Dungeon Defense (WN) 129 เช้าตรู่ในโรม(5)
ผมกลับรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที อยู่ๆก็นึกถึงคำเตือนของแม่ขึ้นมาได้ว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตนั้น……
‘จำคำพูดแม่ไว้ ลูกรัก ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับลูก แม้จะมีโอกาสน้อยนิดตอนที่มีผู้หญิงมาอยู่ข้างๆ’
แม่พูดต่อไปว่า
‘จงอย่าพูดคำว่า <อะไรก็ได้> โดยไม่คิด อะไรที่ใหญ่โตจะเกิดขึ้น”
‘อะไรที่ใหญ่โต? แม่หมายความว่ายังไง?’
‘อืมม ก็ประมาณมีเด็กแบบลูกล่ะมั้ง’
ผมเพิ่งเข้าใจภายหลังว่า แม่หมายความว่ายังไง และตัวสั่นขึ้นมา ตอนนั้นผมยังอยู่ในช่วงมัธยมกำลังสนุกกับวัยต่อต้าน ผมเสียงดังขึ้นและด่าว่า
‘ถ้าแม่พูดงั้น ผมก็ไม่สมควรมาเกิดเป็นลูกแม่เลยสินะ’
‘ถ้าแม่รู้ว่า ลูกชายของแม่จะเป็นแบบนี้ แม่ก็ไม่ควรให้ลูกเกิดมา’
‘…….’
ผมถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่าอย่างรุนแรง ผมจึงทิ้งวัยต่อต้านของตัวเองแล้วหันไปตั้งใจเรียนหลังจากนั้น คงต้องขอบคุณเรื่องพวกนั้น ทำให้ผมได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีพอใช้ได้ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตเหลวแหลกต่อ
ทำไมจู่ๆผมถึงมานึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมาได้ตอนนี้นะ?
ทั้งที่ผมออกจะแน่ใจแล้วว่า จิตใต้สำนึกนั้นร้องตะโกนอยู่ข้างในว่าให้ถอนคำพูดซะ แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันสายเกินไปแล้ว ที่จะแก้ไขคำพูดของตัวเองทั้งที่หันไปมองลาพิส
“…….”
ความหนาวจับเข้าที่ไขสันหลัง แววตาของอีกฝ่ายจริงจังเหลือเกิน
หากท่านมากลับคำเอาตอนนี้ ดิฉันจะทำให้ท่านเห็นถึงความเน่าเหม็นของในของท่านเลยค่ะ―
ดวงตาของเธอสื่อออกมาอย่างนั้น
ถ้อยคำของผมจึงไหลพรวดออกมาไม่ต่างจากน้ำรั่ว
“ชะ-ใช่ อะไรก็ได้”
“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้น”
ลาพิสผงกหัวน้อยๆ อาจเป็นจินตนาการของผมก็ได้ แต่ดูเหมือนบรรยากาศรอบๆของเธอจะแสดงให้เห็นถึงความดีอกดีใจขณะที่ใบหน้าของเธอยังคงไร้อารมณ์
“แม้ได้รับรางวัลเล็กๆน้อยๆดิฉันก็ยินดีค่ะ แต่ในเมื่อท่านดันทาเลี่ยนเสนออะไรก็ได้ ก็ช่วยไม่ได้นะคะ
ดิฉันไม่ได้เพียงแต่เป็นพนักงานของบริษัทเคียนคุสก้า แต่ก็ยังเป็นผู้รับใช้ท่านดันทาเลี่ยนด้วย ดิฉันไม่อาจปฏิเสธความใจดีของท่านดันทาเลี่ยนได้หรอกค่ะ ดิฉันจะขอยอมรับคำสั่งของท่าน”
“อือฮึ……? นะ-แน่ล่ะ”
ความรู้สึกเป็นกังวลกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ความปรารถนาแบบใดกันที่เธออยากจะขอกับผม มันพวยพุ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้?
เธอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากอิวาร์หรือเปล่า?
ผมจึงพูดขึ้นอย่างคนขี้ขลาดตาขาว
“ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ มันเป็นไปได้เฉพาะแต่สิ่งที่ข้าทำได้อย่างเดียวเท่านั้นนะ เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ ดิฉันทราบดีกว่าใครเกี่ยวกับขีดจำกัดของท่านดันทาเลี่ยน ไม่มีทางที่ดิฉันจะขอในสิ่งที่ท่านไม่อาจให้ได้”
“อืมม ถูกแล้วล่ะ”
ลาพิสรู้จักผมตั้งแต่วันที่ผมทำเงินได้เพียง 2 โกลด์ต่อวัน ด้วยการขุดเหมืองในถ้ำ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่สุดที่ผมมีในโลกนี้
นับจากวันที่ผมเข้าใจผิดว่าไพไรต์นั้นเป็นทอง (สมองผมยังคงร้องบอกว่า ให้ลืมๆเรื่องนี้ไปเหอะน่า)
นับตั้งแต่วันที่ผมใช้เงินเป็นน้ำตอนอยู่คาสิโนในโกลปีศาจ เธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม
มันอาจถูกยึดโยงกันด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจอมมารกับปีศาจ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเธอ
มันต่างไปจากลอร่า ความจริงแล้วลอร่านั้นมองผมด้วยสายตาที่ดีเกินจริง
ไม่ว่า ผมจะทำอะไรลอร่าก็มักจะตอบกลับมาว่า ‘สมกับเป็นนายท่าน นายท่านสุดยอดมาก!’ ดวงตาของเธอเปล่งประกายแบบนั้นและชื่นชมผมเสมอ
ในขณะที่ลาพิสนั้นกลับตาโตขึ้นด้วยความประหลาดใจและพูดว่า ‘น่าประทับใจค่ะ’ ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ คำที่พูดอาจดูคล้ายกันแต่อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นกลับต่างกันดั่งฟ้ากับเหว…….
เอาล่ะ ผมก็ชอบการตอบกลับแบบนั้นของลาพิส ยิ่งกว่านั้นคือ มันจะเป็นปัญหาแน่ถ้าคุณยังคงรับการสนับสนุนโดยไร้เงื่อนไขต่อไปเรื่อยๆ
ก็มีแต่เพื่อนไม่ใช่หรือไง ที่จะสามารถชี้ความโง่ให้เห็นได้ทั้งที่ยังมีความสัมพันธ์ต่อกัน? ดังนั้น ลาพิสจึงนับเป็นเพื่อนของผม
อาจมีผู้คนที่เชื่อว่า ผู้ชายกับผู้หญิงนั้นไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้ ผมได้แต่หัวเราะเยาะคนพวกนั้น เซ็กส์นั้นไม่ใช่ทุกสิ่งระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง พวกเราไม่ใช่สัตว์ป่าแบบนั้นสักหน่อย
ความสัมพันธ์อย่างเพื่อนแท้นั้นจะเกิดขึ้นได้ระหว่างคนสองคน ความสัมพันธ์ของผมกับลาพิสนั้นก็เป็นตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดในเรื่องนี้ ผมนั้นเป็นจอมมารลูกผีลูกคน ส่วนลาพิสก็เป็นลูกครึ่งที่โดนอัปเปหิออกจากสังคมปีศาจ
อาจเพราะพวกเรามีอะไรคล้ายคลึงกัน พวกเราเลยเป็นเพื่อนคู่คิดโดยก้าวข้ามเรื่องฐานะตำแหน่งและเพศไปแล้ว ไม่มีพื้นที่ให้กับความรู้สึกทางเพศระหว่างเรา นี่มันเป็นความรักแบบเพลโต*และยังเป็นเรื่องราวที่งดงามไม่ใช่หรือไง!?
ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมได้ให้คำมั่นสัญญากับเธอไปแล้ว ดังนั้นผมจะทำให้มันเป็นจริง ส่วนเธอเองก็ยิ้มออกมาตอนที่ขอผม
“เอาล่ะ ข้าได้ประกาศไปแล้วนี่ว่าจะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นความจริง จะเอาเลยไหมล่ะ? ว่าแต่เธออยากได้อะไรล่ะหืมม? อยากให้ฆ่าไอ้พวกที่ทำเหมือนเธอเป็นคนนอกคอกไหม? หรือบอกให้อิวาร์มัน เลื่อนตำแหน่งเธอขึ้นเป็นพนักงานระดับ 1 ดี?”
ลาพิสมองไปที่ลอร่า
“……ไม่ค่ะ ตอนนี้ดิฉันยังนึกอะไรไม่ออก หากนึกออกแล้วดิฉันจะบอกท่านค่ะ”
“อย่างนั้นก็ได้ ต้องการเมื่อไหร่ก็บอกนะ ข้าจะทำให้ยิ่งกว่าที่เธออยากได้อีก”
ลอร่าที่แอบฟังเราพูดคุยกันอย่างเงียบๆก็ขยับหัว
“คุณลาพิส? ฉันก็อยากช่วยคุณด้วยเหมือนกัน แต่อย่างที่คุณเห็นแหละค่ะ”
ลอร่านั้นจัดท่อนร่างของตัวเองขณะพูด
เธอนั้นล่อนจ้อนอยู่ มันเป็นเหมือนการบอกกลายๆว่า ช่วงล่างของเธอกับน้องชายผมได้ทำกิจกรรมกันก่อนหน้า ถ้าพูดให้ชัดๆก็ น้ำกามไหลเปื้อนเต็มไปหมด
“หญิงสาวผู้นี้จะไปอาบน้ำชำระตัวก่อน ฉันจะไปล้างตัวที่สระน้ำแล้วก็แช่น้ำด้วย เชิญพูดคุยกันตอนที่หญิงสาวผู้นี้กำลังอาบน้ำได้เลยค่ะ”
“ฮ่าชชช”
ลาพิสถอนใจออกมา
“แม้จะไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอกัน แต่ดิฉันเห็นคุณลอร่านั้นกลายเป็นสัตว์ไปโดยสมบูรณ์เลยนะคะ
แม้แต่ฮาเร็มของอาร์คดยุคแห่งนรกก็ยังไม่สำส่อนขนาดนี้ ท่านแสดงธาตุแท้ออกมาแล้วสินะคะ?”
“อืมม……คุณจะยิ่งเข้าใจสถานการณ์ของหญิงสาวผู้นี้ หากคุณอยู่กับนายท่านใน 15 วันที่ผ่านมา”
ด้วยเหตุบางอย่าง รอยยิ้มเศร้าๆปรากฏบนใบหน้าของลอร่า
“ความอับอายจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องกระตุ้นความปรารถนาของศัตรู มันเป็นเหมือนการโรยสมุนไพรปรุงรสไปบนเนื้อย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นการทำตัวอย่างไร้ยางอายเป็นตัวเลือกที่สองที่ทำได้ หญิงสาวผู้นี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโยนความภาคภูมิใจทิ้งไปเพื่อความอยู่รอด”
“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะ? ……บอกให้ชัดๆได้ไหมว่า ทำกันกี่ครั้งต่อวัน?”
“อืมม แต่ละวันก็ต่างออกไป แต่เฉลี่ยก็ประมาณวันละสี่ครั้งนะ”
ลาพิสเปิดปากเล็กน้อย
“การถึงจุดสุดยอดสี่ครั้งนับว่าน่าประทับใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถึงกับ…….”
“คุณลาพิสคะ? ฉันว่าคุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ”
ลอร่าหัวเราะออกมา เงามืดปกคลุมดวงตาของเธอ
“ตัวฉันไม่ได้ถึงจุดสุดยอดเพียงสี่ครั้ง แต่พวกเราทำกับสี่ครั้ง ถ้าให้นับคร่าวๆว่า ถึงจุดกี่ครั้ง ก็อย่างน้อยสิบครั้ง
สิบครั้งต่อรอบ รวมๆแล้วก็สี่สิบครั้ง แล้วขอบอกเลยนะว่า นั่นคือ อย่างน้อยสี่สิบครั้ง”
“สี่สิบ……ครั้ง?”
ตอนนั้นเอง ที่ผมได้เห็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง ผมได้เห็นสีหน้าของลาพิสที่กลายเป็นตกใจช็อค ผมก็พอรู้เรื่องความอึดของตัวเองอยู่แล้ว ก็อยากใช้โอกาสนี้หนีไปเสียหน่อย ผมเลยไปยังแหล่งน้ำในมุมห้องแล้วหยิบชามมา
“มันต้องล้อเล่นแน่ๆค่ะ ไม่มีทางที่เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้”
“หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่คิดว่า จะเป็นไปได้เช่นกัน แต่เมื่อมาตระหนักได้ว่า สามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดานั้นบอบบางเพียงใดแล้ว…….
ฮุฮุ พอมามองย้อนกลับไปจากตอนนี้แล้ว น่าประทับใจจริงๆที่ฉันอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ หุหุ หุหุหุหุหุ…….”
“แต่ถ้า หากผู้ชายนั้นทำมากเกินไป ผู้หญิงก็คง……หากไม่ใช่ว่า ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายถึงจุดก่อน โดยพื้นฐานก็จะห่างกันสามเท่า”
ผมได้ยินชัดเจนขณะที่กำลังดื่มน้ำ อืมม การที่มีใครมาคุยเรื่องความอึดของผมมันเป็นสิ่งที่น่าอายพอควรเลยแฮะ ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินขณะที่กำลังดื่มน้ำอยู่
“แน่นอน มันถี่ขนาดนั้นเลยล่ะ”
“ถ้าเป็นในกรณีนั้นแล้ว สามสิบครั้งต่อรอบ ร้อยยี่สิบครั้งต่อวัน ดิฉันไม่อยากเชื่อเลยค่ะ”
“นั่นน่ะค่าเฉลี่ย แต่บางวันก็ทำกันเกินไปกว่าสองร้อยครั้ง”
“…….”
“เข้าใจหรือยังคะคุณลาพิส? มันเป็นอย่างนี้มาครึ่งเดือนแล้ว”
สองคนนั้นพูดเบาลง จนยากที่ผมจะได้ยินทุกคนพูด สุดท้านแล้วที่พวกเธอคุยกันก็กลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้……แบ่งกัน……แค่เราสองคน”
“แต่ถ้าจัดการด้วยตัวเอง…… คร่าวๆก็…….”
“ฉันรอไม่ได้หรอก……มันแทบจะแตกอยู่แล้ว! ……ให้เร็วเลยค่ะ…….”
“……เริ่ม……ตอนนี้เลย ฉันทนมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วค่ะ”
“เอาล่ะๆ ในที่สุดความหวังก็มาถึงหญิงสาวผู้นี้แล้ว”
ดูเหมือนพวกเธอจะตกลงอะไรบางอย่างกันได้แล้ว
“ฮาฮ่า ตอนนี้พวกเธอคุยกันเสร็จแล้วใช่ไหม?”
ผมเข้าไปหาเธอสองคนอย่างมีความสุขเพราะดูเหมือนจะคุยกันจบแล้ว
“…….”
“…….”
แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับได้รับการมองด้วยสายตาที่เย็นชาไม่ต่างจากมองสัตว์ร้าย
เอ๋ อะไรกันน่ะ?
* * *
มีหมู่บ้านมนุษย์ เจ็ด แห่ง และเผ่าก็อบลิน แปดเผ่า อยู่รอบปราสาทจอมมารของผม นับรวมก็มีทั้งหมด สิบห้าแห่งที่อยู่ในการปกครองของผม
ประชากรมนุษย์ราว 400 คน ก็อบลินอีก 1,100 ตัว จำนวนประชากรอาจไม่แม่นยำนัก เพราะไม่เคยนับยอดมาก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางรวมแล้วเกิน 2,000 ถึงจะรวมสองเผ่าเข้าด้วยกันก็ตาม มันน่าตลกดีนะ ในการเป็นบารอนที่มีจำนวนลูกบ้านไม่ถึง 2,000
นี่เป็นยุคสมัยที่ความแข็งแกร่งของชาตินั้นขึ้นกับจำนวนประชากร แต่เดิมแล้วน่ะ ข้อจำกัดของปราสาทจอมมารมันชัดเจนอยู่แล้วแต่ทว่า…….
“ต่อจากนี้จำนวนจะเพิ่มขึ้นมาค่ะ”
ลอร่า ลาพิส และผมมาประชุมที่โต๊ะกลม โดยไม่ต้องสนใจลำดับความสูงต่ำในกองกำลังจอมมารของผม มีเพียงความเป็นสมาชิกเท่านั้น แม้ระดับจะเล็กไปสักหน่อยแต่ก็ยังว่า เป็นการสร้างชาติได้เหมือนกัน
“ข้าพูดได้อย่างดีเยี่ยมในตอนพิธีการปราศรัยก่อนออกรบ ดังนั้นข่าวลือที่ว่า ปลูกเท่าไหร่ก็เก็บเกี่ยวได้เท่านั้นในดินแดนของจอมมารที่ชื่อ ดันทาเลี่ยน จะต้องแพร่ออกไปแน่ๆ
พวกคนจร คนเร่ร่อนก็จะหนีจากกองกำลังมนุษย์มาอยู่ที่นี่แทน”
“เป็นข้อสรุปที่เป็นเหตุเป็นผลค่ะ”
ลาพิสเห็นด้วย
“พื้นที่ในราชอาณาจักรทิวทันเองอยู่ใกล้กับทางเหนือของฮับบวร์ในระดับที่เดินไปมาหากันได้ แถมยังเป็นที่ที่เกิดสงครามกันอยู่ด้วย สองหรือสามในสิบคนมักจะแวะมาอยู่ที่นี่ ข้าเชื่อแน่ว่าจะต้องมีอย่างน้อยสองร้อยคนมาที่นี่ในเร็วนี้นี้
หากเป็นจำนวนเท่านั้นก็ไม่ยากที่จะรับมือ
มีหมู่บ้านห้าแห่งที่โดนข้าทำลายทิ้งไป ทุ่งข้าวสำหรับห้าหมู่บ้านก็ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่
จริงอยู่ที่พืชผลที่โต นั้นแห้งตายหมดแล้ว แต่ยังมีคันดิน หลุมเนิน และบางส่วนของทุ่งที่ยังดีอยู่ จนแทบไม่ต้องทำอะไรเพื่อฟื้นฟูดิน ขอแค่มีใครสักคนมาจับจองก็เริ่มทำการเกษตรต่อได้
ทุ่งพวกนั้นมีพอสำหรับคนสักสามร้อยคน แถมดินแดนของข้างนั้นสามารถรองรับคนเพิ่มได้มากกว่าสามร้อยคนด้วยซ้ำ
ปัญหาจริงๆคือ การที่ผู้อพยพจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ”
ผมแสดงความเห็น
“พิษร้ายที่ข้าโปรยลงไปในโลกมนุษย์นั้นจะยิ่งรุนแรง ยิ่งสงครามกับกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรานานเท่าใด ภาษีจากชนชั้นสูงก็จะยิ่งหนักหนาขึ้นเท่านั้น
ผู้คนที่อ่อนล้าจากกาฬโรคไปถึงจุดที่ไม่อาจทนได้กับการรีดไถจากสงครามอีก”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ในเวลานั้นเอง ที่มนุษย์ทั้งหลายจะถูกจุดด้วยแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีอีกต่อไป และจะหนีไปยังดินแดนที่ควบคุมโดยจอมมาร”
“นายท่านคะ แล้วทำไมนั่นถึงกลายเป็นปัญหาล่ะคะ?”
ลอร่าขมวดคิ้ว
“การที่ประชากรเพิ่มเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือคะ?”
“อะไรที่มากเกินไป มันไม่ดีทั้งนั้น ตอนนี้ พวกเราควรจะเตรียมท้องไว้สำหรับกินอาหารเยอะๆรวดเดียว”
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อพยพไม่ได้เพิ่มอย่างเดียวที่ไหน จำนวนนักผจญภัยก็จะเพิ่มขึ้นด้วยตามค่าชื่อเสียของจอมมารที่เพิ่มขึ้น
……คราวนี้ไม่ใช่ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งค์ F หรือ E แล้ว แต่จะเป็น แร๊งค์D หรือ C แทนเผลอๆอาจจะมีแร๊ง B มาด้วย
มันเป็นโอกาสดีที่ทวีปนี้ที่ได้ถูกแผดเผาไปด้วยไฟสงครามกับกองทัพพันธมิตร ผมได้เตรียมตัวสำหรับอนาคตอันใกล้แล้ว
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คิดจะก่อตั้ง เมืองดันเจี้ยนพิเศษ ขึ้น”
“เมืองดันเจี้ยนพิเศษ……?”
ลอร่ามองผมด้วยความสงสัย
“ดันเจี้ยนเป็นสิ่งที่นักผจญภัยใช้เรียกปราสาทจอมมาร ใช่ไหมคะ? แต่เมืองดันเจี้ยนพิเศษนี่คืออะไร? หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยได้ยินคำๆนั้นมาก่อน? มันคืออะไรคะ?”
“พูดง่ายๆ มันคือ เมืองที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับนักผจญภัยและเป็นดันเจี้ยน”
ผมยิ้มออกมา
“โดยปกติแล้ว จอมมารจะคิดว่า นักผจญภัยเป็นเหมือนศัตรู แต่ถึงอย่างนั้น หากเปลี่ยนมุมมองสักเล็กน้อย นักผจญภัยนั้นเหมือนปลิงดูดเลือดของโลกใบนี้พวกเจ้าสามารถสร้างเมืองที่จะทำให้เจ้าพวกนั้นมันกระเป๋าแห้งได้”
ทางเทคนิคแล้วนักผจญภัยทุกคนเป็นทหารนั่นแหละ ไม่ว่าจะยากจนแค่ไหน พวกเขาก็ต้องมีอาวุธและชุดเกราะ ก็แค่เอาอาวุธโลหะกับเกราะหนังมาก็ได้กำไรเกินพอแล้ว หากคิดถึงกำไรเล็กๆน้อยๆ แต่ยิ่งไปกว่านั้น…….
“ท่านกำลังจะสร้างเมืองเล็กๆด้วยการใช้ประโยชน์จากนักผจญภัยเหรอคะ?”
“ดิฉันต้องขอประทานอภัยนะคะ ท่านดันทาเลี่ยน แต่ดิฉันยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี”
สองสาวมองผมด้วยความสงสัยมากขึ้น
ผมยืนยันเลยว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ ดินแดนของจอมมารดันทาเลี่ยนนั้นจะกลายเป็นดินแดนแห่งเหล่านักผจญภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
—–
*Platonic love
ความรักแบบเพลโต เป็นความรักที่บริสุทธิ์ตามแนวคิดทางปรัชญาของเพลโต โดยเป็นความรักที่ไม่มีกามารมณ์ ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง
Comments
Dungeon Defense (WN) 129 เช้าตรู่ในโรม(5)
ผมกลับรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที อยู่ๆก็นึกถึงคำเตือนของแม่ขึ้นมาได้ว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตนั้น……
‘จำคำพูดแม่ไว้ ลูกรัก ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับลูก แม้จะมีโอกาสน้อยนิดตอนที่มีผู้หญิงมาอยู่ข้างๆ’
แม่พูดต่อไปว่า
‘จงอย่าพูดคำว่า <อะไรก็ได้> โดยไม่คิด อะไรที่ใหญ่โตจะเกิดขึ้น”
‘อะไรที่ใหญ่โต? แม่หมายความว่ายังไง?’
‘อืมม ก็ประมาณมีเด็กแบบลูกล่ะมั้ง’
ผมเพิ่งเข้าใจภายหลังว่า แม่หมายความว่ายังไง และตัวสั่นขึ้นมา ตอนนั้นผมยังอยู่ในช่วงมัธยมกำลังสนุกกับวัยต่อต้าน ผมเสียงดังขึ้นและด่าว่า
‘ถ้าแม่พูดงั้น ผมก็ไม่สมควรมาเกิดเป็นลูกแม่เลยสินะ’
‘ถ้าแม่รู้ว่า ลูกชายของแม่จะเป็นแบบนี้ แม่ก็ไม่ควรให้ลูกเกิดมา’
‘…….’
ผมถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่าอย่างรุนแรง ผมจึงทิ้งวัยต่อต้านของตัวเองแล้วหันไปตั้งใจเรียนหลังจากนั้น คงต้องขอบคุณเรื่องพวกนั้น ทำให้ผมได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีพอใช้ได้ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตเหลวแหลกต่อ
ทำไมจู่ๆผมถึงมานึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมาได้ตอนนี้นะ?
ทั้งที่ผมออกจะแน่ใจแล้วว่า จิตใต้สำนึกนั้นร้องตะโกนอยู่ข้างในว่าให้ถอนคำพูดซะ แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันสายเกินไปแล้ว ที่จะแก้ไขคำพูดของตัวเองทั้งที่หันไปมองลาพิส
“…….”
ความหนาวจับเข้าที่ไขสันหลัง แววตาของอีกฝ่ายจริงจังเหลือเกิน
หากท่านมากลับคำเอาตอนนี้ ดิฉันจะทำให้ท่านเห็นถึงความเน่าเหม็นของในของท่านเลยค่ะ―
ดวงตาของเธอสื่อออกมาอย่างนั้น
ถ้อยคำของผมจึงไหลพรวดออกมาไม่ต่างจากน้ำรั่ว
“ชะ-ใช่ อะไรก็ได้”
“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้น”
ลาพิสผงกหัวน้อยๆ อาจเป็นจินตนาการของผมก็ได้ แต่ดูเหมือนบรรยากาศรอบๆของเธอจะแสดงให้เห็นถึงความดีอกดีใจขณะที่ใบหน้าของเธอยังคงไร้อารมณ์
“แม้ได้รับรางวัลเล็กๆน้อยๆดิฉันก็ยินดีค่ะ แต่ในเมื่อท่านดันทาเลี่ยนเสนออะไรก็ได้ ก็ช่วยไม่ได้นะคะ
ดิฉันไม่ได้เพียงแต่เป็นพนักงานของบริษัทเคียนคุสก้า แต่ก็ยังเป็นผู้รับใช้ท่านดันทาเลี่ยนด้วย ดิฉันไม่อาจปฏิเสธความใจดีของท่านดันทาเลี่ยนได้หรอกค่ะ ดิฉันจะขอยอมรับคำสั่งของท่าน”
“อือฮึ……? นะ-แน่ล่ะ”
ความรู้สึกเป็นกังวลกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ความปรารถนาแบบใดกันที่เธออยากจะขอกับผม มันพวยพุ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้?
เธอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากอิวาร์หรือเปล่า?
ผมจึงพูดขึ้นอย่างคนขี้ขลาดตาขาว
“ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ มันเป็นไปได้เฉพาะแต่สิ่งที่ข้าทำได้อย่างเดียวเท่านั้นนะ เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ ดิฉันทราบดีกว่าใครเกี่ยวกับขีดจำกัดของท่านดันทาเลี่ยน ไม่มีทางที่ดิฉันจะขอในสิ่งที่ท่านไม่อาจให้ได้”
“อืมม ถูกแล้วล่ะ”
ลาพิสรู้จักผมตั้งแต่วันที่ผมทำเงินได้เพียง 2 โกลด์ต่อวัน ด้วยการขุดเหมืองในถ้ำ มันเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานที่สุดที่ผมมีในโลกนี้
นับจากวันที่ผมเข้าใจผิดว่าไพไรต์นั้นเป็นทอง (สมองผมยังคงร้องบอกว่า ให้ลืมๆเรื่องนี้ไปเหอะน่า)
นับตั้งแต่วันที่ผมใช้เงินเป็นน้ำตอนอยู่คาสิโนในโกลปีศาจ เธอรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผม
มันอาจถูกยึดโยงกันด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจอมมารกับปีศาจ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเธอ
มันต่างไปจากลอร่า ความจริงแล้วลอร่านั้นมองผมด้วยสายตาที่ดีเกินจริง
ไม่ว่า ผมจะทำอะไรลอร่าก็มักจะตอบกลับมาว่า ‘สมกับเป็นนายท่าน นายท่านสุดยอดมาก!’ ดวงตาของเธอเปล่งประกายแบบนั้นและชื่นชมผมเสมอ
ในขณะที่ลาพิสนั้นกลับตาโตขึ้นด้วยความประหลาดใจและพูดว่า ‘น่าประทับใจค่ะ’ ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ คำที่พูดอาจดูคล้ายกันแต่อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นกลับต่างกันดั่งฟ้ากับเหว…….
เอาล่ะ ผมก็ชอบการตอบกลับแบบนั้นของลาพิส ยิ่งกว่านั้นคือ มันจะเป็นปัญหาแน่ถ้าคุณยังคงรับการสนับสนุนโดยไร้เงื่อนไขต่อไปเรื่อยๆ
ก็มีแต่เพื่อนไม่ใช่หรือไง ที่จะสามารถชี้ความโง่ให้เห็นได้ทั้งที่ยังมีความสัมพันธ์ต่อกัน? ดังนั้น ลาพิสจึงนับเป็นเพื่อนของผม
อาจมีผู้คนที่เชื่อว่า ผู้ชายกับผู้หญิงนั้นไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้ ผมได้แต่หัวเราะเยาะคนพวกนั้น เซ็กส์นั้นไม่ใช่ทุกสิ่งระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง พวกเราไม่ใช่สัตว์ป่าแบบนั้นสักหน่อย
ความสัมพันธ์อย่างเพื่อนแท้นั้นจะเกิดขึ้นได้ระหว่างคนสองคน ความสัมพันธ์ของผมกับลาพิสนั้นก็เป็นตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดในเรื่องนี้ ผมนั้นเป็นจอมมารลูกผีลูกคน ส่วนลาพิสก็เป็นลูกครึ่งที่โดนอัปเปหิออกจากสังคมปีศาจ
อาจเพราะพวกเรามีอะไรคล้ายคลึงกัน พวกเราเลยเป็นเพื่อนคู่คิดโดยก้าวข้ามเรื่องฐานะตำแหน่งและเพศไปแล้ว ไม่มีพื้นที่ให้กับความรู้สึกทางเพศระหว่างเรา นี่มันเป็นความรักแบบเพลโต*และยังเป็นเรื่องราวที่งดงามไม่ใช่หรือไง!?
ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมได้ให้คำมั่นสัญญากับเธอไปแล้ว ดังนั้นผมจะทำให้มันเป็นจริง ส่วนเธอเองก็ยิ้มออกมาตอนที่ขอผม
“เอาล่ะ ข้าได้ประกาศไปแล้วนี่ว่าจะทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นความจริง จะเอาเลยไหมล่ะ? ว่าแต่เธออยากได้อะไรล่ะหืมม? อยากให้ฆ่าไอ้พวกที่ทำเหมือนเธอเป็นคนนอกคอกไหม? หรือบอกให้อิวาร์มัน เลื่อนตำแหน่งเธอขึ้นเป็นพนักงานระดับ 1 ดี?”
ลาพิสมองไปที่ลอร่า
“……ไม่ค่ะ ตอนนี้ดิฉันยังนึกอะไรไม่ออก หากนึกออกแล้วดิฉันจะบอกท่านค่ะ”
“อย่างนั้นก็ได้ ต้องการเมื่อไหร่ก็บอกนะ ข้าจะทำให้ยิ่งกว่าที่เธออยากได้อีก”
ลอร่าที่แอบฟังเราพูดคุยกันอย่างเงียบๆก็ขยับหัว
“คุณลาพิส? ฉันก็อยากช่วยคุณด้วยเหมือนกัน แต่อย่างที่คุณเห็นแหละค่ะ”
ลอร่านั้นจัดท่อนร่างของตัวเองขณะพูด
เธอนั้นล่อนจ้อนอยู่ มันเป็นเหมือนการบอกกลายๆว่า ช่วงล่างของเธอกับน้องชายผมได้ทำกิจกรรมกันก่อนหน้า ถ้าพูดให้ชัดๆก็ น้ำกามไหลเปื้อนเต็มไปหมด
“หญิงสาวผู้นี้จะไปอาบน้ำชำระตัวก่อน ฉันจะไปล้างตัวที่สระน้ำแล้วก็แช่น้ำด้วย เชิญพูดคุยกันตอนที่หญิงสาวผู้นี้กำลังอาบน้ำได้เลยค่ะ”
“ฮ่าชชช”
ลาพิสถอนใจออกมา
“แม้จะไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอกัน แต่ดิฉันเห็นคุณลอร่านั้นกลายเป็นสัตว์ไปโดยสมบูรณ์เลยนะคะ
แม้แต่ฮาเร็มของอาร์คดยุคแห่งนรกก็ยังไม่สำส่อนขนาดนี้ ท่านแสดงธาตุแท้ออกมาแล้วสินะคะ?”
“อืมม……คุณจะยิ่งเข้าใจสถานการณ์ของหญิงสาวผู้นี้ หากคุณอยู่กับนายท่านใน 15 วันที่ผ่านมา”
ด้วยเหตุบางอย่าง รอยยิ้มเศร้าๆปรากฏบนใบหน้าของลอร่า
“ความอับอายจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเครื่องกระตุ้นความปรารถนาของศัตรู มันเป็นเหมือนการโรยสมุนไพรปรุงรสไปบนเนื้อย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นการทำตัวอย่างไร้ยางอายเป็นตัวเลือกที่สองที่ทำได้ หญิงสาวผู้นี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโยนความภาคภูมิใจทิ้งไปเพื่อความอยู่รอด”
“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะ? ……บอกให้ชัดๆได้ไหมว่า ทำกันกี่ครั้งต่อวัน?”
“อืมม แต่ละวันก็ต่างออกไป แต่เฉลี่ยก็ประมาณวันละสี่ครั้งนะ”
ลาพิสเปิดปากเล็กน้อย
“การถึงจุดสุดยอดสี่ครั้งนับว่าน่าประทับใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถึงกับ…….”
“คุณลาพิสคะ? ฉันว่าคุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ”
ลอร่าหัวเราะออกมา เงามืดปกคลุมดวงตาของเธอ
“ตัวฉันไม่ได้ถึงจุดสุดยอดเพียงสี่ครั้ง แต่พวกเราทำกับสี่ครั้ง ถ้าให้นับคร่าวๆว่า ถึงจุดกี่ครั้ง ก็อย่างน้อยสิบครั้ง
สิบครั้งต่อรอบ รวมๆแล้วก็สี่สิบครั้ง แล้วขอบอกเลยนะว่า นั่นคือ อย่างน้อยสี่สิบครั้ง”
“สี่สิบ……ครั้ง?”
ตอนนั้นเอง ที่ผมได้เห็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง ผมได้เห็นสีหน้าของลาพิสที่กลายเป็นตกใจช็อค ผมก็พอรู้เรื่องความอึดของตัวเองอยู่แล้ว ก็อยากใช้โอกาสนี้หนีไปเสียหน่อย ผมเลยไปยังแหล่งน้ำในมุมห้องแล้วหยิบชามมา
“มันต้องล้อเล่นแน่ๆค่ะ ไม่มีทางที่เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้”
“หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่คิดว่า จะเป็นไปได้เช่นกัน แต่เมื่อมาตระหนักได้ว่า สามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดานั้นบอบบางเพียงใดแล้ว…….
ฮุฮุ พอมามองย้อนกลับไปจากตอนนี้แล้ว น่าประทับใจจริงๆที่ฉันอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ หุหุ หุหุหุหุหุ…….”
“แต่ถ้า หากผู้ชายนั้นทำมากเกินไป ผู้หญิงก็คง……หากไม่ใช่ว่า ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายถึงจุดก่อน โดยพื้นฐานก็จะห่างกันสามเท่า”
ผมได้ยินชัดเจนขณะที่กำลังดื่มน้ำ อืมม การที่มีใครมาคุยเรื่องความอึดของผมมันเป็นสิ่งที่น่าอายพอควรเลยแฮะ ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินขณะที่กำลังดื่มน้ำอยู่
“แน่นอน มันถี่ขนาดนั้นเลยล่ะ”
“ถ้าเป็นในกรณีนั้นแล้ว สามสิบครั้งต่อรอบ ร้อยยี่สิบครั้งต่อวัน ดิฉันไม่อยากเชื่อเลยค่ะ”
“นั่นน่ะค่าเฉลี่ย แต่บางวันก็ทำกันเกินไปกว่าสองร้อยครั้ง”
“…….”
“เข้าใจหรือยังคะคุณลาพิส? มันเป็นอย่างนี้มาครึ่งเดือนแล้ว”
สองคนนั้นพูดเบาลง จนยากที่ผมจะได้ยินทุกคนพูด สุดท้านแล้วที่พวกเธอคุยกันก็กลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้……แบ่งกัน……แค่เราสองคน”
“แต่ถ้าจัดการด้วยตัวเอง…… คร่าวๆก็…….”
“ฉันรอไม่ได้หรอก……มันแทบจะแตกอยู่แล้ว! ……ให้เร็วเลยค่ะ…….”
“……เริ่ม……ตอนนี้เลย ฉันทนมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วค่ะ”
“เอาล่ะๆ ในที่สุดความหวังก็มาถึงหญิงสาวผู้นี้แล้ว”
ดูเหมือนพวกเธอจะตกลงอะไรบางอย่างกันได้แล้ว
“ฮาฮ่า ตอนนี้พวกเธอคุยกันเสร็จแล้วใช่ไหม?”
ผมเข้าไปหาเธอสองคนอย่างมีความสุขเพราะดูเหมือนจะคุยกันจบแล้ว
“…….”
“…….”
แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับได้รับการมองด้วยสายตาที่เย็นชาไม่ต่างจากมองสัตว์ร้าย
เอ๋ อะไรกันน่ะ?
* * *
มีหมู่บ้านมนุษย์ เจ็ด แห่ง และเผ่าก็อบลิน แปดเผ่า อยู่รอบปราสาทจอมมารของผม นับรวมก็มีทั้งหมด สิบห้าแห่งที่อยู่ในการปกครองของผม
ประชากรมนุษย์ราว 400 คน ก็อบลินอีก 1,100 ตัว จำนวนประชากรอาจไม่แม่นยำนัก เพราะไม่เคยนับยอดมาก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางรวมแล้วเกิน 2,000 ถึงจะรวมสองเผ่าเข้าด้วยกันก็ตาม มันน่าตลกดีนะ ในการเป็นบารอนที่มีจำนวนลูกบ้านไม่ถึง 2,000
นี่เป็นยุคสมัยที่ความแข็งแกร่งของชาตินั้นขึ้นกับจำนวนประชากร แต่เดิมแล้วน่ะ ข้อจำกัดของปราสาทจอมมารมันชัดเจนอยู่แล้วแต่ทว่า…….
“ต่อจากนี้จำนวนจะเพิ่มขึ้นมาค่ะ”
ลอร่า ลาพิส และผมมาประชุมที่โต๊ะกลม โดยไม่ต้องสนใจลำดับความสูงต่ำในกองกำลังจอมมารของผม มีเพียงความเป็นสมาชิกเท่านั้น แม้ระดับจะเล็กไปสักหน่อยแต่ก็ยังว่า เป็นการสร้างชาติได้เหมือนกัน
“ข้าพูดได้อย่างดีเยี่ยมในตอนพิธีการปราศรัยก่อนออกรบ ดังนั้นข่าวลือที่ว่า ปลูกเท่าไหร่ก็เก็บเกี่ยวได้เท่านั้นในดินแดนของจอมมารที่ชื่อ ดันทาเลี่ยน จะต้องแพร่ออกไปแน่ๆ
พวกคนจร คนเร่ร่อนก็จะหนีจากกองกำลังมนุษย์มาอยู่ที่นี่แทน”
“เป็นข้อสรุปที่เป็นเหตุเป็นผลค่ะ”
ลาพิสเห็นด้วย
“พื้นที่ในราชอาณาจักรทิวทันเองอยู่ใกล้กับทางเหนือของฮับบวร์ในระดับที่เดินไปมาหากันได้ แถมยังเป็นที่ที่เกิดสงครามกันอยู่ด้วย สองหรือสามในสิบคนมักจะแวะมาอยู่ที่นี่ ข้าเชื่อแน่ว่าจะต้องมีอย่างน้อยสองร้อยคนมาที่นี่ในเร็วนี้นี้
หากเป็นจำนวนเท่านั้นก็ไม่ยากที่จะรับมือ
มีหมู่บ้านห้าแห่งที่โดนข้าทำลายทิ้งไป ทุ่งข้าวสำหรับห้าหมู่บ้านก็ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่
จริงอยู่ที่พืชผลที่โต นั้นแห้งตายหมดแล้ว แต่ยังมีคันดิน หลุมเนิน และบางส่วนของทุ่งที่ยังดีอยู่ จนแทบไม่ต้องทำอะไรเพื่อฟื้นฟูดิน ขอแค่มีใครสักคนมาจับจองก็เริ่มทำการเกษตรต่อได้
ทุ่งพวกนั้นมีพอสำหรับคนสักสามร้อยคน แถมดินแดนของข้างนั้นสามารถรองรับคนเพิ่มได้มากกว่าสามร้อยคนด้วยซ้ำ
ปัญหาจริงๆคือ การที่ผู้อพยพจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ”
ผมแสดงความเห็น
“พิษร้ายที่ข้าโปรยลงไปในโลกมนุษย์นั้นจะยิ่งรุนแรง ยิ่งสงครามกับกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรานานเท่าใด ภาษีจากชนชั้นสูงก็จะยิ่งหนักหนาขึ้นเท่านั้น
ผู้คนที่อ่อนล้าจากกาฬโรคไปถึงจุดที่ไม่อาจทนได้กับการรีดไถจากสงครามอีก”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ในเวลานั้นเอง ที่มนุษย์ทั้งหลายจะถูกจุดด้วยแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีอีกต่อไป และจะหนีไปยังดินแดนที่ควบคุมโดยจอมมาร”
“นายท่านคะ แล้วทำไมนั่นถึงกลายเป็นปัญหาล่ะคะ?”
ลอร่าขมวดคิ้ว
“การที่ประชากรเพิ่มเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือคะ?”
“อะไรที่มากเกินไป มันไม่ดีทั้งนั้น ตอนนี้ พวกเราควรจะเตรียมท้องไว้สำหรับกินอาหารเยอะๆรวดเดียว”
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อพยพไม่ได้เพิ่มอย่างเดียวที่ไหน จำนวนนักผจญภัยก็จะเพิ่มขึ้นด้วยตามค่าชื่อเสียของจอมมารที่เพิ่มขึ้น
……คราวนี้ไม่ใช่ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊งค์ F หรือ E แล้ว แต่จะเป็น แร๊งค์D หรือ C แทนเผลอๆอาจจะมีแร๊ง B มาด้วย
มันเป็นโอกาสดีที่ทวีปนี้ที่ได้ถูกแผดเผาไปด้วยไฟสงครามกับกองทัพพันธมิตร ผมได้เตรียมตัวสำหรับอนาคตอันใกล้แล้ว
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คิดจะก่อตั้ง เมืองดันเจี้ยนพิเศษ ขึ้น”
“เมืองดันเจี้ยนพิเศษ……?”
ลอร่ามองผมด้วยความสงสัย
“ดันเจี้ยนเป็นสิ่งที่นักผจญภัยใช้เรียกปราสาทจอมมาร ใช่ไหมคะ? แต่เมืองดันเจี้ยนพิเศษนี่คืออะไร? หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยได้ยินคำๆนั้นมาก่อน? มันคืออะไรคะ?”
“พูดง่ายๆ มันคือ เมืองที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับนักผจญภัยและเป็นดันเจี้ยน”
ผมยิ้มออกมา
“โดยปกติแล้ว จอมมารจะคิดว่า นักผจญภัยเป็นเหมือนศัตรู แต่ถึงอย่างนั้น หากเปลี่ยนมุมมองสักเล็กน้อย นักผจญภัยนั้นเหมือนปลิงดูดเลือดของโลกใบนี้พวกเจ้าสามารถสร้างเมืองที่จะทำให้เจ้าพวกนั้นมันกระเป๋าแห้งได้”
ทางเทคนิคแล้วนักผจญภัยทุกคนเป็นทหารนั่นแหละ ไม่ว่าจะยากจนแค่ไหน พวกเขาก็ต้องมีอาวุธและชุดเกราะ ก็แค่เอาอาวุธโลหะกับเกราะหนังมาก็ได้กำไรเกินพอแล้ว หากคิดถึงกำไรเล็กๆน้อยๆ แต่ยิ่งไปกว่านั้น…….
“ท่านกำลังจะสร้างเมืองเล็กๆด้วยการใช้ประโยชน์จากนักผจญภัยเหรอคะ?”
“ดิฉันต้องขอประทานอภัยนะคะ ท่านดันทาเลี่ยน แต่ดิฉันยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี”
สองสาวมองผมด้วยความสงสัยมากขึ้น
ผมยืนยันเลยว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ ดินแดนของจอมมารดันทาเลี่ยนนั้นจะกลายเป็นดินแดนแห่งเหล่านักผจญภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
—–
*Platonic love
ความรักแบบเพลโต เป็นความรักที่บริสุทธิ์ตามแนวคิดทางปรัชญาของเพลโต โดยเป็นความรักที่ไม่มีกามารมณ์ ไม่มีเรื่องทางเพศมาเกี่ยวข้อง
Comments