Dungeon Defense (WN) 158 ยุคแห่งเหล่าทรราช (8)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 158 ยุคแห่งเหล่าทรราช (8) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

* * *

 

 

แนวหน้าของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราภาค 6 ได้ยึดป้อมปราการเมืองเคร็มแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กได้เแล้ว

 

ไม่อาจใช้คำว่า ยึด หากแต่ต้องใช้คำว่า ฆ่าล้าง นอกจากผู้ชำนาญดาบทั้งสองคน เบเลธก็ได้กวาดล้างทั้งป้อมปราการเหมือนดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ

 

แม้แต่ทหารจักรวรรดิคนสุดท้ายก็ยังแข็งขืนต่อต้านเพื่อพิสูจน์ให้โลกใบนี้เห็นว่า พวกเขานั้นเป็นสุดยอดทหารเพียงใด พวกเขามิได้ดิ้นรนเหมือนอย่างสัตว์เมื่อรู้ว่าตัวเองหมดทางรอดแล้ว

พวกเขาทั้งไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พยายามอย่างไม่ลดละที่จะโต้กลับไปเพื่อลากใครก็ได้ลงหลุมไปด้วยเพิ่มสักคน

 

พวกเขาสู้ด้วยความเชื่อที่ว่า ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ จักรวรรดิยิ่งอยู่ได้นานขึ้นอีก

 

 

“โอ้”

 

จอมมารเบเลธถึงกับซาบซึ้งในจิตวิญญาณที่แสนกล้าหาญของพวกเขาจนน้ำตาไหลลงมาเปื้อนหน้าโหดๆ

 เบเลธนั้นเป็นชายเจ้าอารมณ์ เขาไม่ใช้สมองเขาใช้หัวใจ ดังนั้นจึงได้ออกคำสั่งตามอารมณ์ที่ท่วมท้น

 

“ฆ่าล้างทุกคนในป้อมปราการซะ ทำให้วาระสุดท้ายของพวกเขาเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเชิดชูสำหรับวีรบุรุษ”

 

เบเลธอยู่มาเกินกว่าพันปี เขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้อยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

เขาค่อยๆบุกเข้าไปอย่างช้าๆเพื่อฆ่ามนุษย์ที่อยู่ในป้อมปราการด้วยตัวเอง

 

ผู้คนส่วนมากนั้นต่างหนีไปแล้ว ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่คิดจะหนีไปจากบ้านเกิดต่างหวังว่าผู้มาพิชิตนั้นจะมีใจปรานี ทั้งต่างถูกฆ่าตายไม่แบ่งแยก

เบเลธนั้นรู้สึกว่า การฆ่าเฉยๆนั่นจะเป็นการสูญเปล่าไป

 

“อืมม เรามาผูกศพเข้าด้วยกันแล้วสร้างแพดีกว่า”

 

ทหารจักรวรรดิ 500 นาย ชาวบ้าน 400 คน ทั้งหมดโดนฆ่าและผูกเข้าด้วยกัน แพที่สร้างขึ้นจากซากมนุษย์ก็เสร็จสมบูรณ์

 

เบเลธเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่า ต้องทำแพอีกอันจากหัวมนุษย์ล้วนๆด้วย พอทำเสร็จ เขาได้แต่ตะลึงกับแพที่เป็นผลงานของตัวเอง

 

“โอ้ นี่มันสุดยอดมาก!”

 

เบเลธพึงพอใจ เขาผลักแพศพลงแม่น้ำดานูบิอุส

โชคไม่ดีที่ มีแพบางส่วนจบลงที่จมลงไป ขณะที่แพส่วนมากก็ไหลล่องด้วยสายลม ผ่านไปยังแม่น้ำ

 

นี่เป็นการเล่นสนุกผ่านการสร้างความหวาดกลัวของพวกปีศาจที่เรียกกันว่า <สุนทรียภาพของจอมมาร>

 

แพศพที่ไหลไปตามแม่น้ำนั้นไปหยุดที่หลายหมู่บ้าน บางทีก็ไปอยู่ตามเมืองต่างๆ บุคคลที่เข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่างตกใจ ความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกผุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

มัน คือ การมาถึงของจอมมาร

 

ในทุกการระดมกำลังกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายที่ราบนั้นเป็นฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุด แม้พวกเขาจะอ้างตัวว่าเป็นสุภาพบุรุษแห่งสงครามแต่ก็นั่นก็เป็นแต่ในนาม

 

ภารกิจส่วนมากของเขานั้นมักเป็นการฆ่าล้าง มีการฆ่าล้างหลายรูปแบบที่เขียนไว้เกินจริงในหนังสือประวัติศาสตร์ที่รายงานว่าเป็นผลงานของจอมมารจากฝ่ายที่ราบ

แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพพันธมิตรภาค 8 ก็มีดันทาเลี่ยน ดันทาเลี่ยนนั้นไม่ชอบการฆ่าล้าง เขาไม่ชอบการเสียเลือดโดยไม่จำเป็นและจะเป็นมิตรกับมนุษย์หากทำได้

 

แม้แต่ตอนที่ฝ่ายที่ราบยึดดินแดนของมาร์คกราฟ โรเซนเบิร์กนั้น ก็ไม่มีการฆ่าล้าง ดันทาเลี่ยน ผู้ที่บาร์บาทอสไว้ใจมากที่สุดได้หยุดมิให้จอมมารฝ่ายที่ราบทำแบบนั้น

 

หลังการศึก ณ ที่ราบ บรูโน่ ฝ่ายที่ราบก็งดเว้นการฆ่าล้างด้วยเช่นกัน

ดันทาเลี่ยนได้บอกไว้อย่างนี้

 ‘ยิ่งสามัญชนที่พวกเราไว้ชีวิตมีมากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเราชนะก็สูงมากขึ้นเท่านั้น’ 

แต่ถึงอย่างนั้น ครึ่งปีผ่านไปหลังจากดันทาเลี่ยนถอนตัวจากฝ่ายที่ราบ นิสัยเดิมแท้ของพวกจอมมารฝ่ายที่ราบก็กลับมา

 

 

“พวกมนุษย์ทั้งหลาย! อิสระที่พวกข้าจะชอบมอบมีแต่ความกลัว เสรีภาพที่พวกข้าจะมอบให้มีแต่การยึดครอง และความจริงหนึ่งเดียวที่พวกข้าจะอนุญาตให้แกมีคือ ความโง่เขลา!”

 

เบเลธได้ข้ามแม่น้ำดานูบิอุส เขาได้รับหน้าที่กวาดล้างหมู่บ้านมนุษย์ตามเส้นทาง ผลจากการฆ่าล้างนั้น มีทหารจักรวรรดิ 500 นาย ที่ตายไปจากการปกป้องป้อมปราการ พวกเขาถูกจดจำในฐานะฮีโร่ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เบเลธต้องการ

 

แต่เบเลธก็ไม่ได้ให้มันมาเหนือกว่าสุนทรีย์ภาพของตน

มันมีเหตุผลเชิงปฏิบัติในการฆ่าล้างอยู่ เบเลธนั้นจะรวบรวมเอาศพจากหมู่บ้านที่กวาดล้างนั้นไปด้วย เพื่อหวังจะใช้ต่อในเมืองหลวงของฮับบวร์ก

 

“มันมีวิธีการมากมายในการใช้ศพพวกนี้”

 

เบเลธฉีกยิ้มออกมา

 

แค่เห็นศพแหว่งๆก็กระตุ้นความกลัวในกองทัพทหารมนุษย์ได้แล้ว แถมยังใช้ลดทอนขวัญกำลังใจทหาร หรือแม้แต่จะอัดเวทย์มนตร์ดำลงไปแล้วยิงเข้าไปด้วยรถยิงหิน

หากโชคดี ก็อาจจะได้โรคระบาดแพร่กระจายในหมู่กองทัพศัตรูด้วย

 

 

“พวกมันสร้างความบันเทิงให้ข้าในตอนที่ยังเป็น และมันยังรับใช้ข้าตอนที่ตายด้วย มันไม่มีตัวตนไหนจะช่วยจอมมารอย่างพวกเราได้ดีไปกว่ามนุษย์อีกแล้ว”

 

เบเลธผูกมัดศพติดหลังหมาป่าดำ เดธไน้ท์เองก็ขนซากศพไปบนบ่า

ถึงอย่างนั้น การขนซากมนุษย์ไปนับพันศพก็ทำให้เดินทางได้ช้าลง แต่มันไม่สำคัญนักหรอก

 

เบเลธเป็นแนวหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปถึงเมืองหลวงไวเกินไป เมืองหลวงนั้นเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป กองทัพพันธมิตรไม่มีทางพิชิตได้ในทันทีที่มาถึง

 

สมองของกองทัพพันธมิตรคิดอย่างนั้น ดังนั้นอย่างเร็วที่สุดก็เดือนหนึ่ง เบเลธคิดอย่างนั้นเช่นกัน ภารกิจของเขาจึงเป็นการเคลียร์เส้นทาง จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทำเอาศพมนุษย์มาเก็บไว้ใช้แทนที่จะมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว

 

 

―แต่ก็นั่นแหละ หากกองกำลังมนุษย์มีผู้ปกครองธรรมดาๆอยู่ล่ะก็นะ

 

สี่วันผ่านไปหลังจากพิชิตป้อมปราการ กองกำลังของเบเลธก็มาถึงเมืองหลวง

 

 

“……เฮ้ เฮ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?”

 

เบเลธถึงกับหยุด ทุ่งราบที่ปรากฏอยู๋ตรงหน้าเขา ศูนย์กลางของทุ่งราบแห่งนั้นตั้งอยู่ในเมืองหลวง เบเลธหัวเราะอย่างคึกคะนองเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

 

“มันมีไอ้ระยำหัวแหลมตัวไหนมันมายึดเมืองหลวงก่อนพวกเราวะ?”

 

ที่ราบตรงหน้าเป็นสีน้ำตาลจากการถูกเผา ปราสาทกลายเป็นสีดำมีเส้นควันลอยขึ้นตามจุดต่างๆของเมือง

 

เมืองหลวงนั้นถูกเผาไปก่อนแล้ว

 

 

 

* * *

 

 

เมืองหลวงฮับบวร์กโดยเผาไปโดยสมบูรณ์แล้ว!

 

เบเลธรีบใช้ลูกแก้วเวทย์มนตร์เพื่อรายงานทันที ฝ่ายบัญชาการของกองทัพพันธมิตรไม่เข้าใจ

เมืองหลวงโดนเผา? นี่เขาพูดอะไรออกมาน่ะ?

 

จุดสำคัญที่เป็นศูนย์กลางสงครามไม่มีที่อื่นใดนอกจากเมืองหลวง กองทัพพันธมิตต้องยึดให้ได้และกองทัพฝ่ายมนุษย์ก็ต้องปกป้องให้ได้ด้วยทุกสิ่ง

 

แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็โดนเผาทิ้งเสียก่อนที่กองทัพพันธมิตรจะมาถึง เหล่าผู้บัญชาการของทัพพันธมิตรจึงได้เริ่มสงสัยกันเอง

 

“……ตาแก่มาร์บาส นั่นฝีมือแกเหรอ?”

 

“ไร้สาระ กองทัพภาค 2 ของข้าเพิ่งมาถึงหลังเจ้าหนึ่งวัน”

 

“โอ้ย สหายศึกแสนสนิทของข้า”

บาร์บาอทอสมองไปรอบๆด้วยแววตาเย็นชา

 

“มีอะไรไม่อยู่ที่นี่ด้วยว่ะ ใครบางคนอาจแอบไปทำอะไรสักอย่างอยู่ เฮ้ย สิตริ มองตาข้า อย่าหลบตา นี่แกทำรึเปล่า? กองทัพภาค 1 ของแกออกลอบไปทำเรื่องนี้ลับหลังพวกเราใช่ไหม?”

 

“พอตัวแกเล็กสมองแกก็เล็กตามไปด้วยสินะ บาร์บาทอส”

 

สิตริสบถ ตอนนี้เธอเป็นผู้นำกองทัพภาค 1 และฝ่ายภูเขาแทนตำแหน่งของไพมอน

 

“ข้าเข้าใจว่าแกคงมีเซลล์สมองไม่มาก แต่อย่างน้อยแกควรจำสิ่งสำคัญไว้อย่าง พวกเราน่ะกวาดล้างกองกำลังของจักรวรรดิบริททานี่ 

แล้วพวกเราจะไปทำลายเมืองหลวงฮับบวร์กได้ยังไงกันทั้งที่ไม่มีทหารเหลือพอด้วยซ้ำ?”

 

บาร์บาทอสหันไปมองจอมมารผมทองที่กำลังดื่มไวน์

 

“กามิกิน”

 

“ก๊อดดด อย่ามาชี้นิ้วใส่ข้า เจ้าไม่ควรสงสัยสหายศึกของเจ้าซี่ กองทัพภาค 5 ของข้ามารวมกองทีหลังทุกคนอีก เจ้าก็รู้นี่? 

ข้าไม่ทำอะไรลับหลังหรือไปวางแผนอะไรต่อมิอะไรแบบพวกเจ้าหรอกน่า แถมจำนวนทหารของข้าก็ไม่เยอะเท่าทัพภาค 2 แล้วพวกเราจะไปยึดเมืองหลวงกันได้ยังไงกัน?”

 

“ฮึ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้หากแกไม่ได้ทำเองคนเดียว”

 

บาร์บาทอสเยาะเย้ย

 

 

“อกาเรส , เวสซาโก้ และกามิกิน พวกแกสามคนอาจวางแผนร่วมกันมาก่อนก็ได้ สารภาพมาซะ ไอ้พวกสมองพาสต้า

ข้าก็สงสัยอยู่แล้วทำไมพวกแกสู้กันแบบขี้เกียจๆจังวะ แล้วอ้างว่าอยากรักษาทหารตัวเองไว้

ฟัค นี่พวกแกแอบส่งหน่วยย่อยลับหลังพวกเราไปโจมตีเมืองหลวงใช่มะ?”

 

“โอ้ แหม อย่าฉวยโอกาสสิจ๊ะ แม่หนู”

 

จอมมารอันดับ 2 อกาเรสนั้นหัวเราะเอิ้ก ผมสีฟ้าของเธอโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลาง

 

“กองทัพภาค 6 ของเจ้าน่ะรับหน้าที่ในการบุกเข้าตีฮับบวร์กแต่แรกแล้วมิใช่รึ พวกเรามารวมกันอยู่ที่นี่เพื่อจะช่วยเจ้า เจ้าก็รู้นี่ใช่ไหม? 

เจ้าน่ะไม่ควรจะมาสงสัยพวกเราหรอก เช่นเดียวกับที่พวกเราจะพยายามไม่หัวเราะใส่จอมมารลำดับ 9 ที่กล้ามาขึ้นเสียงใส่พวกเราหรอกนะ”

 

“ข้าไม่ใช่ลำดับ 9 ข้าลำดับ 8 ยัยสมองกล้าม”

 

บาร์บาทอสคำราม อกาเรสนั้นอุทานออกมาว่า ‘แหม ที่รัก’ ขณะที่ป้องปาก

 

 

“แหม แหม ข้าขอโทษจากใจจริง! ลำดับของเจ้ามันต่ำไปเสียจนข้าลืมไปเลย แต่มันก็เป็นความผิดของเจ้าเองนะรู้ไหม?

อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะขึ้นมาให้ติดระดับ ท็อป 5 ให้ได้ คนอื่นจะได้จำเจ้าได้น่ะ  ลำดับ 8 งั้นหรือ ? ออกจะเป็นจำนวนที่มากเกินไปสักหน่อยที่คนโง่เช่นข้าจะจำได้นะ”

 

“โอโห ถ้าอย่างนั้นข้าจะสลักไว้ในสมองโง่ๆของแก ตามที่แกต้องการก็แล้วกัน”

 

จอมมารสองตนจ้องมองขู่กัน

 

“หากเจ้าอยากจะสู้ ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาเลย แม่หนูทึนทึก” 

 

“อีปลวก ข้าจะฆ่าเจ้า”

 

มาร์บาสถอนใจออกมาดังๆ ตอนที่บาร์บาทอสเรียกเคียวของตัวเองออกมา

 

“ดูเหมือนการประชุมไม่มีทางที่จะสันติกันได้เลย บาร์บาทอส อกาเรส หากเจ้าทั้งสองอยากจะสู้กันก็เอาเลย

ข้าไม่มีอำนาจจะไปบังคับหรือหยุดการต่อสู้ ข้าจะถอยไปทันที แต่ถึงอย่างนั้นอย่าหวังอีกว่า จะได้รับการเชิญจากงานเลี้ยง”

 

“ฮึ”

 

“ฟัค”

 

บาร์บาทอสและอกาเรสต่างหันหน้าออก

 

มาร์บาสเป็นตัวตนเดียวที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างจอมมาร จอมมารลำดับ 1 บาอัลจะยังคงเป็นผู้สังเกตการณ์เสมอตราบที่สถานการณ์ยังไม่รุนแรงเกินไป

จอมมารระดับสูงโดยมากนั้นมีความภาคภูมิสูงส่งจนไม่ยอมฟังใคร

 

มีเพียงหัวหน้าฝ่ายเป็นกลางอย่าง มาร์บาสเท่านั้นที่มีความสามารถในการต่อรองและปลอบโยนจอมมารตนอื่น แม้จะเป็นเพียงลำดับ 5 แต่ก็นับว่า มีอำนาจสูงสุดในเหล่ากองทัพจอมมาร

หากมาร์บาสก้าวออกมา คุณก็ต้องยอมถอย

มาร์พูดพูดขึ้น

 

“มันไม่มีทางสิ้นสุดหากเอาแต่สงสัยกันเอง ตอนนี้กองทัพทุกภาคได้มารวมกันเดือนกว่าแล้ว

มีแต่ผู้บัญชาการเท่านั้นที่รู้ว่า ภาคตัวเองทำอะไรลงไป จึงไม่อาจมีใครสามารถกำจัดข้อสงสัยไปได้ บาร์บาทอส นั่นก็รวมถึง กองทัพภาค 6 ด้วย”

 

“…….”

 

“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องแอบทำ ผู้ที่ยึดเมืองหลวงของฮับบวร์กได้ย่อมเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก

จอมมารที่ทำให้เมืองหลวงล่มสลายได้ย่อมได้รับการสรรเสริญตราบนานเท่านาน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะเก็บมันไว้เป็นความลับ?”

 

มาร์บาสมองไปที่จอมมารแต่ละตน เขามองเป็นเชิงบอกว่า พวกเขาสามารถแย้งได้หากพวกเขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา

เขาเข้าใจถูกแล้ว

 

มาร์บาสจึงพูดต่อไปอย่างรอบคอบ

 

“การที่จะมาสงสัยกันเองตอนนี้ โดยไม่มีมูลหลักฐานใดก็ไม่ต่างจากการใส่ร้ายกัน

ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเราเป็นคนทำ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า พวกศัตรูได้เผาเมืองหลวงของตัวเอง”

 

 

“อืมมม ฮับบวร์กเผาเมืองหลวงตัวเองเนี่ยนะ?”

 

กามิกินเอียงคอ ผมบลอนด์ของเธอแกว่ง

 

“แต่สำหรับข้านะ มันไม่เมคเซ้นส์เลย เมืองหลวงก็คือ เมืองหลวง เป็นหัวใจของประเทศ แล้วพวกเขาจะเผามันได้อย่างไรกันล่ะ?”

 

“…….”

 

ไม่มีใครตอบคำถามนั้น

 

แม้จะเป็นเรื่องยากที่ราชอาณาจักรจะเผาเมืองหลวงตัวเองแล้วหนีไป แต่มันก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

แต่ไม่เคยมีจักรวรรดิใดที่จะเผาเมืองหลวงตัวเองด้วยเช่นกัน อาจมีบางครั้งที่สามัญชนนั้นเผาวังหลวงด้วยความโกรธ แต่การที่ทั้งเมืองหลวงถูกเผานี่กลับไม่เคยได้ยินเช่นกัน

 

เมืองนั้นเป็นสมบัติของพวกมนุษย์ แม้จะถูกยึดไปแล้ว เมืองก็สามารถจะยึดกลับคืนทีหลังได้ในอนาคต

มนุษย์ก็ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำในอีกประวัติศาสตร์ แต่ทำไมอยู่ๆพวกเขากลับเผาเมืองหลวงทิ้งเสียล่ะ?

 

 

“……ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ รุกคืบเข้าไปอีก เราอาจพบเหตุผลภายหลัง”

 

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของมาร์บาส

 

กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงที่ถูกเผา

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 158 ยุคแห่งเหล่าทรราช (8)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 158 ยุคแห่งเหล่าทรราช (8) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

* * *

 

 

แนวหน้าของกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราภาค 6 ได้ยึดป้อมปราการเมืองเคร็มแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กได้เแล้ว

 

ไม่อาจใช้คำว่า ยึด หากแต่ต้องใช้คำว่า ฆ่าล้าง นอกจากผู้ชำนาญดาบทั้งสองคน เบเลธก็ได้กวาดล้างทั้งป้อมปราการเหมือนดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ

 

แม้แต่ทหารจักรวรรดิคนสุดท้ายก็ยังแข็งขืนต่อต้านเพื่อพิสูจน์ให้โลกใบนี้เห็นว่า พวกเขานั้นเป็นสุดยอดทหารเพียงใด พวกเขามิได้ดิ้นรนเหมือนอย่างสัตว์เมื่อรู้ว่าตัวเองหมดทางรอดแล้ว

พวกเขาทั้งไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พยายามอย่างไม่ลดละที่จะโต้กลับไปเพื่อลากใครก็ได้ลงหลุมไปด้วยเพิ่มสักคน

 

พวกเขาสู้ด้วยความเชื่อที่ว่า ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ จักรวรรดิยิ่งอยู่ได้นานขึ้นอีก

 

 

“โอ้”

 

จอมมารเบเลธถึงกับซาบซึ้งในจิตวิญญาณที่แสนกล้าหาญของพวกเขาจนน้ำตาไหลลงมาเปื้อนหน้าโหดๆ

 เบเลธนั้นเป็นชายเจ้าอารมณ์ เขาไม่ใช้สมองเขาใช้หัวใจ ดังนั้นจึงได้ออกคำสั่งตามอารมณ์ที่ท่วมท้น

 

“ฆ่าล้างทุกคนในป้อมปราการซะ ทำให้วาระสุดท้ายของพวกเขาเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเชิดชูสำหรับวีรบุรุษ”

 

เบเลธอยู่มาเกินกว่าพันปี เขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้อยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

เขาค่อยๆบุกเข้าไปอย่างช้าๆเพื่อฆ่ามนุษย์ที่อยู่ในป้อมปราการด้วยตัวเอง

 

ผู้คนส่วนมากนั้นต่างหนีไปแล้ว ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่คิดจะหนีไปจากบ้านเกิดต่างหวังว่าผู้มาพิชิตนั้นจะมีใจปรานี ทั้งต่างถูกฆ่าตายไม่แบ่งแยก

เบเลธนั้นรู้สึกว่า การฆ่าเฉยๆนั่นจะเป็นการสูญเปล่าไป

 

“อืมม เรามาผูกศพเข้าด้วยกันแล้วสร้างแพดีกว่า”

 

ทหารจักรวรรดิ 500 นาย ชาวบ้าน 400 คน ทั้งหมดโดนฆ่าและผูกเข้าด้วยกัน แพที่สร้างขึ้นจากซากมนุษย์ก็เสร็จสมบูรณ์

 

เบเลธเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่า ต้องทำแพอีกอันจากหัวมนุษย์ล้วนๆด้วย พอทำเสร็จ เขาได้แต่ตะลึงกับแพที่เป็นผลงานของตัวเอง

 

“โอ้ นี่มันสุดยอดมาก!”

 

เบเลธพึงพอใจ เขาผลักแพศพลงแม่น้ำดานูบิอุส

โชคไม่ดีที่ มีแพบางส่วนจบลงที่จมลงไป ขณะที่แพส่วนมากก็ไหลล่องด้วยสายลม ผ่านไปยังแม่น้ำ

 

นี่เป็นการเล่นสนุกผ่านการสร้างความหวาดกลัวของพวกปีศาจที่เรียกกันว่า <สุนทรียภาพของจอมมาร>

 

แพศพที่ไหลไปตามแม่น้ำนั้นไปหยุดที่หลายหมู่บ้าน บางทีก็ไปอยู่ตามเมืองต่างๆ บุคคลที่เข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่างตกใจ ความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกผุดขึ้นมาอีกครั้ง

 

มัน คือ การมาถึงของจอมมาร

 

ในทุกการระดมกำลังกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายที่ราบนั้นเป็นฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุด แม้พวกเขาจะอ้างตัวว่าเป็นสุภาพบุรุษแห่งสงครามแต่ก็นั่นก็เป็นแต่ในนาม

 

ภารกิจส่วนมากของเขานั้นมักเป็นการฆ่าล้าง มีการฆ่าล้างหลายรูปแบบที่เขียนไว้เกินจริงในหนังสือประวัติศาสตร์ที่รายงานว่าเป็นผลงานของจอมมารจากฝ่ายที่ราบ

แต่ถึงอย่างนั้น กองทัพพันธมิตรภาค 8 ก็มีดันทาเลี่ยน ดันทาเลี่ยนนั้นไม่ชอบการฆ่าล้าง เขาไม่ชอบการเสียเลือดโดยไม่จำเป็นและจะเป็นมิตรกับมนุษย์หากทำได้

 

แม้แต่ตอนที่ฝ่ายที่ราบยึดดินแดนของมาร์คกราฟ โรเซนเบิร์กนั้น ก็ไม่มีการฆ่าล้าง ดันทาเลี่ยน ผู้ที่บาร์บาทอสไว้ใจมากที่สุดได้หยุดมิให้จอมมารฝ่ายที่ราบทำแบบนั้น

 

หลังการศึก ณ ที่ราบ บรูโน่ ฝ่ายที่ราบก็งดเว้นการฆ่าล้างด้วยเช่นกัน

ดันทาเลี่ยนได้บอกไว้อย่างนี้

 ‘ยิ่งสามัญชนที่พวกเราไว้ชีวิตมีมากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเราชนะก็สูงมากขึ้นเท่านั้น’ 

แต่ถึงอย่างนั้น ครึ่งปีผ่านไปหลังจากดันทาเลี่ยนถอนตัวจากฝ่ายที่ราบ นิสัยเดิมแท้ของพวกจอมมารฝ่ายที่ราบก็กลับมา

 

 

“พวกมนุษย์ทั้งหลาย! อิสระที่พวกข้าจะชอบมอบมีแต่ความกลัว เสรีภาพที่พวกข้าจะมอบให้มีแต่การยึดครอง และความจริงหนึ่งเดียวที่พวกข้าจะอนุญาตให้แกมีคือ ความโง่เขลา!”

 

เบเลธได้ข้ามแม่น้ำดานูบิอุส เขาได้รับหน้าที่กวาดล้างหมู่บ้านมนุษย์ตามเส้นทาง ผลจากการฆ่าล้างนั้น มีทหารจักรวรรดิ 500 นาย ที่ตายไปจากการปกป้องป้อมปราการ พวกเขาถูกจดจำในฐานะฮีโร่ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เบเลธต้องการ

 

แต่เบเลธก็ไม่ได้ให้มันมาเหนือกว่าสุนทรีย์ภาพของตน

มันมีเหตุผลเชิงปฏิบัติในการฆ่าล้างอยู่ เบเลธนั้นจะรวบรวมเอาศพจากหมู่บ้านที่กวาดล้างนั้นไปด้วย เพื่อหวังจะใช้ต่อในเมืองหลวงของฮับบวร์ก

 

“มันมีวิธีการมากมายในการใช้ศพพวกนี้”

 

เบเลธฉีกยิ้มออกมา

 

แค่เห็นศพแหว่งๆก็กระตุ้นความกลัวในกองทัพทหารมนุษย์ได้แล้ว แถมยังใช้ลดทอนขวัญกำลังใจทหาร หรือแม้แต่จะอัดเวทย์มนตร์ดำลงไปแล้วยิงเข้าไปด้วยรถยิงหิน

หากโชคดี ก็อาจจะได้โรคระบาดแพร่กระจายในหมู่กองทัพศัตรูด้วย

 

 

“พวกมันสร้างความบันเทิงให้ข้าในตอนที่ยังเป็น และมันยังรับใช้ข้าตอนที่ตายด้วย มันไม่มีตัวตนไหนจะช่วยจอมมารอย่างพวกเราได้ดีไปกว่ามนุษย์อีกแล้ว”

 

เบเลธผูกมัดศพติดหลังหมาป่าดำ เดธไน้ท์เองก็ขนซากศพไปบนบ่า

ถึงอย่างนั้น การขนซากมนุษย์ไปนับพันศพก็ทำให้เดินทางได้ช้าลง แต่มันไม่สำคัญนักหรอก

 

เบเลธเป็นแนวหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปถึงเมืองหลวงไวเกินไป เมืองหลวงนั้นเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป กองทัพพันธมิตรไม่มีทางพิชิตได้ในทันทีที่มาถึง

 

สมองของกองทัพพันธมิตรคิดอย่างนั้น ดังนั้นอย่างเร็วที่สุดก็เดือนหนึ่ง เบเลธคิดอย่างนั้นเช่นกัน ภารกิจของเขาจึงเป็นการเคลียร์เส้นทาง จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องทำเอาศพมนุษย์มาเก็บไว้ใช้แทนที่จะมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว

 

 

―แต่ก็นั่นแหละ หากกองกำลังมนุษย์มีผู้ปกครองธรรมดาๆอยู่ล่ะก็นะ

 

สี่วันผ่านไปหลังจากพิชิตป้อมปราการ กองกำลังของเบเลธก็มาถึงเมืองหลวง

 

 

“……เฮ้ เฮ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?”

 

เบเลธถึงกับหยุด ทุ่งราบที่ปรากฏอยู๋ตรงหน้าเขา ศูนย์กลางของทุ่งราบแห่งนั้นตั้งอยู่ในเมืองหลวง เบเลธหัวเราะอย่างคึกคะนองเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

 

“มันมีไอ้ระยำหัวแหลมตัวไหนมันมายึดเมืองหลวงก่อนพวกเราวะ?”

 

ที่ราบตรงหน้าเป็นสีน้ำตาลจากการถูกเผา ปราสาทกลายเป็นสีดำมีเส้นควันลอยขึ้นตามจุดต่างๆของเมือง

 

เมืองหลวงนั้นถูกเผาไปก่อนแล้ว

 

 

 

* * *

 

 

เมืองหลวงฮับบวร์กโดยเผาไปโดยสมบูรณ์แล้ว!

 

เบเลธรีบใช้ลูกแก้วเวทย์มนตร์เพื่อรายงานทันที ฝ่ายบัญชาการของกองทัพพันธมิตรไม่เข้าใจ

เมืองหลวงโดนเผา? นี่เขาพูดอะไรออกมาน่ะ?

 

จุดสำคัญที่เป็นศูนย์กลางสงครามไม่มีที่อื่นใดนอกจากเมืองหลวง กองทัพพันธมิตต้องยึดให้ได้และกองทัพฝ่ายมนุษย์ก็ต้องปกป้องให้ได้ด้วยทุกสิ่ง

 

แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็โดนเผาทิ้งเสียก่อนที่กองทัพพันธมิตรจะมาถึง เหล่าผู้บัญชาการของทัพพันธมิตรจึงได้เริ่มสงสัยกันเอง

 

“……ตาแก่มาร์บาส นั่นฝีมือแกเหรอ?”

 

“ไร้สาระ กองทัพภาค 2 ของข้าเพิ่งมาถึงหลังเจ้าหนึ่งวัน”

 

“โอ้ย สหายศึกแสนสนิทของข้า”

บาร์บาอทอสมองไปรอบๆด้วยแววตาเย็นชา

 

“มีอะไรไม่อยู่ที่นี่ด้วยว่ะ ใครบางคนอาจแอบไปทำอะไรสักอย่างอยู่ เฮ้ย สิตริ มองตาข้า อย่าหลบตา นี่แกทำรึเปล่า? กองทัพภาค 1 ของแกออกลอบไปทำเรื่องนี้ลับหลังพวกเราใช่ไหม?”

 

“พอตัวแกเล็กสมองแกก็เล็กตามไปด้วยสินะ บาร์บาทอส”

 

สิตริสบถ ตอนนี้เธอเป็นผู้นำกองทัพภาค 1 และฝ่ายภูเขาแทนตำแหน่งของไพมอน

 

“ข้าเข้าใจว่าแกคงมีเซลล์สมองไม่มาก แต่อย่างน้อยแกควรจำสิ่งสำคัญไว้อย่าง พวกเราน่ะกวาดล้างกองกำลังของจักรวรรดิบริททานี่ 

แล้วพวกเราจะไปทำลายเมืองหลวงฮับบวร์กได้ยังไงกันทั้งที่ไม่มีทหารเหลือพอด้วยซ้ำ?”

 

บาร์บาทอสหันไปมองจอมมารผมทองที่กำลังดื่มไวน์

 

“กามิกิน”

 

“ก๊อดดด อย่ามาชี้นิ้วใส่ข้า เจ้าไม่ควรสงสัยสหายศึกของเจ้าซี่ กองทัพภาค 5 ของข้ามารวมกองทีหลังทุกคนอีก เจ้าก็รู้นี่? 

ข้าไม่ทำอะไรลับหลังหรือไปวางแผนอะไรต่อมิอะไรแบบพวกเจ้าหรอกน่า แถมจำนวนทหารของข้าก็ไม่เยอะเท่าทัพภาค 2 แล้วพวกเราจะไปยึดเมืองหลวงกันได้ยังไงกัน?”

 

“ฮึ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้หากแกไม่ได้ทำเองคนเดียว”

 

บาร์บาทอสเยาะเย้ย

 

 

“อกาเรส , เวสซาโก้ และกามิกิน พวกแกสามคนอาจวางแผนร่วมกันมาก่อนก็ได้ สารภาพมาซะ ไอ้พวกสมองพาสต้า

ข้าก็สงสัยอยู่แล้วทำไมพวกแกสู้กันแบบขี้เกียจๆจังวะ แล้วอ้างว่าอยากรักษาทหารตัวเองไว้

ฟัค นี่พวกแกแอบส่งหน่วยย่อยลับหลังพวกเราไปโจมตีเมืองหลวงใช่มะ?”

 

“โอ้ แหม อย่าฉวยโอกาสสิจ๊ะ แม่หนู”

 

จอมมารอันดับ 2 อกาเรสนั้นหัวเราะเอิ้ก ผมสีฟ้าของเธอโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลาง

 

“กองทัพภาค 6 ของเจ้าน่ะรับหน้าที่ในการบุกเข้าตีฮับบวร์กแต่แรกแล้วมิใช่รึ พวกเรามารวมกันอยู่ที่นี่เพื่อจะช่วยเจ้า เจ้าก็รู้นี่ใช่ไหม? 

เจ้าน่ะไม่ควรจะมาสงสัยพวกเราหรอก เช่นเดียวกับที่พวกเราจะพยายามไม่หัวเราะใส่จอมมารลำดับ 9 ที่กล้ามาขึ้นเสียงใส่พวกเราหรอกนะ”

 

“ข้าไม่ใช่ลำดับ 9 ข้าลำดับ 8 ยัยสมองกล้าม”

 

บาร์บาทอสคำราม อกาเรสนั้นอุทานออกมาว่า ‘แหม ที่รัก’ ขณะที่ป้องปาก

 

 

“แหม แหม ข้าขอโทษจากใจจริง! ลำดับของเจ้ามันต่ำไปเสียจนข้าลืมไปเลย แต่มันก็เป็นความผิดของเจ้าเองนะรู้ไหม?

อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะขึ้นมาให้ติดระดับ ท็อป 5 ให้ได้ คนอื่นจะได้จำเจ้าได้น่ะ  ลำดับ 8 งั้นหรือ ? ออกจะเป็นจำนวนที่มากเกินไปสักหน่อยที่คนโง่เช่นข้าจะจำได้นะ”

 

“โอโห ถ้าอย่างนั้นข้าจะสลักไว้ในสมองโง่ๆของแก ตามที่แกต้องการก็แล้วกัน”

 

จอมมารสองตนจ้องมองขู่กัน

 

“หากเจ้าอยากจะสู้ ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาเลย แม่หนูทึนทึก” 

 

“อีปลวก ข้าจะฆ่าเจ้า”

 

มาร์บาสถอนใจออกมาดังๆ ตอนที่บาร์บาทอสเรียกเคียวของตัวเองออกมา

 

“ดูเหมือนการประชุมไม่มีทางที่จะสันติกันได้เลย บาร์บาทอส อกาเรส หากเจ้าทั้งสองอยากจะสู้กันก็เอาเลย

ข้าไม่มีอำนาจจะไปบังคับหรือหยุดการต่อสู้ ข้าจะถอยไปทันที แต่ถึงอย่างนั้นอย่าหวังอีกว่า จะได้รับการเชิญจากงานเลี้ยง”

 

“ฮึ”

 

“ฟัค”

 

บาร์บาทอสและอกาเรสต่างหันหน้าออก

 

มาร์บาสเป็นตัวตนเดียวที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยระหว่างจอมมาร จอมมารลำดับ 1 บาอัลจะยังคงเป็นผู้สังเกตการณ์เสมอตราบที่สถานการณ์ยังไม่รุนแรงเกินไป

จอมมารระดับสูงโดยมากนั้นมีความภาคภูมิสูงส่งจนไม่ยอมฟังใคร

 

มีเพียงหัวหน้าฝ่ายเป็นกลางอย่าง มาร์บาสเท่านั้นที่มีความสามารถในการต่อรองและปลอบโยนจอมมารตนอื่น แม้จะเป็นเพียงลำดับ 5 แต่ก็นับว่า มีอำนาจสูงสุดในเหล่ากองทัพจอมมาร

หากมาร์บาสก้าวออกมา คุณก็ต้องยอมถอย

มาร์พูดพูดขึ้น

 

“มันไม่มีทางสิ้นสุดหากเอาแต่สงสัยกันเอง ตอนนี้กองทัพทุกภาคได้มารวมกันเดือนกว่าแล้ว

มีแต่ผู้บัญชาการเท่านั้นที่รู้ว่า ภาคตัวเองทำอะไรลงไป จึงไม่อาจมีใครสามารถกำจัดข้อสงสัยไปได้ บาร์บาทอส นั่นก็รวมถึง กองทัพภาค 6 ด้วย”

 

“…….”

 

“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องแอบทำ ผู้ที่ยึดเมืองหลวงของฮับบวร์กได้ย่อมเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก

จอมมารที่ทำให้เมืองหลวงล่มสลายได้ย่อมได้รับการสรรเสริญตราบนานเท่านาน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะเก็บมันไว้เป็นความลับ?”

 

มาร์บาสมองไปที่จอมมารแต่ละตน เขามองเป็นเชิงบอกว่า พวกเขาสามารถแย้งได้หากพวกเขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา

เขาเข้าใจถูกแล้ว

 

มาร์บาสจึงพูดต่อไปอย่างรอบคอบ

 

“การที่จะมาสงสัยกันเองตอนนี้ โดยไม่มีมูลหลักฐานใดก็ไม่ต่างจากการใส่ร้ายกัน

ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเราเป็นคนทำ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า พวกศัตรูได้เผาเมืองหลวงของตัวเอง”

 

 

“อืมมม ฮับบวร์กเผาเมืองหลวงตัวเองเนี่ยนะ?”

 

กามิกินเอียงคอ ผมบลอนด์ของเธอแกว่ง

 

“แต่สำหรับข้านะ มันไม่เมคเซ้นส์เลย เมืองหลวงก็คือ เมืองหลวง เป็นหัวใจของประเทศ แล้วพวกเขาจะเผามันได้อย่างไรกันล่ะ?”

 

“…….”

 

ไม่มีใครตอบคำถามนั้น

 

แม้จะเป็นเรื่องยากที่ราชอาณาจักรจะเผาเมืองหลวงตัวเองแล้วหนีไป แต่มันก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

แต่ไม่เคยมีจักรวรรดิใดที่จะเผาเมืองหลวงตัวเองด้วยเช่นกัน อาจมีบางครั้งที่สามัญชนนั้นเผาวังหลวงด้วยความโกรธ แต่การที่ทั้งเมืองหลวงถูกเผานี่กลับไม่เคยได้ยินเช่นกัน

 

เมืองนั้นเป็นสมบัติของพวกมนุษย์ แม้จะถูกยึดไปแล้ว เมืองก็สามารถจะยึดกลับคืนทีหลังได้ในอนาคต

มนุษย์ก็ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำในอีกประวัติศาสตร์ แต่ทำไมอยู่ๆพวกเขากลับเผาเมืองหลวงทิ้งเสียล่ะ?

 

 

“……ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ รุกคืบเข้าไปอีก เราอาจพบเหตุผลภายหลัง”

 

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของมาร์บาส

 

กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงที่ถูกเผา

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+