Dungeon Defense (WN) 132

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 132 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ดะ-เดี๋ยวก่อน ข้าไม่เข้าใจ”

 

“ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำความเข้าใจ ทุกสิ่งที่ข้าพูดออกไปนั้นเป็นความจริง”

 

ผมพูดออกไปจากใจจริง ซื่อตรง ใครบางคนที่แข็งแกร่งทั้งยังไม่มีทางทรยศคุณ จะมีใครหน้าไหนที่คู่ควรกับการทำให้เป็นเพื่อนได้มากกว่านี้อีกล่ะ?

มันออกจะน่าประหลาดใจด้วยซ้ำที่คนอย่างนี้ดันไปเป็นลูกน้องแบบตัวตนที่แปลกประหลาดอย่างไพมอน

 

“ข้าตกหลุมรักบุคลิกของท่านหญิงสิตริ”

 

“หะ……หาาาา? บุคลิกของข้า?”

 

“ถูกต้องแล้ว แพสชั่นของท่าน ทั้งการปรารถนาที่จะอุทิศทั้งตัวเพื่อช่วยใครสักคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจของท่าน

ความจงรักภักดีโดยรักษาสัญญาที่ท่านได้ให้ไว้

สองสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านสิตรินั้นมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าจอมมารตนใดๆ”

 

นี่เป็นเพราะเธอได้รับคำชมหรือเปล่านะ? 

สิตริถึงได้เอามือพัดโบกหน้าตัวเองแบบนั้น ไม่ใช่แค่แก้มของเธออย่างเดียวที่แดงหากแต่มันยังแดงไปทั่วทั้งใบหน้า

 

อาฮ่าาา ดูเหมือนสิตริจะอ่อนต่อคำชมมากๆเลย หรือเธออ่อนต่อคำชมเพราะเธอมีจิตใจที่ใสบริสุทธิ์กันนะ……? ถ้าแบบนั้นก็พอเข้าใจได้อยู่

 

ผมตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้เพิ่มค่าความชอบของสิตริให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

 

 

“แน่นอนไม่ใช่แค่บุคลิกภาพของท่านเพียงอย่างเดียวที่ข้าตกหลุมรัก ท่านสิตริก็ยังทรงเสน่ห์อีกด้วย”

 

“ห้ะ……!?”

 

“เส้นผมที่น่ารัก ร่างกายที่ปลุกเร้ากำหนัดที่บาร์บาทอสเทียบไม่ติด 

ฮ่าฮ่า เอาจริงๆนะ ในฐานะผู้ชายคนนึง มันอดใจ ไม่ให้เผลอไปหลงเสน่ห์ท่านไม่ได้จริงๆ!”

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจ้าปืนโตเหน็บอยู่ข้างล่างก็ตาม

 

“หากบุคคลที่งดงามเช่นท่านมาอยู่เคียงคู่กับข้า ก็เหมือนเสริมแรงให้ข้านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง”

 

ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงดังขึ้นมา

 

 

「ค่าความชอบของจอมมารสิตรเพิ่มขึ้น 6」

 

สิตริงุดหน้าลง

เหมือนเธอกำลังบ่นกับตัวเองอยู่

 

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่……ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ท่านคิดอย่างนั้น?”

 

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านแล้ว”

 

ตั้งแต่ที่เธอวิ่งเข้ามาในค่ายของผมเพื่อขอให้ยกโทษให้ไพมอน 

ผมพบว่า เธอนั้นวิ่งท่ามกลางค่ายของกองทัพพันธมิตรเพื่อมาหาผม เธอไม่สนแม้แต่เกียรติศักดิ์ศรีหรืออะไรพวกนั้นขณะที่วิ่งมาหาผม

 

มันออกจะเพี้ยนๆแปลกๆไปหน่อยสำหรับผม แต่ช่วยไม่ได้นี่ ผมมีจุดอ่อนกับบุคคลที่มีใจใสสะอาดหรือใสซื่อ ผมต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ปลดเปลื้องทุกอย่างของคนแบบนั้น

หากเป็นไปได้ ผมก็อยากเป็นเพื่อนของพวกเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนแจ็ค โอแลนด์เช่นกัน

 

 

มันอาจเป็นไปได้ว่า พวกเขาต่างจากผม เช่นเดียวกับแมลงที่บินเข้าหาแสงไฟ ลึกๆลงไปในจิตใต้สำนึกผมอาจจะเรียกร้องหาบุคคลที่มีจิตใจใสสะอาด แม้บางทีผมจะแอบคิดว่า พวกนี้โง่ก็ตาม

 

บุคคลที่ผมเกลียดที่สุดกลับเป็นผู้ที่แสดงตัวว่า ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับทำสิ่งชั่วร้ายอยู่ลับหลัง ไพมอนเป็นตัวอย่างที่เห็นเด่นชัด เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่เล่นการเมืองโดนอ้างตัวเองว่าเพื่อความรักบริสุทธิ์ที่มีต่อมนุษย์

เอ่อ ผมจะพูดว่าอะไรดีล่ะ? ผมก็เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเหมือนกัน หนึ่งในสาเหตุที่ผมเกลียดไพมอนส่วนหนึ่งก็เพราะผมเกลียดคนจำพวกเดียวกับตัวเองนี่แหละ

 

“อือออ……นี่เป็นครั้งแรกของข้าเลย…….”

 

สิตริอยู่ไม่สุข เช่นเดียวกันที่เธอขยับนิ้ว เธอยังคงก้มหน้างุดลง ผมเลยไม่เห็นว่าเธอแสดงสีหน้าแบบไหน

 

 

“ข้ามีชื่อเสียงไม่ดี ท่านก็น่าจะรู้? ……ข้ามีเซ็กส์กับมอนสเตอร์ แถมยังโดนบอกว่า สกปรกบ่อยๆ…….หายากใครจะมาบอกว่า ข้าน่าหลงไหล…….ถะ-ถ้าเป็นพี่สาวไพมอน ก็คงใช่แหละ แต่ข้าเนี่ยนะ น่าหลงไหล? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”

 

“ฟุ ไพมอนเนี่ยนะ?”

 

ผู้หญิงคนนั้นเนี่ยนะ น่าหลงไหล? อย่าทำให้ขำหน่อยเลย

 

แม้แต่ตอนที่ผมเล่น  <Dungeon Attack> ไพมอนก็เป็นท็อปหนึ่งในสองตัวละครที่ผมเกลียด แม้จากฐานะของเธอจะช่วยผมนิดหน่อยตอนช่วงท้ายของพิธีการปราศรัย แต่ผมก็ไม่อาจเปลี่ยนความชอบที่มีต่อไพมอนได้ เทียบกับแล้วนะ สิตรินี่แหละนางฟ้าเลย

 

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจ้าปืนโตเหน็บอยู่ข้างล่างก็ตาม

 

 

“ข้ารู้ว่า ท่านน่ะนับถือไพมอนอย่างสูงสุด ต้องขออภัยด้วยที่จะต้องพูดแย่ๆกับเธอสักหน่อย 

แต่สำหรับข้าแล้ว ท่านนั้นดีกว่า ยอดเยี่ยมกว่าเป็นร้อยเท่าของไพมอน”

 

 

“หาาาา?”

 

“หากมีใครคนหนึ่งให้ข้าเลือกระหว่างท่านสิตริกับไพมอนเพื่อให้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาล สิบครั้งในสิบ ไม่สิ ร้อยครั้งในร้อย ข้าก็จะเลือกท่าน ท่านสิตริ โดยไม่ต้องสงสัยเลย!”

 

แม่นั่นเป็นนังผู้หญิงที่ย่องเข้ามาแทงเผ่าเดียวกันจากข้างหลังเพื่อพวกมนุษย์ แล้วทำไมผมต้องเอายัยนั่นเป็นสหายด้วยล่ะ? 

ไม่ว่าจะยังไง จอมมารส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกสิตริอยู่แล้ว

 

สิตริก่อนหน้าพูดเสียงเบาและอู้อี้ด้วยความอายในทีแรก แต่ตอนนี้เสียงของเธอเหมือนจมหายไปเลย

 

“แต่……ข้าได้มอบร่างกายและการอุทิศตัวให้กับพี่สาวไพมอนไปแล้ว ถะ-แถมท่านก็มีบาร์บาทอสด้วย!”

 

อืมมม เธอพูดถูก

 

ผมไม่รู้ว่า ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับไพมอน แต่แม่นั่นก็ยังเป็นหัวหน้าฝ่ายภูเขา ส่วนตัวผมเองก็เป็นสมาชิกฝ่ายที่ราบ

 

การมาเป็นเพื่อนกับผมนี่มันสร้างความกระอักกระอ่วนในทางการเมืองให้กับสิตริ  ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับไพมอนอาจจะแย่ลง ไม่สิ มันต้องแย่ลงอยู่แล้วแหละ

อาจจะเป็นเรื่องน่าเสียใจสำหรับสิตริ แต่ไม่ต้องถามก็พอเดาได้เลยว่า ไพมอนจะเริ่มคิดไหมว่า สิตริจะทรยศเธอหรือไม่

แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้พยายามชักจูงให้สิตริมาอยู่ฝ่ายที่ราบ

 

แต่เริ่มผมไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำอะไรเกินจำเป็นต่อฝ่ายที่ราบ ตราบใดที่ยังดีด้วยกับผม ผมก็ไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำว่ามาจากฝ่ายที่ราบหรือภูเขา ผมแค่ต้องการทำทุกอย่างให้ชัด

 

“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับบาร์บาทอส ข้าเป็นจอมมารโสดก่อนที่จะมาเป็นผู้ช่วยใกล้ชิดกับบาร์บาทอส ข้าสามารถสร้างความสัมพันธ์กับใครก็ได้ที่ข้าปรารถนา”

 

ความเป็นฝักฝ่ายตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว พวกนั้นมันเป็นแค่หัวหุ่นที่มีแต่ในนาม หรือเป็นเพียงข้ออ้าง

 

พอจักรวรรดิฮับบวร์กจบสิ้นไป หรืออย่างน้อยๆ ส่วนกลางกับแดนเหนือตกอยู่ในเงื้อมมือของทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราแล้ว จอมมารส่วนมากก็จะครองตำแหน่งเอิร์ลหรือไว้ส์เค้าท์ในโลกมนุษย์ ฝักฝ่ายก็จะแบ่งแยกไปตามเขตปกครองแทน

พอถึงตอนนี้ จอมมารก็เพียงแต่ร่วมมือกันเพื่อล้มล้างอำนาจของพวกมนุษย์ ไม่ว่าจะชอบหรือชังกันก็ตาม

 

นั่นเป็นสาเหตุที่ชัดเจนที่แบ่งแยกกันระหว่างจอมมารกับมนุษย์แต่ถึงอย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้นล่ะหากพวกเราได้ทั้งภาคเหนือและภาคกลางของจักรวรรดิฮับบวร์กมาได้?

เห็นชัดเลยว่า ฝ่ายภูเขานั้นจะเข้าหามนุษย์ด้วยท่าทางเป็นมิตร จอมมารฝ่ายภูเขาก็จะคิดแบบนี้

 

‘สงครามจบลงแล้ว! ในที่สุดพวกเราก็ได้แดนดินของพวกมนุษย์มาอยู่ในมือแล้ว มีช่วงเวลาดีๆกันเถอะ!’

 

จะมีกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านจอมมารระดับสูงๆพอได้ขยายดินแดนแล้ว ถ้าพูดให้ชัดคือ ได้พวกมนุษย์มาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายภูเขาอีกต่อไป พวกเขาแค่ได้ปกครองจักรวรรดิฮับบวร์กก็พอใจเท่านั้นแล้ว

 

ส่วนพวกจอมมารระดับสูงๆเองก็แฮปปี้เพราะสามารถที่จะดินครองดินแดน พวกอื่นๆก็ต่างพออกพอใจเช่นกันที่มีอำนาจในโลกมนุษย์แล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับฝ่ายภูเขา

 

 

แล้วฝ่ายที่ราบล่ะ? พวกเขาก็จะเป็นศัตรูกับมนุษย์

 

พวกฝ่ายที่ราบที่ตั้งเป้าสูงสุดด้วยการพิชิตทั้งทวีปของมนุษย์ พวกเขาก็จะปฏิบัติกับมนุษย์เหมือนกับเป็นอุปสรรคใหญ่ จอมมารก็จะกลายเป็นชนชั้นสูง ปีศาจกลายเป็นสามัญชน และมนุษย์ก็กลายเป็นข้าทาสในดินแดนของฝ่ายที่ราบ ซึ่งหากเกิดอย่างนั้นขึ้นก็จะเกิดปัญหาเพราะเหตุนี้แหละ

 

 

มนุษย์ทั้งหลายจะเริ่มตระหนักได้แล้วว่า พวกเขาไม่ควรนิยามจอมมารรวมๆกันว่า เป็น’จอมมารทั้งหลาย’ พวกเขาจะเริ่มร่วมมือกับจอมมารบางตน เพื่อสู้กับจอมมารบางตน 

ศัตรูในวันวานกลับกลายเป็นมิตรกันในวันนี้ พวกเรามาถึงยุคที่สับสนอลหม่านโดยแท้…….

 

หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป จอมมารทั้งหลายจะเลือกเส้นทางเดินตามความเชื่อของตนเพื่อเอาชีวิตรอด

 

ตัวอย่างก็เช่น หากเป็นจอมมารจากฝ่ายภูเขา

ที่มีดินแดนติดกันกับจอมมารฝ่ายที่ราบล่ะจะทำยังไง? พวกเขาจะยังคงอยู่ฝ่ายภูเขาไปจนจบเลยไหม?

แน่นอนว่าไม่อยู่แล้วล่ะ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากการประนีประนอมกันเพื่อให้อยู่กันได้

 

พอประนีประนอมสักครั้งนึงแล้ว ก็ต้องทำอย่างนั้นอีก อย่างนั้นอีก……จนกระทั่ง การเอาชีวิตรอดส่วนบุคคลนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด 

ตำแหน่งจอมมารฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขานั้นก็จะจบลงตรงที่เกิดฝักฝ่ายใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะถือกำเนิดตามแต่ตำแหน่งพื้นที่

ซึ่งมันจะเป็นยุคแห่งความแปรปรวนที่รุนแรง

 

ยุคที่เทียบได้กับยุคสมัยสงคราม สามสิบปีในยุโรปกำลังจะมาถึง

 

 

“ข้าขอให้ท่านลืมเรื่องของไพมอนไปก่อน ข้าก็จะลืมบาร์บาทอสด้วยเช่นกัน โปรดมองข้าในฐานะจอมมารตนหนึ่ง ข้าปรารถนาให้ท่านมองข้าด้วยแววตาที่ไร้อคติใด แล้วบอกข้าเถิดว่า ท่านไว้ใจข้าหรือไม่”

 

 

“อ่า เอ่อ……อืมมมม?”

 

“ท่านสิตริ”

 

เพื่อเตรียมการณ์ไว้ในอนาคต ผมต้องดึง จอมมารลำดับ 12 มาอยู่ฝั่งผม

 

 

「ค่าความชอบของจอมมารสิตริเพิ่มขึ้น 11!」

 

หน้าต่างแจ้งเตือนปรากฏอีกครั้ง ผมกรอกตา

 

ผมบีบมือสิตริแน่น 

พอผมทำอย่างนั้นเธอก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ผิวของเธอนั้นแดงเหมือนผลแอปเปิ้ล ริมตาของเธอเปียกชื้นหน่อยๆ ดวงตาของเราประสานกัน 

 

แล้วสิตริก็หันหน้าออกทางอื่นในทันที ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่า เธอแอบมองผมด้วยหางตา

 

“ข้าไม่ได้บอกว่า ข้าจะทอดทิ้งบาร์บาทอส ท่านสิตริ ไม่มีเหตุผลใดที่ท่านต้องหันหลังให้กับไพมอนด้วยเช่นกัน ข้าปรารถนาให้ บาร์บาทอสยังคงเป็นบาร์บาทอส และ ไพมอนยังคงเป็นไพมอน ยิ่งไปกว่านั้น…….”

 

 

“ยะ-ยิ่งไปกว่านั้น……?”

 

“ท่านสิตริ คือ ท่านสิตริ และข้า ก็เป็นข้า”

 

เธอมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า เธอคงลืมความอายและยังคงจ้องเข้ามาในดวงตาของผม

 

ผมตระหนักได้ว่า นั่นเป็นแรงผลักครั้งสุดท้าย ผมจึงได้แสดงความจริงใจออกมา ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยหวังว่า เธอจะเข้าใจถึงความจริงใจของผม

 

มีเสียงแตรประโคมดังในหูผม

 

「ค่าความชอบของจอมมารสิตริเพิ่มขึ้น 8!  ตอนนี้อีกฝ่ายเชื่อใจท่าน」

 

「ค่าความชอบของอีกฝ่ายถึง 50 ตอนนี้ท่านสามารถชักชวนให้พวกเขามาเป็นพันธมิตรของท่านได้」

 

 สิตริพูดไม่ชัด พลางมองด้วยสายตาที่พร่ามัว

 

 

“ข้าอยู่ใน……การดูแลของท่านแล้ว…….”

 

ผมยิ้มสดใสออกมา

 

 

“แน่นอนครับ ข้าหวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ”

 

เวลาหมดลง สิตริจึงลุกขึ้น หนึ่งชั่วโมงผ่านไปนับแต่เธอมาที่ปราสาทจอมมารของผม สมรภูมิยังอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน

 

สิตริดูจะเศร้ามากตอนที่จะต้องจากไป  เธอรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีเองนับแต่ที่พวกเราได้เป็นสหายกัน

ตาผมมองคนไม่ผิดจริงๆ เธอน่ะอยู่ห่างไกลที่สุดจากคำว่าทรยศ เมื่อเทียบกับจอมมารตนอื่นๆ

 

“ข้าจะรีบจบสงครามให้ไวเลย!”

 

สิตริพูดขึ้นขณะที่กุมคัมภีร์เทเลพอร์ทไว้ในมือ

 

 

“ข้าจะไปบอกกับพี่สาวไพมอนให้ชัดๆ เธอจะได้ไม่เข้าใจผิด ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะส่งเงินให้หลังจากสงครามจบ แล้วข้าอาจจะมาที่นี่บ่อยๆ ……. ไม่สิๆ บางทีข้าอาจจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันเลย…….”

 

“ฮ่าฮ่า ข้าก็กำลังคิดอยู่พอดีเลย เรามาคุยกันเชิงลึกภายหลัง ตอนที่มีเวลานะ”

 

“อะ-โอเค แน่นอน”

 

สิตริผงกหัวอย่างเปี่ยมไปด้วยพลัง จอมมารคนนี้มีด้านน่ารักๆด้วยเหมือนกัน

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจ้าปืนโตเหน็บอยู่ข้างล่างก็ตาม

 

 

 

 

(TTL : นี่ก็ย้ำจังเลย! กำลังจะเคลิ้มๆก็ดันมาช็อตฟีล 555) 

 

 

“ดูแลตัวเองดีๆนะ มาสเตอร์”

 

“เรียกข้าว่า ดันทาเลี่ยน เถอะ สิตริ”

 

ดวงตาของสิตริโตขึ้นเล็กน้อย

รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า

 

 

“ได้เลย! ดันทาเลี่ยน!”

 

ฟันขาวของเธอสะท้อนแสงเมื่อเธอยิ้ม

 

วงเวทย์มนตร์นั้นเปิดการใช้งาน แสงสีเหลืองห่อหุ้มร่างสิตริ แสงสว่างไปทั่วทั้งห้อง

 

 

ไม่นานนัก แสงก็จางหายไปและจุดที่สิตริเคยยืนก็ว่างเปล่า สิตริคงจะยืนอยู่ในเต้นท์อย่างซึมหงอยแล้วตอนนี้ ผมได้แต่อวยพรให้เธอสู้ออกมาได้ผลที่ดี

 

“ฟู่…”

 

ผมถอนใจออกมาด้วยความพึงพอใจ แล้วก็นั่งลง……เพียงเท่านี้ผมก็ได้เพื่อนดีๆมาคนหนึ่ง หรือผมควรเรียกว่า พันธมิตรดีล่ะ? 

หากผมตกอยู่ในอันตราย สิตริก็ช่วยผม และหากเธอตกอยู่ในอันตรายผมก็ช่วยเธอด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

 

 

“……”

 

ผมรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้อง จึงหันไปมอง ลาพิสอยู่ในมุมห้อง เธอนำทางสิตริมาที่นี่ตามคำสั่งผมแล้วอยู่เงียบๆตลอดเวลา บทสนทนาที่เป็นความลับกันระหว่างจอมมาร

 

ก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า ซัคคิวบัสทั่วไปอย่างเธอไม่กล้าที่จะเปิดปากออกมาในสถานการณ์อย่างนั้น

 

 

“เอ้อ ลาพิส ทำได้ดีเลย ทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอบใจเธอจริงๆ”

 

“……คำพูดของท่านช่างเปี่ยมไปด้วยทักษะจริงๆนะคะ ดิฉันถึงกับต้องยอม”

 

หืม? ทำไมอยู่ๆลาพิสมาชมผมทันทีแบบนั้นล่ะ?

 

ผมเดาว่า จากมุมมองของเธอ ผมได้ทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆอย่างการเชื้อเชิญสิตริ ผมรู้สึกภูมิใจแปลกๆ ก็ช่วยไม่ได้น้าที่ผมจะรู้สึกแฮปปี้ขนาดนี้ ก็ขนาดลาพิสยังรู้เลย

 

ผมฉีกยิ้มกว้างออกมา

 

“แหม ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่หน่า ที่ข้าทำอะไรแบบนี้”

 

“……อย่างนั้นหรือคะ? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะคะ”

 

“ถึงแม้ข้าจะดูเป็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่ข้าออกจะเป็นสุภาพบุรุษง่ายๆสบายๆนะ”

 

ในแง่ของมารยาทแล้ว ผมเนี่ยแหละเป็นตัวท็อปในบรรดาเหล่าจอมมารเลย ผมั่นใจอย่างนั้น

 

 

“ดิฉันไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ ดูเหมือนดิฉันจะเห็นด้านอื่นๆของท่านแล้วนะคะ ท่านดันทาเลี่ยน”

 

ผิดกับคำชมของลาพิส อารมณ์ของเธอนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก

 

แล้วลาพิสก็ยังคงปฏิบัติกับผมอย่างเย็นชาไปตลอดวัน

 

 

……ว่าแต่ ทำไมกันนะ? 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 132

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 132 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ดะ-เดี๋ยวก่อน ข้าไม่เข้าใจ”

 

“ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำความเข้าใจ ทุกสิ่งที่ข้าพูดออกไปนั้นเป็นความจริง”

 

ผมพูดออกไปจากใจจริง ซื่อตรง ใครบางคนที่แข็งแกร่งทั้งยังไม่มีทางทรยศคุณ จะมีใครหน้าไหนที่คู่ควรกับการทำให้เป็นเพื่อนได้มากกว่านี้อีกล่ะ?

มันออกจะน่าประหลาดใจด้วยซ้ำที่คนอย่างนี้ดันไปเป็นลูกน้องแบบตัวตนที่แปลกประหลาดอย่างไพมอน

 

“ข้าตกหลุมรักบุคลิกของท่านหญิงสิตริ”

 

“หะ……หาาาา? บุคลิกของข้า?”

 

“ถูกต้องแล้ว แพสชั่นของท่าน ทั้งการปรารถนาที่จะอุทิศทั้งตัวเพื่อช่วยใครสักคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจของท่าน

ความจงรักภักดีโดยรักษาสัญญาที่ท่านได้ให้ไว้

สองสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านสิตรินั้นมีบุคลิกที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าจอมมารตนใดๆ”

 

นี่เป็นเพราะเธอได้รับคำชมหรือเปล่านะ? 

สิตริถึงได้เอามือพัดโบกหน้าตัวเองแบบนั้น ไม่ใช่แค่แก้มของเธออย่างเดียวที่แดงหากแต่มันยังแดงไปทั่วทั้งใบหน้า

 

อาฮ่าาา ดูเหมือนสิตริจะอ่อนต่อคำชมมากๆเลย หรือเธออ่อนต่อคำชมเพราะเธอมีจิตใจที่ใสบริสุทธิ์กันนะ……? ถ้าแบบนั้นก็พอเข้าใจได้อยู่

 

ผมตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้เพิ่มค่าความชอบของสิตริให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

 

 

“แน่นอนไม่ใช่แค่บุคลิกภาพของท่านเพียงอย่างเดียวที่ข้าตกหลุมรัก ท่านสิตริก็ยังทรงเสน่ห์อีกด้วย”

 

“ห้ะ……!?”

 

“เส้นผมที่น่ารัก ร่างกายที่ปลุกเร้ากำหนัดที่บาร์บาทอสเทียบไม่ติด 

ฮ่าฮ่า เอาจริงๆนะ ในฐานะผู้ชายคนนึง มันอดใจ ไม่ให้เผลอไปหลงเสน่ห์ท่านไม่ได้จริงๆ!”

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจ้าปืนโตเหน็บอยู่ข้างล่างก็ตาม

 

“หากบุคคลที่งดงามเช่นท่านมาอยู่เคียงคู่กับข้า ก็เหมือนเสริมแรงให้ข้านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง”

 

ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงดังขึ้นมา

 

 

「ค่าความชอบของจอมมารสิตรเพิ่มขึ้น 6」

 

สิตริงุดหน้าลง

เหมือนเธอกำลังบ่นกับตัวเองอยู่

 

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่……ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ท่านคิดอย่างนั้น?”

 

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านแล้ว”

 

ตั้งแต่ที่เธอวิ่งเข้ามาในค่ายของผมเพื่อขอให้ยกโทษให้ไพมอน 

ผมพบว่า เธอนั้นวิ่งท่ามกลางค่ายของกองทัพพันธมิตรเพื่อมาหาผม เธอไม่สนแม้แต่เกียรติศักดิ์ศรีหรืออะไรพวกนั้นขณะที่วิ่งมาหาผม

 

มันออกจะเพี้ยนๆแปลกๆไปหน่อยสำหรับผม แต่ช่วยไม่ได้นี่ ผมมีจุดอ่อนกับบุคคลที่มีใจใสสะอาดหรือใสซื่อ ผมต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ปลดเปลื้องทุกอย่างของคนแบบนั้น

หากเป็นไปได้ ผมก็อยากเป็นเพื่อนของพวกเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนแจ็ค โอแลนด์เช่นกัน

 

 

มันอาจเป็นไปได้ว่า พวกเขาต่างจากผม เช่นเดียวกับแมลงที่บินเข้าหาแสงไฟ ลึกๆลงไปในจิตใต้สำนึกผมอาจจะเรียกร้องหาบุคคลที่มีจิตใจใสสะอาด แม้บางทีผมจะแอบคิดว่า พวกนี้โง่ก็ตาม

 

บุคคลที่ผมเกลียดที่สุดกลับเป็นผู้ที่แสดงตัวว่า ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่กลับทำสิ่งชั่วร้ายอยู่ลับหลัง ไพมอนเป็นตัวอย่างที่เห็นเด่นชัด เธอนั้นเป็นผู้หญิงที่เล่นการเมืองโดนอ้างตัวเองว่าเพื่อความรักบริสุทธิ์ที่มีต่อมนุษย์

เอ่อ ผมจะพูดว่าอะไรดีล่ะ? ผมก็เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเหมือนกัน หนึ่งในสาเหตุที่ผมเกลียดไพมอนส่วนหนึ่งก็เพราะผมเกลียดคนจำพวกเดียวกับตัวเองนี่แหละ

 

“อือออ……นี่เป็นครั้งแรกของข้าเลย…….”

 

สิตริอยู่ไม่สุข เช่นเดียวกันที่เธอขยับนิ้ว เธอยังคงก้มหน้างุดลง ผมเลยไม่เห็นว่าเธอแสดงสีหน้าแบบไหน

 

 

“ข้ามีชื่อเสียงไม่ดี ท่านก็น่าจะรู้? ……ข้ามีเซ็กส์กับมอนสเตอร์ แถมยังโดนบอกว่า สกปรกบ่อยๆ…….หายากใครจะมาบอกว่า ข้าน่าหลงไหล…….ถะ-ถ้าเป็นพี่สาวไพมอน ก็คงใช่แหละ แต่ข้าเนี่ยนะ น่าหลงไหล? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”

 

“ฟุ ไพมอนเนี่ยนะ?”

 

ผู้หญิงคนนั้นเนี่ยนะ น่าหลงไหล? อย่าทำให้ขำหน่อยเลย

 

แม้แต่ตอนที่ผมเล่น  <Dungeon Attack> ไพมอนก็เป็นท็อปหนึ่งในสองตัวละครที่ผมเกลียด แม้จากฐานะของเธอจะช่วยผมนิดหน่อยตอนช่วงท้ายของพิธีการปราศรัย แต่ผมก็ไม่อาจเปลี่ยนความชอบที่มีต่อไพมอนได้ เทียบกับแล้วนะ สิตรินี่แหละนางฟ้าเลย

 

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจ้าปืนโตเหน็บอยู่ข้างล่างก็ตาม

 

 

“ข้ารู้ว่า ท่านน่ะนับถือไพมอนอย่างสูงสุด ต้องขออภัยด้วยที่จะต้องพูดแย่ๆกับเธอสักหน่อย 

แต่สำหรับข้าแล้ว ท่านนั้นดีกว่า ยอดเยี่ยมกว่าเป็นร้อยเท่าของไพมอน”

 

 

“หาาาา?”

 

“หากมีใครคนหนึ่งให้ข้าเลือกระหว่างท่านสิตริกับไพมอนเพื่อให้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาล สิบครั้งในสิบ ไม่สิ ร้อยครั้งในร้อย ข้าก็จะเลือกท่าน ท่านสิตริ โดยไม่ต้องสงสัยเลย!”

 

แม่นั่นเป็นนังผู้หญิงที่ย่องเข้ามาแทงเผ่าเดียวกันจากข้างหลังเพื่อพวกมนุษย์ แล้วทำไมผมต้องเอายัยนั่นเป็นสหายด้วยล่ะ? 

ไม่ว่าจะยังไง จอมมารส่วนใหญ่ก็ต้องเลือกสิตริอยู่แล้ว

 

สิตริก่อนหน้าพูดเสียงเบาและอู้อี้ด้วยความอายในทีแรก แต่ตอนนี้เสียงของเธอเหมือนจมหายไปเลย

 

“แต่……ข้าได้มอบร่างกายและการอุทิศตัวให้กับพี่สาวไพมอนไปแล้ว ถะ-แถมท่านก็มีบาร์บาทอสด้วย!”

 

อืมมม เธอพูดถูก

 

ผมไม่รู้ว่า ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับไพมอน แต่แม่นั่นก็ยังเป็นหัวหน้าฝ่ายภูเขา ส่วนตัวผมเองก็เป็นสมาชิกฝ่ายที่ราบ

 

การมาเป็นเพื่อนกับผมนี่มันสร้างความกระอักกระอ่วนในทางการเมืองให้กับสิตริ  ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับไพมอนอาจจะแย่ลง ไม่สิ มันต้องแย่ลงอยู่แล้วแหละ

อาจจะเป็นเรื่องน่าเสียใจสำหรับสิตริ แต่ไม่ต้องถามก็พอเดาได้เลยว่า ไพมอนจะเริ่มคิดไหมว่า สิตริจะทรยศเธอหรือไม่

แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่ได้พยายามชักจูงให้สิตริมาอยู่ฝ่ายที่ราบ

 

แต่เริ่มผมไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำอะไรเกินจำเป็นต่อฝ่ายที่ราบ ตราบใดที่ยังดีด้วยกับผม ผมก็ไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำว่ามาจากฝ่ายที่ราบหรือภูเขา ผมแค่ต้องการทำทุกอย่างให้ชัด

 

“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับบาร์บาทอส ข้าเป็นจอมมารโสดก่อนที่จะมาเป็นผู้ช่วยใกล้ชิดกับบาร์บาทอส ข้าสามารถสร้างความสัมพันธ์กับใครก็ได้ที่ข้าปรารถนา”

 

ความเป็นฝักฝ่ายตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว พวกนั้นมันเป็นแค่หัวหุ่นที่มีแต่ในนาม หรือเป็นเพียงข้ออ้าง

 

พอจักรวรรดิฮับบวร์กจบสิ้นไป หรืออย่างน้อยๆ ส่วนกลางกับแดนเหนือตกอยู่ในเงื้อมมือของทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราแล้ว จอมมารส่วนมากก็จะครองตำแหน่งเอิร์ลหรือไว้ส์เค้าท์ในโลกมนุษย์ ฝักฝ่ายก็จะแบ่งแยกไปตามเขตปกครองแทน

พอถึงตอนนี้ จอมมารก็เพียงแต่ร่วมมือกันเพื่อล้มล้างอำนาจของพวกมนุษย์ ไม่ว่าจะชอบหรือชังกันก็ตาม

 

นั่นเป็นสาเหตุที่ชัดเจนที่แบ่งแยกกันระหว่างจอมมารกับมนุษย์แต่ถึงอย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้นล่ะหากพวกเราได้ทั้งภาคเหนือและภาคกลางของจักรวรรดิฮับบวร์กมาได้?

เห็นชัดเลยว่า ฝ่ายภูเขานั้นจะเข้าหามนุษย์ด้วยท่าทางเป็นมิตร จอมมารฝ่ายภูเขาก็จะคิดแบบนี้

 

‘สงครามจบลงแล้ว! ในที่สุดพวกเราก็ได้แดนดินของพวกมนุษย์มาอยู่ในมือแล้ว มีช่วงเวลาดีๆกันเถอะ!’

 

จะมีกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านจอมมารระดับสูงๆพอได้ขยายดินแดนแล้ว ถ้าพูดให้ชัดคือ ได้พวกมนุษย์มาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายภูเขาอีกต่อไป พวกเขาแค่ได้ปกครองจักรวรรดิฮับบวร์กก็พอใจเท่านั้นแล้ว

 

ส่วนพวกจอมมารระดับสูงๆเองก็แฮปปี้เพราะสามารถที่จะดินครองดินแดน พวกอื่นๆก็ต่างพออกพอใจเช่นกันที่มีอำนาจในโลกมนุษย์แล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับฝ่ายภูเขา

 

 

แล้วฝ่ายที่ราบล่ะ? พวกเขาก็จะเป็นศัตรูกับมนุษย์

 

พวกฝ่ายที่ราบที่ตั้งเป้าสูงสุดด้วยการพิชิตทั้งทวีปของมนุษย์ พวกเขาก็จะปฏิบัติกับมนุษย์เหมือนกับเป็นอุปสรรคใหญ่ จอมมารก็จะกลายเป็นชนชั้นสูง ปีศาจกลายเป็นสามัญชน และมนุษย์ก็กลายเป็นข้าทาสในดินแดนของฝ่ายที่ราบ ซึ่งหากเกิดอย่างนั้นขึ้นก็จะเกิดปัญหาเพราะเหตุนี้แหละ

 

 

มนุษย์ทั้งหลายจะเริ่มตระหนักได้แล้วว่า พวกเขาไม่ควรนิยามจอมมารรวมๆกันว่า เป็น’จอมมารทั้งหลาย’ พวกเขาจะเริ่มร่วมมือกับจอมมารบางตน เพื่อสู้กับจอมมารบางตน 

ศัตรูในวันวานกลับกลายเป็นมิตรกันในวันนี้ พวกเรามาถึงยุคที่สับสนอลหม่านโดยแท้…….

 

หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป จอมมารทั้งหลายจะเลือกเส้นทางเดินตามความเชื่อของตนเพื่อเอาชีวิตรอด

 

ตัวอย่างก็เช่น หากเป็นจอมมารจากฝ่ายภูเขา

ที่มีดินแดนติดกันกับจอมมารฝ่ายที่ราบล่ะจะทำยังไง? พวกเขาจะยังคงอยู่ฝ่ายภูเขาไปจนจบเลยไหม?

แน่นอนว่าไม่อยู่แล้วล่ะ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากการประนีประนอมกันเพื่อให้อยู่กันได้

 

พอประนีประนอมสักครั้งนึงแล้ว ก็ต้องทำอย่างนั้นอีก อย่างนั้นอีก……จนกระทั่ง การเอาชีวิตรอดส่วนบุคคลนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด 

ตำแหน่งจอมมารฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขานั้นก็จะจบลงตรงที่เกิดฝักฝ่ายใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะถือกำเนิดตามแต่ตำแหน่งพื้นที่

ซึ่งมันจะเป็นยุคแห่งความแปรปรวนที่รุนแรง

 

ยุคที่เทียบได้กับยุคสมัยสงคราม สามสิบปีในยุโรปกำลังจะมาถึง

 

 

“ข้าขอให้ท่านลืมเรื่องของไพมอนไปก่อน ข้าก็จะลืมบาร์บาทอสด้วยเช่นกัน โปรดมองข้าในฐานะจอมมารตนหนึ่ง ข้าปรารถนาให้ท่านมองข้าด้วยแววตาที่ไร้อคติใด แล้วบอกข้าเถิดว่า ท่านไว้ใจข้าหรือไม่”

 

 

“อ่า เอ่อ……อืมมมม?”

 

“ท่านสิตริ”

 

เพื่อเตรียมการณ์ไว้ในอนาคต ผมต้องดึง จอมมารลำดับ 12 มาอยู่ฝั่งผม

 

 

「ค่าความชอบของจอมมารสิตริเพิ่มขึ้น 11!」

 

หน้าต่างแจ้งเตือนปรากฏอีกครั้ง ผมกรอกตา

 

ผมบีบมือสิตริแน่น 

พอผมทำอย่างนั้นเธอก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ผิวของเธอนั้นแดงเหมือนผลแอปเปิ้ล ริมตาของเธอเปียกชื้นหน่อยๆ ดวงตาของเราประสานกัน 

 

แล้วสิตริก็หันหน้าออกทางอื่นในทันที ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่า เธอแอบมองผมด้วยหางตา

 

“ข้าไม่ได้บอกว่า ข้าจะทอดทิ้งบาร์บาทอส ท่านสิตริ ไม่มีเหตุผลใดที่ท่านต้องหันหลังให้กับไพมอนด้วยเช่นกัน ข้าปรารถนาให้ บาร์บาทอสยังคงเป็นบาร์บาทอส และ ไพมอนยังคงเป็นไพมอน ยิ่งไปกว่านั้น…….”

 

 

“ยะ-ยิ่งไปกว่านั้น……?”

 

“ท่านสิตริ คือ ท่านสิตริ และข้า ก็เป็นข้า”

 

เธอมองผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า เธอคงลืมความอายและยังคงจ้องเข้ามาในดวงตาของผม

 

ผมตระหนักได้ว่า นั่นเป็นแรงผลักครั้งสุดท้าย ผมจึงได้แสดงความจริงใจออกมา ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยหวังว่า เธอจะเข้าใจถึงความจริงใจของผม

 

มีเสียงแตรประโคมดังในหูผม

 

「ค่าความชอบของจอมมารสิตริเพิ่มขึ้น 8!  ตอนนี้อีกฝ่ายเชื่อใจท่าน」

 

「ค่าความชอบของอีกฝ่ายถึง 50 ตอนนี้ท่านสามารถชักชวนให้พวกเขามาเป็นพันธมิตรของท่านได้」

 

 สิตริพูดไม่ชัด พลางมองด้วยสายตาที่พร่ามัว

 

 

“ข้าอยู่ใน……การดูแลของท่านแล้ว…….”

 

ผมยิ้มสดใสออกมา

 

 

“แน่นอนครับ ข้าหวังว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ”

 

เวลาหมดลง สิตริจึงลุกขึ้น หนึ่งชั่วโมงผ่านไปนับแต่เธอมาที่ปราสาทจอมมารของผม สมรภูมิยังอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน

 

สิตริดูจะเศร้ามากตอนที่จะต้องจากไป  เธอรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีเองนับแต่ที่พวกเราได้เป็นสหายกัน

ตาผมมองคนไม่ผิดจริงๆ เธอน่ะอยู่ห่างไกลที่สุดจากคำว่าทรยศ เมื่อเทียบกับจอมมารตนอื่นๆ

 

“ข้าจะรีบจบสงครามให้ไวเลย!”

 

สิตริพูดขึ้นขณะที่กุมคัมภีร์เทเลพอร์ทไว้ในมือ

 

 

“ข้าจะไปบอกกับพี่สาวไพมอนให้ชัดๆ เธอจะได้ไม่เข้าใจผิด ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะส่งเงินให้หลังจากสงครามจบ แล้วข้าอาจจะมาที่นี่บ่อยๆ ……. ไม่สิๆ บางทีข้าอาจจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันเลย…….”

 

“ฮ่าฮ่า ข้าก็กำลังคิดอยู่พอดีเลย เรามาคุยกันเชิงลึกภายหลัง ตอนที่มีเวลานะ”

 

“อะ-โอเค แน่นอน”

 

สิตริผงกหัวอย่างเปี่ยมไปด้วยพลัง จอมมารคนนี้มีด้านน่ารักๆด้วยเหมือนกัน

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีเจ้าปืนโตเหน็บอยู่ข้างล่างก็ตาม

 

 

 

 

(TTL : นี่ก็ย้ำจังเลย! กำลังจะเคลิ้มๆก็ดันมาช็อตฟีล 555) 

 

 

“ดูแลตัวเองดีๆนะ มาสเตอร์”

 

“เรียกข้าว่า ดันทาเลี่ยน เถอะ สิตริ”

 

ดวงตาของสิตริโตขึ้นเล็กน้อย

รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า

 

 

“ได้เลย! ดันทาเลี่ยน!”

 

ฟันขาวของเธอสะท้อนแสงเมื่อเธอยิ้ม

 

วงเวทย์มนตร์นั้นเปิดการใช้งาน แสงสีเหลืองห่อหุ้มร่างสิตริ แสงสว่างไปทั่วทั้งห้อง

 

 

ไม่นานนัก แสงก็จางหายไปและจุดที่สิตริเคยยืนก็ว่างเปล่า สิตริคงจะยืนอยู่ในเต้นท์อย่างซึมหงอยแล้วตอนนี้ ผมได้แต่อวยพรให้เธอสู้ออกมาได้ผลที่ดี

 

“ฟู่…”

 

ผมถอนใจออกมาด้วยความพึงพอใจ แล้วก็นั่งลง……เพียงเท่านี้ผมก็ได้เพื่อนดีๆมาคนหนึ่ง หรือผมควรเรียกว่า พันธมิตรดีล่ะ? 

หากผมตกอยู่ในอันตราย สิตริก็ช่วยผม และหากเธอตกอยู่ในอันตรายผมก็ช่วยเธอด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

 

 

“……”

 

ผมรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้อง จึงหันไปมอง ลาพิสอยู่ในมุมห้อง เธอนำทางสิตริมาที่นี่ตามคำสั่งผมแล้วอยู่เงียบๆตลอดเวลา บทสนทนาที่เป็นความลับกันระหว่างจอมมาร

 

ก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า ซัคคิวบัสทั่วไปอย่างเธอไม่กล้าที่จะเปิดปากออกมาในสถานการณ์อย่างนั้น

 

 

“เอ้อ ลาพิส ทำได้ดีเลย ทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอบใจเธอจริงๆ”

 

“……คำพูดของท่านช่างเปี่ยมไปด้วยทักษะจริงๆนะคะ ดิฉันถึงกับต้องยอม”

 

หืม? ทำไมอยู่ๆลาพิสมาชมผมทันทีแบบนั้นล่ะ?

 

ผมเดาว่า จากมุมมองของเธอ ผมได้ทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆอย่างการเชื้อเชิญสิตริ ผมรู้สึกภูมิใจแปลกๆ ก็ช่วยไม่ได้น้าที่ผมจะรู้สึกแฮปปี้ขนาดนี้ ก็ขนาดลาพิสยังรู้เลย

 

ผมฉีกยิ้มกว้างออกมา

 

“แหม ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่หน่า ที่ข้าทำอะไรแบบนี้”

 

“……อย่างนั้นหรือคะ? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสินะคะ”

 

“ถึงแม้ข้าจะดูเป็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่ข้าออกจะเป็นสุภาพบุรุษง่ายๆสบายๆนะ”

 

ในแง่ของมารยาทแล้ว ผมเนี่ยแหละเป็นตัวท็อปในบรรดาเหล่าจอมมารเลย ผมั่นใจอย่างนั้น

 

 

“ดิฉันไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ ดูเหมือนดิฉันจะเห็นด้านอื่นๆของท่านแล้วนะคะ ท่านดันทาเลี่ยน”

 

ผิดกับคำชมของลาพิส อารมณ์ของเธอนั้นเย็นชาเป็นอย่างมาก

 

แล้วลาพิสก็ยังคงปฏิบัติกับผมอย่างเย็นชาไปตลอดวัน

 

 

……ว่าแต่ ทำไมกันนะ? 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+