างเป็นคำกล่าวที่เหมาะสมกับฝ่ายเป็นกลางอย่างมาก เขาพูดว่า ความไม่ลงรอยกันระหว่างฝ่ายนั้นเกิดขึ้นได้ แต่การเลยเถิดถึงขั้นฆ่าแกงอีกฝ่ายเพื่อเอาชีวิตหรือนั้นมันมากเกินไป อย่าไปให้ไกลถึงขนาดนั้น
“นกที่เสียปีกข้างหนึ่งไม่อาจบินได้ ดันทาเลี่ยน การที่ฝ่ายภูเขาตั้งใจจะโจมตีฝ่ายที่ราบนั้นมันผิดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ผิดอะไรหากฝ่ายที่ราบจะพยายามกวาดล้างฝ่ายภูเขาด้วยความรุนแรงเป็นการตอบแทนอย่างนั้นหรือ?
ข้าหวังว่าจะได้รับการประนีประนอมกัน แน่นอนว่า หากฝ่ายที่ราบจะเป็นฝ่ายอดทนข่มขั้น เมื่อนั้นฝ่ายเป็นกลางจะสนับสนุนอย่างเต็มที่”
ว่าง่ายๆคือ เขาอยากที่จะชดเชยให้เราทั้งทางการเมืองและทางวัตถุด้วย
หืมมมม
แต่เดิมผมไม่ได้วางแผนที่จะกวาดล้างฝ่ายภูเขา เพราะนั่นเป็นการดีต่อฝ่ายมนุษย์
ถึงผมจะอยู่ฝ่ายที่ราบอย่างเป็นทางการแล้ว แต่จุดมุ่งหมายสูงสุดของผมคือ การเอาชีวิตรอดแล้วพิชิตโลกใบนี้ให้ได้
เพื่อการนั้นแล้วทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายจอมมารจะต้องสมดุลกันในแง่ ของกำลังพล
ปัญหาก็คือ การโน้มน้าวบาร์บาทอสเนี่ยแหละ
หากมีการพิจารณาคดี ฝ่ายเป็นกลางจะเข้าข้างฝ่ายภูเขา ฝ่ายเป็นกลางนั้นจะดึงเรื่องไปดึงเรื่องมาแล้วสุดท้ายก็จะแนะนำให้ประนีประนอมกัน
ผมวางแผนที่จะโน้มน้าวให้บาร์บาทอส ‘ถอนกลับมาที่นี่’ ณ จุดนี้แหละ
แต่นี่มันต่างออกไป ……มาร์บาสเป็นฝ่ายเสนอขอประนีประนอมเอง ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี หากเป็นเช่นนี้ผมก็จะสามารถโน้มน้าวบาร์บาทอสได้
แต่ก็มีคำถามเหือนกันว่า จะมีสักกี่คนที่สังเกตข้อแตกต่างอันเล็กน้อยมากเบื้องหลังคำพูดของมาร์บาส น้อยแบบน้อยจริงๆ
ผมสังเกตเห็นมัน สิ่งที่เป็นไปได้ยากมากที่จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายเป็นกลางในการพิจารณาคดี
……ท่ามกลางจอมมารทั้ง 25 ตนที่มีสิทธิในการโหวต ฝ่ายเป็นกลางมีสมาชิกถึง 10 ราย ผมต้องถอยหลังหนึ่งก้าว
ผมพูดอย่างใจเย็นโดยไม่กะพริบตา
“ท่านพูดได้ตรงจุดมาก การพิจารณาคดีนั้นเป็นสิ่งที่คอยกีดขวาง
เช่นเดียวกับที่ ท่านได้ระบุว่าตนเป็นกองกำลังจอมมารก่อนที่จะเป็นหนึ่งของฝ่ายเป็นกลาง
ข้าเองก็เป็นจอมมารตนหนึ่งก่อนจะมาเป็นฝ่ายที่ราบ”
มาร์บาสนั้นไม่เคยพูดว่า ‘เขาเป็นสมาชิกกองทัพจอมมารก่อนจะมาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายเป็นกลาง’ เหตุผลที่ผมจงใจบิดเบือนคำพูดพวกนั้นก็เพราะหวังผลการเมืองล้วนๆ
ตอนแรกที่ผมพูดว่า ‘การพิจารณาคดีนั้นเป็นสิ่งที่คอยกีดขวาง’ นั่นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า วาทศิลป์ทางการทูตเลยด้วยซ้ำ การที่ผมใส่คำว่า ‘พิจารณาคดี’ ตรงหน้าก็แทบไม่ต่างจากไฟสัญญาณจราจรที่ไหลไปตามบริบทแวดล้อม
เมื่อผมพูดอย่างนั้น ผมกำลังจะบอกว่า
‘ข้าเข้าใจถึงตำแหน่งในฝ่ายเป็นกลาง ที่จะเข้าร่วมการพิจารณาคดี แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงตำแหน่งของกองกำลังจอมมารทั้งหมดด้วย’
หากดูคำพูดนี้เผินๆก็จะพบว่า มันเป็นเพียงการตอบกลับ แต่หากลงไปให้ลึกก็จะพบการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองกัน
มาร์บาสเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างฝ่ายภูเขาและที่ราบมานานกว่าพันปี ดังนั้นเขาต้องเข้าใจถึงความหมายเล็กๆน้อยๆเบื้องหลังคำพูดของผมได้โดยง่าย
แน่นอนแหละว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น
「ค่าความชอบของจอมมารมาร์บอสเพิ่มขึ้น 10」
หน้าต่างแจ้งเตือนเด้งขึ้นพร้อมซาวด์เอฟเฟ็ค มาร์บาสนั้นพึงพอใจที่เจตนาของเขาส่งมาถึงอย่างชัดเจนและเขายังได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการอีกด้วย
“แน่นอนว่า ฝ่ายภูเขาผิดโดยไม่ต้องสงสัย ข้าเพียงแต่ปรารถนาให้อารมณ์ที่ร้อนแรงเย็นลงสักหน่อย เพื่อที่จะได้ไม่สายไปหากจะมาคุยกันเรื่องพิจารณาคดีนี้กันภายหลังจากนี้”
จะให้ผมพูดอะไรล่ะ? ผมไม่ได้เกลียดจอมมารเฒ่าตรงหน้าผมหรอกนะ เขานั้นตอกย้ำความจริงว่า ‘ฝ่ายภูเขานั้นผิด’ เพื่อเอาใจฝ่ายที่ราบ
และระหว่างนั้นก็สร้างหมอกกำบังปกปิดบริบทที่เราพูดคุยกันโดยอ้างว่า เขานั้นต้องการให้ ‘อารมณ์ที่ร้อนแรงเย็นลงสักหน่อย’
หลังจากรักษาหน้าอีกฝ่ายแล้วเก็บงำบทสนทนาแล้ว
เขาก็ได้เพิ่มเติมไปว่า ‘เพื่อที่จะได้ไม่สายไปหากจะมาคุยกันเรื่องพิจารณาคดีนี้กันภายหลังจากนี้’ เขากำลังบอกให้ผมไปพูดคุยกับบาร์บาทอส
“ตอนนี้ข้าขอต้อนรับทุกๆท่านที่ตอบรับคำเชิญนี้”
มาร์บาสปรบมือเบาๆ
พอเขาทำอย่างนั้น ชายหญิงผู้มากเน่ห์ก็เรียงแถวเข้ามาระหว่างแถบผ้าแล้วก็เต้นรำ ผิวหนังของพวกเขานั้นชุ่มไปด้วยน้ำมัน มีบางจุดเท่านั้นที่มีเสื้อผ้า แต่เกือบทั้งหมดก็เปลือยเปล่า มันเป็นการตอบสนองรสนิยมที่หลากหลาย มีอยู่หลายคนแหละที่ชอบให้มีเสื้อผ้าอยู่บ้าง
นักดนตรีหลังกำแพงผ้านั้นเล่นดนตรีเสียงดัง ยกเว้นไพมอนกับสิตริ จอมมารตนอื่นๆต่างเอนจอยกับปาร์ตี้สุดๆ ผมแอบกระซิบคุยกับบาร์บาทอสระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินไปกับปาร์ตี้ที่แสนจะฟุ่มเฟือยนี้
“พวกเราควรจะทำอะไรต่อดีล่ะ? จะให้มีการพิจารณาคดีต่อไหม?”
“พูดอะไรของเธอน่ะ? แน่นอน เราต้องให้พักการพิจารณาคดี”
ฮื่มม บาร์บาทอสไม่สามารถจับความหมายโดยนัยที่ ผมกับมาร์บาสพูดคุยกันได้ แต่พอผมแอบอธิบายเบาๆให้เธอฟัง เธอก็บ่นออกมา
“โอ้ พระเจ้า ,ฟัค”
พวกเรายิ้มกันอย่างชื่นบาน แต่ก็พยายามปั้นหน้าไม่ให้คนอื่นรู้ว่า พวกเรากำลังพูดเรื่องอะไรกัน
Comments