Dungeon Defense (WN) 152 ยุคแห่งเหล่าทรราช (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 152 ยุคแห่งเหล่าทรราช (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อได้ยินคำประกาศที่ชัดแจ้ง

 

พวกเขาถูกบอกว่า ให้โยนเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์อันเกรียงไกรนับ 500 ปี ทิ้งไป พวกเขาต้องบังคับให้ประชาชนของเมืองหลวงที่ตั้งรกร้างและเปี่ยมด้วยความภูมิใจ หนีการไล่ล่าราวกับเป็นฝูงสัตว์

 

และทำให้มันแย่ลงไปอีกด้วยการขุดสุสานของจักรพรรดิ์องค์ก่อนๆเพื่อหาเงิน 

 

 

ทรราช 

 

เคิร์ทกลืนน้ำลาย คำๆเดียวเท่านั้นที่ผุดขึ้นมาในหัวนายพลทุกคนที่นั่งอยู่ในเต๊นท์

 

มีใครบางคนพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่เย็นเชียบ

 

“……ฝ่าบาท พวกเราเข้าใจดีว่า ท่านนั้นทนุถนอมคนของท่านเพียงใด”

เคิร์ทหันไปหาเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ บารอน วิทเท่นเมียร์( Baron 

Wittenmyer) เขาเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นชายผู้มีผมสีขาวตั้งแต่ยังหนุ่ม เขานั้นดูหดหู่ซึมเซาเช่นเดียวกับการที่มีถุงใต้ตา

 

‘อ้อ นั่นมันนายพลพ่อคนฉลาด’

เคิร์ทแอบเดาะลิ้นอยู่ในใจ

 

เขาไม่ใช่สมาชิกที่อยู่ฝ่ายเจ้าหญิงจักรวรรดิมาตั้งแต่ต้น

บุคคลที่มีความสามารถที่เคยอยู่กับฝ่ายเจ้าชายลำดับที่ 1 และ 2 นั้น หรืออยากถอยห่างจากความขัดแย้งก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

ในหมู่คนพวกนั้น บารอนวิทเท่นเมียร์ เป็นชายหนุ่มที่เคยเข้าร่วมฝ่ายมกุฏราชกุมารก่อนที่จะย้ายมาอยู่ฝ่ายเจ้าหญิง

 

เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ นั้นได้แต่รู้สึกไม่ค่อยพอใจนักกับบารอน วิทเท่นเมียร์ บารอนนั้นออกจะมีจริยธรรมมากจนเกินไป เคิร์ทได้ยินว่า เขาแทบไม่เคยออกไปกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย จึงได้แต่สงสัยว่า ความสุขของบารอนผู้นี้คืออะไรกันแน่

 

“ฝ่าบาทนั้นตื่นขึ้นมาก่อนใคร และหลับหลังใครทุกคน

ในช่วงเวลาที่ทหารกำลังหิวโหยกัน เจ้าหน้าที่บัญชาการชาติอื่นต่างกินอาหารกันอย่างฟุ่มเฟือยอย่างหมูย่าง แต่ถึงกระนั้นฝ่าบาทก็ยังคนกินอาหารแบบเดียวกันกับพวกเรา”

 

“นั่นมันแค่เสแสร้งแกล้งทำ”

เจ้าหญิงจักรวรรดิตอบโดยไม่ลังเล

 

 

เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์นั้นถึงกับอึ้งตอนที่ฟังบทสนทนานั่น เจ้าหญิงจักรวรรดิเรียกการกระทำดีของตนว่า เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ

จะมีนักปกครองคนใดทำแบบนี้ได้บ้าง? เคิร์ทนั้นรู้สึกดีๆกับบุคคลที่ยังยอมรับว่าการกระทำของตนนั้นเป็นไปเพื่อหลอกลวงผู้อื่น

 

บารอน วิทเท่นเมียร์ยังคงพูดต่อ

 

“แน่นอน ฝ่าบาทนั้นปฏิเสธที่จะสวมชุดการทหารที่ทำอย่างปราณีตแล้วสวมชุดหลุดลุ่ย ชุดเสื้อผ้าเก่าเปื่อยเหมือนนักบวช ที่นอนของท่านก็เช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ระดับต่ำ

……แน่นอน ผมรู้ว่าทั้งหมดนี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยทหาร”

 

“บารอน วิทเท่นเมียร์!”

นายพลสูงอายุตะคอกขึ้น

 

 

“ไม่เป็นไร”

เจ้าหญิงยกมือขวาขึ้นเพื่อหยุดนายพลสูงวัย ดวงตาของเธอส่งสัญญาณให้วิทเท่นเมียร์พูดต่อ

 

 

“ถึงอย่างนั้น คำโกหกกับความจริงก็ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ผมเชื่อว่า มันมีความจริงอยู่ในทุกๆคำโกหก

ความสามารถอันชำนาญในการใช้งานทั้งความจริงและคำโกหก……

ฝ่าบาทอาจจะระบุว่านั่นเป็นเพียงการลวงหลอก แต่ข้ากล้าที่จะพูดได้ว่า นั่นเป็นคุณงามความดีของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่”

 

พ่อคนฉลาดนี่พูดอะไรดีๆเป็นกับเขาด้วยแฮะ?

 

ทัศนคติของเคิร์ทเปลี่ยนไป พ่อคนฉลาดวิทเท่นเมียร์ไม่ได้พยายามโต้แย้งเรื่องการที่ทิ้งเมืองหลวงไป หากแต่เขากลับพูดถึงเรื่องที่ว่า พวกเราสามารถรักษาศักดิ์ศรีของจักรวรรดิไว้

 

บารอนยังคงพูดต่อ

 

“ความฉลาดหลักแหลมของผมอาจมีไม่มากนัก แต่ผมก็มั่นใจว่า ฝ่าบาทนั้นคู่ควรต่อการเป็นนักปกครองยิ่งกว่าใครทั้งนั้น ความจริงที่ว่า บุคคลที่มีความสามารถอย่างท่านสามารถตัดสินใจเยี่ยงทรราชได้

……ผมเชื่อว่า มันมีทั้งข้อดีข้อเสียในการตัดสินใจของท่าน ผมปรารถนาที่จะรู้ว่า ท่านได้ตระหนักถึงข้อดีข้อเสียเหล่านั้นอย่างไรบ้าง”

 

บารอน วิทเท่นเมียร์มองไปรอบห้อง

 

“ผมเชื่อว่า คนอื่นในที่นี้ก็คงสงสัยเช่นนั้นเหมือนกัน”

บรรยากาศในห้องนั้นเปลี่ยนไปทันที ผู้คนทั้งหลายไม่อาจตำหนิประณามเจ้าหญิงที่มอบคำสั่งที่แสนจะเผด็จการ

 

ตอนนี้พวกเขาอยากรู้ว่า ทำไมเจ้านายผู้ชาญฉลาดของพวกเขานั้นกลับตัดสินใจหุนหันอย่างนั้น พวกเขาหันไปมองเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิด้วยสีหน้าจริงจัง

 

‘ว้าว สมแล้วที่เป็นพ่อคนฉลาด’

เคิร์ทนั้นประทับใจจริงๆ

บารอนที่เดินออกมาพูดต่อหน้าทุกคน ทีแรกเขาเริ่มด้วยการยั่วแหย่เรื่องความดีงามของเจ้าหญิง พอทำแบบนั้นผู้ภักดีต่อองค์หญิงก็โกรธขึ้น นั่นก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนบรรยากาศในห้องประชุมแล้ว

 

แล้วเขาก็กลับเปิดเผยว่า ที่เขายั่วยุนั้นเป็นคำชมต่างหาก เขาพูดเรื่องที่ว่าทุกความจริงนั้นมีคำโกหกที่ซ่อนแฝงอยู่ และนั่นแหละคือ คุณงามความดีของนักปกครอง

ทุกคนต่างรู้ดีว่า ในความเป็นจริงโลกมันเป็นอย่างไร พวกเขาจึงรู้ว่านั่นต่างหากที่เป็นความดีงามของผู้นำที่ยิ่งใหญ่

 

ทุกคนต่างเห็นด้วยกับเจตนาของ บารอน วิทเท่นเมียร์ พวกเขาก็อยากจะถามคำถามเดียวกันเช่นกัน……. ทำไมเจ้าหญิงถึงได้ตัดสินใจใช้แผนการที่ดูยังไงก็เป็นการเห็นแก่ตัว? และจะได้อะไรจากการทำแบบนี้?

 

‘เขานี่ช่างรู้จักการนำเสนอตัวเองจริงๆนะ ข้าไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย’

เคิร์ทนั้นรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปและแอบขอบคุณพ่อคนฉลาด เขาหายประหลาดใจและกลับมารอคอยคำตอบของเจ้าหญิงแทน

 

แล้วเจ้าหญิงอลิซาเบธก็พูดขึ้น

 

 

“บารอน วิทเท่นเมียร์ ตอบคำถามข้าด้วย ฮับบวร์กจะสูญเสียสิ่งใดไปหากละทิ้งเมืองหลวง?”

 

“รับทราบครับ ด้วยการละทิ้งเมืองหลวง จะมีความสูญเสียสามอย่าง ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว”

บารอน วิทเท่นเมียร์ตอบโดยไม่ลังเล

 

“ก่อนอื่นเลย ในแง่ความเสียหายระยะสั้น พวกเราจะสร้างบาดหมางให้แก่จิตใจของประชาชน พวกเราได้ทำลายดินแดนของชาติเราเองด้วยการใช้กลยุทธเผาที่ดิน

ผู้คนจำนวนมากเสียบ้านของตนไปและต้องไปตั้งค่ายลี้ภัยใกล้เมืองหลวงแทน กำลังใจของประชาชนในตอนนี้ขาดความมั่นใจเป็นอย่างมาก

…….หากพวกเราประกาศไปอีกว่า จะละทิ้งเมืองหลวง ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ พวกเขาย่อมต้องลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างไม่ต้องสงสัย”

 

นายพลคนอื่นต่างผงกหัวเห็นด้วย

 

ถูกแล้วล่ะ การลุกขึ้นมาก่อกบฏเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาต่างกลัว

โดยปรกติแล้ว คุณจะสามารถใช้กองทัพทหารกดข่มไว้ได้ แต่สถานการณ์เช่นนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย

 

“กองทัพจอมมารสร้างความวุ่นวายให้แก่เราจากภายนอก ในขณะที่ผู้คนที่สับสนต่างสร้างความวุ่นวายให้แก่เราจากภายใน ทั้งยังมีสมาชิกที่เหลืออยู่ของฝ่ายเจ้าชาย ลำดับที่ 1 และ 2 ที่รอฉวยโอกาสนี้อยู่แล้ว จักรวรรดิจะเข้าสู่การล่มสลาย”

 

“แล้ว ความสูญเสียระยะกลางล่ะ?”

 

“คณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหารกิจการภายในจักรวรรดิจะถูกทำลาย”

บารอนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“คณะผู้บริหารทั้งหลายนั้นไม่ได้แค่จัดการเฉพาะกับลูกน้องข้ารับใช้ของตน แต่ยังมีเอกสารรายงาน ภารกิจที่ล้นมืออยู่แล้วด้วย รวมถึงการประกาศนโยบาย แผนงานต่างๆนั้น ก็ต้องจัดการผ่านคณะเจ้าหน้าที่บริหารทั้งหลาย

หากพวกเขาละทิ้งเมืองหลวง……ทั่วทั้งจักรวรรดิจะเกินความอลหม่านกันอย่างรุนแรงต่อให้พวกเราสามารถปราบกบฏได้แล้วก็ตาม”

 

สมแล้วที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ที่คอยควบคุมดูแลคณะผู้บริหารในกองทหาร เจ้าหญิงยังคงถามคำถามต่อไป ในขณะที่คนอื่นต่างพยักหน้าเห็นด้วย

 

“แล้วความสูญเสียระยะยาวล่ะ?”

 

 

“มนุษย์นั้นอาจไม่มีกำลังเหลือพอที่จะสู้กับกองทัพจอมมารได้อีก นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่จอมมารได้กล่าวปราศรัย

…….สถานการณ์ของพวกเราอาจดูเหมือนยังไม่เป็นอะไร หากแต่มีความขัดแย้งภายในระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงกับพลทหารในกองทัพของชาติอื่นๆ

ผมได้ยินว่า เป็นปัญหาเรื่องการที่ไม่อาจควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาได้”

 

เสียงร้องด้วยความไม่พอใจดังขึ้นหลายแห่งในห้อง ผู้คนต่างรู้ดีกว่ามันรู้สึกอย่างไรหากทหารไม่เชื่อใจผู้บัญชาการของตนเสียแล้ว

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พวกเขาจำต้องออกไปรบในแนวหน้าเพื่อเรียกคืนความเชื่อใจของทหาร

 

จึงมีนายพลจำนวนหนึ่งที่ตายในการสู้รบด้วยเช่นกัน

……. ดังนั้นหากไม่มีทั้งความสามารถและโชคดี ก็ไม่อาจมีชีวิตมานั่งฟังประชุมวันนี้ได้

บารอนได้ถอนใจออกมาเบาๆ

 

“การที่ฝ่าบาทบอกให้พวกเราละทิ้งเมืองหลวงท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การเปลี่ยนเมืองหลวงเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ใดกัน?

จักรวรรดินั้นสมควรที่จะปกป้องผู้คนที่กำลังหนีมาพึ่งราชวงศ์…….

เกียรติภูมิของชาติเราจะดิ่งลงเหว การกระทำนั้นไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อฮับบวร์ก แต่ผู้คนจากชาติอื่นก็จะผิดหวังเมื่อมองมาที่เรา พวกเขาจะประณามหยามหมิ่นในสิ่งที่พวกชนชั้นสูงประเทศเราทำ”

 

กองทัพจอมมารใช้เร่งใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นข้ออ้างในการบีบกดดันมนุษยชาติ บารอนสรุปเช่นนั้น

 

 

“ข้าขอแนะนำให้พวกเราทั้งหมดเผชิญกับจุดจบอย่างกล้าหาญ เราสามารถขนย้ายผู้คนอพหนีไปในขณะที่ให้ราชวงศ์และชนชั้นสูงของจักรวรรดิยังคงอยู่

แน่นอนว่า อาจมีชนชั้นสูงบางคนพยายามหนี แต่พวกเราจะบังคับให้พวกเขาอยู่ด้วย พวกเราจะเผชิญหน้ากองกำลังจอมมาร ชนชั้นสูงสุดคนในจักรวรรดิจะล้มตายลงในการต่อสู้ครั้งนี้ จักรวรรดิอาจจะล่มสลายด้วยเช่นกัน”

 

“…….”

 

“แต่ถึงอย่างนั้น มนุษยชาติยังคงธำรงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจ”

 

ความเงียบเข้าครอบงำทั้งห้องประชุม

เคิร์ทพยักหน้า เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ให้ราชวงศ์ อัศวิน และชนชั้นสูงทุกคนตายในการสู้รบเพื่อปกป้องเมืองหลวง นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 

การให้ชนชั้นสูงตายนั้นจะทำให้เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายและเหล่าสามัญชนสามารถร่วมมือกันได้อีกครั้ง

การเสียสละเลือดเนื้อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระดูก เพียงแต่คราวนี้เลือดเนื้อนั้นคือ พวกเขาเอง

 

……มันควรจะเป็นเช่นนั้น มีวิธีการอื่นใดนอกจากนี้อีกล่ะ?

 

 

“เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก บารอน วิทเท่นเมียร์”

 

“ขอพระทัยฝ่าบาท”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีวิธีเอาชนะความสูญเสียทั้งสามได้”

 

นายพลต่างประหลาดใจ

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิมองไปรอบห้องอย่างเชื่องช้า แววตาของเธอเหมือนกำลังมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกล

 

“จอมมารดันทาเลี่ยนนั้นได้พูดว่า สิ่งที่ข้าทำนั้นไร้ศีลธรรม ชื่อเสียงของข้าตกต่ำ 

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ยังคงเชื่อและติดตามข้ามาไกลขนาดนี้

ดังนั้นข้าเชื่อว่า พวกเจ้าทั้งหมดสมควรได้ฟังความจริง”

 

“…….”

 

“ข้าคือ คนฆ่า โรเบิร์ต เจ้าชายลำดับ 4 แห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก……น้องชายของข้าเอง”

 

บรรยากาศเย็นเยือก นายพลทั้งหลายต่างมองเจ้าหญิงด้วยความตกตะลึง

 

 

“นี่มันบ้าไปแล้ว……ฝ่าบาท ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน……?”

 

เคิร์ทบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น แต่มันไม่สำคัญหรอก นั่นเป็นเหมือนกับเสียงพูดในใจแทนทุกคนที่อยู่ที่นั่น

 

 

“ข้ารู้ดีว่า ตัวข้านั้นต่างจากทุกคนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ข้าเห็นในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ล้วนมองไม่เห็น ข้ารู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจุดจบของจักรวรรดิในเวลาอันใกล้”

 

ทั้งเต๊นท์กลับเงียบลง มันเป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัดใจ

 

ฮับบวร์กนั้นอยู่ใต้การปกครองของจักรพรรดิ แต่ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิก็ถูกกักตัวอยู่ในเขตของฝ่ายเจ้าหญิง เจ้าชายลำดับ 2 ก็ถูกขังอยู่ในหอคอยที่โดดเดี่ยว

 

จึงเป็นความจริงที่เจ้าหญิงอลิซาเบธนั้นเป็นผู้ปกครองสูงสุดในจักรวรรดิ แม้แต่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรววรดิยังคงพูดถึงการล่มสลาย…….

 

“สิ่งที่จอมมารดันทาเลี่ยนพูดว่า ชนชั้นสูงนั้นเห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ นโบายต่างๆที่ออกมานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเท่านั้น

ราชวงศ์ไม่ยอมทำอะไรเลยกับทั้งกลุ่มคนที่จงรักภักดี และไม่ซื่อสัตย์ ไม่ทั้งขับไล่หรือเนรเทศออกไปที่ไกลๆ 

แม้พวกเราจะเรียกตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิ แต่ความจริงมันก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพเน่าๆเลยด้วยซ้ำ”

 

เจ้าหญิงจักรวรรดิยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

 

“พวกเราต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่ เป้าหมายแรกของข้าคือ การหยุดการวิวาทกันภายในผู้สืบทอด

ตอนนั้นมีผู้สืบทอดถึง 6 คน ไม่รวมข้า มีผู้สืบทอดมากเกินไป

……ข้าจัดการ 2 คน ในขณะที่รูดอร์ฟจัดการอีก 2 คน ”

 

“อะไรนะ……!?”

 

ความตกตะลึงปะทุขึ้นอีกครั้ง

 

เจ้าหญิงจักรวรรดิถากถางตัวเอง

 

“ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ พวกเรามันสายเลือดเดียวกัน ถึงแม้ข้าจะต่างจากพี่ชายข้าในแทบทุกเรื่อง แต่พวกเราก็มีอย่างหนึ่งร่วมกัน นั่นคือ ความเลวทราม ไร้ศีลธรรม ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะลากข้ากับพี่ชายข้าลงก้นบึ้งของนรกด้วยกัน”

บนใบหน้าของเจ้าหญิงนั้นเจือด้วยความโดดเดี่ยว

 

“โรเบิร์ต……น้องชายของข้ามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับญาติทางฝ่ายแม่ แกรนดยุคบรันวิค(Grand Duke Brunswick)ให้การสนับสนุนเขา

แกรนดยุคนั้นตั้งใจจะวางตัวให้โรเบิร์ตเข้าร่วมสงครามชิงบัลลังค์

สายสัมพันธ์กับทางฝ่ายแม่ของพวกเรานั้นจะเป็นอุปสรรคขัดขวางเสถียรภาพของจักรวรรดิ ดังนั้น ข้าจึงฆ่าโรเบิร์ตโดยไม่ลังเล”

 

“…….”

 

“เขานั้นเป็นเด็กที่ใสซื่อ เด็กน้อยที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับการเมืองจักรวรรดิหรือแม้แต่เครือข่ายของมารดา

สำหรับโรเบิร์ต ข้าก็เป็นพี่สาวที่ใจดี โรเบิร์ตไม่ได้ตายในฐานะเจ้าชายลำดับที่ 4 ของจักรวรรดิ หากแต่ตาย ในฐานะน้องชายของข้า อลิซาเบธ…….”

 

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิหัวเราะแห้งๆออกมา

 

“จอมมารนั่นพูดไม่ผิดหรอก ข้ามันน่าขยะแขยง เป็นฆาตกรที่ต่ำยิ่งกว่าขยะ เป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดมาเพื่อปกป้องจักรวรรดิโดยการเหยียบย่ำไปบนซากศพมากมาย นั่นแหละคือ สันดานแท้ๆของข้า”

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 152 ยุคแห่งเหล่าทรราช (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 152 ยุคแห่งเหล่าทรราช (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อได้ยินคำประกาศที่ชัดแจ้ง

 

พวกเขาถูกบอกว่า ให้โยนเมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์อันเกรียงไกรนับ 500 ปี ทิ้งไป พวกเขาต้องบังคับให้ประชาชนของเมืองหลวงที่ตั้งรกร้างและเปี่ยมด้วยความภูมิใจ หนีการไล่ล่าราวกับเป็นฝูงสัตว์

 

และทำให้มันแย่ลงไปอีกด้วยการขุดสุสานของจักรพรรดิ์องค์ก่อนๆเพื่อหาเงิน 

 

 

ทรราช 

 

เคิร์ทกลืนน้ำลาย คำๆเดียวเท่านั้นที่ผุดขึ้นมาในหัวนายพลทุกคนที่นั่งอยู่ในเต๊นท์

 

มีใครบางคนพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบที่เย็นเชียบ

 

“……ฝ่าบาท พวกเราเข้าใจดีว่า ท่านนั้นทนุถนอมคนของท่านเพียงใด”

เคิร์ทหันไปหาเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ บารอน วิทเท่นเมียร์( Baron 

Wittenmyer) เขาเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นชายผู้มีผมสีขาวตั้งแต่ยังหนุ่ม เขานั้นดูหดหู่ซึมเซาเช่นเดียวกับการที่มีถุงใต้ตา

 

‘อ้อ นั่นมันนายพลพ่อคนฉลาด’

เคิร์ทแอบเดาะลิ้นอยู่ในใจ

 

เขาไม่ใช่สมาชิกที่อยู่ฝ่ายเจ้าหญิงจักรวรรดิมาตั้งแต่ต้น

บุคคลที่มีความสามารถที่เคยอยู่กับฝ่ายเจ้าชายลำดับที่ 1 และ 2 นั้น หรืออยากถอยห่างจากความขัดแย้งก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

ในหมู่คนพวกนั้น บารอนวิทเท่นเมียร์ เป็นชายหนุ่มที่เคยเข้าร่วมฝ่ายมกุฏราชกุมารก่อนที่จะย้ายมาอยู่ฝ่ายเจ้าหญิง

 

เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์ นั้นได้แต่รู้สึกไม่ค่อยพอใจนักกับบารอน วิทเท่นเมียร์ บารอนนั้นออกจะมีจริยธรรมมากจนเกินไป เคิร์ทได้ยินว่า เขาแทบไม่เคยออกไปกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย จึงได้แต่สงสัยว่า ความสุขของบารอนผู้นี้คืออะไรกันแน่

 

“ฝ่าบาทนั้นตื่นขึ้นมาก่อนใคร และหลับหลังใครทุกคน

ในช่วงเวลาที่ทหารกำลังหิวโหยกัน เจ้าหน้าที่บัญชาการชาติอื่นต่างกินอาหารกันอย่างฟุ่มเฟือยอย่างหมูย่าง แต่ถึงกระนั้นฝ่าบาทก็ยังคนกินอาหารแบบเดียวกันกับพวกเรา”

 

“นั่นมันแค่เสแสร้งแกล้งทำ”

เจ้าหญิงจักรวรรดิตอบโดยไม่ลังเล

 

 

เคิร์ท ชไลเออมาเคอร์นั้นถึงกับอึ้งตอนที่ฟังบทสนทนานั่น เจ้าหญิงจักรวรรดิเรียกการกระทำดีของตนว่า เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ

จะมีนักปกครองคนใดทำแบบนี้ได้บ้าง? เคิร์ทนั้นรู้สึกดีๆกับบุคคลที่ยังยอมรับว่าการกระทำของตนนั้นเป็นไปเพื่อหลอกลวงผู้อื่น

 

บารอน วิทเท่นเมียร์ยังคงพูดต่อ

 

“แน่นอน ฝ่าบาทนั้นปฏิเสธที่จะสวมชุดการทหารที่ทำอย่างปราณีตแล้วสวมชุดหลุดลุ่ย ชุดเสื้อผ้าเก่าเปื่อยเหมือนนักบวช ที่นอนของท่านก็เช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ระดับต่ำ

……แน่นอน ผมรู้ว่าทั้งหมดนี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยทหาร”

 

“บารอน วิทเท่นเมียร์!”

นายพลสูงอายุตะคอกขึ้น

 

 

“ไม่เป็นไร”

เจ้าหญิงยกมือขวาขึ้นเพื่อหยุดนายพลสูงวัย ดวงตาของเธอส่งสัญญาณให้วิทเท่นเมียร์พูดต่อ

 

 

“ถึงอย่างนั้น คำโกหกกับความจริงก็ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ผมเชื่อว่า มันมีความจริงอยู่ในทุกๆคำโกหก

ความสามารถอันชำนาญในการใช้งานทั้งความจริงและคำโกหก……

ฝ่าบาทอาจจะระบุว่านั่นเป็นเพียงการลวงหลอก แต่ข้ากล้าที่จะพูดได้ว่า นั่นเป็นคุณงามความดีของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่”

 

พ่อคนฉลาดนี่พูดอะไรดีๆเป็นกับเขาด้วยแฮะ?

 

ทัศนคติของเคิร์ทเปลี่ยนไป พ่อคนฉลาดวิทเท่นเมียร์ไม่ได้พยายามโต้แย้งเรื่องการที่ทิ้งเมืองหลวงไป หากแต่เขากลับพูดถึงเรื่องที่ว่า พวกเราสามารถรักษาศักดิ์ศรีของจักรวรรดิไว้

 

บารอนยังคงพูดต่อ

 

“ความฉลาดหลักแหลมของผมอาจมีไม่มากนัก แต่ผมก็มั่นใจว่า ฝ่าบาทนั้นคู่ควรต่อการเป็นนักปกครองยิ่งกว่าใครทั้งนั้น ความจริงที่ว่า บุคคลที่มีความสามารถอย่างท่านสามารถตัดสินใจเยี่ยงทรราชได้

……ผมเชื่อว่า มันมีทั้งข้อดีข้อเสียในการตัดสินใจของท่าน ผมปรารถนาที่จะรู้ว่า ท่านได้ตระหนักถึงข้อดีข้อเสียเหล่านั้นอย่างไรบ้าง”

 

บารอน วิทเท่นเมียร์มองไปรอบห้อง

 

“ผมเชื่อว่า คนอื่นในที่นี้ก็คงสงสัยเช่นนั้นเหมือนกัน”

บรรยากาศในห้องนั้นเปลี่ยนไปทันที ผู้คนทั้งหลายไม่อาจตำหนิประณามเจ้าหญิงที่มอบคำสั่งที่แสนจะเผด็จการ

 

ตอนนี้พวกเขาอยากรู้ว่า ทำไมเจ้านายผู้ชาญฉลาดของพวกเขานั้นกลับตัดสินใจหุนหันอย่างนั้น พวกเขาหันไปมองเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิด้วยสีหน้าจริงจัง

 

‘ว้าว สมแล้วที่เป็นพ่อคนฉลาด’

เคิร์ทนั้นประทับใจจริงๆ

บารอนที่เดินออกมาพูดต่อหน้าทุกคน ทีแรกเขาเริ่มด้วยการยั่วแหย่เรื่องความดีงามของเจ้าหญิง พอทำแบบนั้นผู้ภักดีต่อองค์หญิงก็โกรธขึ้น นั่นก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนบรรยากาศในห้องประชุมแล้ว

 

แล้วเขาก็กลับเปิดเผยว่า ที่เขายั่วยุนั้นเป็นคำชมต่างหาก เขาพูดเรื่องที่ว่าทุกความจริงนั้นมีคำโกหกที่ซ่อนแฝงอยู่ และนั่นแหละคือ คุณงามความดีของนักปกครอง

ทุกคนต่างรู้ดีว่า ในความเป็นจริงโลกมันเป็นอย่างไร พวกเขาจึงรู้ว่านั่นต่างหากที่เป็นความดีงามของผู้นำที่ยิ่งใหญ่

 

ทุกคนต่างเห็นด้วยกับเจตนาของ บารอน วิทเท่นเมียร์ พวกเขาก็อยากจะถามคำถามเดียวกันเช่นกัน……. ทำไมเจ้าหญิงถึงได้ตัดสินใจใช้แผนการที่ดูยังไงก็เป็นการเห็นแก่ตัว? และจะได้อะไรจากการทำแบบนี้?

 

‘เขานี่ช่างรู้จักการนำเสนอตัวเองจริงๆนะ ข้าไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย’

เคิร์ทนั้นรับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปและแอบขอบคุณพ่อคนฉลาด เขาหายประหลาดใจและกลับมารอคอยคำตอบของเจ้าหญิงแทน

 

แล้วเจ้าหญิงอลิซาเบธก็พูดขึ้น

 

 

“บารอน วิทเท่นเมียร์ ตอบคำถามข้าด้วย ฮับบวร์กจะสูญเสียสิ่งใดไปหากละทิ้งเมืองหลวง?”

 

“รับทราบครับ ด้วยการละทิ้งเมืองหลวง จะมีความสูญเสียสามอย่าง ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว”

บารอน วิทเท่นเมียร์ตอบโดยไม่ลังเล

 

“ก่อนอื่นเลย ในแง่ความเสียหายระยะสั้น พวกเราจะสร้างบาดหมางให้แก่จิตใจของประชาชน พวกเราได้ทำลายดินแดนของชาติเราเองด้วยการใช้กลยุทธเผาที่ดิน

ผู้คนจำนวนมากเสียบ้านของตนไปและต้องไปตั้งค่ายลี้ภัยใกล้เมืองหลวงแทน กำลังใจของประชาชนในตอนนี้ขาดความมั่นใจเป็นอย่างมาก

…….หากพวกเราประกาศไปอีกว่า จะละทิ้งเมืองหลวง ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของจักรวรรดิ พวกเขาย่อมต้องลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างไม่ต้องสงสัย”

 

นายพลคนอื่นต่างผงกหัวเห็นด้วย

 

ถูกแล้วล่ะ การลุกขึ้นมาก่อกบฏเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาต่างกลัว

โดยปรกติแล้ว คุณจะสามารถใช้กองทัพทหารกดข่มไว้ได้ แต่สถานการณ์เช่นนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย

 

“กองทัพจอมมารสร้างความวุ่นวายให้แก่เราจากภายนอก ในขณะที่ผู้คนที่สับสนต่างสร้างความวุ่นวายให้แก่เราจากภายใน ทั้งยังมีสมาชิกที่เหลืออยู่ของฝ่ายเจ้าชาย ลำดับที่ 1 และ 2 ที่รอฉวยโอกาสนี้อยู่แล้ว จักรวรรดิจะเข้าสู่การล่มสลาย”

 

“แล้ว ความสูญเสียระยะกลางล่ะ?”

 

“คณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหารกิจการภายในจักรวรรดิจะถูกทำลาย”

บารอนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“คณะผู้บริหารทั้งหลายนั้นไม่ได้แค่จัดการเฉพาะกับลูกน้องข้ารับใช้ของตน แต่ยังมีเอกสารรายงาน ภารกิจที่ล้นมืออยู่แล้วด้วย รวมถึงการประกาศนโยบาย แผนงานต่างๆนั้น ก็ต้องจัดการผ่านคณะเจ้าหน้าที่บริหารทั้งหลาย

หากพวกเขาละทิ้งเมืองหลวง……ทั่วทั้งจักรวรรดิจะเกินความอลหม่านกันอย่างรุนแรงต่อให้พวกเราสามารถปราบกบฏได้แล้วก็ตาม”

 

สมแล้วที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ที่คอยควบคุมดูแลคณะผู้บริหารในกองทหาร เจ้าหญิงยังคงถามคำถามต่อไป ในขณะที่คนอื่นต่างพยักหน้าเห็นด้วย

 

“แล้วความสูญเสียระยะยาวล่ะ?”

 

 

“มนุษย์นั้นอาจไม่มีกำลังเหลือพอที่จะสู้กับกองทัพจอมมารได้อีก นี่ก็ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่จอมมารได้กล่าวปราศรัย

…….สถานการณ์ของพวกเราอาจดูเหมือนยังไม่เป็นอะไร หากแต่มีความขัดแย้งภายในระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงกับพลทหารในกองทัพของชาติอื่นๆ

ผมได้ยินว่า เป็นปัญหาเรื่องการที่ไม่อาจควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาได้”

 

เสียงร้องด้วยความไม่พอใจดังขึ้นหลายแห่งในห้อง ผู้คนต่างรู้ดีกว่ามันรู้สึกอย่างไรหากทหารไม่เชื่อใจผู้บัญชาการของตนเสียแล้ว

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พวกเขาจำต้องออกไปรบในแนวหน้าเพื่อเรียกคืนความเชื่อใจของทหาร

 

จึงมีนายพลจำนวนหนึ่งที่ตายในการสู้รบด้วยเช่นกัน

……. ดังนั้นหากไม่มีทั้งความสามารถและโชคดี ก็ไม่อาจมีชีวิตมานั่งฟังประชุมวันนี้ได้

บารอนได้ถอนใจออกมาเบาๆ

 

“การที่ฝ่าบาทบอกให้พวกเราละทิ้งเมืองหลวงท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การเปลี่ยนเมืองหลวงเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ใดกัน?

จักรวรรดินั้นสมควรที่จะปกป้องผู้คนที่กำลังหนีมาพึ่งราชวงศ์…….

เกียรติภูมิของชาติเราจะดิ่งลงเหว การกระทำนั้นไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อฮับบวร์ก แต่ผู้คนจากชาติอื่นก็จะผิดหวังเมื่อมองมาที่เรา พวกเขาจะประณามหยามหมิ่นในสิ่งที่พวกชนชั้นสูงประเทศเราทำ”

 

กองทัพจอมมารใช้เร่งใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นข้ออ้างในการบีบกดดันมนุษยชาติ บารอนสรุปเช่นนั้น

 

 

“ข้าขอแนะนำให้พวกเราทั้งหมดเผชิญกับจุดจบอย่างกล้าหาญ เราสามารถขนย้ายผู้คนอพหนีไปในขณะที่ให้ราชวงศ์และชนชั้นสูงของจักรวรรดิยังคงอยู่

แน่นอนว่า อาจมีชนชั้นสูงบางคนพยายามหนี แต่พวกเราจะบังคับให้พวกเขาอยู่ด้วย พวกเราจะเผชิญหน้ากองกำลังจอมมาร ชนชั้นสูงสุดคนในจักรวรรดิจะล้มตายลงในการต่อสู้ครั้งนี้ จักรวรรดิอาจจะล่มสลายด้วยเช่นกัน”

 

“…….”

 

“แต่ถึงอย่างนั้น มนุษยชาติยังคงธำรงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจ”

 

ความเงียบเข้าครอบงำทั้งห้องประชุม

เคิร์ทพยักหน้า เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ให้ราชวงศ์ อัศวิน และชนชั้นสูงทุกคนตายในการสู้รบเพื่อปกป้องเมืองหลวง นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 

การให้ชนชั้นสูงตายนั้นจะทำให้เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายและเหล่าสามัญชนสามารถร่วมมือกันได้อีกครั้ง

การเสียสละเลือดเนื้อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกระดูก เพียงแต่คราวนี้เลือดเนื้อนั้นคือ พวกเขาเอง

 

……มันควรจะเป็นเช่นนั้น มีวิธีการอื่นใดนอกจากนี้อีกล่ะ?

 

 

“เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก บารอน วิทเท่นเมียร์”

 

“ขอพระทัยฝ่าบาท”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็มีวิธีเอาชนะความสูญเสียทั้งสามได้”

 

นายพลต่างประหลาดใจ

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิมองไปรอบห้องอย่างเชื่องช้า แววตาของเธอเหมือนกำลังมองไปยังที่ที่ไกลแสนไกล

 

“จอมมารดันทาเลี่ยนนั้นได้พูดว่า สิ่งที่ข้าทำนั้นไร้ศีลธรรม ชื่อเสียงของข้าตกต่ำ 

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ยังคงเชื่อและติดตามข้ามาไกลขนาดนี้

ดังนั้นข้าเชื่อว่า พวกเจ้าทั้งหมดสมควรได้ฟังความจริง”

 

“…….”

 

“ข้าคือ คนฆ่า โรเบิร์ต เจ้าชายลำดับ 4 แห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก……น้องชายของข้าเอง”

 

บรรยากาศเย็นเยือก นายพลทั้งหลายต่างมองเจ้าหญิงด้วยความตกตะลึง

 

 

“นี่มันบ้าไปแล้ว……ฝ่าบาท ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน……?”

 

เคิร์ทบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น แต่มันไม่สำคัญหรอก นั่นเป็นเหมือนกับเสียงพูดในใจแทนทุกคนที่อยู่ที่นั่น

 

 

“ข้ารู้ดีว่า ตัวข้านั้นต่างจากทุกคนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ข้าเห็นในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ล้วนมองไม่เห็น ข้ารู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจุดจบของจักรวรรดิในเวลาอันใกล้”

 

ทั้งเต๊นท์กลับเงียบลง มันเป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัดใจ

 

ฮับบวร์กนั้นอยู่ใต้การปกครองของจักรพรรดิ แต่ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิก็ถูกกักตัวอยู่ในเขตของฝ่ายเจ้าหญิง เจ้าชายลำดับ 2 ก็ถูกขังอยู่ในหอคอยที่โดดเดี่ยว

 

จึงเป็นความจริงที่เจ้าหญิงอลิซาเบธนั้นเป็นผู้ปกครองสูงสุดในจักรวรรดิ แม้แต่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรววรดิยังคงพูดถึงการล่มสลาย…….

 

“สิ่งที่จอมมารดันทาเลี่ยนพูดว่า ชนชั้นสูงนั้นเห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ นโบายต่างๆที่ออกมานั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเท่านั้น

ราชวงศ์ไม่ยอมทำอะไรเลยกับทั้งกลุ่มคนที่จงรักภักดี และไม่ซื่อสัตย์ ไม่ทั้งขับไล่หรือเนรเทศออกไปที่ไกลๆ 

แม้พวกเราจะเรียกตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิ แต่ความจริงมันก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพเน่าๆเลยด้วยซ้ำ”

 

เจ้าหญิงจักรวรรดิยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

 

“พวกเราต้องการการปฏิรูปครั้งใหญ่ เป้าหมายแรกของข้าคือ การหยุดการวิวาทกันภายในผู้สืบทอด

ตอนนั้นมีผู้สืบทอดถึง 6 คน ไม่รวมข้า มีผู้สืบทอดมากเกินไป

……ข้าจัดการ 2 คน ในขณะที่รูดอร์ฟจัดการอีก 2 คน ”

 

“อะไรนะ……!?”

 

ความตกตะลึงปะทุขึ้นอีกครั้ง

 

เจ้าหญิงจักรวรรดิถากถางตัวเอง

 

“ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ พวกเรามันสายเลือดเดียวกัน ถึงแม้ข้าจะต่างจากพี่ชายข้าในแทบทุกเรื่อง แต่พวกเราก็มีอย่างหนึ่งร่วมกัน นั่นคือ ความเลวทราม ไร้ศีลธรรม ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะลากข้ากับพี่ชายข้าลงก้นบึ้งของนรกด้วยกัน”

บนใบหน้าของเจ้าหญิงนั้นเจือด้วยความโดดเดี่ยว

 

“โรเบิร์ต……น้องชายของข้ามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับญาติทางฝ่ายแม่ แกรนดยุคบรันวิค(Grand Duke Brunswick)ให้การสนับสนุนเขา

แกรนดยุคนั้นตั้งใจจะวางตัวให้โรเบิร์ตเข้าร่วมสงครามชิงบัลลังค์

สายสัมพันธ์กับทางฝ่ายแม่ของพวกเรานั้นจะเป็นอุปสรรคขัดขวางเสถียรภาพของจักรวรรดิ ดังนั้น ข้าจึงฆ่าโรเบิร์ตโดยไม่ลังเล”

 

“…….”

 

“เขานั้นเป็นเด็กที่ใสซื่อ เด็กน้อยที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับการเมืองจักรวรรดิหรือแม้แต่เครือข่ายของมารดา

สำหรับโรเบิร์ต ข้าก็เป็นพี่สาวที่ใจดี โรเบิร์ตไม่ได้ตายในฐานะเจ้าชายลำดับที่ 4 ของจักรวรรดิ หากแต่ตาย ในฐานะน้องชายของข้า อลิซาเบธ…….”

 

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิหัวเราะแห้งๆออกมา

 

“จอมมารนั่นพูดไม่ผิดหรอก ข้ามันน่าขยะแขยง เป็นฆาตกรที่ต่ำยิ่งกว่าขยะ เป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดมาเพื่อปกป้องจักรวรรดิโดยการเหยียบย่ำไปบนซากศพมากมาย นั่นแหละคือ สันดานแท้ๆของข้า”

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+