Dungeon Defense (WN) 157 ยุคแห่งเหล่าทรราช (7)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 157 ยุคแห่งเหล่าทรราช (7) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นขาดครึ่ง

 

การฟันนั้นไม่ได้เรียบเนี๊ยบนัก ใบมีดของขวานนั้นออกจะทื่อและทะลวงลงจากส่วนบนจนถึงส่วนล่าง

 

ท่อนเนื้อและของเหลวสีแดงกระจายไปทั่ว ของแข็งที่กระทบกับขวานคือ กระดูกของผู้หญิงคนนั้น เบเลธเอนจอยกับแรงสะเทือนที่สะท้อนกลับมาที่ฝ่ามือ

ถึงอย่างไรก็ตามร่างนั้นก็แบ่งครึ่งอย่างน่าขนลุกตั้งแต่กระโหลกศีรษะไปจนถึงกระดูกเชิงกราน

 

ดาบทั้งหลายกลับกลายเป็นเงา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ร่างทั้งร่างก็ไม่อาจทรงอยู่ได้ต่อไปและร่วงหล่นไปตามทิศทางของมัน นั่นดูไม่เหมือนดอกไม้สีแดงกำลังผลิบานหรอกรึ? เบเลธคิดเช่นนั้น แต่ก็มิได้รู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น

 

“ฮืม ฮื้อออ หนับ กุบกับ หนับ กุบกับ ”

 

เบเลธนั้นฮัมเพลง เขาเดินผ่านร่างของผู้หญิงคนนั้นที่ผ่าเป็นซีก เหยียบเครื่องที่กองที่อยู่บนพื้น ท่ามกลางฝุ่นที่ตีคลุ้งขึ้นมาหลังจากประตูถล่ม เบเลธยังคงเดินสบายๆไม่ต่างจากการเดินเล่นในยามเช้า

 

นักดาบหญิงคนนั้นเจอจุบจุดที่น่าสังเวช ต่อให้เป็นฉายา <ผู้ชำนาญดาบ> มันก็ยังเป็นความตายอันว่างเปล่าอยู่ดี

ถึงอย่างนั้น ความตายของเธอไม่ไร้ความหมายเสียทีเดียว เธอสามารถยื้อเวลาของจอมมารเบเลธได้ชั่วครู่ ชั่วครู่นั้นก็เพียงพอให้ทหารจักรวรรดิมารวมกันที่ประตู

 

“จัดรูปขบวน!”

 

ผู้บัญชาการของป้อมปราการนั้นลงมาจากเนินกำแพง

จอมมารได้มาถึงแล้ว ไม่มีทางที่คนของเขาจะทนได้ หากตัวเขาไม่ออกมายืนแนวหน้าในฐานะผู้ชำนาญดาบ เขามองไปที่ประตูเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนขอเขา

 

“กับ กุบ , กรับ , กูมม กูมลา กับ”

ฝุ่นควันหนาแน่นยิ่งกว่าก่อนหน้า เสียงฮัมเพลงได้ยินจากในหมอกนั่น ท่วงทำนองนั้นเชื่องช้า จนได้ยินเสียงฝีเท้าเดิมเข้ามาใกล้ได้อย่างชัดเจน

 

ยิ่งไปกว่านั้น เสียงยิ่งดังขึ้นทุกฝีเท้า เสียงฮัมเพลงนั้นเป็นเหมือนท่วงทำนองแห่งความตาย

เงาสีดำค่อยๆปรากฏตัวให้เห็นในฝุ่นพวกนั้น

 

– กุมมม กับ กูมลา กับ

 

– กุบ กุบ กุม กับ กูมลา

 

–  เลลา พาลิเลลา , กูมลา กูมลา

 

มันเป็นเพลงศึกยุคเก่า

 

ในยุคสมัยที่เครื่องดนตรียังไม่ประดิษฐ์ขึ้น เครื่องดนตรีชิ้นเดียวที่มีคือ หลอดเสียงของคุณ ดนตรีนั้นขับร้องโดนปีศาจโบราณที่ไม่มีผู้ติดตามแม้แต่ผู้เดียว

ทำนองอันศักดิ์สิทธิ์มันคล้ายกับเพลงที่ร้องกันในโบสถ์ แต่ที่โหดร้ายกว่าคือ ท่วงทำนองนั้นไม่สอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย เพลงที่ทำให้พวกทหารจักรวรรดิจอมโอ่อวดนั้นกลับประสาทกินขึ้นมา

 

ตั่บ

 

เท้าที่เผยออกมาจากควันฝุ่น เป็นเท้าของจอมมาร

 

ตามมาด้วยฝีเท้านับร้อยออกมาจากฝุ่นสีทอง เดธไน้ท์ที่สวมชุดเกราะดำสนิทยืนเรียงตรงหน้าโดยไม่มีช่องว่างระหว่างกัน

 

ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้เศษฝุ่นพวกนั้นเกาะระหว่างกัน

 

“…….”

 

“…….”

 

ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน บรรยากาศอันเงียบงันตกลงสู่ทั้งกองทัพฝ่ายจักรวรรดิและกองทัพจอมมาร

 

ความรู้สึกแปลกประหลาดพัดผ่านผู้บัญชาการป้อม

จอมมารที่ยืนอยู่ตรงหน้า 

ชายผู้มีร่างกายใหญ่เท่าออเกอร์แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา เขาดูจะมีความสุขล้นปรี่จนใบหน้าเหมือนคนที่กำลังถึงจุดสุดยอด

 

“ข้าคือ นักดาบแร๊ง 1 แห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก ไวโอเฟลท์ ฟอน ราแกร้นท์(Viofalt von Ragrants)”

 

ผู้บัญชาการตะโกนขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“ข้าเชื่อว่า เจ้าเป็นจอมมารที่คู่ควรต่อดาบของข้า ประกาศนามเจ้าออกมา!”

 

“เฮ่อออ เป็นไอ่ทึ่มที่เกินเยียวยาจริงๆ พวกนักรบจักรวรรดินี่เป็นอย่างนี้กันหมดเลยเหรอ?”

 

เบเลธส่ายหัว

 

 

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของจักรวรรดิหรือแร๊ง 1 นักดาบอะไรนั่นมันสำคัญที่ไหนกัน เจ้าไม่ใช่นักรบหรือยังไงกันล่ะ? พูดมาให้ดีๆสิ”

 

เบเลธใช้มือซ้ายที่ไม่ได้ถือขวาชี้ขึ้นฟ้า

 

“ท้องฟ้าอยู่บนหัวเรา ผืนดินอยู่ใต้ตีนเรา นักรบก็เป็นคนที่พอใจที่ได้เหวี่ยงอาวุธในมือ อะไรที่นอกเหนือไปจากนั้น ชื่อเสียง เกียรติยศ มารยาท พวกนั้นมันเป็นส่วนเกิน”

 

“…….”

 

“ข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ข้าเป็นจอมมาร ชื่อของข้า คือ เบเลธ ผู้ที่จะมาสู้กับเจ้า เอาชนะเจ้า และยั่วล้อเจ้า! คุฮ่าฮ่าฮ่า!”

เบเลธพุ่งเข้าไปเหมือนหมูป่า ร่างกายของเขาเป็นดั่งกระสุนปืนใหญ่

เดธไน้ท์นับร้อยตามหลังเบเลธ พวกเขาคำรามอย่างดุร้ายขณะพุ่งเข้าไปเหมือนฝูงนกทะเลโฉบเหยื่อ

 

ทหารจักรวรรดิที่ไม่อยากแพ้จึงตะโกนลั่นและวิ่งเข้าใส่ นักดาบคนนั้นสร้างกระบวนทัพรูปแบบปิด ก่อนจะดำดิ่งสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน

 

“คุฮ่าาาาา!”

 

“ดันมันให้ถอยไป! ฆ่ามันให้หมด!”

 

ทางแคบๆตรงหน้าประตูกลับกลายเป็นสนามรบที่โหดร้ายไปในทันที ทั้งหอกต่อโล่ ดาบต่อดาบ ปะทะกันจนเกิดเสียงโลหะกระทบดังไปทั่วผืนฟ้า

 

นักรบที่ถือโล่แล้วโดนดันถอยกลับมาตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด

มวลอากาศสั่นไหวตอนที่มนุษย์ตะโกนขึ้น ในขณะเดียวกันมานาในอากาศก็เพิ่มสูงตอนที่ปีศาจตะโกนขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

เสียงนั่นเป็นเหตุให้หูอื้อ และกล้ามเนื้อของทุกคนสั่นกระตุกด้วยความตื่นเต้น

 

“เบเลธ ข้าคือคู่ต่อสู้ของแก!”

 

ผู้บัญชาการป้อมปราการถือคทาเหล็ก เขามาพร้อมกับเป้าหมายที่หวังเผชิญหน้ากับจอมมาร

ขณะที่อีกฝ่ายแกว่งขวานขนาดมหึมา เขากลับโต้ด้วยอาวุธที่ไม่ใช่ดาบ

 

เสียงสะท้อนที่เต็มไปด้วยมานาของผู้บัญชาการเข้าสู่ใบหูของเบเลธ

 

“คุฮุ!”

 

เบเลธหัวเราะออกมาดังๆ เบเลธนั้นขยี้เกราะอกของนักดาบด้วยข้อศอก แม้มันจะมีออร่าสีฟ้าคุ้มกันอยู่แต่ก็พังโดยง่าย นักดาบกระอักเลือดออกมาก่อนจะล้มใลงกับพื้น

 

“เจ้ากำลังเรียกชื่อข้าอยู่รึ เจ้ามนุษย์เอ๋ย!?”

เบเลธไม่ได้สวมเกราะใดๆ ผิวหนังของร่ายกายท่อนบนที่เป็นสีทองแดงนั้นเผยออกมา เกิดรอยตัดสีแดงบนร่าง แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เป็นดั่งเกราะของเบเลธคือ การฟื้นฟูบาดแผลในระดับน่ากลัว

 

ผู้บัญชาการป้อมปราการและเบเลธวิ่งเข้าใส่กัน ระยะไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป กระโดดเพียงครั้งเดียวทั้งคู่ก็ชนกันแล้ว ยามเมื่อขวานและคทาเหล็กปะทะกัน ประกายแสงก็สว่างวาบ

 

“คุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ยอดเยี่ยม!”

 

เบเลธหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาสามารถปัดป้องคทาฟ้าได้เชี่ยวชาญด้วยขวานของตน ก่อนที่จะแทงด้วยด้ามขวาน

ผู้บัญชาการป้อมปราการบล็อคด้วยศอกก่อนจะฉวยโอกาสลดช่องว่างระยะห่างลงอีก

 

เบเลธตะโกนใส่ผู้บัญชาการป้อมที่อยู่ตรงหน้า

 

“จงเป็นปฏิปักษ์ต่อข้า! จงดูถูกข้า! จงแยกเขี้ยวใส่ข้า! เบเลธผู้นี้!”

 

“ไร้สาระ!”

ผู้บัญชาการป้อมต่อยท้องของเบเลธด้วยหมัดขวา กำปั้นของเขาโดนบล็อคไว้ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งเหมือนดั่งเหล็กกล้า

 

― เป็นไปอย่างที่ผู้บัญชาการคิดไว้ จอมมารนั้นมีร่างกายเหมือนดั่งอสุรกาย เบเลธไม่ร้องอะไรออกมา เขาเพียงแต่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไป ผู้บัญชาการถอนในทันทีเมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองไม่ได้ผล

 

“ข้ารู้สึกได้ถึงชีวิตยามที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าดูถูกข้า!”

 

เบเลธตะโกนออกมาอย่างเร่าร้อนราวกับเป็นเด็กสาวที่กำลังจะสารภาพรัก เขายกขวานขึ้นและฟาดลงอย่างหนักหน่วง ผู้บัญชาการรีบยกไม้คทาขึ้นบล็อคการโจมตีนั้นในทันที

 

ขวานนั้นโถมแรงใส่ไม้คทา ผู้บัญชาการจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอยหลังเพื่อลดแรงกระแทกลง

 

“คูททท”

 

“ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลก มนุษย์อย่างพวกแกก็ดูถูกข้า! 

พวกแกคือ ตัวตนเดียวที่เผชิญหน้ากับข้าด้วยความเกลียดชังที่แสนบริสุทธิ์!”

 

จอมมารนั้นเป็นดั่งราชันย์ที่สามารถรับรู้ความรู้สึกผู้อื่นและเข้าใจได้ในทันที

แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ จอมมารไม่อาจอ่านอารมณ์มนุษย์ได้

 

นับแต่ที่เบเลธพบว่า มีสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์อยู่ เขาก็สาบานว่าจะรบกับพวกนั้นไปตลอดกาล

 

มนุษย์ไม่เชื่อฟังเขา ดังนั้นจึงควรค่าแก่การพิชิต

มนุษย์ไม่ทำตามใจเขา ดังนั้นจึงควรค่าแก่การทำให้ยอมจำนน

มนุษย์ไม่ยอมรับเขา ดังนั้นจึงควรค่าแก่การฆ่าทิ้ง

 

มนุษย์นั้นต่างจากปีศาจโดยสิ้นเชิง เหตุผลข้อเดียวที่ทำให้เบเลธเข้าร่วมกับฝ่ายที่ราบนั่นก็คือ พวกฝ่ายนั้นเป็นผู้ที่มีเจตนาเข่นฆ่าพวกมนุษย์มากที่สุด

ประนีประนอมเจรจากับมนุษย์รึ?! พูดอะไรบ้าๆ เบเลธเชื่อว่า ปีศาจและมนุษย์มีไว้เพื่อสู้รบกันอยู่แล้ว

 

และหากไม่เป็นอย่างนั้น จะมีมนุษย์กับปีศาจไว้ทำไมกันล่ะ?

“อ๋าาา! ข้านี่รักมนุษย์เสียจริงๆ!”

จอมมารไม่อาจอ่านอารมณ์จอมมารอื่นได้ จอมมารไม่อาจอ่านอารมณ์มนุษย์ได้

ดังนั้นตัวตนของมนุษย์จึงไม่ต่างจากจอมมารเลยสำหรับเบเลธ ทั้งคู่ถือว่าเสมอกันสำหรับเขา 

การที่ปีศาจยอมจำนนเขามันไม่มีความสนุกเลยแม้แต่น้อย

แต่การที่ทำให้มนุษย์ยอมจำนนนั่นต่างหากเป็นความหมายของการมีอยู่ของเขา

 

 

ศพที่กองพะเนินสูงเป็นทางยาวไปสู่ประตู เสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังไปทั่ว เสียงคำรามของผู้ชนะและเสียงร้องไห้ของผู้แพ้

เสียงพวกนั้นสอดประสานกันแล้วก่อให้เกิดนรกบนดิน

นรกที่เป็นดั่งบ้านเกิดของจอมมารลำดับ 13 เบเลธ

 

เบเลธนั้นแกว่งขวานเหมือนไต้ฝุ่น

“มีเท่านี้หรือเจ้ามนุษย์!? ความเกลียดชังของพวกแกมันมีเท่านี้เองรึ!?”

 

“คูฟฟ!”

 

“ข้าจะทำลายบ้านเกิดพวกแก! ทั้งเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ทั้งอ่อนแอที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ข้าจะเข่นฆ่าไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว

ทุ่งข้าวของพวกแกจะถูกเผา หมู่บ้านที่สร้างมานับร้อยปีจะถูกทำลาย อ่า! ข้าสาบานต่อสิ่งนี้!”

 

เบเลธตะโกนขึ้น

 

“ข้าจะทำลายทุกสิ่งที่เจ้ามี ข้าจะข่มขืนเมียจ้าแล้วตัดแขนลูกหลานเจ้าทิ้งแล้วเอาตัวมาตั้งโชว์ ข้าจะเปลี่ยนผู้ปกครองเจ้าให้เป็นอาหารหมู!”

 

ผู้บัญชาการรวบรวมออร่าเพื่อรับขวาน

 

 

“เบ―เลธ!”

 

“หากเจ้าอยากจะช่วยพวกเขา ก็จะใส่มาให้สุด เจ้ามนุษย์! ฆ่าข้าให้ได้!”

 

ผู้บัญชาการแกว่งไม้คทา แรงกระแทกนั้นรุนแรงมากเสียจนทำให้มือของเบเลธนั้นชา

เขายังคงใช้ออร่าที่สะสมไว้ทั้งหมด เขาเพิกเฉยต่อคำสั่งของเจ้าหญิงอลิซาเบธที่สั่งให้ป้องกันที่นี่ให้ถึง 4 วัน 

 

เบเลธหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

อย่างนั้นแหละ สงครามอย่างนั้นแหละที่เขาถวิลหา 

เขารู้อย่างดีว่า มนุษย์ที่เป็นนักดาบนั้นมีศักยภาพขนาดไหน 

เขาเองก็ต้องอุตสาหะอย่างเต็มที่เพื่อให้มาถึงจุดนี้ กล้ามเนื้อของเขาขยายตัวเป็นหมื่นเท่า ก่อนจะแกว่งดาด้วยจิตใจที่ว่างเปล่าเพื่อให้ไปถึงจุดสูงสุด พูดง่ายๆ มันเป็นการทุ่มเททั้งชีวิตของนักดาบคนหนึ่ง

 

มันหนักมาก!

คุณค่าของชีวิตมันหนักถึงเพียงนี้!

 

“คุฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

เจ้าผ่านวันผ่านคืนมานานเท่าไหร่? 

เจ้าได้เคยสงสัยในสติปัญหาของตนมากี่ครั้ง? 

เจ้ารู้สึกพอใจยามที่ได้แสดงความภักดีต่อนายตนไหม? 

เจ้าได้รู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของการหยั่งรู้ขณะแกว่งดาบหรือไม่?

นั่นคือ ชีวิตของเจ้าหรือ?

 

เบเลธรับพลังชีวิตทั้งหมดนั่นไปและยกขวานขึ้นอีกครั้ง

 

“ไวโอเฟลท์ ฟอน ราแกร้นท์! ข้าจะจบ―ชีวิตของเจ้าซะ!”

 

ดวงตาของผู้บัญชาการเบิกกว้าง

หรือเขากำลังตกใจกับการที่จอมมารจดจำชื่อของเขาได้?

 

เบเลธแกว่งลงด้วยกำลังทั้งหมด ผู้บัญชาการสามารถบล็อคไว้ได้ แต่ก็แค่ครั้งเดียว

 

 

“พังทลายซะ!”

 

จากบนลงล่าง จากขวาไปซ้าย จากซ้ายไปขวา เป็นแนวทแยง เบเลธกวัดแกว่งขวานอย่างต่อเนื่อง ผู้บัญชาการเบนแรงหลังถูกฟาด

 

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้บล็อคมันได้เพราะอ่านวิถีออก แต่เขาแค่ขยับแขนได้ทันการฟาดในแต่ละครั้ง

 

มนุษย์ผู้อ่อนล้ากำลังอดทนต่อน้ำหนักของจอมมารที่ใช้ชีวิตมากว่า 1,500 ปี

 

อาจมีสักวันหนึ่งที่มนุษย์อาจทนการโจมตีของจอมมารได้

เมื่อวันนั้นมาถึง มนุษย์ทั้งหลายจะเอาชนะจอมมารได้

แต่ถึงอย่างนั้น

“จงแหลกสลายต่อหน้าข้าซะ มนุษย์!”

ออร่าที่เคลือบไม้เท้าหายไป ขวานของเบเลธนั้นเจาะใบหน้าของผู้บัญชาการทั้งที่สีหน้ายังแสดงความประหลาดใจ คมขวานนั้นขยี้หัวไปจนถึงลำคอและอกอย่างน่าสยดสยอง

 

 

“―ครูฮ่าาา!”

 

เบเลธดึงขวานออกมาและคำรามเหมือนสัตว์ป่า

 

แต่วันนั้น ยังไม่ใช่วันนี้ เหมือนเช่นเคย เส้นทางแห่งอดีต 1,500 ปี ยังคงดำเนินต่อไปอีก

 

ผู้ที่มีชีวิตในวันนี้ต่อไปมิใช่ มนุษย์หากแต่เป็นจอมมารลำดับ 13 เบเลธ แผ่นดินสะเทือนด้วยความหวาดกลัวและนับถือในชัยชนะของจอมมาร

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 157 ยุคแห่งเหล่าทรราช (7)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 157 ยุคแห่งเหล่าทรราช (7) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นขาดครึ่ง

 

การฟันนั้นไม่ได้เรียบเนี๊ยบนัก ใบมีดของขวานนั้นออกจะทื่อและทะลวงลงจากส่วนบนจนถึงส่วนล่าง

 

ท่อนเนื้อและของเหลวสีแดงกระจายไปทั่ว ของแข็งที่กระทบกับขวานคือ กระดูกของผู้หญิงคนนั้น เบเลธเอนจอยกับแรงสะเทือนที่สะท้อนกลับมาที่ฝ่ามือ

ถึงอย่างไรก็ตามร่างนั้นก็แบ่งครึ่งอย่างน่าขนลุกตั้งแต่กระโหลกศีรษะไปจนถึงกระดูกเชิงกราน

 

ดาบทั้งหลายกลับกลายเป็นเงา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ร่างทั้งร่างก็ไม่อาจทรงอยู่ได้ต่อไปและร่วงหล่นไปตามทิศทางของมัน นั่นดูไม่เหมือนดอกไม้สีแดงกำลังผลิบานหรอกรึ? เบเลธคิดเช่นนั้น แต่ก็มิได้รู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น

 

“ฮืม ฮื้อออ หนับ กุบกับ หนับ กุบกับ ”

 

เบเลธนั้นฮัมเพลง เขาเดินผ่านร่างของผู้หญิงคนนั้นที่ผ่าเป็นซีก เหยียบเครื่องที่กองที่อยู่บนพื้น ท่ามกลางฝุ่นที่ตีคลุ้งขึ้นมาหลังจากประตูถล่ม เบเลธยังคงเดินสบายๆไม่ต่างจากการเดินเล่นในยามเช้า

 

นักดาบหญิงคนนั้นเจอจุบจุดที่น่าสังเวช ต่อให้เป็นฉายา <ผู้ชำนาญดาบ> มันก็ยังเป็นความตายอันว่างเปล่าอยู่ดี

ถึงอย่างนั้น ความตายของเธอไม่ไร้ความหมายเสียทีเดียว เธอสามารถยื้อเวลาของจอมมารเบเลธได้ชั่วครู่ ชั่วครู่นั้นก็เพียงพอให้ทหารจักรวรรดิมารวมกันที่ประตู

 

“จัดรูปขบวน!”

 

ผู้บัญชาการของป้อมปราการนั้นลงมาจากเนินกำแพง

จอมมารได้มาถึงแล้ว ไม่มีทางที่คนของเขาจะทนได้ หากตัวเขาไม่ออกมายืนแนวหน้าในฐานะผู้ชำนาญดาบ เขามองไปที่ประตูเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนขอเขา

 

“กับ กุบ , กรับ , กูมม กูมลา กับ”

ฝุ่นควันหนาแน่นยิ่งกว่าก่อนหน้า เสียงฮัมเพลงได้ยินจากในหมอกนั่น ท่วงทำนองนั้นเชื่องช้า จนได้ยินเสียงฝีเท้าเดิมเข้ามาใกล้ได้อย่างชัดเจน

 

ยิ่งไปกว่านั้น เสียงยิ่งดังขึ้นทุกฝีเท้า เสียงฮัมเพลงนั้นเป็นเหมือนท่วงทำนองแห่งความตาย

เงาสีดำค่อยๆปรากฏตัวให้เห็นในฝุ่นพวกนั้น

 

– กุมมม กับ กูมลา กับ

 

– กุบ กุบ กุม กับ กูมลา

 

–  เลลา พาลิเลลา , กูมลา กูมลา

 

มันเป็นเพลงศึกยุคเก่า

 

ในยุคสมัยที่เครื่องดนตรียังไม่ประดิษฐ์ขึ้น เครื่องดนตรีชิ้นเดียวที่มีคือ หลอดเสียงของคุณ ดนตรีนั้นขับร้องโดนปีศาจโบราณที่ไม่มีผู้ติดตามแม้แต่ผู้เดียว

ทำนองอันศักดิ์สิทธิ์มันคล้ายกับเพลงที่ร้องกันในโบสถ์ แต่ที่โหดร้ายกว่าคือ ท่วงทำนองนั้นไม่สอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย เพลงที่ทำให้พวกทหารจักรวรรดิจอมโอ่อวดนั้นกลับประสาทกินขึ้นมา

 

ตั่บ

 

เท้าที่เผยออกมาจากควันฝุ่น เป็นเท้าของจอมมาร

 

ตามมาด้วยฝีเท้านับร้อยออกมาจากฝุ่นสีทอง เดธไน้ท์ที่สวมชุดเกราะดำสนิทยืนเรียงตรงหน้าโดยไม่มีช่องว่างระหว่างกัน

 

ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้เศษฝุ่นพวกนั้นเกาะระหว่างกัน

 

“…….”

 

“…….”

 

ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน บรรยากาศอันเงียบงันตกลงสู่ทั้งกองทัพฝ่ายจักรวรรดิและกองทัพจอมมาร

 

ความรู้สึกแปลกประหลาดพัดผ่านผู้บัญชาการป้อม

จอมมารที่ยืนอยู่ตรงหน้า 

ชายผู้มีร่างกายใหญ่เท่าออเกอร์แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา เขาดูจะมีความสุขล้นปรี่จนใบหน้าเหมือนคนที่กำลังถึงจุดสุดยอด

 

“ข้าคือ นักดาบแร๊ง 1 แห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก ไวโอเฟลท์ ฟอน ราแกร้นท์(Viofalt von Ragrants)”

 

ผู้บัญชาการตะโกนขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

 

“ข้าเชื่อว่า เจ้าเป็นจอมมารที่คู่ควรต่อดาบของข้า ประกาศนามเจ้าออกมา!”

 

“เฮ่อออ เป็นไอ่ทึ่มที่เกินเยียวยาจริงๆ พวกนักรบจักรวรรดินี่เป็นอย่างนี้กันหมดเลยเหรอ?”

 

เบเลธส่ายหัว

 

 

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของจักรวรรดิหรือแร๊ง 1 นักดาบอะไรนั่นมันสำคัญที่ไหนกัน เจ้าไม่ใช่นักรบหรือยังไงกันล่ะ? พูดมาให้ดีๆสิ”

 

เบเลธใช้มือซ้ายที่ไม่ได้ถือขวาชี้ขึ้นฟ้า

 

“ท้องฟ้าอยู่บนหัวเรา ผืนดินอยู่ใต้ตีนเรา นักรบก็เป็นคนที่พอใจที่ได้เหวี่ยงอาวุธในมือ อะไรที่นอกเหนือไปจากนั้น ชื่อเสียง เกียรติยศ มารยาท พวกนั้นมันเป็นส่วนเกิน”

 

“…….”

 

“ข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ข้าเป็นจอมมาร ชื่อของข้า คือ เบเลธ ผู้ที่จะมาสู้กับเจ้า เอาชนะเจ้า และยั่วล้อเจ้า! คุฮ่าฮ่าฮ่า!”

เบเลธพุ่งเข้าไปเหมือนหมูป่า ร่างกายของเขาเป็นดั่งกระสุนปืนใหญ่

เดธไน้ท์นับร้อยตามหลังเบเลธ พวกเขาคำรามอย่างดุร้ายขณะพุ่งเข้าไปเหมือนฝูงนกทะเลโฉบเหยื่อ

 

ทหารจักรวรรดิที่ไม่อยากแพ้จึงตะโกนลั่นและวิ่งเข้าใส่ นักดาบคนนั้นสร้างกระบวนทัพรูปแบบปิด ก่อนจะดำดิ่งสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน

 

“คุฮ่าาาาา!”

 

“ดันมันให้ถอยไป! ฆ่ามันให้หมด!”

 

ทางแคบๆตรงหน้าประตูกลับกลายเป็นสนามรบที่โหดร้ายไปในทันที ทั้งหอกต่อโล่ ดาบต่อดาบ ปะทะกันจนเกิดเสียงโลหะกระทบดังไปทั่วผืนฟ้า

 

นักรบที่ถือโล่แล้วโดนดันถอยกลับมาตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด

มวลอากาศสั่นไหวตอนที่มนุษย์ตะโกนขึ้น ในขณะเดียวกันมานาในอากาศก็เพิ่มสูงตอนที่ปีศาจตะโกนขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

เสียงนั่นเป็นเหตุให้หูอื้อ และกล้ามเนื้อของทุกคนสั่นกระตุกด้วยความตื่นเต้น

 

“เบเลธ ข้าคือคู่ต่อสู้ของแก!”

 

ผู้บัญชาการป้อมปราการถือคทาเหล็ก เขามาพร้อมกับเป้าหมายที่หวังเผชิญหน้ากับจอมมาร

ขณะที่อีกฝ่ายแกว่งขวานขนาดมหึมา เขากลับโต้ด้วยอาวุธที่ไม่ใช่ดาบ

 

เสียงสะท้อนที่เต็มไปด้วยมานาของผู้บัญชาการเข้าสู่ใบหูของเบเลธ

 

“คุฮุ!”

 

เบเลธหัวเราะออกมาดังๆ เบเลธนั้นขยี้เกราะอกของนักดาบด้วยข้อศอก แม้มันจะมีออร่าสีฟ้าคุ้มกันอยู่แต่ก็พังโดยง่าย นักดาบกระอักเลือดออกมาก่อนจะล้มใลงกับพื้น

 

“เจ้ากำลังเรียกชื่อข้าอยู่รึ เจ้ามนุษย์เอ๋ย!?”

เบเลธไม่ได้สวมเกราะใดๆ ผิวหนังของร่ายกายท่อนบนที่เป็นสีทองแดงนั้นเผยออกมา เกิดรอยตัดสีแดงบนร่าง แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เป็นดั่งเกราะของเบเลธคือ การฟื้นฟูบาดแผลในระดับน่ากลัว

 

ผู้บัญชาการป้อมปราการและเบเลธวิ่งเข้าใส่กัน ระยะไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป กระโดดเพียงครั้งเดียวทั้งคู่ก็ชนกันแล้ว ยามเมื่อขวานและคทาเหล็กปะทะกัน ประกายแสงก็สว่างวาบ

 

“คุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ยอดเยี่ยม!”

 

เบเลธหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาสามารถปัดป้องคทาฟ้าได้เชี่ยวชาญด้วยขวานของตน ก่อนที่จะแทงด้วยด้ามขวาน

ผู้บัญชาการป้อมปราการบล็อคด้วยศอกก่อนจะฉวยโอกาสลดช่องว่างระยะห่างลงอีก

 

เบเลธตะโกนใส่ผู้บัญชาการป้อมที่อยู่ตรงหน้า

 

“จงเป็นปฏิปักษ์ต่อข้า! จงดูถูกข้า! จงแยกเขี้ยวใส่ข้า! เบเลธผู้นี้!”

 

“ไร้สาระ!”

ผู้บัญชาการป้อมต่อยท้องของเบเลธด้วยหมัดขวา กำปั้นของเขาโดนบล็อคไว้ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งเหมือนดั่งเหล็กกล้า

 

― เป็นไปอย่างที่ผู้บัญชาการคิดไว้ จอมมารนั้นมีร่างกายเหมือนดั่งอสุรกาย เบเลธไม่ร้องอะไรออกมา เขาเพียงแต่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งต่อไป ผู้บัญชาการถอนในทันทีเมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองไม่ได้ผล

 

“ข้ารู้สึกได้ถึงชีวิตยามที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าดูถูกข้า!”

 

เบเลธตะโกนออกมาอย่างเร่าร้อนราวกับเป็นเด็กสาวที่กำลังจะสารภาพรัก เขายกขวานขึ้นและฟาดลงอย่างหนักหน่วง ผู้บัญชาการรีบยกไม้คทาขึ้นบล็อคการโจมตีนั้นในทันที

 

ขวานนั้นโถมแรงใส่ไม้คทา ผู้บัญชาการจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอยหลังเพื่อลดแรงกระแทกลง

 

“คูททท”

 

“ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลก มนุษย์อย่างพวกแกก็ดูถูกข้า! 

พวกแกคือ ตัวตนเดียวที่เผชิญหน้ากับข้าด้วยความเกลียดชังที่แสนบริสุทธิ์!”

 

จอมมารนั้นเป็นดั่งราชันย์ที่สามารถรับรู้ความรู้สึกผู้อื่นและเข้าใจได้ในทันที

แต่ไม่ใช่กับมนุษย์ จอมมารไม่อาจอ่านอารมณ์มนุษย์ได้

 

นับแต่ที่เบเลธพบว่า มีสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์อยู่ เขาก็สาบานว่าจะรบกับพวกนั้นไปตลอดกาล

 

มนุษย์ไม่เชื่อฟังเขา ดังนั้นจึงควรค่าแก่การพิชิต

มนุษย์ไม่ทำตามใจเขา ดังนั้นจึงควรค่าแก่การทำให้ยอมจำนน

มนุษย์ไม่ยอมรับเขา ดังนั้นจึงควรค่าแก่การฆ่าทิ้ง

 

มนุษย์นั้นต่างจากปีศาจโดยสิ้นเชิง เหตุผลข้อเดียวที่ทำให้เบเลธเข้าร่วมกับฝ่ายที่ราบนั่นก็คือ พวกฝ่ายนั้นเป็นผู้ที่มีเจตนาเข่นฆ่าพวกมนุษย์มากที่สุด

ประนีประนอมเจรจากับมนุษย์รึ?! พูดอะไรบ้าๆ เบเลธเชื่อว่า ปีศาจและมนุษย์มีไว้เพื่อสู้รบกันอยู่แล้ว

 

และหากไม่เป็นอย่างนั้น จะมีมนุษย์กับปีศาจไว้ทำไมกันล่ะ?

“อ๋าาา! ข้านี่รักมนุษย์เสียจริงๆ!”

จอมมารไม่อาจอ่านอารมณ์จอมมารอื่นได้ จอมมารไม่อาจอ่านอารมณ์มนุษย์ได้

ดังนั้นตัวตนของมนุษย์จึงไม่ต่างจากจอมมารเลยสำหรับเบเลธ ทั้งคู่ถือว่าเสมอกันสำหรับเขา 

การที่ปีศาจยอมจำนนเขามันไม่มีความสนุกเลยแม้แต่น้อย

แต่การที่ทำให้มนุษย์ยอมจำนนนั่นต่างหากเป็นความหมายของการมีอยู่ของเขา

 

 

ศพที่กองพะเนินสูงเป็นทางยาวไปสู่ประตู เสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังไปทั่ว เสียงคำรามของผู้ชนะและเสียงร้องไห้ของผู้แพ้

เสียงพวกนั้นสอดประสานกันแล้วก่อให้เกิดนรกบนดิน

นรกที่เป็นดั่งบ้านเกิดของจอมมารลำดับ 13 เบเลธ

 

เบเลธนั้นแกว่งขวานเหมือนไต้ฝุ่น

“มีเท่านี้หรือเจ้ามนุษย์!? ความเกลียดชังของพวกแกมันมีเท่านี้เองรึ!?”

 

“คูฟฟ!”

 

“ข้าจะทำลายบ้านเกิดพวกแก! ทั้งเด็ก คนแก่ ผู้หญิง ทั้งอ่อนแอที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ข้าจะเข่นฆ่าไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว

ทุ่งข้าวของพวกแกจะถูกเผา หมู่บ้านที่สร้างมานับร้อยปีจะถูกทำลาย อ่า! ข้าสาบานต่อสิ่งนี้!”

 

เบเลธตะโกนขึ้น

 

“ข้าจะทำลายทุกสิ่งที่เจ้ามี ข้าจะข่มขืนเมียจ้าแล้วตัดแขนลูกหลานเจ้าทิ้งแล้วเอาตัวมาตั้งโชว์ ข้าจะเปลี่ยนผู้ปกครองเจ้าให้เป็นอาหารหมู!”

 

ผู้บัญชาการรวบรวมออร่าเพื่อรับขวาน

 

 

“เบ―เลธ!”

 

“หากเจ้าอยากจะช่วยพวกเขา ก็จะใส่มาให้สุด เจ้ามนุษย์! ฆ่าข้าให้ได้!”

 

ผู้บัญชาการแกว่งไม้คทา แรงกระแทกนั้นรุนแรงมากเสียจนทำให้มือของเบเลธนั้นชา

เขายังคงใช้ออร่าที่สะสมไว้ทั้งหมด เขาเพิกเฉยต่อคำสั่งของเจ้าหญิงอลิซาเบธที่สั่งให้ป้องกันที่นี่ให้ถึง 4 วัน 

 

เบเลธหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 

อย่างนั้นแหละ สงครามอย่างนั้นแหละที่เขาถวิลหา 

เขารู้อย่างดีว่า มนุษย์ที่เป็นนักดาบนั้นมีศักยภาพขนาดไหน 

เขาเองก็ต้องอุตสาหะอย่างเต็มที่เพื่อให้มาถึงจุดนี้ กล้ามเนื้อของเขาขยายตัวเป็นหมื่นเท่า ก่อนจะแกว่งดาด้วยจิตใจที่ว่างเปล่าเพื่อให้ไปถึงจุดสูงสุด พูดง่ายๆ มันเป็นการทุ่มเททั้งชีวิตของนักดาบคนหนึ่ง

 

มันหนักมาก!

คุณค่าของชีวิตมันหนักถึงเพียงนี้!

 

“คุฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

เจ้าผ่านวันผ่านคืนมานานเท่าไหร่? 

เจ้าได้เคยสงสัยในสติปัญหาของตนมากี่ครั้ง? 

เจ้ารู้สึกพอใจยามที่ได้แสดงความภักดีต่อนายตนไหม? 

เจ้าได้รู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของการหยั่งรู้ขณะแกว่งดาบหรือไม่?

นั่นคือ ชีวิตของเจ้าหรือ?

 

เบเลธรับพลังชีวิตทั้งหมดนั่นไปและยกขวานขึ้นอีกครั้ง

 

“ไวโอเฟลท์ ฟอน ราแกร้นท์! ข้าจะจบ―ชีวิตของเจ้าซะ!”

 

ดวงตาของผู้บัญชาการเบิกกว้าง

หรือเขากำลังตกใจกับการที่จอมมารจดจำชื่อของเขาได้?

 

เบเลธแกว่งลงด้วยกำลังทั้งหมด ผู้บัญชาการสามารถบล็อคไว้ได้ แต่ก็แค่ครั้งเดียว

 

 

“พังทลายซะ!”

 

จากบนลงล่าง จากขวาไปซ้าย จากซ้ายไปขวา เป็นแนวทแยง เบเลธกวัดแกว่งขวานอย่างต่อเนื่อง ผู้บัญชาการเบนแรงหลังถูกฟาด

 

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้บล็อคมันได้เพราะอ่านวิถีออก แต่เขาแค่ขยับแขนได้ทันการฟาดในแต่ละครั้ง

 

มนุษย์ผู้อ่อนล้ากำลังอดทนต่อน้ำหนักของจอมมารที่ใช้ชีวิตมากว่า 1,500 ปี

 

อาจมีสักวันหนึ่งที่มนุษย์อาจทนการโจมตีของจอมมารได้

เมื่อวันนั้นมาถึง มนุษย์ทั้งหลายจะเอาชนะจอมมารได้

แต่ถึงอย่างนั้น

“จงแหลกสลายต่อหน้าข้าซะ มนุษย์!”

ออร่าที่เคลือบไม้เท้าหายไป ขวานของเบเลธนั้นเจาะใบหน้าของผู้บัญชาการทั้งที่สีหน้ายังแสดงความประหลาดใจ คมขวานนั้นขยี้หัวไปจนถึงลำคอและอกอย่างน่าสยดสยอง

 

 

“―ครูฮ่าาา!”

 

เบเลธดึงขวานออกมาและคำรามเหมือนสัตว์ป่า

 

แต่วันนั้น ยังไม่ใช่วันนี้ เหมือนเช่นเคย เส้นทางแห่งอดีต 1,500 ปี ยังคงดำเนินต่อไปอีก

 

ผู้ที่มีชีวิตในวันนี้ต่อไปมิใช่ มนุษย์หากแต่เป็นจอมมารลำดับ 13 เบเลธ แผ่นดินสะเทือนด้วยความหวาดกลัวและนับถือในชัยชนะของจอมมาร

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+