Dungeon Defense (WN) 180 ความเกลียดชังมนุษย์ (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 180 ความเกลียดชังมนุษย์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

“ไม่ใช่ว่าแกไปแอบสอนเทคนิคการหายใจด้วยเรอะ?”

 

“โธ่ถัง โปรดเชื่อผมเถอะครับ หัวหน้า! หัวหน้าคิดว่า อย่างผมจะมีทักษะมากพอที่จะสอนสุตราหรือครับ?”

คนแคระหนุ่มเหงื่อท่วม

 

เทคนิคการหายใจนั้นเป็นพื้นฐานของการหายใจแบบสุตรา กระบวนการวิธีน่ะไม่ได้ยากหรอก เพียงแต่มันขึ้นกับว่าคุณนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะกับมัน

มีช่วงหนึ่งผมทำตัวเป็นเด็กดื้อตอนที่พยายามจะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากลาพิส ตอนนั้นเองที่ลาพิสบอกกับผมด้วยแววตาที่แสนเย็นชาขณะที่สอนเทคนิคการหายใจหลายๆแบบ

 

– ฝ่าบาทไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิงสำหรับศิลปะการต่อสู้

 

 

เมื่อเธอประกาศชัดเจนอย่างนั้น วันต่อมาผมจึงต้องยอมฝึกหน้าไม้อย่างว่านอนสอนง่าย ลุคนั้นได้รับการชื่นชมว่าเป็นอัจฉริยะมหัศจรรย์ที่หาตัวจับยากด้วยค่าสแตทที่ผมต้องเฝ้าบากบั่นพากเพียนอย่างยาวนาน บางทีชีวิตมันก็ไม่แฟร์แบบนี้แหละนะ

 

 

“ผมให้เจ้าหนูแกว่งดาบ 400 ครั้ง แล้วอยู่ๆผมก็มาได้ยินเสียง ฮู่ ฮู่ หัวหน้าเข้าใจไหมครับ?

พอผมตั้งใจฟังดีๆ ผมเลยรู้ชัดแล้วว่า เขากำลังฝึกเทคนิคการหายใจไปด้วย บ้าเอ๊ย หัวหน้าต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมตกใจขนาดไหนกัน”

 

“แล้วเจ้าเด็กหลังเขาแบบนั้นรู้จักการฝึกสุตราด้วยตัวเองได้ยังไงกัน?”

แจ็กเกอรี่ดูจะยังไม่เชื่อดีนัก คนแคระหนุ่มเลยกอดอก

 

“โอ้ แล้วผมจะโกหกไปทำไมกัน? ผมบอกหัวหน้าแล้วนี่ครับ? ว่าควรไปดูด้วยตัวเอง หากจะลงโทษผมก็ลงโทษเลยก็ได้ แต่อยากให้หัวหน้าไปดูด้วยตาตัวเองก่อน”

 

“ข้าเห็นด้วยกับเรคัน”

ผมตัดสินใจที่จะเห็นด้วยกับเขา

 

“หากที่พูดมามันจริงแล้วล่ะก็ มันน่าสนใจดีไม่ใช่รึ? แจ็กเกอรี่ เจ้าควรลองไปดูแลลุคดูสักครั้ง”

 

“……ข้าเข้าใจแล้วครับ ถ้าผลออกมาว่า เรคันมันโกหก……”

แจ็กเกอรี่มองคนแคระหนุ่มแล้วพูดต่อ

“ข้าจะลงโทษตามกฏทหาร”

 

“ได้เลยครับ หัวหน้าจะตัดหัวหรือลงแส้ผม ผมก็ไม่สน”

คนแคระหนุ่มตอบแบบคุยโต

“แต่เดี๋ยวหัวหน้าก็เจอเหมือนอย่างผมนี่แหละ”

 

“อื้ม เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน ข้าไม่เชื่อเรื่องมหัศจรรย์พวกนั้น”

แจ็กเกอรี่จึงถอนตัวจากสิ่งสำคัญตรงหน้า

 

ความเอะอะมะเทิ่งเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเพราะสองพี่น้องฮีโร่ แต่มันก็มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าคลื่นในแม่น้ำ

ไม่ว่ามันจะวงใหญ่แค่ไหน สุดท้ายแม่น้ำก็ยังไหลไปตามทางของมัน <กองทัพพันธมิตรปลดแอก> ก็ยังคงทำงานกันต่อไปโดยไม่หยุด

 

แผนเดิมของพวกเราคือ การไปที่เมืองหลวงเพื่อไปร่วมทัพกับจักรพรรดินีโดวาเจอร์

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เปลี่ยนแผนทันทีที่ได้รับอำนาจในกลุ่ม พวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังดินแดนแถบเหนือของฟรานเคียแทน

 

ดินแดนแถบเหนือของฟรานเคียนั้นขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนที่อุดมมั่งคั่ง ต่างจากแดนเหนือของที่อื่น พวกเขาได้ฟื้นฟูผืนดินอันทุรกันดารมากเสียจนไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เห็นแต่รวงข้าวสาลีสีทอง แถมยังยังมีประชากรจำนวนมากที่สุดอีกด้วย จะเรียกว่าเป็นเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงฟรานเคียก็ไม่ผิดนัก

 

มีปราสาทจอมมารสองแห่งตั้งอยู่ที่นั่น

พวกเราต้องร่วมกันกับพวกเขาเพื่อรุมจัดการกับฟรานเคีย ขณะที่พวกเราจู่โจมจากภายนอกก็ติดต่อสื่อสารกันลับๆให้พวกเขาจู่โจมจากภายใน พอเป็นอย่างนั้นแม้จะเป็นดินแดนที่สุดจะแข็งแกร่งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการล่มสลายไปได้

 

 

“ฝ่าบาทเลราเจนั้นเป็นคีย์สำคัญในฝ่ายที่ราบ”

ก่อนอื่นเลยก็ จอมมารลำดับ 14 เลราเจ(Leraje)

 

“เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งรองจากฝ่าบาทบาร์บาทอสและฝ่าบาทเบเลธ เขาเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นก็อย่างที่ท่านเห็นแล้ว”

 

เจเรมิเปิดแผนที่ให้ผมดู รายละเอียดภูมิศาสตร์ของแผนที่ในฟรานเคียวาดอยู่ในนั้น มันเป็นแผนที่คุณภาพสูงที่มีไว้ใช้ในการทหาร

 

เธอได้มันมาในฐานะหัวหน้ากลุ่มมือสังหารที่แม้แต่เหล่าชนชั้นสูงไม่อาจหามาได้โดยง่าย มีพื้นที่ในแผนที่สองแห่งที่มีกากบาทตัวหนา

 

 

 

 

“ไม่เหมือนจอมมารตนอื่น ฐานของเขาตั้งอยู่ใจกลางของทวีป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ยากที่จะสร้างกองกำลังขึ้นมาจากตำแหน่งนั้นได้

ฟุฟุ นี่แหละคือสาเหตุที่ว่า ทำไมฝ่าบาทเซปาร์ถึงได้มีอำนาจในฝ่ายที่ราบมากกว่าฝ่าบาทเลราเจ”

 

พี่ชายเบเลธอันดับ 13 ,เลราเจ อันดับ 14 และ นายพลเซปาร์ อันดับ 16

 

ถ้าว่ากันตามอันดับแล้ว เบเลธกับเลราเจสมควรเป็นผู้ที่แก่งแย่งการสั่งการลำดับสองในกองทัพ แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งล่าสุด จอมมารผู้ที่แย่งอันดับสองกันกลับเป็นพี่ชายเบเลธกับนายพลเซปาร์

 

ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ ใครบางคนที่อ่อนแอกว่ากลับได้รับความนับถือในฝ่าย คงมีไม่มากหรอกที่ยอมรับสถานการณ์แบบนี้อย่างสงบ

 

“ฮื่ม เขาคงถูกตำหนิมากมายในสถานการณ์แบบนี้แน่”

 

“ใช่แล้วค่ะ ฝ่าบาทเลราเจนั้นไม่สามารถที่จะไปรวมกลุ่มกับกองทัพหลักในการระดมพลทัพพันธมิตรครั้งล่าสุดได้ 

ฝ่าบาทเลราเจนั้นต้องโจมตีจากด้านหลังด้วยหน่วยย่อย ในขณะที่กองทัพหลักก็ต่อสู้อย่างเต็มกำลังกับกองทัพฝ่ายมนุษย์ในแนวหน้า”

 

เพราะแบบนั้นก็ต้องขอบคุณแหละที่ทำให้ จักรวรรดิฟรานเคียไม่สามารถสู้กับกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราเต็มกำลัง อาจจะเป็นแค่จอมมารตนเดียว แต่เป็นอันดับ 14 รองจากที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่าย มอนสเตอร์ใต้การบัญชาการของเขาก็อยู่ราวๆ  2,000 ถึง 3,000 ตัว

 

มอนสเตอร์นับพันตัวเคลื่อนทัพไปพร้อมกันแล้วจู่โจมแนวหลังภายใต้คำสั่งของจอมมาร นั่นทำให้พวกลอร์ดตามดินแดนทั้งหลายในแถบเหนือของฟรานเคียไม่อาจขยับไปไหนได้

หากลอร์ดพวกนั้นเดินหมากพลาด สั่งให้กองทหารเดินทัพไป แล้วดินแดนตัวเองก็โดนทำลายเข้าก็ถือว่าจบกัน

 

เลราเจนั้นทำงานในส่วนนั้นได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม

 

“แม้จะมีความสามารถแต่กลับมีแต่ความหาญกล้าน้อยไป…….”

 

“เขายังขาดอะไรที่ดูตื่นตาตื่นใจ ดอกไม้แห่งสงครามน่ะ คือ การสู้รบขนาดใหญ่อยู่แล้ว”

 

เขาอยู่ในตำแหน่งที่ยากจะได้รับรางวัลใดตอบแทน

 

ตัวอย่างก็เช่น นายพลเซปาร์ไง เขาได้รับมอบหมายให้เป็นแนวหน้า แล้วจัดการกับภูเขาดำ คำชื่นชมสรรเสริญก็ตามมาหลังจากประสบความสำเร็จ 

การบุกเบิกถางเส้นทางให้กองทัพพันธมิตร ,แสดงความแข็งแกร่งของฝ่ายที่ราบ และยังสร้างชื่อเสียงในฐานะการเปิดตัวสงคราม…….แล้วเลราเจล่ะ?

 

 

ความจริง เลราเจได้ตรึงกำลังกองทัพฝ่ายแดนเหนือของฟราเคียไปกว่าครึ่ง

จำนวนทหารมนุษย์ที่เลราเจตรึงกำลังไว้รวมก็เกือบๆ  15,000 คน 

เขาน่ะ คุมกองกำลังทหารอีกฝ่ายถึง  15,000 คน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากหากมองภาพรวมของสงครามพันธมิตร

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งที่เขาทำมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสงครามกองโจร

 

เป้าหมายของเลราเจไม่ใช่การสู้รบแล้วได้รับชัยชนะ หากแต่เป็นการป้องกันมนุษย์จากการแยกทัพ ด้วยการทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยว่า จะโดนโจมตีตอนไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้

 

เลราเจนั้นวุ่นวายกับการพยายามทำการขู่คุกคามเหล่ามนุษย์ ในขณะที่ฝ่ายมนุษย์เองก็ยุ่งวุ่นกับการปกป้องดินแดนของตน

……. การทำแบบนั้นทำให้ไม่เกิด การสู้รบขนาดใหญ่ขึ้น

ดังนั้นจึงไม่ได้รับความสำเร็จครั้งใหญ่ใดๆเลย

 

นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมบาร์บาทอสไม่ตกรางวัลให้เลราเจมากเท่าที่เธออยากจะให้จริง หากเลราเจคิดว่าตัวเองเป็นผู้ทุ่มเทเสียสละมากที่สุดในฐานะที่เหนื่อยยากลงแรงมากที่สุด จอมมารคนอื่นก็ต้องพูดบ่นก่นด่ากันทันที

 

– แล้วทำไมพวกเราเป็นกลุ่มที่ทุ่มเทอันดับสามได้ยังไงก็ในเมื่อพวกเราเสียคนของพวกเราไปในสมรภูมิ ส่วนจอมมารที่ไม่เสียเลือดสักหยดกลับทำตัวเหมือนทุ่มเทเสียสละมากสุดล่ะวะ?

 

– แล้วอย่างนี้แล้ว พวกเราจะไปเสียเลือดเสียเนื้อกันไปเพื่ออะไรกัน?

เห็นได้ชัดว่า มันต้องจบลงแบบนั้นแหละ

 

จอมมารตนอื่นๆน่ะรู้แก่ใจอยู่แล้วว่า กองกำลังย่อยพวกนั้นน่ะเป็นส่วนสำคัญต่อกองทัพหลัก

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่คิดกับสิ่งที่รู้สึกมันคนละเรื่องกัน

 

พวกเขาน่ะสูญเสียมอนสเตอร์ที่ดูแลมานับสิบปี ไปเป็นร้อยๆตัว แต่หมอนั่นไม่เสียอะไรเลยสักนิด แล้วยังจะบอกว่า พวกเขาน่ะทุ่มเทน้อยกว่าหมอนั่นเรอะ? 

คนส่วนมากไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีนัก การแบ่งปันผลงานให้แก่กองทัพเนี่ยเป็นงานที่ซับซ้อนอย่างมาก

 

 

“เลราเจคงไม่ชอบข้านั่นแหละ”

 

“ฝ่าบาทได้พบกับฝ่าบาทเลราเจมาก่อนหรือคะ?”

 

“ไม่หรอก นี่ก็ไม่ต่างจากการเจอกันครั้งแรกเท่าไหร่หรอก”

 

ผมยิ้มอย่างขมขื่น

 

“คนๆนั้นน่ะทำงานอย่างเงียบๆของตัวเองไป แล้วข้าที่เป็นใครจากไหนก็ไม่รู้อยู่ๆโผล่มายืนเด่นอยู่บนบันได

 ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พวกนั้นจะต้องเสียใจอยู่แล้ว พวกเขาก็ต้องท้อว่า ที่ทำงานหนักกันไปนี่มันสูญเปล่า”

 

“แต่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า ฝ่าบาทได้ทุ่มเทมากที่สุด…….”

 

“มันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล มันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ”

 

เลราเจนั้นอาจผันความเสียใจและความข้องใจนั้นหันมาหาผม อาจดูเหมือนเป็นการระบายความโกรธใส่บุคคลที่สาม 

แต่จริงๆตั้งใจจะคุกคามผมคนเดียวเท่านั้น พอมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้องแบบนี้แทบไม่มีอะไรดีขึ้นมา

 

“ข้ากำลังคิดจะใช้ตำแหน่งฐานะผู้ช่วยคนสนิทของบาร์บาทอสเพื่อเจรจา แต่ ……เอ่อ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นห่มหนังสิงโต”

 

“อย่างนั้นเองหรือคะ แล้วท่านตั้งใจจะทำอย่างไร?”

เจเรมิดูสนอกสนใจขึ้นมา

 

“หรือพวกเราควรหันกลับมุ่งหน้าไปทางใต้แทน? ที่นั่นก็มีปราสาทจอมมารทางใต้ของฟรานเคียด้วยเช่นกันค่ะ”

 

“ไม่ ทางใต้น่ะมันยากจนเกินไปเมื่อเทียบกับทางเหนือ แม้เราจะเข้าไปวุ่นวายก้าวก่ายอะไรต่อมิอะไร ก็ไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะก่อสงครามกลางเมืองให้เกิดผลกระทบรุนแรงได้หรอก พวกเราจะไปทางเหนือกันต่อ”

 

“อย่างที่คิดเลย ฝ่าบาทต้องพูดแบบนั้นแน่”

เจเรมิยิ้มกว้างออกมา ดูเธอจะมีความสุขมากเลยนะ ที่ผมต้องเลือกเส้นทางที่ยากเย็นเข็นใจ

 

ชิ นังโรคจิตนี่ ทำไมรอบตัวผมมีแต่คนบ้าทั้งนั้นเลยเนี่ย? ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งมีแต่ไอ้อีโรคจิตมารุมล้อมผม ไอ่สำนวนที่บอกว่า คนเช่นไรคบคนเช่นนั้น มันโกหกกันชัดๆ

 

เจเรมิชี้ไปตรงจุดอื่นในแผนที่

 

“ต่อไปก็เป็นฝ่าบาทโรโนเว่”

จอมมารอันดับ 27 โรโนเว่

 

“ฝ่าบาทโรโนเว่นั้นอยู่ฝ่ายภูเขา ฝ่าบาทไพมอนได้สั่งให้เขาร่วมมือกับพวกเราก่อนหน้านี้แล้ว ท่านสามารถได้รับการสนับสนุนร่วมมือจากเขาได้ง่ายๆ”

 

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

โธ่เอ๊ย ไม่มีดวงเลยวุ้ย ทำไมจอมมารสองตนถึงอยู่คนละฝ่ายกันล่ะ?

แบบนี้ยิ่งใกล้มันก็ยิ่งความสัมพันธ์เลวร้ายลงกว่าเดิมอีก ดูท่าทั้งเลราเจและโรโนเว่เองก็คงกัดกันเหมือนหมากับแมวแหง

 

“เฮ่ออ”

ผมถอนใจออกมา จนเริ่มติดนิสัยถอนใจแล้วเนี่ย

 

ไม่เพียงแต่ผมต้องทำงานร่วมกันกับจอมมารที่อิจฉาผม ยังต้องมาแก้ไขเรื่องความสัมพันธ์ของจอมมารสองตนอีก ผมไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้เลยสักนิด 

คืนนี้ดูท่าผมต้องคิดแผนการเป็นรูปธรรมเพื่อให้จอมมารสองตนร่วมมือกันได้…….

 

แถมผมยังต้องจัดการกับไอ้เจ้ากลุ่มก้อนที่เรียก พี่น้องฮีโร่นั่นอีก นี่มันอะไรกันครับเนี่ย? 

วันคืนอันแสนสุขของผมโดยเหยียบย่ำยับเยินไม่มีชิ้นดี ผมอยากจะใช้ชีวิตอย่างสโลวไล้ฟ์ ทำฟาร์ม หรืออะไรทำนองนั้น แต่รอบข้างมันไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นได้

 

ลอร่าจ๋า ยังอยู่ดีไหม? ผมล่ะคิดถึงเสียงครางแสนน่าเอ็นดูของคุณลอร่าจังเลย ถ้าผมกลับไปนะ ได้โปรดมอบของขวัญเป็นคืนวันอันแสนสุขสักสี่วันด้วยเถอะนะ

…….

 

( TTL : ป่านนี้ลอร่าขนลุกเกรียว สะดุ้งเฮือกแล้ว 555) 

 

* * *

 

พวกเราก่อกองไฟกันบนถนนตอนกลางคืน

 

สุดท้ายแจ็กเกอรี่ก็ต้องทิ้งงานสำคัญเพื่อไปดูแลลุคอีกรอบ

 

 

ผมกับเจเรมินี่นต่างสั่งให้กลุ่มมือสังหารมาช่วยกันเตรียมทำมื้อเที่ยงและมื้อเย็นด้วยกัน 

การเตรียมกับข้าวกับปลาให้คนห้าสิบคนนี่มันสร้างปัญหายิ่งกว่าที่ผมคิดไว้มาก 

 

 

“ไอ้เชี่ยเตี้ยแตกไวนั่น!”

 

เจเรมิสบถออกมาแล้วด่าว่า ทั้งหมดนั่นเป็นแผนชั่วของไอ้คนแคระ แม้จะเป็นคนที่ปกติมีอารมณ์นิ่งสงบเหมือนผิวน้ำ แต่ก็มีนานๆครั้งที่จะระเบิดอารมณ์โกรธออกมาจริงๆ

 

ทั้งแจ็กเกอรี่และเจเรมินั้นมีจังหวะในการทำงานของตัวเอง แต่พอโยนเข้ามาเกี่ยวหรือทำงานด้วยกันปุ๊บ สมดุลจังหวะที่เคยมีมาทั้งหมดก็พังทลาย ช่างเป็นการจับคู่กันที่ฟ้าสรรค์สวรรค์สร้างซะจริง

 

ผมได้แต่หัวเราะแล้วยิงมุกไป

 

“นี่ อยากให้ข้าจัดพิธีแต่งงานให้ไหมล่ะ? ตอนนี้ข้าเป็นนักบวชขององค์เทพีแล้วนะ”

 

“…….”

 

ผมแค่แหย่ยิงมุกเล่นเฉยๆ แต่ความกระหายเลือดที่พุ่งกลับมาหาผมน่ะของจริง จิตสังหารเข้มข้นของมือสังหารทะลักท่วมท้นจนผมต้องขอยอมแพ้แล้วหนีกลับไปกินสตูว์ของตัวเองต่อ 

 

เฮ่อ คิดว่าผมต้องตายห่าแล้วจริงๆนะนั่น!

 

ท้องฟ้ากลับมืดลงพอผมกินขนมปังกับสตูว์จนหมด แอบจ่ายเงินให้กับพวกทหารที่ยืนยามกลางคืน

―ผมต้องทำแบบนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกฝูงหมาป่าเข้ามาใกล้เรา ―บางทีก็แตะไหล่พวกเขา ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ากะยืนยามกลางคืนต่างรู้สึกดีใจกันมาก

 

“ตั้งใจทำงานล่ะ แต่ไม่ต้องมากจนเกินไป ชีวิตจอมมารอยู่ในมือพวกเจ้าแล้วนะ แม้จะเป็นแค่คืนนี้แต่พวกเจ้าทั้งหมดน่ะ เป็นราชองค์รักษ์ของจอมมาร”

 

“เป็นเกียรติแก่พวกเราครับ!”

 

“พวกเราจะตรวจตราอย่างเข้มงวดและไม่ให้มดยุงแม้แต่ตัวเดียวเข้ามาได้เลยครับ!”

 

อย่างที่คิดไว้จริงๆ เงินนั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับความซื่อสัตย์สำหรับพวกทหารรับจ้าง แววตาของพวกเขาเปลี่ยนไปทันทีที่ผมหยอดเหรียญเงินให้พวกเขา

 

มันเป็นปาฏิหารย์ที่ทำให้นายทหารธรรมดาๆกลับกลายเป็นทหารผู้กระฉับกระเฉงในทันที ผมแอบแสยะยิ้มแล้วกลับไปที่ห้องรถม้า

 

“…….”

 

เดซี่ยังคงหลับอยู่ในรถม้า

ร่างเล็กของเด็กสาวนั้นหันหลังเข้าหามุม สองวันแล้วนับจากที่ผ่าตัดกันไป แต่เธอก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

 

เอาจริงๆนะ ผมรู้สึกว่า มันจะยอดเยี่ยมมากหากเธอยังคงหลับเช่นนั้นไปตลอดกาล แต่ผมก็อดเยาะหยันตัวเองไม่ได้

‘เรื่องนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วน่า’

หากแม่หนูนั่นจะพบจุดจบอย่างนี้ คงไม่มีทางกลายเป็นฮีโร่ตั้งแต่แรกได้หรอกน่า นั่นมันความหวังลมๆแล้งๆ

 

ผมปูผ้าลงไปบนที่นอนในรถม้า แล้วเอนตัวลง ผมเหนื่อยจากการที่ต้องขี่ม้าทั้งวัน ดวงตาผมปิดลงเองเมื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

 

ผมยังได้ยินเสียงร้องฮูกๆ ของนกฮูกในป่า เป็นเสียงกล่อมที่น่าฟังจริงๆ ผมหวังว่าตัวเองจะหลับโดยไม่ฝันร้ายนะ

…….

………….

……………….

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันแล้ว? 

ผมได้ยินเสียงดังไกลๆจากสัมปชัญญะอันเลือนลาง

“อย่างที่คิดจริงๆ”

 

มันเป็นเหมือนผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลม เสียงนั้นปลุกจิตสำนึกผมให้ตื่นขึ้น

ผมลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เงาของใครสักคนหนึ่ง และความมืดนั้นปกคลุมการมองเห็นของผม

 

เด็กสาวที่ดำมืดเหมือนอย่างราตรีอยู่ตรงหน้าผม เด็กสาวนั่งลงบันร่างผม เธอมองต่ำลงมาที่ผมด้วยดวงตาที่ไร้ความรู้สึก

มีอะไรบางอย่างที่แหลมคม มีดแหลมคมชี้หาผม

 

ความรู้สึกอยากนอนปลิวหายไปจากสมองผม ดวงตาผมที่เคยหนักก็ด้วย

เดซี่บ่นกับตัวเองเบาๆขณะที่ผมกำลังงงอยู่ว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

 

“อย่างที่คิดเลย หนูทำไม่ได้”

 

เธอถือมีดไว้ในมือทั้งสองข้าง และจ่อตรงมายังคอของผม

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 180 ความเกลียดชังมนุษย์ (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 180 ความเกลียดชังมนุษย์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

“ไม่ใช่ว่าแกไปแอบสอนเทคนิคการหายใจด้วยเรอะ?”

 

“โธ่ถัง โปรดเชื่อผมเถอะครับ หัวหน้า! หัวหน้าคิดว่า อย่างผมจะมีทักษะมากพอที่จะสอนสุตราหรือครับ?”

คนแคระหนุ่มเหงื่อท่วม

 

เทคนิคการหายใจนั้นเป็นพื้นฐานของการหายใจแบบสุตรา กระบวนการวิธีน่ะไม่ได้ยากหรอก เพียงแต่มันขึ้นกับว่าคุณนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะกับมัน

มีช่วงหนึ่งผมทำตัวเป็นเด็กดื้อตอนที่พยายามจะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากลาพิส ตอนนั้นเองที่ลาพิสบอกกับผมด้วยแววตาที่แสนเย็นชาขณะที่สอนเทคนิคการหายใจหลายๆแบบ

 

– ฝ่าบาทไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิงสำหรับศิลปะการต่อสู้

 

 

เมื่อเธอประกาศชัดเจนอย่างนั้น วันต่อมาผมจึงต้องยอมฝึกหน้าไม้อย่างว่านอนสอนง่าย ลุคนั้นได้รับการชื่นชมว่าเป็นอัจฉริยะมหัศจรรย์ที่หาตัวจับยากด้วยค่าสแตทที่ผมต้องเฝ้าบากบั่นพากเพียนอย่างยาวนาน บางทีชีวิตมันก็ไม่แฟร์แบบนี้แหละนะ

 

 

“ผมให้เจ้าหนูแกว่งดาบ 400 ครั้ง แล้วอยู่ๆผมก็มาได้ยินเสียง ฮู่ ฮู่ หัวหน้าเข้าใจไหมครับ?

พอผมตั้งใจฟังดีๆ ผมเลยรู้ชัดแล้วว่า เขากำลังฝึกเทคนิคการหายใจไปด้วย บ้าเอ๊ย หัวหน้าต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมตกใจขนาดไหนกัน”

 

“แล้วเจ้าเด็กหลังเขาแบบนั้นรู้จักการฝึกสุตราด้วยตัวเองได้ยังไงกัน?”

แจ็กเกอรี่ดูจะยังไม่เชื่อดีนัก คนแคระหนุ่มเลยกอดอก

 

“โอ้ แล้วผมจะโกหกไปทำไมกัน? ผมบอกหัวหน้าแล้วนี่ครับ? ว่าควรไปดูด้วยตัวเอง หากจะลงโทษผมก็ลงโทษเลยก็ได้ แต่อยากให้หัวหน้าไปดูด้วยตาตัวเองก่อน”

 

“ข้าเห็นด้วยกับเรคัน”

ผมตัดสินใจที่จะเห็นด้วยกับเขา

 

“หากที่พูดมามันจริงแล้วล่ะก็ มันน่าสนใจดีไม่ใช่รึ? แจ็กเกอรี่ เจ้าควรลองไปดูแลลุคดูสักครั้ง”

 

“……ข้าเข้าใจแล้วครับ ถ้าผลออกมาว่า เรคันมันโกหก……”

แจ็กเกอรี่มองคนแคระหนุ่มแล้วพูดต่อ

“ข้าจะลงโทษตามกฏทหาร”

 

“ได้เลยครับ หัวหน้าจะตัดหัวหรือลงแส้ผม ผมก็ไม่สน”

คนแคระหนุ่มตอบแบบคุยโต

“แต่เดี๋ยวหัวหน้าก็เจอเหมือนอย่างผมนี่แหละ”

 

“อื้ม เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน ข้าไม่เชื่อเรื่องมหัศจรรย์พวกนั้น”

แจ็กเกอรี่จึงถอนตัวจากสิ่งสำคัญตรงหน้า

 

ความเอะอะมะเทิ่งเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นเพราะสองพี่น้องฮีโร่ แต่มันก็มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าคลื่นในแม่น้ำ

ไม่ว่ามันจะวงใหญ่แค่ไหน สุดท้ายแม่น้ำก็ยังไหลไปตามทางของมัน <กองทัพพันธมิตรปลดแอก> ก็ยังคงทำงานกันต่อไปโดยไม่หยุด

 

แผนเดิมของพวกเราคือ การไปที่เมืองหลวงเพื่อไปร่วมทัพกับจักรพรรดินีโดวาเจอร์

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็เปลี่ยนแผนทันทีที่ได้รับอำนาจในกลุ่ม พวกเราจึงมุ่งหน้าไปยังดินแดนแถบเหนือของฟรานเคียแทน

 

ดินแดนแถบเหนือของฟรานเคียนั้นขึ้นชื่อว่า เป็นดินแดนที่อุดมมั่งคั่ง ต่างจากแดนเหนือของที่อื่น พวกเขาได้ฟื้นฟูผืนดินอันทุรกันดารมากเสียจนไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เห็นแต่รวงข้าวสาลีสีทอง แถมยังยังมีประชากรจำนวนมากที่สุดอีกด้วย จะเรียกว่าเป็นเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงฟรานเคียก็ไม่ผิดนัก

 

มีปราสาทจอมมารสองแห่งตั้งอยู่ที่นั่น

พวกเราต้องร่วมกันกับพวกเขาเพื่อรุมจัดการกับฟรานเคีย ขณะที่พวกเราจู่โจมจากภายนอกก็ติดต่อสื่อสารกันลับๆให้พวกเขาจู่โจมจากภายใน พอเป็นอย่างนั้นแม้จะเป็นดินแดนที่สุดจะแข็งแกร่งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการล่มสลายไปได้

 

 

“ฝ่าบาทเลราเจนั้นเป็นคีย์สำคัญในฝ่ายที่ราบ”

ก่อนอื่นเลยก็ จอมมารลำดับ 14 เลราเจ(Leraje)

 

“เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งรองจากฝ่าบาทบาร์บาทอสและฝ่าบาทเบเลธ เขาเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นก็อย่างที่ท่านเห็นแล้ว”

 

เจเรมิเปิดแผนที่ให้ผมดู รายละเอียดภูมิศาสตร์ของแผนที่ในฟรานเคียวาดอยู่ในนั้น มันเป็นแผนที่คุณภาพสูงที่มีไว้ใช้ในการทหาร

 

เธอได้มันมาในฐานะหัวหน้ากลุ่มมือสังหารที่แม้แต่เหล่าชนชั้นสูงไม่อาจหามาได้โดยง่าย มีพื้นที่ในแผนที่สองแห่งที่มีกากบาทตัวหนา

 

 

 

 

“ไม่เหมือนจอมมารตนอื่น ฐานของเขาตั้งอยู่ใจกลางของทวีป ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ยากที่จะสร้างกองกำลังขึ้นมาจากตำแหน่งนั้นได้

ฟุฟุ นี่แหละคือสาเหตุที่ว่า ทำไมฝ่าบาทเซปาร์ถึงได้มีอำนาจในฝ่ายที่ราบมากกว่าฝ่าบาทเลราเจ”

 

พี่ชายเบเลธอันดับ 13 ,เลราเจ อันดับ 14 และ นายพลเซปาร์ อันดับ 16

 

ถ้าว่ากันตามอันดับแล้ว เบเลธกับเลราเจสมควรเป็นผู้ที่แก่งแย่งการสั่งการลำดับสองในกองทัพ แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งล่าสุด จอมมารผู้ที่แย่งอันดับสองกันกลับเป็นพี่ชายเบเลธกับนายพลเซปาร์

 

ผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ ใครบางคนที่อ่อนแอกว่ากลับได้รับความนับถือในฝ่าย คงมีไม่มากหรอกที่ยอมรับสถานการณ์แบบนี้อย่างสงบ

 

“ฮื่ม เขาคงถูกตำหนิมากมายในสถานการณ์แบบนี้แน่”

 

“ใช่แล้วค่ะ ฝ่าบาทเลราเจนั้นไม่สามารถที่จะไปรวมกลุ่มกับกองทัพหลักในการระดมพลทัพพันธมิตรครั้งล่าสุดได้ 

ฝ่าบาทเลราเจนั้นต้องโจมตีจากด้านหลังด้วยหน่วยย่อย ในขณะที่กองทัพหลักก็ต่อสู้อย่างเต็มกำลังกับกองทัพฝ่ายมนุษย์ในแนวหน้า”

 

เพราะแบบนั้นก็ต้องขอบคุณแหละที่ทำให้ จักรวรรดิฟรานเคียไม่สามารถสู้กับกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราเต็มกำลัง อาจจะเป็นแค่จอมมารตนเดียว แต่เป็นอันดับ 14 รองจากที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่าย มอนสเตอร์ใต้การบัญชาการของเขาก็อยู่ราวๆ  2,000 ถึง 3,000 ตัว

 

มอนสเตอร์นับพันตัวเคลื่อนทัพไปพร้อมกันแล้วจู่โจมแนวหลังภายใต้คำสั่งของจอมมาร นั่นทำให้พวกลอร์ดตามดินแดนทั้งหลายในแถบเหนือของฟรานเคียไม่อาจขยับไปไหนได้

หากลอร์ดพวกนั้นเดินหมากพลาด สั่งให้กองทหารเดินทัพไป แล้วดินแดนตัวเองก็โดนทำลายเข้าก็ถือว่าจบกัน

 

เลราเจนั้นทำงานในส่วนนั้นได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม

 

“แม้จะมีความสามารถแต่กลับมีแต่ความหาญกล้าน้อยไป…….”

 

“เขายังขาดอะไรที่ดูตื่นตาตื่นใจ ดอกไม้แห่งสงครามน่ะ คือ การสู้รบขนาดใหญ่อยู่แล้ว”

 

เขาอยู่ในตำแหน่งที่ยากจะได้รับรางวัลใดตอบแทน

 

ตัวอย่างก็เช่น นายพลเซปาร์ไง เขาได้รับมอบหมายให้เป็นแนวหน้า แล้วจัดการกับภูเขาดำ คำชื่นชมสรรเสริญก็ตามมาหลังจากประสบความสำเร็จ 

การบุกเบิกถางเส้นทางให้กองทัพพันธมิตร ,แสดงความแข็งแกร่งของฝ่ายที่ราบ และยังสร้างชื่อเสียงในฐานะการเปิดตัวสงคราม…….แล้วเลราเจล่ะ?

 

 

ความจริง เลราเจได้ตรึงกำลังกองทัพฝ่ายแดนเหนือของฟราเคียไปกว่าครึ่ง

จำนวนทหารมนุษย์ที่เลราเจตรึงกำลังไว้รวมก็เกือบๆ  15,000 คน 

เขาน่ะ คุมกองกำลังทหารอีกฝ่ายถึง  15,000 คน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากหากมองภาพรวมของสงครามพันธมิตร

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งที่เขาทำมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสงครามกองโจร

 

เป้าหมายของเลราเจไม่ใช่การสู้รบแล้วได้รับชัยชนะ หากแต่เป็นการป้องกันมนุษย์จากการแยกทัพ ด้วยการทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยว่า จะโดนโจมตีตอนไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้

 

เลราเจนั้นวุ่นวายกับการพยายามทำการขู่คุกคามเหล่ามนุษย์ ในขณะที่ฝ่ายมนุษย์เองก็ยุ่งวุ่นกับการปกป้องดินแดนของตน

……. การทำแบบนั้นทำให้ไม่เกิด การสู้รบขนาดใหญ่ขึ้น

ดังนั้นจึงไม่ได้รับความสำเร็จครั้งใหญ่ใดๆเลย

 

นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมบาร์บาทอสไม่ตกรางวัลให้เลราเจมากเท่าที่เธออยากจะให้จริง หากเลราเจคิดว่าตัวเองเป็นผู้ทุ่มเทเสียสละมากที่สุดในฐานะที่เหนื่อยยากลงแรงมากที่สุด จอมมารคนอื่นก็ต้องพูดบ่นก่นด่ากันทันที

 

– แล้วทำไมพวกเราเป็นกลุ่มที่ทุ่มเทอันดับสามได้ยังไงก็ในเมื่อพวกเราเสียคนของพวกเราไปในสมรภูมิ ส่วนจอมมารที่ไม่เสียเลือดสักหยดกลับทำตัวเหมือนทุ่มเทเสียสละมากสุดล่ะวะ?

 

– แล้วอย่างนี้แล้ว พวกเราจะไปเสียเลือดเสียเนื้อกันไปเพื่ออะไรกัน?

เห็นได้ชัดว่า มันต้องจบลงแบบนั้นแหละ

 

จอมมารตนอื่นๆน่ะรู้แก่ใจอยู่แล้วว่า กองกำลังย่อยพวกนั้นน่ะเป็นส่วนสำคัญต่อกองทัพหลัก

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่คิดกับสิ่งที่รู้สึกมันคนละเรื่องกัน

 

พวกเขาน่ะสูญเสียมอนสเตอร์ที่ดูแลมานับสิบปี ไปเป็นร้อยๆตัว แต่หมอนั่นไม่เสียอะไรเลยสักนิด แล้วยังจะบอกว่า พวกเขาน่ะทุ่มเทน้อยกว่าหมอนั่นเรอะ? 

คนส่วนมากไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีนัก การแบ่งปันผลงานให้แก่กองทัพเนี่ยเป็นงานที่ซับซ้อนอย่างมาก

 

 

“เลราเจคงไม่ชอบข้านั่นแหละ”

 

“ฝ่าบาทได้พบกับฝ่าบาทเลราเจมาก่อนหรือคะ?”

 

“ไม่หรอก นี่ก็ไม่ต่างจากการเจอกันครั้งแรกเท่าไหร่หรอก”

 

ผมยิ้มอย่างขมขื่น

 

“คนๆนั้นน่ะทำงานอย่างเงียบๆของตัวเองไป แล้วข้าที่เป็นใครจากไหนก็ไม่รู้อยู่ๆโผล่มายืนเด่นอยู่บนบันได

 ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พวกนั้นจะต้องเสียใจอยู่แล้ว พวกเขาก็ต้องท้อว่า ที่ทำงานหนักกันไปนี่มันสูญเปล่า”

 

“แต่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า ฝ่าบาทได้ทุ่มเทมากที่สุด…….”

 

“มันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล มันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ”

 

เลราเจนั้นอาจผันความเสียใจและความข้องใจนั้นหันมาหาผม อาจดูเหมือนเป็นการระบายความโกรธใส่บุคคลที่สาม 

แต่จริงๆตั้งใจจะคุกคามผมคนเดียวเท่านั้น พอมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้องแบบนี้แทบไม่มีอะไรดีขึ้นมา

 

“ข้ากำลังคิดจะใช้ตำแหน่งฐานะผู้ช่วยคนสนิทของบาร์บาทอสเพื่อเจรจา แต่ ……เอ่อ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำตัวเป็นห่มหนังสิงโต”

 

“อย่างนั้นเองหรือคะ แล้วท่านตั้งใจจะทำอย่างไร?”

เจเรมิดูสนอกสนใจขึ้นมา

 

“หรือพวกเราควรหันกลับมุ่งหน้าไปทางใต้แทน? ที่นั่นก็มีปราสาทจอมมารทางใต้ของฟรานเคียด้วยเช่นกันค่ะ”

 

“ไม่ ทางใต้น่ะมันยากจนเกินไปเมื่อเทียบกับทางเหนือ แม้เราจะเข้าไปวุ่นวายก้าวก่ายอะไรต่อมิอะไร ก็ไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะก่อสงครามกลางเมืองให้เกิดผลกระทบรุนแรงได้หรอก พวกเราจะไปทางเหนือกันต่อ”

 

“อย่างที่คิดเลย ฝ่าบาทต้องพูดแบบนั้นแน่”

เจเรมิยิ้มกว้างออกมา ดูเธอจะมีความสุขมากเลยนะ ที่ผมต้องเลือกเส้นทางที่ยากเย็นเข็นใจ

 

ชิ นังโรคจิตนี่ ทำไมรอบตัวผมมีแต่คนบ้าทั้งนั้นเลยเนี่ย? ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งมีแต่ไอ้อีโรคจิตมารุมล้อมผม ไอ่สำนวนที่บอกว่า คนเช่นไรคบคนเช่นนั้น มันโกหกกันชัดๆ

 

เจเรมิชี้ไปตรงจุดอื่นในแผนที่

 

“ต่อไปก็เป็นฝ่าบาทโรโนเว่”

จอมมารอันดับ 27 โรโนเว่

 

“ฝ่าบาทโรโนเว่นั้นอยู่ฝ่ายภูเขา ฝ่าบาทไพมอนได้สั่งให้เขาร่วมมือกับพวกเราก่อนหน้านี้แล้ว ท่านสามารถได้รับการสนับสนุนร่วมมือจากเขาได้ง่ายๆ”

 

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

โธ่เอ๊ย ไม่มีดวงเลยวุ้ย ทำไมจอมมารสองตนถึงอยู่คนละฝ่ายกันล่ะ?

แบบนี้ยิ่งใกล้มันก็ยิ่งความสัมพันธ์เลวร้ายลงกว่าเดิมอีก ดูท่าทั้งเลราเจและโรโนเว่เองก็คงกัดกันเหมือนหมากับแมวแหง

 

“เฮ่ออ”

ผมถอนใจออกมา จนเริ่มติดนิสัยถอนใจแล้วเนี่ย

 

ไม่เพียงแต่ผมต้องทำงานร่วมกันกับจอมมารที่อิจฉาผม ยังต้องมาแก้ไขเรื่องความสัมพันธ์ของจอมมารสองตนอีก ผมไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้เลยสักนิด 

คืนนี้ดูท่าผมต้องคิดแผนการเป็นรูปธรรมเพื่อให้จอมมารสองตนร่วมมือกันได้…….

 

แถมผมยังต้องจัดการกับไอ้เจ้ากลุ่มก้อนที่เรียก พี่น้องฮีโร่นั่นอีก นี่มันอะไรกันครับเนี่ย? 

วันคืนอันแสนสุขของผมโดยเหยียบย่ำยับเยินไม่มีชิ้นดี ผมอยากจะใช้ชีวิตอย่างสโลวไล้ฟ์ ทำฟาร์ม หรืออะไรทำนองนั้น แต่รอบข้างมันไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นได้

 

ลอร่าจ๋า ยังอยู่ดีไหม? ผมล่ะคิดถึงเสียงครางแสนน่าเอ็นดูของคุณลอร่าจังเลย ถ้าผมกลับไปนะ ได้โปรดมอบของขวัญเป็นคืนวันอันแสนสุขสักสี่วันด้วยเถอะนะ

…….

 

( TTL : ป่านนี้ลอร่าขนลุกเกรียว สะดุ้งเฮือกแล้ว 555) 

 

* * *

 

พวกเราก่อกองไฟกันบนถนนตอนกลางคืน

 

สุดท้ายแจ็กเกอรี่ก็ต้องทิ้งงานสำคัญเพื่อไปดูแลลุคอีกรอบ

 

 

ผมกับเจเรมินี่นต่างสั่งให้กลุ่มมือสังหารมาช่วยกันเตรียมทำมื้อเที่ยงและมื้อเย็นด้วยกัน 

การเตรียมกับข้าวกับปลาให้คนห้าสิบคนนี่มันสร้างปัญหายิ่งกว่าที่ผมคิดไว้มาก 

 

 

“ไอ้เชี่ยเตี้ยแตกไวนั่น!”

 

เจเรมิสบถออกมาแล้วด่าว่า ทั้งหมดนั่นเป็นแผนชั่วของไอ้คนแคระ แม้จะเป็นคนที่ปกติมีอารมณ์นิ่งสงบเหมือนผิวน้ำ แต่ก็มีนานๆครั้งที่จะระเบิดอารมณ์โกรธออกมาจริงๆ

 

ทั้งแจ็กเกอรี่และเจเรมินั้นมีจังหวะในการทำงานของตัวเอง แต่พอโยนเข้ามาเกี่ยวหรือทำงานด้วยกันปุ๊บ สมดุลจังหวะที่เคยมีมาทั้งหมดก็พังทลาย ช่างเป็นการจับคู่กันที่ฟ้าสรรค์สวรรค์สร้างซะจริง

 

ผมได้แต่หัวเราะแล้วยิงมุกไป

 

“นี่ อยากให้ข้าจัดพิธีแต่งงานให้ไหมล่ะ? ตอนนี้ข้าเป็นนักบวชขององค์เทพีแล้วนะ”

 

“…….”

 

ผมแค่แหย่ยิงมุกเล่นเฉยๆ แต่ความกระหายเลือดที่พุ่งกลับมาหาผมน่ะของจริง จิตสังหารเข้มข้นของมือสังหารทะลักท่วมท้นจนผมต้องขอยอมแพ้แล้วหนีกลับไปกินสตูว์ของตัวเองต่อ 

 

เฮ่อ คิดว่าผมต้องตายห่าแล้วจริงๆนะนั่น!

 

ท้องฟ้ากลับมืดลงพอผมกินขนมปังกับสตูว์จนหมด แอบจ่ายเงินให้กับพวกทหารที่ยืนยามกลางคืน

―ผมต้องทำแบบนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกฝูงหมาป่าเข้ามาใกล้เรา ―บางทีก็แตะไหล่พวกเขา ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ากะยืนยามกลางคืนต่างรู้สึกดีใจกันมาก

 

“ตั้งใจทำงานล่ะ แต่ไม่ต้องมากจนเกินไป ชีวิตจอมมารอยู่ในมือพวกเจ้าแล้วนะ แม้จะเป็นแค่คืนนี้แต่พวกเจ้าทั้งหมดน่ะ เป็นราชองค์รักษ์ของจอมมาร”

 

“เป็นเกียรติแก่พวกเราครับ!”

 

“พวกเราจะตรวจตราอย่างเข้มงวดและไม่ให้มดยุงแม้แต่ตัวเดียวเข้ามาได้เลยครับ!”

 

อย่างที่คิดไว้จริงๆ เงินนั้นเชื่อมต่อโดยตรงกับความซื่อสัตย์สำหรับพวกทหารรับจ้าง แววตาของพวกเขาเปลี่ยนไปทันทีที่ผมหยอดเหรียญเงินให้พวกเขา

 

มันเป็นปาฏิหารย์ที่ทำให้นายทหารธรรมดาๆกลับกลายเป็นทหารผู้กระฉับกระเฉงในทันที ผมแอบแสยะยิ้มแล้วกลับไปที่ห้องรถม้า

 

“…….”

 

เดซี่ยังคงหลับอยู่ในรถม้า

ร่างเล็กของเด็กสาวนั้นหันหลังเข้าหามุม สองวันแล้วนับจากที่ผ่าตัดกันไป แต่เธอก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

 

เอาจริงๆนะ ผมรู้สึกว่า มันจะยอดเยี่ยมมากหากเธอยังคงหลับเช่นนั้นไปตลอดกาล แต่ผมก็อดเยาะหยันตัวเองไม่ได้

‘เรื่องนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วน่า’

หากแม่หนูนั่นจะพบจุดจบอย่างนี้ คงไม่มีทางกลายเป็นฮีโร่ตั้งแต่แรกได้หรอกน่า นั่นมันความหวังลมๆแล้งๆ

 

ผมปูผ้าลงไปบนที่นอนในรถม้า แล้วเอนตัวลง ผมเหนื่อยจากการที่ต้องขี่ม้าทั้งวัน ดวงตาผมปิดลงเองเมื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

 

ผมยังได้ยินเสียงร้องฮูกๆ ของนกฮูกในป่า เป็นเสียงกล่อมที่น่าฟังจริงๆ ผมหวังว่าตัวเองจะหลับโดยไม่ฝันร้ายนะ

…….

………….

……………….

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันแล้ว? 

ผมได้ยินเสียงดังไกลๆจากสัมปชัญญะอันเลือนลาง

“อย่างที่คิดจริงๆ”

 

มันเป็นเหมือนผ้าม่านที่ปลิวไสวไปกับสายลม เสียงนั้นปลุกจิตสำนึกผมให้ตื่นขึ้น

ผมลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เงาของใครสักคนหนึ่ง และความมืดนั้นปกคลุมการมองเห็นของผม

 

เด็กสาวที่ดำมืดเหมือนอย่างราตรีอยู่ตรงหน้าผม เด็กสาวนั่งลงบันร่างผม เธอมองต่ำลงมาที่ผมด้วยดวงตาที่ไร้ความรู้สึก

มีอะไรบางอย่างที่แหลมคม มีดแหลมคมชี้หาผม

 

ความรู้สึกอยากนอนปลิวหายไปจากสมองผม ดวงตาผมที่เคยหนักก็ด้วย

เดซี่บ่นกับตัวเองเบาๆขณะที่ผมกำลังงงอยู่ว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

 

“อย่างที่คิดเลย หนูทำไม่ได้”

 

เธอถือมีดไว้ในมือทั้งสองข้าง และจ่อตรงมายังคอของผม

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+