Dungeon Defense (WN) 151 ยุคแห่งเหล่าทรราช (1)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 151 ยุคแห่งเหล่าทรราช (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

 

 

“ตอนนี้พวกเราเสียเปรียบอย่างมาก”

 

อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิเอ่ยขึ้น

 

 

นายพลทั้งหลายของจักรวรรดิตอนนี้ต่างนั่งประจำตำแหน่งอยู่ในเต้นท์ โดยมากเป็นหนุ่ม นายพลสูงอายุทั้งหลายก่อนหน้านี้ได้นำทัพทหารจักรวรรดิแล้วล้มตายไปในสงครามที่ออสเตอร์ลิทช์

ผู้ทื่มาแทนตำแหน่งในปัจจุบันของกองทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจึงเป็นผู้บัญชาที่ยังหนุ่ม

 

 

หนึ่งในพวกเขาตั้งใจฟังแผนการของเจ้าหญิงเงียบๆ อีกคนก็จดทุกอย่างลงไปอย่างจริงจัง และอีกคนก็เคี้ยวอะไรสักอย่างที่เหมือนเปลือกของข้าวสาลีโดยวางเท้าไว้บนโต๊ะ

 

ทั้งหมดถูกเรียกมารวมตัวกัน แม้จะมีบางคนมิได้สวมชุดทหารให้เรียบร้อยก็ตาม

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตำหนิต่อมารยาทแย่เช่นนั้น

พวกเขาทั้งหมดต่างมาอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยความสามารถตัวเองล้วนๆ

 

“แผนการทำลายทุ่งได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อกองทัพของพวกจอมมารที่แยกกองกำลังเพื่อหาเสบียง โอกาสที่จะโจมตีมาถึงอีกครั้ง”

 

 

ตั่บ

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิใช้ไม้คทาสีเงินแตะไปที่แผนที่ปฏิบัติการณ์

 

 

“โอกาสทองของกองทัพฝ่ายเรามาถึงแล้ว”

 

เป็นอย่างที่เธอพูดไว้ กองทัพจอมมารนั้นกำลังเสียสมดุล กองทัพภาค 2 และกองทัพภาค 6 นั้นถลำมาไกลจนเกินไป

 

นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ตามปกติยามที่คุณมีเสบียงไม่เพียงพอทั้งยังมีกลุ่มศัตรูมากมายหลายต่อหลายกลุ่ม 

พอขาดอาหาร คุณจึงต้องปล้นฆ่าหมู่บ้านแถบนั้น เพื่อให้เหล่าทหารทั้งหลายได้แยกกันไปหาอาหารด้วยตัวเอง

 

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามพูดขึ้น

 

“แต่ ฝ่าบาท”

 

“ขออนุญาตก่อนแสดงความเห็นด้วย หัวหน้าหน่วยแพทย์เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์(Kurz Schleiermacher)”

 

“รับทราบครับ”

 

ชายหนุ่มลูบผมทองของตนด้วยความรู้สึกอึดอัด

 

“ต้องขออภัยด้วย แต่ผู้นี้ไม่ค่อยคุ้นชินกับมารยาทสักเท่าไหร่……ขอข้าพูดอะไรหน่อย ฝ่าบาท”

 

“ข้าอนุญาต”

 

“ขอบพระทัยครับ ความจริงที่ว่า กองทัพจอมมารแยกกันย่อมเป็นข่าวดีต่อฝ่ายเรา แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ายเราก็ไม่ต่างกันนัก”

 

นายพลหลายคนพยักหน้าในเชิงเห็นด้วย

ไม่ใช่กองทัพจอมมารฝั่งเดียวที่มีปัญหาขาดเสบียง กองทัพของฝ่ายมนุษย์ก็เผชิญปัญหาร้ายแรงเช่นเดียวกัน

 

พวกกองทัพทหารรับจ้างนั้นเริ่มเรียกร้องขอข้าวสาลีเป็นค่าจ้างแทนทองคำ และกองทัพชาติอื่นก็ส่งคำร้องกลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองเพื่อเบิกเสบียงเพิ่ม

 

ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธได้ตัดสินใจครั้งใหญ่

 

– ด้วยการใช้กลศึกเผาดินแดนเพื่อเป็นข้ออ้างในการปล้นสดมภ์ชาวบ้าน

 

เธอสั่งให้คนของเธอนั้นปล้นชิงชาวบ้าน ในยุคสมัยนี้ มีน้อยคนเหลือเกินที่จะยังคงเชื่อว่า ทหารนั้นสมควรปกป้องประชาชน ถึงอย่างไรทหารก็ให้ความสำคัญกับผู้ปกครองมากกว่าใครทั้งสิ้น

สิ่งที่สำคัญกว่าการปกป้องสามัญชนคือ การอารักขาให้กับชนชั้นสูง

 

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่ติดตามเจ้าหญิงส่วนมากก็เป็นพวกของสาธารณรัฐนิยม พวกนั้นก็ปฏิเสธคำสั่งของเจ้าหญิงในทันที

 

– ไม่สมควรมีกองทหารที่โจมตีทำร้ายประชาชนของตน!

 

– กองทหารที่ไม่สามารถปกป้องมนุษยชาตินั้นไม่สมควรมีอยู่เช่นกัน

 

ตอบข้ามาสิ ว่าพวกเจ้ามีทางเลือกอื่นใดนอกจากวิธีการเผาที่ดินเหลืออยู่อีกไหม? หากยังมี ข้าจะถอนคำสั่ง

 

 

– …….

 

ผู้มีความสามารถที่อยู่ภายใต้เจ้าหญิงจักรวรรดินั้นต่างเป็นบุคคลมีความสามารถทั้งนั้น เพราะมีความรู้ความสามารถจึงรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น

 

ด้วยข้ออ้างที่ว่า ‘หากพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องถูกมอนสเตอร์ชั่วร้ายฆ่าตายอย่างไร้ปรานีอยู่ดี’

ทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจะให้ผู้คนย้ายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งแทน เขาเรียกสิ่งนั้นว่า การย้ายไปตั้งรกรากใหม่ แต่ความจริงมันก็ไม่ต่างจากการบังคับให้ย้ายออกนั่นเอง 

มีชาวนาบางส่วนที่ปฏิเสธ โดยพูดว่า บ้านของพวกเขา พวกเขาจะปกป้องไว้ด้วยชีวิตของตน แต่เจ้าหญิงจักรวรรดิยืนยันหนักแน่น

 

– หากใครต่อต้านก็ใช้กฏอัยการศึก

 

– ฝ่าบาท!

 

– สงบใจไว้ ข้าเองก็มีหัวใจ

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างเห็นความเจ็บปวดจากสายตาของเจ้าหญิงจักรวรรดิ นั่นทำให้พวกเขาต้องถอนคำพูด

ถูกแล้วล่ะ ถึงเจ้านายของพวกเขาจะทำเพื่อประชาชนแม้กระทั่งก่อนสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีหัวจิตหัวใจของความเป็นมนุษย์…….

 

กองกำลังเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นค่อยๆถอยร่นออกจากส่วนกลางของฮับบวร์ก พวกเขาใช้กลยุทธแบบกองโจรเพื่อตอบโต้การไล่ตามของกองทัพจอมมาร

 

เธอรบยืดเยื้อให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งยังใช้การเผาดินแดนโดยตั้งใจไม่ให้เหลือต้นข้าวสาลีแม้สักต้นในพื้นที่ศูนย์กลางของประเทศ

 

ถอยไปหนึ่งก้าว ถอยไปอีกหนึ่งก้าว―

 

จนในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถจะหนีไปไหนได้อีกต่อไป

พวกเขามาถึงเมืองหลวงจักรวรรดิแล้ว

 

 

“ในตอนนี้กองทัพหลายๆภาคของจอมมารได้มารวมตัวกันแล้ว โดยกองทัพภาค 2 นั้นมาถึงภายในอีกสองสัปดาห์และกองทัพภาคอื่นๆจะตามมาสมทบอีกภายหลัง

อืมม แล้วแบบนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือ?”

 

ชายหนุ่มที่รู้จักกันในนาม เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ เกาแก้มตัวเอง

 

 

“กองทัพศัตรูตอนนี้อาจจะแยกทัพกันอยู่ แต่พวกมันทั้งหมดต่างมีเมืองหลวงเป็นจุดหมาย ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไป พวกมันก็จะรวมกลุ่มกัน

ในขณะที่ ฝ่ายกองทัพมนุษย์นั้นไม่ได้มีจุดหมายชัดเจนแบบนั้น…….

เอาล่ะ จะมีผู้คนจากชาติอื่นสักกี่คนกันที่จะมาสู้รบเพื่อช่วยเมืองหลวงของเรา……?”

 

และนั่นไม่ได้เป็นปัญหาเดียว

นายพลอื่นต่างยกมือขึ้น

 

“ข้าขอสิทธิในการพูด”

 

“อนุมัติ”

 

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท ข้าต้องขอประทานอภัย แต่กองกำลังชาติอื่นนั้นเรียกร้องความรับผิดชอบในการจัดหาเสบียงและอาวุธชุดเกราะ

กองทัพจอมมารตอนนี้พยายามหาเติมเสบียงด้วยตัวเอง พวกมันก็มีเสบียงพอไปอย่างน้อย 15 วัน ถึงหนึ่งเดือน”

 

และนายพลก็พูดต่อ

 

“แต่กองทัพทหารจักรวรรดิเราไม่มีเสบียงเหลืออีกแล้ว”

 

“นี่เจ้าพูดอะไร? กองทัพของเรามีเสบียงเหลือพอไปอีก 3 เดือน”

 

“……นั่นมันสำหรับแค่กองทัพจักรวรรดิ”

นายพลกลืนน้ำลายล้างคอ

 

“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับพวกเราที่ต้องมีกำลังเสริมจากชาติอื่นเพื่อปกป้องเมืองหลวง

…….หากพวกเราไม่ใช้เสบียงเพื่อรักษากองกำลังจากชาติอื่น 

กองกำลังจักรวรรดิฮับบวร์กของพวกเราก็เหลือหนทางเดียว”

 

เจ้าหญิงจักรวรรดิยิ้มอย่างสนอกสนใจ

 

“โอ้ เหรอ? แล้วทางเลือกที่ว่านั่นคือ?”

 

“เราต้องไม่ป้องกันเมืองหลวง พวกเราต้องจู่โจมเต็มกำลัง”

 

เสียงของผู้พันหนักแน่นและยังคงพูดต่อ

 

“ยิ่งเวลาผ่านไปกองทัพของจอมมารก็ยิ่งเข้ามาใกล้

ถึงอย่างนั้นก็แปลว่า ตอนนี้พวกมันยังมาไม่ถึง มันยังมีช่วงต่างของเวลากว่าที่จะมาหาพวกเรา

…….พวกเราสามารถใช้เวลาช่วงนั้น แบ่งแยกแล้วพิชิตศัตรูของพวกเรา”

 

แบ่งแยกและพิชิตกองทัพทั้ง 5 ภาคของกองทัพจอมมาร

 

มันเป็นวิธีการเดียวที่เหลือแล้วในการปกป้องเมืองหลวง และสิ่งนี้จะชี้ชะตาของจักรวรรดิ

 

 

“…….”

 

“…….”

 

 

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนรู้ดีว่า แผนการนี้มันฟังดูไร้สาระเพียงใด

 

กองทัพทหารของจักรวรรดิฮับบวร์กนั้นมีกองทหารราวๆ 10,000 นาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละภาคของกองทัพจอมมาร มีทหาร 10,000 นาย

 

 

‘เฮ่อ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยไม่ใช่รึไงกันน่ะ?’

 

ชายผมสีบลอนด์ เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

หากจะเทียบกำลังทหารมนุษย์กับกำลังทหารออร์คแล้ว พวกหลังน่ะแข็งแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

…….แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพเพียงภาคเดียวที่มีเพียงทหารพันนาย ก็เพียงพอแล้วที่จะสู้กับกองทัพของฝ่ายจักรวรรดิ

หรือถ้ามองในแง่ดี อย่างมากที่สุดที่คาดหวังว่าจะทำได้ ก็คือ เสมอ 

 

‘เพื่อชนะการต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่มีจำนวนทหารเท่ากันนั้น พวกเราต้องมีมากกว่าถึงห้าเท่า 

……เฮ่อ ต่อให้เทพธิดาจะช่วยพวกเรา มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยนี่หน่า พระเจ้า!’

 

เคิร์ทส่ายหัว ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

 

แม้ตอนแรกที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา์กับกองทัพมนุษย์นั้นได้เข้าปะทะกัน

จักรวรรดิฮับบวร์กสู้ได้ดีเป็นอย่างมาก สู้ได้ดีจนชาติอื่นนั้นยกย่อง

 

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นเป็นอัจฉริยะผู้มาพร้อมกลศึกมากมาย และแทนที่ยิ่งรบจะยิ่งเสื่อมถอย เธอกลับยิ่งเฉียบคมมากขึ้น

ในขณะที่กองทัพอื่นนั้นแพ้แล้วแพ้อีก มีเพียงกองทัพนี่ทำโดยเจ้าหญิงจักรวรรดิเท่านั้นที่ยังคงชัยชนะต่อไปได้

หากระลึกถึงสิ่งที่เธอพูดไว้ตอนสุนทรพจน์ ก็จะยิ่งรู้สึกว่ายอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่

 

‘แต่มันมีเส้นกั้นที่ชัดเจนระหว่าง สมเหตุสมผล กับไม่สมเหตุสมผลอยู่’

มันเป็นไปได้ยากมากที่จะให้ไปไล่ตีกองทัพจอมมารให้แตกทัพไปทีละกอง ต่อให้เป็นเจ้าหญิงอลิซาเบธก็เถอะ  เคิร์ทมั่นใจว่าอย่างนั้น

‘นี่แหละปัญหา ปัญหาใหญ่เลยล่ะ ฮ่าฮ่า’

เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่า บ้านเกิดของเขาจะถูกทำลายหรือไม่

หรือแม้แต่มนุษยชาติจะล่มสลาย เขาก็แค่เพียงยักไหล่โดยไม่ยี่หระ

 

มนุษยชาติและชาติประเทศต่างๆนั้นไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเรื่องตลกสำหรับเขา บางครั้งตลกพวกนั้นก็ชวนให้เบื่อหน่าย

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็แอบสงสัย

 

‘ท่านจะทำอย่างไรนะ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ?’

 

เขามองไปที่ใบหน้าของเจ้าหญิง จากข้อมูลที่เคิร์ทมี เจ้าหญิงนั้นเป็นอัจฉริยะที่สุดที่มีมาในโลกแล้ว

เขาไม่อาจจินตนาการถึงใครที่เก่งไปกว่าเธอได้อีก สำหรับเคิร์ทแล้ว―เจ้าหญิงนั้นเป็นยอดสุดแห่งมวลมนุษยชาติ เป็นมนุษย์ที่มีค่ายิ่ง

 

แล้วยอดสุดแห่งมนุษยชาติผู้นั้นจะตอบรับกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรกัน?

เคิร์ทนั้นห้ามความอยากรู้ของตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว

 

หากเจ้าหญิงจักรวรรดิไม่รังเกียจความเป็นไปไม่ได้นั่นแล้วเข้าท้าทาย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เคิร์ทก็ยินดีจะตอบรับการตัดสินใจของเธอ

 

เขาจะไปอยู่แนวหน้าคู่กับเจ้าหญิงด้วยความสมัครใจและเฉือนหัวออร์ค แทงออกก็อบลิน เขาอาจจะตายอยู่ที่นั่น

……และเจ้าหญิงอาจจะตายด้วย ผลสุดท้ายก็จบลงตรงที่เมืองหลวงโดนยึด และมนุษยชาติล่มสลาย

……แต่ใครจะไปสนกันล่ะ?

 

มันคงมาถึงขีดจำกัดของมนุษยชาติแล้ว

 

เขายอมรับความต่ำต้อยนั้น ในท้ายที่สุดแล้วมนุษยชาติเป็นเพียงเผ่าเดียวที่ไปได้ไกลถึงเพียงนั้น

 

 

‘อย่าบอกข้านะว่า ท่านนั้นสิ้นหวังแล้วน่ะ ฝ่าบาท’

 

เขาลอบยิ้มในใจ อีกด้านหนึ่งเขาก็แอบรอคอยอย่างมีหวัง ความคิดที่ว่าตนจะได้เป็นพยานในการเห็นยอดสุดแห่งมนุษยชาติที่พังทลายด้วยความสิ้นหวัง!

 

มันอาจจะเป็นความสิ้นหวังของทั้งมวลมนุษยชาติ แต่มันก็เป็นงานศิลป์ที่โหดร้าย แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงได้กลายเป็นงานชิ้นเอกที่งดงามที่สุด

 

แต่เมื่อเคิร์ทมองไปที่ใบหน้าของเจ้าหญิงจักรวรรดิ

‘……!’

 

เขาได้แต่เงียบด้วยความตกใจ

 

‘เธอนั้นเฉยเมย……แม้จะเป็นสถานการณ์อย่างนี้หรือ?’

 

ไม่มีแม้เศษเสี้ยวอารมณ์ใดออกมาจากสีหน้าของเจ้าหญิง สิ่งที่อยู่บนใบหน้าเธอนั้นคือ ความเย็นชา ไร้อารมณ์

 

‘ข้าไม่อยากเชื่อ’

 

เคิร์ทนั้นไม่เข้าใจ เขารู้ดีว่า เจ้าหญิงนั้นรักประชาชนและหวงแหนมนุษยชาติเพียงใด ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้าหญิง

 

ทุกคนต่างหวาดกลัวเมื่อต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป มนุษย์นั้นหนีห่างออกไปเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ชีวิตตนเองต้องถูกคุกคาม 

จะมีสิ่งใดที่มีค่ายิ่งไปกว่าชีวิตตนอีกเล่า

 

แต่ถึงอย่างนั้น หากมีสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตพวกเขา…….ตัวอย่างก็เช่น เทพธิดาสำหรับเหล่าพระนักบวช ใช่แล้วล่ะ

 

มันอาจจะดูตลกที่จะพูดแบบนี้ แต่การพูดว่า เทพีทั้งหลายได้ตายลงต่อหน้าพวกนักบวช แล้วพวกนักบวชนั่นจะยังคงรักษากิริยาให้นิ่งเฉยได้อยู่หรือไม่?

 

หากคุณทรมานพ่อหน้าลูกชาย หรือฆ่าเจ้านายต่อหน้าข้ารับใช้ พวกเขายังคงจะไร้อารมณ์ในสถานการณ์ได้อีกหรือไม่?

 

มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิยังสงบอยู่ มันไม่ใช่ความสงบที่เกิดมาจากการยอมแพ้ ละทิ้งทุกสิ่งหากแต่เป็นความสงบที่มาพร้อมกับความเข้าใจภายใน 

ความอดทนและการควบคุมตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ช่างเป็นยอดมนุษย์สุดประเสริฐ นี่ใช่มนุษย์ที่มีวันตายจริงๆน่ะหรือ?

 

 

‘มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ!’

กระแสไฟฟ้าไหลแวบวาบผ่านไขสันหลังเคิร์ท

 

 

‘นางต้องมีแผนอะไรบางอย่างเพื่อเอาชนะกองทัพจอมมารได้แน่!’

 

ไม่ใช่แค่เคิร์ทคนเดียวที่รู้เรื่องนั้น คนอื่นที่เห็นเจ้าหญิงเงียบไปนานไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน 

นายพลคนอื่นต่างเงยหัวขึ้นมาช้าๆ พวกเขายังคงงุงงนเพราะพยายามจะจับความรู้สึกของเจ้าหญิง

 

แล้วตอนนั้นเจ้าหญิงก็ได้พูดขึ้น

 

“ข้ามีวิธีหยุดกองทัพจอมมาร”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“พวกเราจะยอมแพ้เรื่องเมืองหลวง หทารแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กทุกนาย จะหนีออกจากเมืองหลวง หนีไปให้ไกลในทันที”

 

เสียงที่แสดงความตกตะลึงดังไปทั่วทั้งเต๊นท์

 

เคิร์ทเองก็พบว่า เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาลืมไปด้วยซ้ำว่า ตัวเองต้องขอสิทธิ์ในการพูดก่อน

 

 

“ฝะ-ฝ่าบาท ท่านหมายความว่ายังไง? ยอมแพ้เรื่องเมืองหลวง?”

 

“ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง นับจากวันนี้ไปสี่วัน พวกเราเหล่าทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจะทอดทิ้งเมืองหลวง วินโดโบน่า(Vindobona)”

 

นายพลทุกนายต่างลุกขึ้นพร้อมกันเมื่อเจ้าหญิงจักรวรรดิยืนยันคำพูดของเธอ ทุกคนลุกฮือขึ้น

 

“ฝ่าบาท! ข้าขอค้าน!”

 

“เมืองหลวงเป็นดั่งหัวใจของฮับบวร์ก! ชาติจะหายใจได้อย่างไรหากปราศจากหัวใจ!”

แต่ถึงจะอย่างนั้นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นก็พูดต่อโดยไม่สะดุด

ไม่หรอก ใช่ว่า เธอจะไม่สะดุดเลย แต่มันยากที่จะสังเกตต่างหาก แต่เคิร์ทเองก็แอบเห็นรอยยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงเข้า

 

“หากเมืองหลวงเป็นดั่งหัวใจของฮับบวร์ก พวกเราก็แค่ย้ายหัวใจ”

 

“ผู้น้อยไม่อาจหยั่งถึงเจตนาของฝ่าบาท…….”

 

 

“ย้ายพลเมืองทั้งหมด บังคับให้พวกเขาออกมา ยิ่งไปกว่านั้นสั่งการระดมเงินให้มากที่สุด ขุดหลุมฝังศพของพวกนักปกครองคนเก่าๆซะ และสุดท้ายอย่าทิ้งอะไรไว้ให้กองทัพจอมมารแม้แต่อย่างเดียว―”

 

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิสรุปในท้ายที่สุด

 

“หลังจากอพยพเสร็จ พวกเราจะเผาเมืองหลวงทิ้งให้หมด”

 

 

( TTL : ชักไม่แน่ใจ นี่อลิซาเบธเผาวินโดโบน่า หรือตั๋งโต๊ะเผาลกเอี๋ยง)

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 151 ยุคแห่งเหล่าทรราช (1)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 151 ยุคแห่งเหล่าทรราช (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

 

 

“ตอนนี้พวกเราเสียเปรียบอย่างมาก”

 

อลิซาเบธ ฟอน ฮับบวร์ก เจ้าหญิงลำดับสามแห่งจักรวรรดิเอ่ยขึ้น

 

 

นายพลทั้งหลายของจักรวรรดิตอนนี้ต่างนั่งประจำตำแหน่งอยู่ในเต้นท์ โดยมากเป็นหนุ่ม นายพลสูงอายุทั้งหลายก่อนหน้านี้ได้นำทัพทหารจักรวรรดิแล้วล้มตายไปในสงครามที่ออสเตอร์ลิทช์

ผู้ทื่มาแทนตำแหน่งในปัจจุบันของกองทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจึงเป็นผู้บัญชาที่ยังหนุ่ม

 

 

หนึ่งในพวกเขาตั้งใจฟังแผนการของเจ้าหญิงเงียบๆ อีกคนก็จดทุกอย่างลงไปอย่างจริงจัง และอีกคนก็เคี้ยวอะไรสักอย่างที่เหมือนเปลือกของข้าวสาลีโดยวางเท้าไว้บนโต๊ะ

 

ทั้งหมดถูกเรียกมารวมตัวกัน แม้จะมีบางคนมิได้สวมชุดทหารให้เรียบร้อยก็ตาม

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครตำหนิต่อมารยาทแย่เช่นนั้น

พวกเขาทั้งหมดต่างมาอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยความสามารถตัวเองล้วนๆ

 

“แผนการทำลายทุ่งได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อกองทัพของพวกจอมมารที่แยกกองกำลังเพื่อหาเสบียง โอกาสที่จะโจมตีมาถึงอีกครั้ง”

 

 

ตั่บ

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิใช้ไม้คทาสีเงินแตะไปที่แผนที่ปฏิบัติการณ์

 

 

“โอกาสทองของกองทัพฝ่ายเรามาถึงแล้ว”

 

เป็นอย่างที่เธอพูดไว้ กองทัพจอมมารนั้นกำลังเสียสมดุล กองทัพภาค 2 และกองทัพภาค 6 นั้นถลำมาไกลจนเกินไป

 

นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ตามปกติยามที่คุณมีเสบียงไม่เพียงพอทั้งยังมีกลุ่มศัตรูมากมายหลายต่อหลายกลุ่ม 

พอขาดอาหาร คุณจึงต้องปล้นฆ่าหมู่บ้านแถบนั้น เพื่อให้เหล่าทหารทั้งหลายได้แยกกันไปหาอาหารด้วยตัวเอง

 

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามพูดขึ้น

 

“แต่ ฝ่าบาท”

 

“ขออนุญาตก่อนแสดงความเห็นด้วย หัวหน้าหน่วยแพทย์เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์(Kurz Schleiermacher)”

 

“รับทราบครับ”

 

ชายหนุ่มลูบผมทองของตนด้วยความรู้สึกอึดอัด

 

“ต้องขออภัยด้วย แต่ผู้นี้ไม่ค่อยคุ้นชินกับมารยาทสักเท่าไหร่……ขอข้าพูดอะไรหน่อย ฝ่าบาท”

 

“ข้าอนุญาต”

 

“ขอบพระทัยครับ ความจริงที่ว่า กองทัพจอมมารแยกกันย่อมเป็นข่าวดีต่อฝ่ายเรา แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ายเราก็ไม่ต่างกันนัก”

 

นายพลหลายคนพยักหน้าในเชิงเห็นด้วย

ไม่ใช่กองทัพจอมมารฝั่งเดียวที่มีปัญหาขาดเสบียง กองทัพของฝ่ายมนุษย์ก็เผชิญปัญหาร้ายแรงเช่นเดียวกัน

 

พวกกองทัพทหารรับจ้างนั้นเริ่มเรียกร้องขอข้าวสาลีเป็นค่าจ้างแทนทองคำ และกองทัพชาติอื่นก็ส่งคำร้องกลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองเพื่อเบิกเสบียงเพิ่ม

 

ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าหญิงจักรวรรดิอลิซาเบธได้ตัดสินใจครั้งใหญ่

 

– ด้วยการใช้กลศึกเผาดินแดนเพื่อเป็นข้ออ้างในการปล้นสดมภ์ชาวบ้าน

 

เธอสั่งให้คนของเธอนั้นปล้นชิงชาวบ้าน ในยุคสมัยนี้ มีน้อยคนเหลือเกินที่จะยังคงเชื่อว่า ทหารนั้นสมควรปกป้องประชาชน ถึงอย่างไรทหารก็ให้ความสำคัญกับผู้ปกครองมากกว่าใครทั้งสิ้น

สิ่งที่สำคัญกว่าการปกป้องสามัญชนคือ การอารักขาให้กับชนชั้นสูง

 

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่ติดตามเจ้าหญิงส่วนมากก็เป็นพวกของสาธารณรัฐนิยม พวกนั้นก็ปฏิเสธคำสั่งของเจ้าหญิงในทันที

 

– ไม่สมควรมีกองทหารที่โจมตีทำร้ายประชาชนของตน!

 

– กองทหารที่ไม่สามารถปกป้องมนุษยชาตินั้นไม่สมควรมีอยู่เช่นกัน

 

ตอบข้ามาสิ ว่าพวกเจ้ามีทางเลือกอื่นใดนอกจากวิธีการเผาที่ดินเหลืออยู่อีกไหม? หากยังมี ข้าจะถอนคำสั่ง

 

 

– …….

 

ผู้มีความสามารถที่อยู่ภายใต้เจ้าหญิงจักรวรรดินั้นต่างเป็นบุคคลมีความสามารถทั้งนั้น เพราะมีความรู้ความสามารถจึงรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น

 

ด้วยข้ออ้างที่ว่า ‘หากพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องถูกมอนสเตอร์ชั่วร้ายฆ่าตายอย่างไร้ปรานีอยู่ดี’

ทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจะให้ผู้คนย้ายไปอยู่ที่ไหนสักแห่งแทน เขาเรียกสิ่งนั้นว่า การย้ายไปตั้งรกรากใหม่ แต่ความจริงมันก็ไม่ต่างจากการบังคับให้ย้ายออกนั่นเอง 

มีชาวนาบางส่วนที่ปฏิเสธ โดยพูดว่า บ้านของพวกเขา พวกเขาจะปกป้องไว้ด้วยชีวิตของตน แต่เจ้าหญิงจักรวรรดิยืนยันหนักแน่น

 

– หากใครต่อต้านก็ใช้กฏอัยการศึก

 

– ฝ่าบาท!

 

– สงบใจไว้ ข้าเองก็มีหัวใจ

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างเห็นความเจ็บปวดจากสายตาของเจ้าหญิงจักรวรรดิ นั่นทำให้พวกเขาต้องถอนคำพูด

ถูกแล้วล่ะ ถึงเจ้านายของพวกเขาจะทำเพื่อประชาชนแม้กระทั่งก่อนสงคราม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีหัวจิตหัวใจของความเป็นมนุษย์…….

 

กองกำลังเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นค่อยๆถอยร่นออกจากส่วนกลางของฮับบวร์ก พวกเขาใช้กลยุทธแบบกองโจรเพื่อตอบโต้การไล่ตามของกองทัพจอมมาร

 

เธอรบยืดเยื้อให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งยังใช้การเผาดินแดนโดยตั้งใจไม่ให้เหลือต้นข้าวสาลีแม้สักต้นในพื้นที่ศูนย์กลางของประเทศ

 

ถอยไปหนึ่งก้าว ถอยไปอีกหนึ่งก้าว―

 

จนในที่สุด พวกเขาก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถจะหนีไปไหนได้อีกต่อไป

พวกเขามาถึงเมืองหลวงจักรวรรดิแล้ว

 

 

“ในตอนนี้กองทัพหลายๆภาคของจอมมารได้มารวมตัวกันแล้ว โดยกองทัพภาค 2 นั้นมาถึงภายในอีกสองสัปดาห์และกองทัพภาคอื่นๆจะตามมาสมทบอีกภายหลัง

อืมม แล้วแบบนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือ?”

 

ชายหนุ่มที่รู้จักกันในนาม เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ เกาแก้มตัวเอง

 

 

“กองทัพศัตรูตอนนี้อาจจะแยกทัพกันอยู่ แต่พวกมันทั้งหมดต่างมีเมืองหลวงเป็นจุดหมาย ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไป พวกมันก็จะรวมกลุ่มกัน

ในขณะที่ ฝ่ายกองทัพมนุษย์นั้นไม่ได้มีจุดหมายชัดเจนแบบนั้น…….

เอาล่ะ จะมีผู้คนจากชาติอื่นสักกี่คนกันที่จะมาสู้รบเพื่อช่วยเมืองหลวงของเรา……?”

 

และนั่นไม่ได้เป็นปัญหาเดียว

นายพลอื่นต่างยกมือขึ้น

 

“ข้าขอสิทธิในการพูด”

 

“อนุมัติ”

 

“ขอบพระทัย ฝ่าบาท ข้าต้องขอประทานอภัย แต่กองกำลังชาติอื่นนั้นเรียกร้องความรับผิดชอบในการจัดหาเสบียงและอาวุธชุดเกราะ

กองทัพจอมมารตอนนี้พยายามหาเติมเสบียงด้วยตัวเอง พวกมันก็มีเสบียงพอไปอย่างน้อย 15 วัน ถึงหนึ่งเดือน”

 

และนายพลก็พูดต่อ

 

“แต่กองทัพทหารจักรวรรดิเราไม่มีเสบียงเหลืออีกแล้ว”

 

“นี่เจ้าพูดอะไร? กองทัพของเรามีเสบียงเหลือพอไปอีก 3 เดือน”

 

“……นั่นมันสำหรับแค่กองทัพจักรวรรดิ”

นายพลกลืนน้ำลายล้างคอ

 

“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับพวกเราที่ต้องมีกำลังเสริมจากชาติอื่นเพื่อปกป้องเมืองหลวง

…….หากพวกเราไม่ใช้เสบียงเพื่อรักษากองกำลังจากชาติอื่น 

กองกำลังจักรวรรดิฮับบวร์กของพวกเราก็เหลือหนทางเดียว”

 

เจ้าหญิงจักรวรรดิยิ้มอย่างสนอกสนใจ

 

“โอ้ เหรอ? แล้วทางเลือกที่ว่านั่นคือ?”

 

“เราต้องไม่ป้องกันเมืองหลวง พวกเราต้องจู่โจมเต็มกำลัง”

 

เสียงของผู้พันหนักแน่นและยังคงพูดต่อ

 

“ยิ่งเวลาผ่านไปกองทัพของจอมมารก็ยิ่งเข้ามาใกล้

ถึงอย่างนั้นก็แปลว่า ตอนนี้พวกมันยังมาไม่ถึง มันยังมีช่วงต่างของเวลากว่าที่จะมาหาพวกเรา

…….พวกเราสามารถใช้เวลาช่วงนั้น แบ่งแยกแล้วพิชิตศัตรูของพวกเรา”

 

แบ่งแยกและพิชิตกองทัพทั้ง 5 ภาคของกองทัพจอมมาร

 

มันเป็นวิธีการเดียวที่เหลือแล้วในการปกป้องเมืองหลวง และสิ่งนี้จะชี้ชะตาของจักรวรรดิ

 

 

“…….”

 

“…….”

 

 

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนรู้ดีว่า แผนการนี้มันฟังดูไร้สาระเพียงใด

 

กองทัพทหารของจักรวรรดิฮับบวร์กนั้นมีกองทหารราวๆ 10,000 นาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละภาคของกองทัพจอมมาร มีทหาร 10,000 นาย

 

 

‘เฮ่อ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลยไม่ใช่รึไงกันน่ะ?’

 

ชายผมสีบลอนด์ เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

หากจะเทียบกำลังทหารมนุษย์กับกำลังทหารออร์คแล้ว พวกหลังน่ะแข็งแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

…….แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพเพียงภาคเดียวที่มีเพียงทหารพันนาย ก็เพียงพอแล้วที่จะสู้กับกองทัพของฝ่ายจักรวรรดิ

หรือถ้ามองในแง่ดี อย่างมากที่สุดที่คาดหวังว่าจะทำได้ ก็คือ เสมอ 

 

‘เพื่อชนะการต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่มีจำนวนทหารเท่ากันนั้น พวกเราต้องมีมากกว่าถึงห้าเท่า 

……เฮ่อ ต่อให้เทพธิดาจะช่วยพวกเรา มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยนี่หน่า พระเจ้า!’

 

เคิร์ทส่ายหัว ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดี

 

แม้ตอนแรกที่กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา์กับกองทัพมนุษย์นั้นได้เข้าปะทะกัน

จักรวรรดิฮับบวร์กสู้ได้ดีเป็นอย่างมาก สู้ได้ดีจนชาติอื่นนั้นยกย่อง

 

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นเป็นอัจฉริยะผู้มาพร้อมกลศึกมากมาย และแทนที่ยิ่งรบจะยิ่งเสื่อมถอย เธอกลับยิ่งเฉียบคมมากขึ้น

ในขณะที่กองทัพอื่นนั้นแพ้แล้วแพ้อีก มีเพียงกองทัพนี่ทำโดยเจ้าหญิงจักรวรรดิเท่านั้นที่ยังคงชัยชนะต่อไปได้

หากระลึกถึงสิ่งที่เธอพูดไว้ตอนสุนทรพจน์ ก็จะยิ่งรู้สึกว่ายอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่

 

‘แต่มันมีเส้นกั้นที่ชัดเจนระหว่าง สมเหตุสมผล กับไม่สมเหตุสมผลอยู่’

มันเป็นไปได้ยากมากที่จะให้ไปไล่ตีกองทัพจอมมารให้แตกทัพไปทีละกอง ต่อให้เป็นเจ้าหญิงอลิซาเบธก็เถอะ  เคิร์ทมั่นใจว่าอย่างนั้น

‘นี่แหละปัญหา ปัญหาใหญ่เลยล่ะ ฮ่าฮ่า’

เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่า บ้านเกิดของเขาจะถูกทำลายหรือไม่

หรือแม้แต่มนุษยชาติจะล่มสลาย เขาก็แค่เพียงยักไหล่โดยไม่ยี่หระ

 

มนุษยชาติและชาติประเทศต่างๆนั้นไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเรื่องตลกสำหรับเขา บางครั้งตลกพวกนั้นก็ชวนให้เบื่อหน่าย

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็แอบสงสัย

 

‘ท่านจะทำอย่างไรนะ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ?’

 

เขามองไปที่ใบหน้าของเจ้าหญิง จากข้อมูลที่เคิร์ทมี เจ้าหญิงนั้นเป็นอัจฉริยะที่สุดที่มีมาในโลกแล้ว

เขาไม่อาจจินตนาการถึงใครที่เก่งไปกว่าเธอได้อีก สำหรับเคิร์ทแล้ว―เจ้าหญิงนั้นเป็นยอดสุดแห่งมวลมนุษยชาติ เป็นมนุษย์ที่มีค่ายิ่ง

 

แล้วยอดสุดแห่งมนุษยชาติผู้นั้นจะตอบรับกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรกัน?

เคิร์ทนั้นห้ามความอยากรู้ของตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว

 

หากเจ้าหญิงจักรวรรดิไม่รังเกียจความเป็นไปไม่ได้นั่นแล้วเข้าท้าทาย หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เคิร์ทก็ยินดีจะตอบรับการตัดสินใจของเธอ

 

เขาจะไปอยู่แนวหน้าคู่กับเจ้าหญิงด้วยความสมัครใจและเฉือนหัวออร์ค แทงออกก็อบลิน เขาอาจจะตายอยู่ที่นั่น

……และเจ้าหญิงอาจจะตายด้วย ผลสุดท้ายก็จบลงตรงที่เมืองหลวงโดนยึด และมนุษยชาติล่มสลาย

……แต่ใครจะไปสนกันล่ะ?

 

มันคงมาถึงขีดจำกัดของมนุษยชาติแล้ว

 

เขายอมรับความต่ำต้อยนั้น ในท้ายที่สุดแล้วมนุษยชาติเป็นเพียงเผ่าเดียวที่ไปได้ไกลถึงเพียงนั้น

 

 

‘อย่าบอกข้านะว่า ท่านนั้นสิ้นหวังแล้วน่ะ ฝ่าบาท’

 

เขาลอบยิ้มในใจ อีกด้านหนึ่งเขาก็แอบรอคอยอย่างมีหวัง ความคิดที่ว่าตนจะได้เป็นพยานในการเห็นยอดสุดแห่งมนุษยชาติที่พังทลายด้วยความสิ้นหวัง!

 

มันอาจจะเป็นความสิ้นหวังของทั้งมวลมนุษยชาติ แต่มันก็เป็นงานศิลป์ที่โหดร้าย แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละมันถึงได้กลายเป็นงานชิ้นเอกที่งดงามที่สุด

 

แต่เมื่อเคิร์ทมองไปที่ใบหน้าของเจ้าหญิงจักรวรรดิ

‘……!’

 

เขาได้แต่เงียบด้วยความตกใจ

 

‘เธอนั้นเฉยเมย……แม้จะเป็นสถานการณ์อย่างนี้หรือ?’

 

ไม่มีแม้เศษเสี้ยวอารมณ์ใดออกมาจากสีหน้าของเจ้าหญิง สิ่งที่อยู่บนใบหน้าเธอนั้นคือ ความเย็นชา ไร้อารมณ์

 

‘ข้าไม่อยากเชื่อ’

 

เคิร์ทนั้นไม่เข้าใจ เขารู้ดีว่า เจ้าหญิงนั้นรักประชาชนและหวงแหนมนุษยชาติเพียงใด ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้าหญิง

 

ทุกคนต่างหวาดกลัวเมื่อต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป มนุษย์นั้นหนีห่างออกไปเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ชีวิตตนเองต้องถูกคุกคาม 

จะมีสิ่งใดที่มีค่ายิ่งไปกว่าชีวิตตนอีกเล่า

 

แต่ถึงอย่างนั้น หากมีสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตพวกเขา…….ตัวอย่างก็เช่น เทพธิดาสำหรับเหล่าพระนักบวช ใช่แล้วล่ะ

 

มันอาจจะดูตลกที่จะพูดแบบนี้ แต่การพูดว่า เทพีทั้งหลายได้ตายลงต่อหน้าพวกนักบวช แล้วพวกนักบวชนั่นจะยังคงรักษากิริยาให้นิ่งเฉยได้อยู่หรือไม่?

 

หากคุณทรมานพ่อหน้าลูกชาย หรือฆ่าเจ้านายต่อหน้าข้ารับใช้ พวกเขายังคงจะไร้อารมณ์ในสถานการณ์ได้อีกหรือไม่?

 

มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิยังสงบอยู่ มันไม่ใช่ความสงบที่เกิดมาจากการยอมแพ้ ละทิ้งทุกสิ่งหากแต่เป็นความสงบที่มาพร้อมกับความเข้าใจภายใน 

ความอดทนและการควบคุมตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ช่างเป็นยอดมนุษย์สุดประเสริฐ นี่ใช่มนุษย์ที่มีวันตายจริงๆน่ะหรือ?

 

 

‘มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ!’

กระแสไฟฟ้าไหลแวบวาบผ่านไขสันหลังเคิร์ท

 

 

‘นางต้องมีแผนอะไรบางอย่างเพื่อเอาชนะกองทัพจอมมารได้แน่!’

 

ไม่ใช่แค่เคิร์ทคนเดียวที่รู้เรื่องนั้น คนอื่นที่เห็นเจ้าหญิงเงียบไปนานไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน 

นายพลคนอื่นต่างเงยหัวขึ้นมาช้าๆ พวกเขายังคงงุงงนเพราะพยายามจะจับความรู้สึกของเจ้าหญิง

 

แล้วตอนนั้นเจ้าหญิงก็ได้พูดขึ้น

 

“ข้ามีวิธีหยุดกองทัพจอมมาร”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“พวกเราจะยอมแพ้เรื่องเมืองหลวง หทารแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กทุกนาย จะหนีออกจากเมืองหลวง หนีไปให้ไกลในทันที”

 

เสียงที่แสดงความตกตะลึงดังไปทั่วทั้งเต๊นท์

 

เคิร์ทเองก็พบว่า เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาลืมไปด้วยซ้ำว่า ตัวเองต้องขอสิทธิ์ในการพูดก่อน

 

 

“ฝะ-ฝ่าบาท ท่านหมายความว่ายังไง? ยอมแพ้เรื่องเมืองหลวง?”

 

“ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง นับจากวันนี้ไปสี่วัน พวกเราเหล่าทหารจักรวรรดิฮับบวร์กจะทอดทิ้งเมืองหลวง วินโดโบน่า(Vindobona)”

 

นายพลทุกนายต่างลุกขึ้นพร้อมกันเมื่อเจ้าหญิงจักรวรรดิยืนยันคำพูดของเธอ ทุกคนลุกฮือขึ้น

 

“ฝ่าบาท! ข้าขอค้าน!”

 

“เมืองหลวงเป็นดั่งหัวใจของฮับบวร์ก! ชาติจะหายใจได้อย่างไรหากปราศจากหัวใจ!”

แต่ถึงจะอย่างนั้นเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นก็พูดต่อโดยไม่สะดุด

ไม่หรอก ใช่ว่า เธอจะไม่สะดุดเลย แต่มันยากที่จะสังเกตต่างหาก แต่เคิร์ทเองก็แอบเห็นรอยยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงเข้า

 

“หากเมืองหลวงเป็นดั่งหัวใจของฮับบวร์ก พวกเราก็แค่ย้ายหัวใจ”

 

“ผู้น้อยไม่อาจหยั่งถึงเจตนาของฝ่าบาท…….”

 

 

“ย้ายพลเมืองทั้งหมด บังคับให้พวกเขาออกมา ยิ่งไปกว่านั้นสั่งการระดมเงินให้มากที่สุด ขุดหลุมฝังศพของพวกนักปกครองคนเก่าๆซะ และสุดท้ายอย่าทิ้งอะไรไว้ให้กองทัพจอมมารแม้แต่อย่างเดียว―”

 

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิสรุปในท้ายที่สุด

 

“หลังจากอพยพเสร็จ พวกเราจะเผาเมืองหลวงทิ้งให้หมด”

 

 

( TTL : ชักไม่แน่ใจ นี่อลิซาเบธเผาวินโดโบน่า หรือตั๋งโต๊ะเผาลกเอี๋ยง)

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+