Dungeon Defense (WN) 183 ความเกลียดชังมนุษย์ (5)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 183 ความเกลียดชังมนุษย์ (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

WARNING: NSFW CONTENT.

Please be advised that the following chapter has 18+ sexual material and should be exclusively reserved for a mature audience. It’s only a very brief part at the end, but I’m putting this warning up anyway. It’ll continue on to the beginning of the next chapter.

You have been warned.

 

 

 

Ο

* * *

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบเจอจอมมารสักคนหนึ่งแม้จะอยู่ฝ่ายที่ราบก็ตาม

ผมพยายามที่จะติดต่อกับจอมมาร ลำดับ 14 เลราเจ เมื่อหลายวันก่อนจนถึงตอนนี้ แต่กลับไม่ได้การตอบรับกลับมาเลย

อีกฝ่ายดูจะแสดงออกให้เห็นชัดว่า ไม่อยากพบ เขาคงมีคำถามในใจแหละว่าทำไมผมถึงไม่มาพบเจออย่างเป็นทางการด้วยทั้งที่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น

 

เจ้าน่ะมีแรงจูงใจอะไรแอบแฝงหรือเปล่าจึงมาแอบนัดพบเช่นนี้?

 

สำคัญกว่านั้นก็คือ ทำไมกัน ทำไมจอมมารที่ควรจะเข้าร่วมกับแนวหน้าเข้าตีฮับบวร์ก อยู่ๆกลับมาโผล่ตัวที่ฟรานเคียแห่งนี้ด้วย ว่าง่ายๆ รวมๆแล้วพวกเราดูน่าสงสัยสุดๆเลยล่ะ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อาจเป็นข้อดีก็ได้ ที่ชื่อ ดันทาเลี่ยนนั้นดังพอจะให้อีกฝ่ายคิดทบทวนดูใหม่ ผมน่ะเป็นถึงดาวเด่นแห่งฝ่ายที่ราบเลยนะ

 

ถึงแม้พวกเราจะไม่คืบหน้าไปไหนเพราะมัวแต่ปะทะนัวกันเองในสงครามแต่ละฝ่าย แต่ตำแหน่งจอมมารลำดับ 14 ของกองทัพจอมมารก็ไม่ได้ชนะไพ่แล้วได้มาสักหน่อย มันไม่มีทางหรอกที่เลราเจจะไม่รู้จักผม

แต่ก็เป็นไปตามคาด เลราเจนั้นรีบแจ้งถึงสถานที่ที่พวกเราจะไปนัดพบกันเลยล่ะ

สถานที่ที่ผมกำลังไปในฐานะผู้ชมนั้นออกจะเป็นสถานที่พิเศษหน่อย จอมมารตนนั้นออกจะมีเอกลักษณ์จริงๆนะ

 

“ดูนี่ นี่เป็นจดหมายเชิญไปที่โรงโอเปร่า”

 

“แหมที่รัก จริงๆด้วย นี่เขาตั้งใจจะแอบนัดพบกันในโรงโอเปร่าจริงๆหรือคะ?”

เจเรมิยิ้มหัวเราะอย่างสนอกสนใจออกมาขณะที่อ่านบัตรเชิญ

ปกติแล้วจอมมารน่ะจะนัดพบกันในปราสาทหรือไม่ก็ดินแดนใกล้เคียง พูดได้ว่า เมืองมนุษย์นั้นเป็นสถานที่สุดอันตรายสำหรับจอมมาร ไม่มีทางที่จะยอมเผยตัวจริงออกมาอย่างเด็ดขาด

 

“หรือฉันควรให้กลุ่มมือสังหารล่วงหน้าไปที่เมืองแล้วเร้นกายแฝงตัวก่อน?”

 

“ไม่ล่ะ ไม่จำเป็นเลย เลราเจนั้นคงต้องการทดสอบความกล้าของข้า ให้ดีก็เอาผู้ติดตามไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนพวกเราไปถึง”

 

ผมไปที่เมืองกับเจเรมิเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

* * *

 

 

มันเป็นตอนเย็นแล้ว พวกเรามาถึงโรงละครโอเปร่าด้วยรถม้าสำหรับแขก

มีขอทานมากมายกำลังชกต่อยกันอยู่หน้าโรงละคร พวกเขาพยายามแย่งจุดขอทานที่ดีที่สุดกันอยู่ คนที่แพ้ก็ต้องไปที่อื่น เสียงดนตรีคลอเบาๆรั่วไหลมาจากด้านในโรงละคร

เด็กสาวคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเราทันทีที่เห็นพวกเราเดินลงจากรถม้า

 

“มาดามคะ ขอเศษเหรียญด้วยเถอะค่ะ มาดาม”

เด็กสาวแบมือขอต่อหน้าเจเรมิ

“ขอเทพเจ้าจงอวยพรท่านด้วยค่ะ”

 

“แหมที่รัก พอมาคิดว่าคนอย่างฉันได้รับการอวยพรแล้วนี่นะ”

เจเรมิวางเหรียญหนึ่งเหรียญลงในฝ่ามือของเด็กสาว

 

“ขอบคุณมากค่ะ! ขอบคุณมากค่ะมาดาม! เทพเจ้าต้องอำนวยอวยพรให้ท่านแน่ๆ”

เด็กสาวคนนั้นขอบอกขอบใจด้วยท่าทางที่สุดแสนจะเวอร์วัง ก่อนจะหันหน้ามาหาผมด้วยแววตาที่ปรารถนาจะได้รับการตอบรับอีกครั้ง

 

ผมยิ้มแล้วให้เหรียญเงินในมือของเด็กสาว ประกายแวววาวของเหรียญเงินที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์นั้นทำให้เด็กสาวต้องประหลาดใจ

 

ผมก้มหัวลงแล้วกระซิบข้างหูเด็กสาว

 

“ข้าน่ะเป็นแมงดาผู้เลื่องชื่อแห่งปารีส ข้าตั้งใจจะเอาตัวเจ้าไป ชุบเลี้ยงให้เป็นอีตัวที่ดี ข้าจะได้เจ้าไปเป็นทาสกามของข้าตลอดกาลเลยล่ะ,สาวน้อย

ข้ามอบเหรียญเงินหนึ่งเหรียญให้เจ้าทุกสัปดาห์เลยนะ คิดว่ายังไง?”

 

“กะ-กรี๊ดดดดดด!”

เด็กสาวกรีดร้องออกมาแล้วรีบเผ่นหนีไปในทันที

ผมหัวเราะก๊ากออกมาขณะดูหญิงสาววิ่งหนีไปตามท้องถนน พอผมทำแบบนั้นแล้ว เจเรมิก็มองค้อนผม

 

“ท่านทำแบบนั้นไปทำไมคะ?”

 

“ต่อจากนี้ไปแม่หนูนั่นก็จะระวังทุกครั้งที่เห็นเหรียญเงิน เธอจะคิดอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายอาจมีจุดประสงค์แฝงเร้น ข้าแค่มอบความลังเลสงสัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตให้แม่หนูนั่นน่ะ”

 

“……บางทีฉันก็สงสัยนะคะว่า ท่านน่ะดูเหมือนเป็นคนบ้าเพราะท่านนั้นใจดีมีเมตตา หรือท่านดูใจดีมีเมตตาเพราะเป็นคนบ้า กันแน่”

 

ผมยักไหล่

“ใครจะไปสนล่ะ? ข้าอาจจะเป็นทั้งคนบ้าและชายผู้มีเมตตาก็เป็นได้”

 

เจเรมิจึงหัวเราะเบาๆ

“คำตอบอันแสนชาญฉลาดที่มีต่อคำถามโง่ๆ จากสุภาพบุรุษผู้ยอดเยี่ยมของฉัน”

 

เธอแสดงความเห็นอย่างนั้นแล้วก็ควงแขนผม

วันนี้เราสองคนกำลังแสดงเป็นชนชั้นสูงกับคู่รักกัน

 

ผมซ่อนเขาเล็กๆที่ท้ายทอยด้วยวิก ส่วนเจเรมิสวมหมวกและเน็ตตาข่ายดำปกคลุมใบหน้าซีกที่ถูกเผา พวกเราดูเหมือนคู่รักธรรมดาในสายตาคนอื่น

 

(TTL : ห่างบาร์บาทอส ไพมอน ลาพิส ลอร่า ปุ๊บ พรี่ก็หาสาวใหม่(ที่ไม่ใหม่)มาควงทันทีเลยน้า)

 

พวกชนชั้นสูงต่างมาออกันอยู่ที่ทางเข้าของโรงละคร จากที่พวกเขาพูดคุยกันดูเหมือนนี่จะไม่ใช่รอบปฐมทัศน์อย่างเดียว หากแต่มีนักแสดงนำผู้มีชื่อเสียงมาจัดแสดงที่นี่ด้วยเช่นกัน

นี่แหละเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมชายและหญิงในสังคมถึงได้มาออ มารวมตัวกันอยู่ที่โรงละคร

 

พนักงานต้อนรับของโรงละครทำตัวเป็นเหมือนไก๊ด์หลังจากได้ดูจดหมายเชิญของพวกเรา

พวกเรามาถึงห้องห้องหนึ่ง พวกเราเห็นหน้าเวทีได้อย่างชัดเจน

 

“โอ้? นี่ต้องเป็นที่นั่งที่แพงมากแน่ๆ”

 

“อย่างนั้นเองรึ?”

 

“ท่านดูจะไม่สนใจในละครโอเปร่าเลยนะคะ คุณท่าน(monsieur)”

 

ผมผงกหัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมมาที่โรงโอเปร่าทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อนหน้า

 

ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากการแสดงเลยแม้แต่น้อย

ผมรู้ตัวเองดีว่า สุนทรียภาพของผมนั้นมันห่วยแตกแค่ไหน ผมคือชายที่หลับคร่อกระหว่างฟังซิมโฟนี่หมายเลข 5 ของบีโทเฟ่น 

ผมจำได้ชัดเลยว่า แววตาของครูดนตรีผมสมัยมัธยมเป็นยังไง อืมมม มันเป็นชั่วโมงเรียนที่น่าหลับจริงๆแหละ

 

“เมื่อไหร่ฝ่าบาทเลราเจจะมาถึงกันนะ?”

 

“เขาคงไม่มาถึงหรอกจนกว่าคนดูคนอื่นๆจะวุ่นวายอยู่กับการแสดงบนเวที”

 

ดูเหมือนเจเรมิจะชื่นชอบอะไรพวกนี้มากๆ อารมณ์ตื่นเต้นที่น้อยเสียจนเกือบแทบไม่สังเกตเห็นรั่วออกมาก่อนหน้า

ถึงเธอจะรู้อยู่แล้วว่า การรับชมการแสดงนั้นเป็นของแถมจากการนัดพบลับๆกับเลราเจ แต่ดูเหมือนเธอก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ผมจึงได้แต่ขำ

 

กิจกรรมทางสังคมเยี่ยงผู้อารยนั้นเหมาะกับลอร่ามากกว่าคนแบบผมเสียอีก เธอน่ะเป็นลูกสาวดยุคผู้มีชื่อนี่นะ ดังนั้นจึงต้องเข้าใจเรื่องดนตรีศิลป์สุดๆ

เธอน่ะเป็นบุคคลประเภทที่ว่าจะแสดงความเห็นประมาณนี้ตอนจบการแสดงแน่ๆ

‘ส่วนนี้ของการแสดงยอดเยี่ยมมาก’ , ‘แต่ฉากประหารออกจะเกินจำเป็นไปสักหน่อย’, ‘จะดีกว่านี้ หากทำให้ดูอ่อนโยนสักหน่อย’ และ ‘การตีความของผู้กำกับออกจะเฉพาะตัวมากไป ดังนั้น……’ 

 

 

ส่วนลาพิสเองก็จะ……วิจารณ์อย่างเย็นชา และชี้ไปที่จุดผิดพลาด ประมาณนี้

‘นักแสดงหลักกัดลิ้นตัวเองตอนพูดบรรทัดที่ 15 ในฉากที่ 2 ขององก์ 3’ หรือไม่ก็ ‘หากนักแสดงหญิงคนนี้ไม่เปลี่ยนวิธีการแสดงภายใน 3 ปี ชีวิตการแสดงของเธอไม่ยืนยาวแน่’ และหลังจากวิจารณ์ไม่หยุดแล้วเธอก็คงจะพูดประมาณว่า ‘โดยรวมแล้วก็เป็นการแสดงที่พอใช้’

 

 

ส่วนบาร์บาทอสเหรอ ก็หลับไง ผมแน่ใจเลยล่ะ แม่นั่นน่ะเป็นคนประเภทที่จะกรนเสียงดังระหว่างดูหนังด้วยซ้ำ แม่นั่นคงยืดแข้งเหยียดขาสบายตัวแล้วก็บอกว่า เธอน่ะนอนหลับสบายแค่ไหนตอนนี้หนังจบ

 

(TTL : นินทาบาร์บาทอสนี่ฮาสุดละ 555) 

 

 

 

“ดูสิคะ คุณท่านคะ! เริ่มกันแล้ว!”

 

เจเรมิดันตัวมาแนบผมขณะที่ผมกำลังจินตนาการฆ่าเวลาแก้เบื่อหน่าย

เจ้าก้อนนุ่มๆก้อนใหญ่สองก้อนเบียดแขนผม

นี่เธอตื่นเต้นกว่าปกติมากไปหรือเปล่านะ? นี่เธอชอบโอปาร่าขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

อย่างที่ผมคิดไว้แหละ โอเปร่าไม่ใช่อะไรที่น่าสนใจเลย

เนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าชายที่ถูกทอดทิ้งแล้วเริ่มต้นปฏิวัติพ่อของเขาเพื่อหวังทำลายประเทศ

 

เจเรมินั้นเฝ้ามองเวทีด้วยดวงตาเปล่งประกาย―ดูไม่เหมือนรอยยิ้มปลอมๆที่เธอมักทำอยู่บ่อยๆเลย  ไม่รู้สิ ผมพูดไม่ถูกเหมือนกัน 

คือ โดยส่วนตัวผมว่า เจ้าชายเนี่ยออกจะทำตัวงั่งมากไป

 

แล้วเขาจะไปเที่ยวบอกคนอื่นทำไมว่าเขาจะทำการปฏิวัติวะ?

แล้วเขาจะโกรธทำไมตอนที่รู้ว่า น้องสาวจะไปแต่งงานกับประเทศเพื่อนบ้าน?

ผมไม่เข้าใจเขาเลย หากเขาไม่ใช้ประโยชน์จากอำนาจของประเทศเพื่อนบ้านผ่านน้องสาวเขา การทำรัฐประหารมันทำจะสำเร็จโดยง่ายได้ยังไงกันเล่า

 

 

เขาก็แค่ยอมทำรับใช้ทำตามพ่อไปก่อนสิวะ  แถมมันยังเป็นเรื่องปกติด้วยที่พ่อจะระแวงระวังว่า ลูกชายขึ้นมาทันที พอลูกชายทำตัวต่อต้านอย่างเปิดเผย

 

เกรดต่ำ……เกรดต่ำเกินไปแล้วโว้ยยย

 

เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องการเมืองเลย แม้แต่เขาก็ยังกลายเป็นคนสุดโง่งั่งที่ไปเลือกคนแบบนั้นเป็นมกุฏราชกุมาร

แล้วทำไมพวกชนชั้นสูงมันไม่สนับสนุน ผู้สืบทอดบัลลังค์คนอื่นแทนวะ? 

ประเทศนี้แม่งมีแต่คนโง่รึยังไงกัน?

 

รีบตายห่าไปให้หมดๆเลยดีกว่า มันดีต่อประชาชนในประเทศหากนักการเมืองนักปกครองพวกแกจะตายห่ารีบๆตายไปให้ไวที่สุด ผมอยากจะคำรามด้วยความโกรธที่การแสดงนี้ดั๊นไม่ยอมจบแบบแบดเอนด์ดิ้ง แขวนคอตายไปซะพร้อมกับจบการแสดงห่วยๆนี่ด้วย

‘……แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น’

ผมมองไปรอบๆ ท่ามกลางคนดูทั้งหลายที่จดจ่ออยู่บนเวที

‘เลราเจยังไม่มาสักที’

 

การแสดงก็ผ่านไปครึ่งทางแล้วตอนนี้ ถ้าเลราเจมาถึงแล้ว ก็คงจะไม่ช้าไม่นานนี้แหละ การประชุมลับต้องใช้เวลาอยางต่ำราวสามชั่วโมง

แต่ถึงอย่างนั้น ไม่เพียงแต่เลราเจจะมาถึงหลังการแสดงผ่านไปสองชั่วโมง แต่ผมยังหาตัวลูกน้องเขาไม่เจอเลยสักคนเดียว…….

 

หรือนี่เป็นกับดักกันนะ?

 

ผมเย็นวาบทั้งตัว มีความเป็นไปได้ที่เลราเจจะส่งตัวผมไปให้มนุษย์

……ไม่สิๆ หากเขากลัวความเกรี้ยวโกรธของบาร์บาทอส เขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ

เลราเจเองก็ไม่รู้ว่า เป้าหมายของพวกเราคืออะไร จึงมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ทำร้ายผมก่อน

 

“อืมมม ฝ่าบาทคะ?”

 

“อื๋มม?”

 

เจเรมิกระซิบข้างหูผม แม้เธอจะได้สัญญากันแล้วว่า จะไม่เรียกผมว่า ‘ฝ่าบาท’ในเมืองเพราะมันอันตราายเกินไป แต่เธอกลับคิดว่า สถานการณ์นี้มันแปลกๆเช่นกัน

 

ถึงอย่างนั้นคำพูดต่อไปของเจเรมิกลับเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง

“อยากให้ฉันดูดให้ไหมคะ?”

 

“……ห้ะ อะไรนะ?”

ผมเผลอเสียงดังขึ้นมาทันที ตอนที่เห็นรอยยิ้มตามปรกติของเจเรมิ นี่เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย?

 

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่เพลิดเพลินกับการแสดงเลยนี่คะ แล้วข้าทาสผู้ต่ำต้อยอย่างฉันจะไปสนุกเองคนเดียวขณะที่นายท่านเบื่อได้อย่างไรกัน?

ดังนั้นฉันจึงอยากสร้างความบันเทิงให้ฝ่าบาทบ้าง”

 

“ไม่ นี่เธอ…….”

 

“ฉันรู้นะคะว่า ท่านเพลิดเพลินกับกิจกรรมอันหรูหรากับฝ่าบาทบาร์บาทอส ทำแบบนั้นในที่ปิดตาย และในที่สาธารณะนั้นจะสร้างความพึงใจให้ฝ่าบาทได้อย่างแน่นอน”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

ตลกน่า ผมจะปล่อยให้เธอใช้ปากทำให้ผมตอนอยู่ในโรงละครได้ยังไงกัน? 

ภาพลักษณ์ผิดๆของผมที่แพร่ออกไปเพราะบาร์บาทอสไปเที่ยวคุยโม้โอ่อวดในกองทัพจอมมารมันบ้ามาก ผมไม่ใช่พวกชอบโชว์เล่นกลางแจ้งสักหน่อย

 

“ข้าไม่เป็นไร เลิกล้อเล่น―”

ขณะที่ผมกำลังจะโบกมือ ผมก็พบว่า ดวงตาของเจเรมินั้นจริงจังและก็มีไอเดียดีๆผุดขึ้นมาในหัวผม

 

“……ไม่สิ นี่อาจจะเป็นไอเดียที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อก็ได้”

 

“ใช่ไหมคะ?”

 

เจเรมิยิ้มชั่วร้าย มุมปากของผมก็ขยับด้วยเช่นกัน

 

“เอาล่ะ เจเรมิ ข้าอนุญาตนะ ลองทำให้แบบหื่นที่สุดให้ดูหน่อยซิ”

 

“ตามบัญชาค่ะ ถึงจะเห็นอย่างนี้ฉันก็ได้รับการเรียนเทคนิคมามากมายนะคะ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่”

เจเรมิคุกเข่าลงแล้วมุดไปหาท่อนล่างของผม เจเรมิเริ่มเลียน้องชายผมหลังจากดึงมันออกมา

ไม่ช้าไม่นานนัก ปากที่อุ่นไอก็ห้อมล้อมมันไว้โดยสมบูรณ์

 

“อุบ……อืมม, ฮืมมม…….”

 

ความรู้สึกพึงใจแผ่ไปทั่วท่อนล่างผม

ผมมองไปรอบๆโรงละครด้วยสายตาที่คมกริบ

‘มาดูซิ ตอนนี้นายอยู่ไหนกัน จอมมารเลราเจ?’

มีผนังกั้นมากมายระหว่างที่นั่งในห้องส่วนตัว ผู้คนรอบตัวเราไม่มีทางเห็นว่าเจเรมิกำลังทำอะไรอยู่ แต่…….

‘หากเขากำลังเฝ้ามองห้องของพวกเราตั้งแต่เริ่มการแสดง เขาจะต้องสังเกตเห็นแน่ๆ’

 

การที่ผู้ชมการแสดงทำอะไรหื่นๆออกมาก็ถือว่า หยาบคายมาก แต่ถึงอย่างนั้นการทำให้แขกต้องรอตั้งสองชั่วโมงก็หยาบคายไม่ต่างกัน

ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นวิธีการตำหนิเลราเจด้วยว่า ไปมัวทำอะไรอยู่ทั้งที่ชวนเรามาที่นี่เองแท้ๆ?

 

มีไม่กีที่นักหรอกที่จะมองเห็นตำแหน่งของพวกแล้ว อย่างมากที่สุดก็เป็นที่นั่งที่ไกลไปสุดอีกฝั่ง ผมเฝ้ารออย่างอดทนรอการตอบรับจากด้วยการกวาดตาอย่างเชื่องช้าจากซ้ายไปทางขวา

 

แล้วจากนั้น

 

จู่ๆเสียงเพลงก็หยุดไปชั่วครู่ เครื่องดนตรียังคงเล่นกันอยู่ แต่นักร้องนำกลับหยุดร้องขึ้นมาทันที แน่นอนแหละ แค่ชั่วขณะ นักร้องนำชายก็รีบกลับมาร้องต่อทันที

ผมฉีกยิ้ม

‘เข้าใจแล้ว นายอยู่ที่นั่นเองสินะ?’

 

 

ดวงตาผมจ้องมองไปบนเวที

มองไปยังนักแสดงนำชายที่สวมหน้ากากอยู่

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 183 ความเกลียดชังมนุษย์ (5)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 183 ความเกลียดชังมนุษย์ (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

WARNING: NSFW CONTENT.

Please be advised that the following chapter has 18+ sexual material and should be exclusively reserved for a mature audience. It’s only a very brief part at the end, but I’m putting this warning up anyway. It’ll continue on to the beginning of the next chapter.

You have been warned.

 

 

 

Ο

* * *

 

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบเจอจอมมารสักคนหนึ่งแม้จะอยู่ฝ่ายที่ราบก็ตาม

ผมพยายามที่จะติดต่อกับจอมมาร ลำดับ 14 เลราเจ เมื่อหลายวันก่อนจนถึงตอนนี้ แต่กลับไม่ได้การตอบรับกลับมาเลย

อีกฝ่ายดูจะแสดงออกให้เห็นชัดว่า ไม่อยากพบ เขาคงมีคำถามในใจแหละว่าทำไมผมถึงไม่มาพบเจออย่างเป็นทางการด้วยทั้งที่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น

 

เจ้าน่ะมีแรงจูงใจอะไรแอบแฝงหรือเปล่าจึงมาแอบนัดพบเช่นนี้?

 

สำคัญกว่านั้นก็คือ ทำไมกัน ทำไมจอมมารที่ควรจะเข้าร่วมกับแนวหน้าเข้าตีฮับบวร์ก อยู่ๆกลับมาโผล่ตัวที่ฟรานเคียแห่งนี้ด้วย ว่าง่ายๆ รวมๆแล้วพวกเราดูน่าสงสัยสุดๆเลยล่ะ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อาจเป็นข้อดีก็ได้ ที่ชื่อ ดันทาเลี่ยนนั้นดังพอจะให้อีกฝ่ายคิดทบทวนดูใหม่ ผมน่ะเป็นถึงดาวเด่นแห่งฝ่ายที่ราบเลยนะ

 

ถึงแม้พวกเราจะไม่คืบหน้าไปไหนเพราะมัวแต่ปะทะนัวกันเองในสงครามแต่ละฝ่าย แต่ตำแหน่งจอมมารลำดับ 14 ของกองทัพจอมมารก็ไม่ได้ชนะไพ่แล้วได้มาสักหน่อย มันไม่มีทางหรอกที่เลราเจจะไม่รู้จักผม

แต่ก็เป็นไปตามคาด เลราเจนั้นรีบแจ้งถึงสถานที่ที่พวกเราจะไปนัดพบกันเลยล่ะ

สถานที่ที่ผมกำลังไปในฐานะผู้ชมนั้นออกจะเป็นสถานที่พิเศษหน่อย จอมมารตนนั้นออกจะมีเอกลักษณ์จริงๆนะ

 

“ดูนี่ นี่เป็นจดหมายเชิญไปที่โรงโอเปร่า”

 

“แหมที่รัก จริงๆด้วย นี่เขาตั้งใจจะแอบนัดพบกันในโรงโอเปร่าจริงๆหรือคะ?”

เจเรมิยิ้มหัวเราะอย่างสนอกสนใจออกมาขณะที่อ่านบัตรเชิญ

ปกติแล้วจอมมารน่ะจะนัดพบกันในปราสาทหรือไม่ก็ดินแดนใกล้เคียง พูดได้ว่า เมืองมนุษย์นั้นเป็นสถานที่สุดอันตรายสำหรับจอมมาร ไม่มีทางที่จะยอมเผยตัวจริงออกมาอย่างเด็ดขาด

 

“หรือฉันควรให้กลุ่มมือสังหารล่วงหน้าไปที่เมืองแล้วเร้นกายแฝงตัวก่อน?”

 

“ไม่ล่ะ ไม่จำเป็นเลย เลราเจนั้นคงต้องการทดสอบความกล้าของข้า ให้ดีก็เอาผู้ติดตามไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนพวกเราไปถึง”

 

ผมไปที่เมืองกับเจเรมิเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

* * *

 

 

มันเป็นตอนเย็นแล้ว พวกเรามาถึงโรงละครโอเปร่าด้วยรถม้าสำหรับแขก

มีขอทานมากมายกำลังชกต่อยกันอยู่หน้าโรงละคร พวกเขาพยายามแย่งจุดขอทานที่ดีที่สุดกันอยู่ คนที่แพ้ก็ต้องไปที่อื่น เสียงดนตรีคลอเบาๆรั่วไหลมาจากด้านในโรงละคร

เด็กสาวคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาพวกเราทันทีที่เห็นพวกเราเดินลงจากรถม้า

 

“มาดามคะ ขอเศษเหรียญด้วยเถอะค่ะ มาดาม”

เด็กสาวแบมือขอต่อหน้าเจเรมิ

“ขอเทพเจ้าจงอวยพรท่านด้วยค่ะ”

 

“แหมที่รัก พอมาคิดว่าคนอย่างฉันได้รับการอวยพรแล้วนี่นะ”

เจเรมิวางเหรียญหนึ่งเหรียญลงในฝ่ามือของเด็กสาว

 

“ขอบคุณมากค่ะ! ขอบคุณมากค่ะมาดาม! เทพเจ้าต้องอำนวยอวยพรให้ท่านแน่ๆ”

เด็กสาวคนนั้นขอบอกขอบใจด้วยท่าทางที่สุดแสนจะเวอร์วัง ก่อนจะหันหน้ามาหาผมด้วยแววตาที่ปรารถนาจะได้รับการตอบรับอีกครั้ง

 

ผมยิ้มแล้วให้เหรียญเงินในมือของเด็กสาว ประกายแวววาวของเหรียญเงินที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์นั้นทำให้เด็กสาวต้องประหลาดใจ

 

ผมก้มหัวลงแล้วกระซิบข้างหูเด็กสาว

 

“ข้าน่ะเป็นแมงดาผู้เลื่องชื่อแห่งปารีส ข้าตั้งใจจะเอาตัวเจ้าไป ชุบเลี้ยงให้เป็นอีตัวที่ดี ข้าจะได้เจ้าไปเป็นทาสกามของข้าตลอดกาลเลยล่ะ,สาวน้อย

ข้ามอบเหรียญเงินหนึ่งเหรียญให้เจ้าทุกสัปดาห์เลยนะ คิดว่ายังไง?”

 

“กะ-กรี๊ดดดดดด!”

เด็กสาวกรีดร้องออกมาแล้วรีบเผ่นหนีไปในทันที

ผมหัวเราะก๊ากออกมาขณะดูหญิงสาววิ่งหนีไปตามท้องถนน พอผมทำแบบนั้นแล้ว เจเรมิก็มองค้อนผม

 

“ท่านทำแบบนั้นไปทำไมคะ?”

 

“ต่อจากนี้ไปแม่หนูนั่นก็จะระวังทุกครั้งที่เห็นเหรียญเงิน เธอจะคิดอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายอาจมีจุดประสงค์แฝงเร้น ข้าแค่มอบความลังเลสงสัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตให้แม่หนูนั่นน่ะ”

 

“……บางทีฉันก็สงสัยนะคะว่า ท่านน่ะดูเหมือนเป็นคนบ้าเพราะท่านนั้นใจดีมีเมตตา หรือท่านดูใจดีมีเมตตาเพราะเป็นคนบ้า กันแน่”

 

ผมยักไหล่

“ใครจะไปสนล่ะ? ข้าอาจจะเป็นทั้งคนบ้าและชายผู้มีเมตตาก็เป็นได้”

 

เจเรมิจึงหัวเราะเบาๆ

“คำตอบอันแสนชาญฉลาดที่มีต่อคำถามโง่ๆ จากสุภาพบุรุษผู้ยอดเยี่ยมของฉัน”

 

เธอแสดงความเห็นอย่างนั้นแล้วก็ควงแขนผม

วันนี้เราสองคนกำลังแสดงเป็นชนชั้นสูงกับคู่รักกัน

 

ผมซ่อนเขาเล็กๆที่ท้ายทอยด้วยวิก ส่วนเจเรมิสวมหมวกและเน็ตตาข่ายดำปกคลุมใบหน้าซีกที่ถูกเผา พวกเราดูเหมือนคู่รักธรรมดาในสายตาคนอื่น

 

(TTL : ห่างบาร์บาทอส ไพมอน ลาพิส ลอร่า ปุ๊บ พรี่ก็หาสาวใหม่(ที่ไม่ใหม่)มาควงทันทีเลยน้า)

 

พวกชนชั้นสูงต่างมาออกันอยู่ที่ทางเข้าของโรงละคร จากที่พวกเขาพูดคุยกันดูเหมือนนี่จะไม่ใช่รอบปฐมทัศน์อย่างเดียว หากแต่มีนักแสดงนำผู้มีชื่อเสียงมาจัดแสดงที่นี่ด้วยเช่นกัน

นี่แหละเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมชายและหญิงในสังคมถึงได้มาออ มารวมตัวกันอยู่ที่โรงละคร

 

พนักงานต้อนรับของโรงละครทำตัวเป็นเหมือนไก๊ด์หลังจากได้ดูจดหมายเชิญของพวกเรา

พวกเรามาถึงห้องห้องหนึ่ง พวกเราเห็นหน้าเวทีได้อย่างชัดเจน

 

“โอ้? นี่ต้องเป็นที่นั่งที่แพงมากแน่ๆ”

 

“อย่างนั้นเองรึ?”

 

“ท่านดูจะไม่สนใจในละครโอเปร่าเลยนะคะ คุณท่าน(monsieur)”

 

ผมผงกหัว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมมาที่โรงโอเปร่าทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อนหน้า

 

ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากการแสดงเลยแม้แต่น้อย

ผมรู้ตัวเองดีว่า สุนทรียภาพของผมนั้นมันห่วยแตกแค่ไหน ผมคือชายที่หลับคร่อกระหว่างฟังซิมโฟนี่หมายเลข 5 ของบีโทเฟ่น 

ผมจำได้ชัดเลยว่า แววตาของครูดนตรีผมสมัยมัธยมเป็นยังไง อืมมม มันเป็นชั่วโมงเรียนที่น่าหลับจริงๆแหละ

 

“เมื่อไหร่ฝ่าบาทเลราเจจะมาถึงกันนะ?”

 

“เขาคงไม่มาถึงหรอกจนกว่าคนดูคนอื่นๆจะวุ่นวายอยู่กับการแสดงบนเวที”

 

ดูเหมือนเจเรมิจะชื่นชอบอะไรพวกนี้มากๆ อารมณ์ตื่นเต้นที่น้อยเสียจนเกือบแทบไม่สังเกตเห็นรั่วออกมาก่อนหน้า

ถึงเธอจะรู้อยู่แล้วว่า การรับชมการแสดงนั้นเป็นของแถมจากการนัดพบลับๆกับเลราเจ แต่ดูเหมือนเธอก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ผมจึงได้แต่ขำ

 

กิจกรรมทางสังคมเยี่ยงผู้อารยนั้นเหมาะกับลอร่ามากกว่าคนแบบผมเสียอีก เธอน่ะเป็นลูกสาวดยุคผู้มีชื่อนี่นะ ดังนั้นจึงต้องเข้าใจเรื่องดนตรีศิลป์สุดๆ

เธอน่ะเป็นบุคคลประเภทที่ว่าจะแสดงความเห็นประมาณนี้ตอนจบการแสดงแน่ๆ

‘ส่วนนี้ของการแสดงยอดเยี่ยมมาก’ , ‘แต่ฉากประหารออกจะเกินจำเป็นไปสักหน่อย’, ‘จะดีกว่านี้ หากทำให้ดูอ่อนโยนสักหน่อย’ และ ‘การตีความของผู้กำกับออกจะเฉพาะตัวมากไป ดังนั้น……’ 

 

 

ส่วนลาพิสเองก็จะ……วิจารณ์อย่างเย็นชา และชี้ไปที่จุดผิดพลาด ประมาณนี้

‘นักแสดงหลักกัดลิ้นตัวเองตอนพูดบรรทัดที่ 15 ในฉากที่ 2 ขององก์ 3’ หรือไม่ก็ ‘หากนักแสดงหญิงคนนี้ไม่เปลี่ยนวิธีการแสดงภายใน 3 ปี ชีวิตการแสดงของเธอไม่ยืนยาวแน่’ และหลังจากวิจารณ์ไม่หยุดแล้วเธอก็คงจะพูดประมาณว่า ‘โดยรวมแล้วก็เป็นการแสดงที่พอใช้’

 

 

ส่วนบาร์บาทอสเหรอ ก็หลับไง ผมแน่ใจเลยล่ะ แม่นั่นน่ะเป็นคนประเภทที่จะกรนเสียงดังระหว่างดูหนังด้วยซ้ำ แม่นั่นคงยืดแข้งเหยียดขาสบายตัวแล้วก็บอกว่า เธอน่ะนอนหลับสบายแค่ไหนตอนนี้หนังจบ

 

(TTL : นินทาบาร์บาทอสนี่ฮาสุดละ 555) 

 

 

 

“ดูสิคะ คุณท่านคะ! เริ่มกันแล้ว!”

 

เจเรมิดันตัวมาแนบผมขณะที่ผมกำลังจินตนาการฆ่าเวลาแก้เบื่อหน่าย

เจ้าก้อนนุ่มๆก้อนใหญ่สองก้อนเบียดแขนผม

นี่เธอตื่นเต้นกว่าปกติมากไปหรือเปล่านะ? นี่เธอชอบโอปาร่าขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

อย่างที่ผมคิดไว้แหละ โอเปร่าไม่ใช่อะไรที่น่าสนใจเลย

เนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าชายที่ถูกทอดทิ้งแล้วเริ่มต้นปฏิวัติพ่อของเขาเพื่อหวังทำลายประเทศ

 

เจเรมินั้นเฝ้ามองเวทีด้วยดวงตาเปล่งประกาย―ดูไม่เหมือนรอยยิ้มปลอมๆที่เธอมักทำอยู่บ่อยๆเลย  ไม่รู้สิ ผมพูดไม่ถูกเหมือนกัน 

คือ โดยส่วนตัวผมว่า เจ้าชายเนี่ยออกจะทำตัวงั่งมากไป

 

แล้วเขาจะไปเที่ยวบอกคนอื่นทำไมว่าเขาจะทำการปฏิวัติวะ?

แล้วเขาจะโกรธทำไมตอนที่รู้ว่า น้องสาวจะไปแต่งงานกับประเทศเพื่อนบ้าน?

ผมไม่เข้าใจเขาเลย หากเขาไม่ใช้ประโยชน์จากอำนาจของประเทศเพื่อนบ้านผ่านน้องสาวเขา การทำรัฐประหารมันทำจะสำเร็จโดยง่ายได้ยังไงกันเล่า

 

 

เขาก็แค่ยอมทำรับใช้ทำตามพ่อไปก่อนสิวะ  แถมมันยังเป็นเรื่องปกติด้วยที่พ่อจะระแวงระวังว่า ลูกชายขึ้นมาทันที พอลูกชายทำตัวต่อต้านอย่างเปิดเผย

 

เกรดต่ำ……เกรดต่ำเกินไปแล้วโว้ยยย

 

เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องการเมืองเลย แม้แต่เขาก็ยังกลายเป็นคนสุดโง่งั่งที่ไปเลือกคนแบบนั้นเป็นมกุฏราชกุมาร

แล้วทำไมพวกชนชั้นสูงมันไม่สนับสนุน ผู้สืบทอดบัลลังค์คนอื่นแทนวะ? 

ประเทศนี้แม่งมีแต่คนโง่รึยังไงกัน?

 

รีบตายห่าไปให้หมดๆเลยดีกว่า มันดีต่อประชาชนในประเทศหากนักการเมืองนักปกครองพวกแกจะตายห่ารีบๆตายไปให้ไวที่สุด ผมอยากจะคำรามด้วยความโกรธที่การแสดงนี้ดั๊นไม่ยอมจบแบบแบดเอนด์ดิ้ง แขวนคอตายไปซะพร้อมกับจบการแสดงห่วยๆนี่ด้วย

‘……แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น’

ผมมองไปรอบๆ ท่ามกลางคนดูทั้งหลายที่จดจ่ออยู่บนเวที

‘เลราเจยังไม่มาสักที’

 

การแสดงก็ผ่านไปครึ่งทางแล้วตอนนี้ ถ้าเลราเจมาถึงแล้ว ก็คงจะไม่ช้าไม่นานนี้แหละ การประชุมลับต้องใช้เวลาอยางต่ำราวสามชั่วโมง

แต่ถึงอย่างนั้น ไม่เพียงแต่เลราเจจะมาถึงหลังการแสดงผ่านไปสองชั่วโมง แต่ผมยังหาตัวลูกน้องเขาไม่เจอเลยสักคนเดียว…….

 

หรือนี่เป็นกับดักกันนะ?

 

ผมเย็นวาบทั้งตัว มีความเป็นไปได้ที่เลราเจจะส่งตัวผมไปให้มนุษย์

……ไม่สิๆ หากเขากลัวความเกรี้ยวโกรธของบาร์บาทอส เขาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ

เลราเจเองก็ไม่รู้ว่า เป้าหมายของพวกเราคืออะไร จึงมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ทำร้ายผมก่อน

 

“อืมมม ฝ่าบาทคะ?”

 

“อื๋มม?”

 

เจเรมิกระซิบข้างหูผม แม้เธอจะได้สัญญากันแล้วว่า จะไม่เรียกผมว่า ‘ฝ่าบาท’ในเมืองเพราะมันอันตราายเกินไป แต่เธอกลับคิดว่า สถานการณ์นี้มันแปลกๆเช่นกัน

 

ถึงอย่างนั้นคำพูดต่อไปของเจเรมิกลับเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง

“อยากให้ฉันดูดให้ไหมคะ?”

 

“……ห้ะ อะไรนะ?”

ผมเผลอเสียงดังขึ้นมาทันที ตอนที่เห็นรอยยิ้มตามปรกติของเจเรมิ นี่เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย?

 

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะไม่เพลิดเพลินกับการแสดงเลยนี่คะ แล้วข้าทาสผู้ต่ำต้อยอย่างฉันจะไปสนุกเองคนเดียวขณะที่นายท่านเบื่อได้อย่างไรกัน?

ดังนั้นฉันจึงอยากสร้างความบันเทิงให้ฝ่าบาทบ้าง”

 

“ไม่ นี่เธอ…….”

 

“ฉันรู้นะคะว่า ท่านเพลิดเพลินกับกิจกรรมอันหรูหรากับฝ่าบาทบาร์บาทอส ทำแบบนั้นในที่ปิดตาย และในที่สาธารณะนั้นจะสร้างความพึงใจให้ฝ่าบาทได้อย่างแน่นอน”

 

เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

ตลกน่า ผมจะปล่อยให้เธอใช้ปากทำให้ผมตอนอยู่ในโรงละครได้ยังไงกัน? 

ภาพลักษณ์ผิดๆของผมที่แพร่ออกไปเพราะบาร์บาทอสไปเที่ยวคุยโม้โอ่อวดในกองทัพจอมมารมันบ้ามาก ผมไม่ใช่พวกชอบโชว์เล่นกลางแจ้งสักหน่อย

 

“ข้าไม่เป็นไร เลิกล้อเล่น―”

ขณะที่ผมกำลังจะโบกมือ ผมก็พบว่า ดวงตาของเจเรมินั้นจริงจังและก็มีไอเดียดีๆผุดขึ้นมาในหัวผม

 

“……ไม่สิ นี่อาจจะเป็นไอเดียที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อก็ได้”

 

“ใช่ไหมคะ?”

 

เจเรมิยิ้มชั่วร้าย มุมปากของผมก็ขยับด้วยเช่นกัน

 

“เอาล่ะ เจเรมิ ข้าอนุญาตนะ ลองทำให้แบบหื่นที่สุดให้ดูหน่อยซิ”

 

“ตามบัญชาค่ะ ถึงจะเห็นอย่างนี้ฉันก็ได้รับการเรียนเทคนิคมามากมายนะคะ ไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่”

เจเรมิคุกเข่าลงแล้วมุดไปหาท่อนล่างของผม เจเรมิเริ่มเลียน้องชายผมหลังจากดึงมันออกมา

ไม่ช้าไม่นานนัก ปากที่อุ่นไอก็ห้อมล้อมมันไว้โดยสมบูรณ์

 

“อุบ……อืมม, ฮืมมม…….”

 

ความรู้สึกพึงใจแผ่ไปทั่วท่อนล่างผม

ผมมองไปรอบๆโรงละครด้วยสายตาที่คมกริบ

‘มาดูซิ ตอนนี้นายอยู่ไหนกัน จอมมารเลราเจ?’

มีผนังกั้นมากมายระหว่างที่นั่งในห้องส่วนตัว ผู้คนรอบตัวเราไม่มีทางเห็นว่าเจเรมิกำลังทำอะไรอยู่ แต่…….

‘หากเขากำลังเฝ้ามองห้องของพวกเราตั้งแต่เริ่มการแสดง เขาจะต้องสังเกตเห็นแน่ๆ’

 

การที่ผู้ชมการแสดงทำอะไรหื่นๆออกมาก็ถือว่า หยาบคายมาก แต่ถึงอย่างนั้นการทำให้แขกต้องรอตั้งสองชั่วโมงก็หยาบคายไม่ต่างกัน

ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นวิธีการตำหนิเลราเจด้วยว่า ไปมัวทำอะไรอยู่ทั้งที่ชวนเรามาที่นี่เองแท้ๆ?

 

มีไม่กีที่นักหรอกที่จะมองเห็นตำแหน่งของพวกแล้ว อย่างมากที่สุดก็เป็นที่นั่งที่ไกลไปสุดอีกฝั่ง ผมเฝ้ารออย่างอดทนรอการตอบรับจากด้วยการกวาดตาอย่างเชื่องช้าจากซ้ายไปทางขวา

 

แล้วจากนั้น

 

จู่ๆเสียงเพลงก็หยุดไปชั่วครู่ เครื่องดนตรียังคงเล่นกันอยู่ แต่นักร้องนำกลับหยุดร้องขึ้นมาทันที แน่นอนแหละ แค่ชั่วขณะ นักร้องนำชายก็รีบกลับมาร้องต่อทันที

ผมฉีกยิ้ม

‘เข้าใจแล้ว นายอยู่ที่นั่นเองสินะ?’

 

 

ดวงตาผมจ้องมองไปบนเวที

มองไปยังนักแสดงนำชายที่สวมหน้ากากอยู่

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+