Dungeon Defense (WN) 184 ความเกลียดชังมนุษย์ (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 184 ความเกลียดชังมนุษย์ (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“เขาอยู่ในที่ที่คาดไม่ถึงน่ะ?”

 

“อึก ……อืมมม”

เจเรมิถอนปากออกจากน้องชายผมอย่างระวัง

 

 

เธอเช็ดที่ริมของปากอย่างเบามือ เธอหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหันกลับมามองผม ใบหน้าครึ่งซีกที่เต็มไปด้วยแผลเป็นจากไฟไหม้ อาจไม่น่าดูนักสำหรับใครหลายๆคนแต่สำหรับผมมันกลับดูมีเสน่ห์แปลกๆ 

 

“แล้วอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาไหมคะ ฝ่าบาท?”

 

“แน่นอนล่ะว่ามี แล้วเธอจะประหลาดใจว่า เขาอยู่ที่ไหน ฝ่าบาทเลราเจนั้นอยู่บนเวที ไม่ใช่ในฐานะนักแสดงประกอบด้วยนะ หากแต่เป็นนักแสดงนำชาย”

 

“โอ้ แหม บุคคลนั้นช่างมีงานอดิเรกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

 

เจเรมิหัวเราะเบาๆก่อนจะงุดหัวลงไปอีกครั้ง ลิ้นอุ่นๆของเธอห่อที่ปลายหัวของผมอีกครั้ง

ปากทั้งปากห่อหุ้มไปด้วยน้ำที่เหนียวข้น จนผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกดูดเข้าไป

อย่างน้อยๆเจเรมิก็เก่งกว่าลอร่าเรื่องการใช้ปากน่ะนะ

 

“การจะมาเป็นนักแสดงในโอเปร่าได้นี่คงไม่ใช่แค่งานอดิเรกแล้วล่ะ เธอคิดอย่างนั้นไหม?”

 

“อืมฮึ, อื่มมม, อืมมมม…….”

 

เจเรมิตอบรับกลับมาด้วยเสียงอันแสนน่ารักผ่านจมูก ไม่สิ เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอยู่สินะ

 

 

ใช่แล้วล่ะ หากคุณอยากจะปรากฏตัวในโรงโอเปร่า ท่านต้องรู้วิธีการแสดง แถมต้องร้องเพลงเป็นด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ไหน หืมมม อย่างนั้นก็แสดงว่า เลราเจนั้นออกจะจริงจังเรื่องโอเปร่าเลยล่ะสิเนี่ย…….

 

“นี่อาจเป็นข่าวร้ายแหละ เจเรมิ”

 

“หือ?”

 

“อ้าาา อย่าหยุดสิ แค่ฟังก็พอ กำลังเพลินเลย”

 

ผมพูดทั้งที่ยังจับจ้องอยู่บนเวที

 

ความสบายไหลผ่านเข้ามายังท่อนล่างในระดับที่รุนแรงขึ้น เจเรมิเริ่มดึงหัวชักเข้าออกอย่างถี่ๆ

 

ผมได้ยินเสียงขับร้องของนักร้องโอเปร่าเคล้าผสานไปกับเสียงดูดอันแสนลามกของเจเรมิ

ผมไม่แน่ใจหรอกนะ แต่ผมว่า คุณภาพดนตรีมันกลับยอดเยี่ยมขึ้นกว่าก่อนหน้ามาก

 

 

“เลราเจน่ะไม่เต็มใจเท่าไหร่ที่จะมาพบพวกเราแต่แรกแล้ว ข้าจึงคิดว่ามันเป็นแบบนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าเรามาด้วยเจตนาอะไรดังนั้นเลยเว้นระยะห่างไว้ก่อน

……ซึ่งถ้าเลราเจเป็นนักแสดงโอเปร่าไฟแรง นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีทางยกเลิกงานแสดงโอเปร่าอย่างนั้นหรอกหรือ?”

 

“……อืม, อืมฮึ, อืมมม”

 

เจเรมิหยุดทำไปชั่วครู่

 

“มีโอกาสที่เขาจะลังเลที่จะพบเราเพราะคิวมันซ้อนทับกับตารางการแสดง

 

 

จากที่ข้าได้ยินมา ดูเหมือนจะมีงานแสดงในวันพรุ่งนี้ และวันมะรืนด้วย เขาจะมีเวลาให้พวกเราได้เฉพาะหลังจบงานแสดงเท่านั้น แต่เลราเจเองก็ไม่อยากให้พวกเราคอยเขาไปถึง 4 วันด้วยเช่นกัน…….”

 

ผมพูดพลางหัวเราะ

 

 

“เขาน่ะไม่ยอมยกเลิกงานแสดง และไม่อยากปฏิเสธการนัดหมายระหว่างเรา คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ ผลออกมาก็เลยกลายเป็นว่า เขาพยายามจะทำให้เราเพลินเพลินด้วยการชวนพวกเรามาชมการแสดงรอบปฐมทัศน์ เพียงเพื่อจะบอกกับพวกเราว่า

‘เซอไพร้ส์! ข้านี่แหละคือ นักแสดงนำชาย! เป็นอย่างไรประหลาดใจไหม?’

……อ่าาห์ ข้าจะแตกแล้ว”

 

“อืมม, หืมม,อืมม, ―อึก, อุบ”

 

น้องชายผมตึงเคร่งไปสี่ถึงห้าครั้งก่อนจะหลั่งน้ำกามออกมา

หลังจากได้รับน้ำไปเจเรมิก็ไม่หยุดปาก เธอกลืนมันจนหมด ความสบายจากการถึงจุดสุดยอดแผ่ไปทั่วร่างกายของผม ผมทอดถอนใจยาวๆออกมา

 

 

“ฮ่าาาห์……ถ้าเป็นกรณีนั้นแล้ว ดูเหมือนข้าจะไปรบกวนท่วงทำนองของลาราเจเข้าอย่างจังเลย 

ข้าไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่า รสนิยมทางศิลปะของข้าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาในที่แบบนี้”

 

“ท่านน่ะได้สร้างความประทับใจแรกพบสุดเลวร้ายต่ออีกฝ่ายแล้วค่ะ”

 

เจเรมิเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดหน้าขณะพูด

 

 

“แล้วจะให้ทำอะไรได้ล่ะ? ก็ในเมื่อฝ่าบาทหาวถึง 17 ครั้งระหว่างการแสดง ในฐานะนักแสดงนำแล้ว ความประทับใจของท่านเลราเจที่มีต่อท่านก็ย่อมต้องดิ่งลึกต่ำกว่าก้นเหวเป็นธรรมดา”

 

“แม่งเอ๊ย”

 

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

 

“ทำไมหมอนั่นถึงคิดว่า ข้าจะเพลิดเพลินไปกับงานดนตรี วิจิตรศิลป์(fine art)เหมือนอย่างที่เขาเพลิดเพลินกันวะ? ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ข้าหงุดหงิดรำคาญใจก็ไอ้การที่ข้าโดนลากเข้ามาในงานแสดงสุดน่าเบื่อนี่แหละ”

 

 

“ผู้คนที่ชื่นชอบงานวิจิตรศิลป์มักจะเป็นแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาหวังให้ผู้อื่นเพลิดเพลินเหมือนเช่นที่พวกเขาเพลิดเพลิน โดยเฉพาะสายงานแสดงที่ต้องการความสนใจจากผู้อื่นเป็นอย่างมาก

ฝ่าบาทเลราเจนั้นอาจต้องการแสดงทักษะการแสดงให้ฝ่าบาทดูเพื่อให้ได้รับความประทับใจและความชื่นชอบจากท่านก็เป็นได้…….”

 

เจเรมิแสดงความเห็นทั้งรอยยิ้ม เธอดันบันเทิงเริงรมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แม่นี่มันช่างเน่าไปถึงเนื้อในจริงๆ

 

 

“แล้วเจ้าจะเลี่ยงความรับผิดชอบไปทำไมกัน? ในเมื่อเจ้าเป็นผู้อาสาขอใช้ปากทำให้ข้าเองแต่แรก”

 

“ฝ่าบาทเป็นผู้อนุญาตเองนี่คะ ท่านสามารถสั่งให้ฉันหยุดก็ได้ แต่ท่านไม่คิดจะทำอย่างนั้นเพื่อที่จะหาตัวจริงของฝ่าบาทเลราเจ แล้วเหตุใดท่านถึงว่าร้ายข้าหลังจากที่ทำให้ท่านผ่อนคลายได้มากมายขนาดนั้นล่ะ?”

 

“โว้ว ฟังเจ้าพูดเข้าสิ”

 

นี่เธอจะบอกให้ผมหยุดทั้งที่เริ่มไปแล้วเนี่ยนะ? มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วน่า

หรืออย่างน้อยๆก็ไม่มีทางหรอกสำหรับผู้ชายน่ะ เราจะไม่มีทางหยุดกลางคันได้หรอกต่อให้มีพายุคะนองกระหน่ำหรือผู้ก่อการร้ายมาลอบยิงพวกเรา

 

“เฮ่อออ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่สนใจแล้วค่ะ ไม่รู้เลยจริงๆฉันไปสาบานตนแบบนั้นกับท่านได้ยังไงกันนะ? ฉันคงต้องหาทางพูดไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอดจากเรื่องนี้แล้วล่ะ”

 

“พูดไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอดงั้นเรอะ? ข้าไม่คิดว่า การทำแบบนั้นมันจะได้ผลนักหรอกในสถานการณ์ที่เห็นๆกันอยู่แล้วว่าเจ้าทำเรื่องลามกสัปดนลงไป”

 

“ผู้น้อยอย่างข้าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองน่า ไม่ต้องทำอะไรหรอก ท่านหญิงเจเรมิ เฮ้ ทำอีกสักรอบ”

 

เจเรมิมองผมด้วยแววตาแปลกๆ

“ให้ทำอีกรอบ? เอาจริงหรือคะ?”

 

“ข้าพูดแบบนั้นเพราะข้ามีแผนน่ะ ทำตาที่ข้าบอกเถอะ”

 

“ไม่สิ สำคัญกว่านั้น……เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนท่านเพิ่งแตกไป”

 

เจเรมิมองด้วยแววตาสงสัย เธอคงไม่รู้สินะว่าพลังเต็มสูบของผมเป็นยังไง หัวหน้าเอลฟ์แห่งหน่วยแผลแดง

 

 

 

“ข้าเป็นบุคคลทีสามารถกิน ปี้ ตลอดสองวันติดๆได้ ดังนั้นไม่มีผลกระทบอะไรหรอก หากเจ้าจะดูดทำให้ข้าตลอดการแสดงโอเปร่าน่ะ”

 

“โฮ่?”

 

เจเรมิหัวเราะออกมาแต่ดวงตาเธอไม่หัวเราะเหมือนปาก ดูเหมือนผมจะไปกระตุ้นความอยากเอาชนะของเธอขึ้นมาซะแล้ว

 

“แม้รูปลักษณ์ของฉันจะเป็นอย่างนี้ก็ตาม แต่ผู้น้อยนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวท็อปของกลุ่มผู้สังหารผู้ใช้กลหญิงงามก่อนที่ฉันจะมีแผลไฟไหม้”

 

“อ๋อ อย่างนั้นหรือ? เทคนิคก่อนหน้าของเจ้าก็ไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่นักหรอก”

 

“นั่นเพราะเราอยู่ระหว่างชมการแสดงค่ะ ขออภัยนะคะฝ่าบาท แต่หากฉันจัดเต็มที่ มีหวังพวกเราได้รบกวนผู้ชมรอบๆเราเพราะฝ่าบาทจะไม่สามารถทนไม่ให้ตัวเองครางออกมาได้หรอกค่ะ”

 

หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว การขับเคี่ยวระหว่างเราได้เริ่มต้นขึ้น

 

เจเรมิเริ่มใช้ริมฝีปากแรงขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับก่อนหน้า มันรู้สึกเหมือนปากของเธอกลายเป็นตัวดูดสุญญากาศ นี่มันอีกระดับเลยนะนั่น ผมถึงจุดไป เจ็ดครั้งในช่วงการรับชมการแสดงครั้งสุดท้าย

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ไม่ร้องอะไรออกมาสักแอะ! ระหว่างเจ็ดครั้งที่เสร็จนั้นไม่มีอะไรใดๆหลุดออกมาเลย ริมฝีปากของผมนั้นเป็นดั่งประตูป้อมปราการที่สร้างโดยเหล่าคนแคระ

 

เจเรมิยิ่งเร่งจังหวะขณะที่การแสดงใกล้จะจบลงในช่วงท้ายๆ แต่ไม่มีประโยชน์หรอก ผมเกือบจะเปล่งเสียงกลืนน้ำลายออกมา แต่ก็ยังยั้งไว้อยู่

 

ผู้ชมทั้งหลายต่างลุกขึ้นปรบมืออย่างยาวนาน และม่านก็เลื่อนปิดลง

 

“มะ-ไม่มีทาง……เป็นไปไม่ได้ นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ!”

เจเรมิบ่นด้วยความสิ้นหวังขณะที่เสียงปรบมือดังลั่นไปรอบตัวเรา

“ตัวฉันที่เป็นผู้รู้จักกันในนาม กุหลาบดำแห่งปรานพรั้นส์(Prantapance)……ท่านทำแบบนั้นได้ยังไงกัน…….”

 

 

“นี่คือ ระดับของจอมมารน่ะ โถ เจ้าปีศาจผู้โง่งมเอ๋ย”

 

ผมตอบกลับไปอย่างใจเย็น ผมดึงกางเกงขึ้นจากนั้นก็ลุกขึ้นปรบมือดว้วยเช่นกัน เจเรมิที่พ่ายแพ้ยังคงนอนอยู่บนพื้นต่อไป

 

 

เอาล่ะๆ ผมเพลิดเพลินกับโอเปร่าสุดน่าเบื่อนั่นได้ ก็ต้องขอบคุณเธอแหละนะ ผมขอชื่นชมเธอในเรื่องนั้นเลยล่ะ

 

หลังเสียงปรบมือซาลง ผมก็เดินลงไปชั้นล่าง ผู้ชมมากมายต่างมาออตัวรวมกับที่หน้าล็อบบี้ พวกเขาคงประทับใจกับการแสดงสุดๆจึงได้ส่งเสียงตะโกนเชียร์ในทันทีที่เห็นนักแสดงชาย นักแสดงหญิงเดินออกมา

 

เสียงตะโกนดั่งลั่นที่สุดก็ตอนที่นักแสดงผู้ที่ผมเดาว่า น่าจะเป็นเลราเจโผล่ออกมา

 

 

“จ็อคกี้ เบอร์นาร์ด(Jockey Bernard)!”

 

“โอ้ ท่านเบอร์นาร์ดคะ! มองมาทางนี้หน่อยค่ะ!”

 

“กรี๊ดดด! เจอโรม! เบอร์นาร์ดคนที่หก!”

 

เลราเจสวมหน้ากากสีขาว มีเพียงพื้นที่รอบจมูกเท่านั้นที่เปิดไว้ ดูเหมือนนามแฝงบนเวทีของเขาจะเป็น จ็อคกี้ เจอโรม เบอร์นาร์ด มันให้ความรู้สึกแบบนักแสดงตัวจริงเสียงจริง

 

 

เลราเจยิ้มขณะที่โบกมือให้กับผู้คนรอบกายเขา พอทำแบบนั้นเข้าปุ๊บ ผู้หญิงทั้งหลายก็เริ่มกรีดร้องออกมาดังๆจนแทบจะขาดอากาศหายใจ เขานี่ช่างเป็นที่นิยมเสียจริง

 

ในอ้อมแขนของเลราเจเต็มไปด้วยช่อดอกไม้ในทันที ผู้ที่มาช้าเกินกว่าจะมอบช่อดอกไม้ให้ก็เริ่มโปรยกลีบดอกไม้ให้แทน ผมมองภาพตรงหน้าแล้วพูดออกมา

 

“สถานการณ์มันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

 

“ตัวฉันผู้น้อยนี้ ขอบอกข่าวร้ายให้กับฝ่าบาท หากนั่นคือ เบอร์นาร์ด นักแสดงโอเปร่าจากฟรานเคียจริง นั่นก็เป็นชื่อที่แม้แต่ฉันที่อยู่เฉพาะในโลกปีศาจก็ยังรู้จัก

 ได้ยินว่าตระกูลของพวกเขานั้นมุ่งเน้นไปที่ดนตรีและการแสดงเป็นหลัก”

 

 

“นักแสดงที่ไม่ได้โด่งดังแต่ในเฉพาะโลกมนุษย์ หากแต่โด่งดังในโลกปีศาจด้วยอย่างนั้นรึ เข้าใจแล้ว”

 

ไม่ต้องบอกก็รู้เลยล่ะ หมอนี่น่ะจะต้องเป็นคนที่มีอีโก้ มีความภาคภูมิใจในตัวเองระดับสูงเสียดฟ้า

 

 

ไอ้เรื่องครอบครัวส่วนใหญ่เป็นนักแสดงก็คงเรื่องโกหกนั่นแหละ เป็นไปได้สูงมากว่า เลราเจนั้นจะปลอมตัวเป็นลูกหลานตระกูลนั้น

 

 

ทั้งสายตระกูลเบอร์นาร์ดทั้งหมดก็คงเป็นตัวเลราเจเองนั่นแหละ 

การที่ได้ตระหนักถึงความจริงเรื่องนั้นทำให้ผมผิดหวังกับดวงตาตัวเอง

 

“นี่ข้าหาวตลอดเวลาที่ดูนักแสดงระดับโลกอย่างนั้นเหรอเนี่ย เฮ่อ……?”

 

“ฉันก็ไม่รู้จะบอกความประทับใจในตัวเขาอย่างไรดีนะคะ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาท ฉันก็คงจะดูการแสดงจนจบแล้ว”

(TTL : เอ๊า โทษนายตัวเองเฉยเลย 555)

 

แล้วนี่เธอต้องการอะไรจากผมเนี่ย? อย่ามาครวญครางร้องไห้เสียดายกับอะไรที่ทำไปแล้วสิ

ผมให้คำสั่งหลายอย่างกับเจเรเมีย เลราเจนั้นแหวกฝูงชนออกมาอย่างช้าๆเพื่อหาทางออกจากโรงละคร

 

เขาบังเอิญผ่านมาใกล้จุดที่พวกเรายืนกันอยู่ แม้ภายนอกดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ดูก็รู้ว่า เขานั้นจงใจ

 

ผมยิ้มกว้างออกมา

 

“ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมนัก มงซิเออร์ เบอร์นาร์ด”

 

“โอ้? ข้าได้พบกับแขกสำคัญที่นี่ด้วย”

เลราเจจ้องมองผมกลับมา

 

 

“มันคงจะดีไม่น้อย หากนั่นเป็นอย่างที่ท่านรู้สึกจริงๆนะ มงซิเออร์ โบล”

 

สิ่งที่เขาออกมานั่นฟังยังไงก็รู้เลยล่ะว่า เขาสุดจะโกรธเคือง ถ้อยคำ และความหมายแฝงแสดงออกถึงความไม่พอใจ

 

เขากำลังอยากจะถามผมว่าจากใจจริงว่า การแสดงนั้นมันดีจริงไหม

 

 

จอมมารลำดับ 14 นั้นแทบไม่ต้องสงสัยเลยล่ะว่าเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาดด้วยกัน เขาสามารถกำจัดผมได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดแบบนั้นแหละกำลังพูดกับผมด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ

 

โอ้ ชีวิตผมเนี่ยน้า หัวผมเริ่มปวดขึ้นมาหน่อยๆแล้วล่ะ มันไม่มีอะไรง่ายดายเลยจริงๆ ผมทำหน้าบูดขณะพูดออกมา

 

“แน่นอน นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆนะท่าน 

มาดมัวร์แซลบาร์บาจะต้องเสียใจมากที่นางไม่ได้มาเข้าร่วมชมการแสดงในวันนี้

ท่านก็ทราบดีว่า นางไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถมาร่วมงานครั้งนี้ได้”

 

“โอ้ อย่างนั้นรึ? ช่างเป็นเกียรตินักที่นางคิดเช่นนั้น”

 

แน่นอนล่ะ ว่า บาร์บาที่ว่า หมายถึง บาร์บาทอส ผมบอกเขาเป็นนัยๆว่า การที่ผมมาเนี่ยไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของผมหรอกนะ หากแต่เป็นคำส่งตรงมาจากบาร์บาทอสถึงเขาเลย

 

 

ผมคิดว่า การได้ยินชื่อ บาร์บาทอสจะทำให้เขาสดใสได้เสียอีก แต่สีหน้าของเลราเจไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

เลราเจจ้องมองพวกเรา

 

“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การสนทนา ว่าอย่างไรล่ะ มงซิเออร์ โบล? หากไม่เป็นการรบกวนนัก ท่านสะดวกจะมาที่รถม้าของข้าไหม?”

 

“โอ้ ผมต้องขอสารภาพตามตรง ในบรรดาคำเชิญที่มีมาตลอดทั้งปีนี้ นั่นเป็นคำเชิญที่ชวนใจเต้นยิ่ง”

 

ใจเต้นในทางไม่ดีอะนะ

 

“แน่นอนล่ะ ผมนั้นยินดียิ่ง มงซิเออร์ เบอร์นาร์ด 

ต้องอภัยกับผู้ชมท่านอื่นด้วย แต่ผมจะขอไปกับท่าน”

 

“เช่นนั้นก็ดี ตามข้ามา ระวังอย่าให้โดนฝูงชนพัดพาไปล่ะ ฮ่าฮ่า”

 

 

เลราเจนั้นหันหลังกลับทันใดแล้วมุ่งตรงไปยังทางออก การสาวเท้าที่หนักหน่วงรุนแรงนั้น เป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนกับผมเลยว่า เขาโกรธมากมายขนาดไหน เจเรมิและผมตามหลังเขาไป

 

เราแหวกผ่านฝูงชนมากมายแล้วขึ้นไปบนรถม้าของเขา มันเป็นรถม้าสีแดงที่ประดับตกแต่งหรูหราสุดแฟนซี ทั้งยังลากจูงด้วยม้าสี่ตัวอีกต่างหาก แค่ดูเท่านั้นก็รู้แล้วว่า เลราเจมีฐานะระดับไหนในเมืองนี้

 

ทีแรกผมไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนเขาปลอมตัวเป็นลูกหลานขุนนาง

 

พอประตูรถม้าปิด เลราเจก็หันหน้ามาหาผมทันที บรรยากาศสุดหรูหราอลังการที่เคยห้อมล้อมตัวนักแสดงนำคนนั้นจู่ๆก็พลันหายไปทันที น้ำเสียงแหบแห้งดังออกมาจากลำคอของเขา

 

“เอาล่ะ ที่ปรึกษาสูงสุดแห่งฝ่ายที่ราบ”

 

เลราเจถอดหน้ากากของตัวเองออกมา แม้ภายใต้หน้ากากก็ยังเป็นใบหน้าของชายผู้หล่อเหลาราวกับรูปปั้น ผมสีดำหยิกของเขานั้นย้อยลงมาราวกับเถาองุ่น

 

“ข้าไม่แน่ใจนักว่า ท่านได้ตั้งใจดูการแสดงอันแสนต่ำต้อยของข้าผู้นี้หรือเปล่า

เอาล่ะ ถึงโดยมากท่านจะเพลิดเพลินไปกับจุดสุดยอดแล้วก็ตาม 

แต่ข้าก็ไม่เคยได้รู้สึกว่าได้รับเกียรติเช่นนี้ในฐานะนักแสดงมาก่อน”

 

รอยยิ้มแสนเย็นชาปรากฏบนปากของเลราเจ เขาแสดงความเป็นศัตรูกับผมอย่างชัดเจนเลย

 

ในปากผมมันขมไปหมด ตอนนี้ ผมได้แต่หวังว่า คำแก้ตัวของผมจะฟังขึ้นบ้างนะ…….

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 184 ความเกลียดชังมนุษย์ (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 184 ความเกลียดชังมนุษย์ (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“เขาอยู่ในที่ที่คาดไม่ถึงน่ะ?”

 

“อึก ……อืมมม”

เจเรมิถอนปากออกจากน้องชายผมอย่างระวัง

 

 

เธอเช็ดที่ริมของปากอย่างเบามือ เธอหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหันกลับมามองผม ใบหน้าครึ่งซีกที่เต็มไปด้วยแผลเป็นจากไฟไหม้ อาจไม่น่าดูนักสำหรับใครหลายๆคนแต่สำหรับผมมันกลับดูมีเสน่ห์แปลกๆ 

 

“แล้วอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาไหมคะ ฝ่าบาท?”

 

“แน่นอนล่ะว่ามี แล้วเธอจะประหลาดใจว่า เขาอยู่ที่ไหน ฝ่าบาทเลราเจนั้นอยู่บนเวที ไม่ใช่ในฐานะนักแสดงประกอบด้วยนะ หากแต่เป็นนักแสดงนำชาย”

 

“โอ้ แหม บุคคลนั้นช่างมีงานอดิเรกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

 

เจเรมิหัวเราะเบาๆก่อนจะงุดหัวลงไปอีกครั้ง ลิ้นอุ่นๆของเธอห่อที่ปลายหัวของผมอีกครั้ง

ปากทั้งปากห่อหุ้มไปด้วยน้ำที่เหนียวข้น จนผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกดูดเข้าไป

อย่างน้อยๆเจเรมิก็เก่งกว่าลอร่าเรื่องการใช้ปากน่ะนะ

 

“การจะมาเป็นนักแสดงในโอเปร่าได้นี่คงไม่ใช่แค่งานอดิเรกแล้วล่ะ เธอคิดอย่างนั้นไหม?”

 

“อืมฮึ, อื่มมม, อืมมมม…….”

 

เจเรมิตอบรับกลับมาด้วยเสียงอันแสนน่ารักผ่านจมูก ไม่สิ เธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอยู่สินะ

 

 

ใช่แล้วล่ะ หากคุณอยากจะปรากฏตัวในโรงโอเปร่า ท่านต้องรู้วิธีการแสดง แถมต้องร้องเพลงเป็นด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ไหน หืมมม อย่างนั้นก็แสดงว่า เลราเจนั้นออกจะจริงจังเรื่องโอเปร่าเลยล่ะสิเนี่ย…….

 

“นี่อาจเป็นข่าวร้ายแหละ เจเรมิ”

 

“หือ?”

 

“อ้าาา อย่าหยุดสิ แค่ฟังก็พอ กำลังเพลินเลย”

 

ผมพูดทั้งที่ยังจับจ้องอยู่บนเวที

 

ความสบายไหลผ่านเข้ามายังท่อนล่างในระดับที่รุนแรงขึ้น เจเรมิเริ่มดึงหัวชักเข้าออกอย่างถี่ๆ

 

ผมได้ยินเสียงขับร้องของนักร้องโอเปร่าเคล้าผสานไปกับเสียงดูดอันแสนลามกของเจเรมิ

ผมไม่แน่ใจหรอกนะ แต่ผมว่า คุณภาพดนตรีมันกลับยอดเยี่ยมขึ้นกว่าก่อนหน้ามาก

 

 

“เลราเจน่ะไม่เต็มใจเท่าไหร่ที่จะมาพบพวกเราแต่แรกแล้ว ข้าจึงคิดว่ามันเป็นแบบนี้เพราะเขาไม่รู้ว่าเรามาด้วยเจตนาอะไรดังนั้นเลยเว้นระยะห่างไว้ก่อน

……ซึ่งถ้าเลราเจเป็นนักแสดงโอเปร่าไฟแรง นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีทางยกเลิกงานแสดงโอเปร่าอย่างนั้นหรอกหรือ?”

 

“……อืม, อืมฮึ, อืมมม”

 

เจเรมิหยุดทำไปชั่วครู่

 

“มีโอกาสที่เขาจะลังเลที่จะพบเราเพราะคิวมันซ้อนทับกับตารางการแสดง

 

 

จากที่ข้าได้ยินมา ดูเหมือนจะมีงานแสดงในวันพรุ่งนี้ และวันมะรืนด้วย เขาจะมีเวลาให้พวกเราได้เฉพาะหลังจบงานแสดงเท่านั้น แต่เลราเจเองก็ไม่อยากให้พวกเราคอยเขาไปถึง 4 วันด้วยเช่นกัน…….”

 

ผมพูดพลางหัวเราะ

 

 

“เขาน่ะไม่ยอมยกเลิกงานแสดง และไม่อยากปฏิเสธการนัดหมายระหว่างเรา คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ ผลออกมาก็เลยกลายเป็นว่า เขาพยายามจะทำให้เราเพลินเพลินด้วยการชวนพวกเรามาชมการแสดงรอบปฐมทัศน์ เพียงเพื่อจะบอกกับพวกเราว่า

‘เซอไพร้ส์! ข้านี่แหละคือ นักแสดงนำชาย! เป็นอย่างไรประหลาดใจไหม?’

……อ่าาห์ ข้าจะแตกแล้ว”

 

“อืมม, หืมม,อืมม, ―อึก, อุบ”

 

น้องชายผมตึงเคร่งไปสี่ถึงห้าครั้งก่อนจะหลั่งน้ำกามออกมา

หลังจากได้รับน้ำไปเจเรมิก็ไม่หยุดปาก เธอกลืนมันจนหมด ความสบายจากการถึงจุดสุดยอดแผ่ไปทั่วร่างกายของผม ผมทอดถอนใจยาวๆออกมา

 

 

“ฮ่าาาห์……ถ้าเป็นกรณีนั้นแล้ว ดูเหมือนข้าจะไปรบกวนท่วงทำนองของลาราเจเข้าอย่างจังเลย 

ข้าไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่า รสนิยมทางศิลปะของข้าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาในที่แบบนี้”

 

“ท่านน่ะได้สร้างความประทับใจแรกพบสุดเลวร้ายต่ออีกฝ่ายแล้วค่ะ”

 

เจเรมิเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดหน้าขณะพูด

 

 

“แล้วจะให้ทำอะไรได้ล่ะ? ก็ในเมื่อฝ่าบาทหาวถึง 17 ครั้งระหว่างการแสดง ในฐานะนักแสดงนำแล้ว ความประทับใจของท่านเลราเจที่มีต่อท่านก็ย่อมต้องดิ่งลึกต่ำกว่าก้นเหวเป็นธรรมดา”

 

“แม่งเอ๊ย”

 

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

 

“ทำไมหมอนั่นถึงคิดว่า ข้าจะเพลิดเพลินไปกับงานดนตรี วิจิตรศิลป์(fine art)เหมือนอย่างที่เขาเพลิดเพลินกันวะ? ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ข้าหงุดหงิดรำคาญใจก็ไอ้การที่ข้าโดนลากเข้ามาในงานแสดงสุดน่าเบื่อนี่แหละ”

 

 

“ผู้คนที่ชื่นชอบงานวิจิตรศิลป์มักจะเป็นแบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาหวังให้ผู้อื่นเพลิดเพลินเหมือนเช่นที่พวกเขาเพลิดเพลิน โดยเฉพาะสายงานแสดงที่ต้องการความสนใจจากผู้อื่นเป็นอย่างมาก

ฝ่าบาทเลราเจนั้นอาจต้องการแสดงทักษะการแสดงให้ฝ่าบาทดูเพื่อให้ได้รับความประทับใจและความชื่นชอบจากท่านก็เป็นได้…….”

 

เจเรมิแสดงความเห็นทั้งรอยยิ้ม เธอดันบันเทิงเริงรมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แม่นี่มันช่างเน่าไปถึงเนื้อในจริงๆ

 

 

“แล้วเจ้าจะเลี่ยงความรับผิดชอบไปทำไมกัน? ในเมื่อเจ้าเป็นผู้อาสาขอใช้ปากทำให้ข้าเองแต่แรก”

 

“ฝ่าบาทเป็นผู้อนุญาตเองนี่คะ ท่านสามารถสั่งให้ฉันหยุดก็ได้ แต่ท่านไม่คิดจะทำอย่างนั้นเพื่อที่จะหาตัวจริงของฝ่าบาทเลราเจ แล้วเหตุใดท่านถึงว่าร้ายข้าหลังจากที่ทำให้ท่านผ่อนคลายได้มากมายขนาดนั้นล่ะ?”

 

“โว้ว ฟังเจ้าพูดเข้าสิ”

 

นี่เธอจะบอกให้ผมหยุดทั้งที่เริ่มไปแล้วเนี่ยนะ? มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วน่า

หรืออย่างน้อยๆก็ไม่มีทางหรอกสำหรับผู้ชายน่ะ เราจะไม่มีทางหยุดกลางคันได้หรอกต่อให้มีพายุคะนองกระหน่ำหรือผู้ก่อการร้ายมาลอบยิงพวกเรา

 

“เฮ่อออ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่สนใจแล้วค่ะ ไม่รู้เลยจริงๆฉันไปสาบานตนแบบนั้นกับท่านได้ยังไงกันนะ? ฉันคงต้องหาทางพูดไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอดจากเรื่องนี้แล้วล่ะ”

 

“พูดไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอดงั้นเรอะ? ข้าไม่คิดว่า การทำแบบนั้นมันจะได้ผลนักหรอกในสถานการณ์ที่เห็นๆกันอยู่แล้วว่าเจ้าทำเรื่องลามกสัปดนลงไป”

 

“ผู้น้อยอย่างข้าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองน่า ไม่ต้องทำอะไรหรอก ท่านหญิงเจเรมิ เฮ้ ทำอีกสักรอบ”

 

เจเรมิมองผมด้วยแววตาแปลกๆ

“ให้ทำอีกรอบ? เอาจริงหรือคะ?”

 

“ข้าพูดแบบนั้นเพราะข้ามีแผนน่ะ ทำตาที่ข้าบอกเถอะ”

 

“ไม่สิ สำคัญกว่านั้น……เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนท่านเพิ่งแตกไป”

 

เจเรมิมองด้วยแววตาสงสัย เธอคงไม่รู้สินะว่าพลังเต็มสูบของผมเป็นยังไง หัวหน้าเอลฟ์แห่งหน่วยแผลแดง

 

 

 

“ข้าเป็นบุคคลทีสามารถกิน ปี้ ตลอดสองวันติดๆได้ ดังนั้นไม่มีผลกระทบอะไรหรอก หากเจ้าจะดูดทำให้ข้าตลอดการแสดงโอเปร่าน่ะ”

 

“โฮ่?”

 

เจเรมิหัวเราะออกมาแต่ดวงตาเธอไม่หัวเราะเหมือนปาก ดูเหมือนผมจะไปกระตุ้นความอยากเอาชนะของเธอขึ้นมาซะแล้ว

 

“แม้รูปลักษณ์ของฉันจะเป็นอย่างนี้ก็ตาม แต่ผู้น้อยนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวท็อปของกลุ่มผู้สังหารผู้ใช้กลหญิงงามก่อนที่ฉันจะมีแผลไฟไหม้”

 

“อ๋อ อย่างนั้นหรือ? เทคนิคก่อนหน้าของเจ้าก็ไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่นักหรอก”

 

“นั่นเพราะเราอยู่ระหว่างชมการแสดงค่ะ ขออภัยนะคะฝ่าบาท แต่หากฉันจัดเต็มที่ มีหวังพวกเราได้รบกวนผู้ชมรอบๆเราเพราะฝ่าบาทจะไม่สามารถทนไม่ให้ตัวเองครางออกมาได้หรอกค่ะ”

 

หลังจากนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้ว การขับเคี่ยวระหว่างเราได้เริ่มต้นขึ้น

 

เจเรมิเริ่มใช้ริมฝีปากแรงขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับก่อนหน้า มันรู้สึกเหมือนปากของเธอกลายเป็นตัวดูดสุญญากาศ นี่มันอีกระดับเลยนะนั่น ผมถึงจุดไป เจ็ดครั้งในช่วงการรับชมการแสดงครั้งสุดท้าย

 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ไม่ร้องอะไรออกมาสักแอะ! ระหว่างเจ็ดครั้งที่เสร็จนั้นไม่มีอะไรใดๆหลุดออกมาเลย ริมฝีปากของผมนั้นเป็นดั่งประตูป้อมปราการที่สร้างโดยเหล่าคนแคระ

 

เจเรมิยิ่งเร่งจังหวะขณะที่การแสดงใกล้จะจบลงในช่วงท้ายๆ แต่ไม่มีประโยชน์หรอก ผมเกือบจะเปล่งเสียงกลืนน้ำลายออกมา แต่ก็ยังยั้งไว้อยู่

 

ผู้ชมทั้งหลายต่างลุกขึ้นปรบมืออย่างยาวนาน และม่านก็เลื่อนปิดลง

 

“มะ-ไม่มีทาง……เป็นไปไม่ได้ นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ!”

เจเรมิบ่นด้วยความสิ้นหวังขณะที่เสียงปรบมือดังลั่นไปรอบตัวเรา

“ตัวฉันที่เป็นผู้รู้จักกันในนาม กุหลาบดำแห่งปรานพรั้นส์(Prantapance)……ท่านทำแบบนั้นได้ยังไงกัน…….”

 

 

“นี่คือ ระดับของจอมมารน่ะ โถ เจ้าปีศาจผู้โง่งมเอ๋ย”

 

ผมตอบกลับไปอย่างใจเย็น ผมดึงกางเกงขึ้นจากนั้นก็ลุกขึ้นปรบมือดว้วยเช่นกัน เจเรมิที่พ่ายแพ้ยังคงนอนอยู่บนพื้นต่อไป

 

 

เอาล่ะๆ ผมเพลิดเพลินกับโอเปร่าสุดน่าเบื่อนั่นได้ ก็ต้องขอบคุณเธอแหละนะ ผมขอชื่นชมเธอในเรื่องนั้นเลยล่ะ

 

หลังเสียงปรบมือซาลง ผมก็เดินลงไปชั้นล่าง ผู้ชมมากมายต่างมาออตัวรวมกับที่หน้าล็อบบี้ พวกเขาคงประทับใจกับการแสดงสุดๆจึงได้ส่งเสียงตะโกนเชียร์ในทันทีที่เห็นนักแสดงชาย นักแสดงหญิงเดินออกมา

 

เสียงตะโกนดั่งลั่นที่สุดก็ตอนที่นักแสดงผู้ที่ผมเดาว่า น่าจะเป็นเลราเจโผล่ออกมา

 

 

“จ็อคกี้ เบอร์นาร์ด(Jockey Bernard)!”

 

“โอ้ ท่านเบอร์นาร์ดคะ! มองมาทางนี้หน่อยค่ะ!”

 

“กรี๊ดดด! เจอโรม! เบอร์นาร์ดคนที่หก!”

 

เลราเจสวมหน้ากากสีขาว มีเพียงพื้นที่รอบจมูกเท่านั้นที่เปิดไว้ ดูเหมือนนามแฝงบนเวทีของเขาจะเป็น จ็อคกี้ เจอโรม เบอร์นาร์ด มันให้ความรู้สึกแบบนักแสดงตัวจริงเสียงจริง

 

 

เลราเจยิ้มขณะที่โบกมือให้กับผู้คนรอบกายเขา พอทำแบบนั้นเข้าปุ๊บ ผู้หญิงทั้งหลายก็เริ่มกรีดร้องออกมาดังๆจนแทบจะขาดอากาศหายใจ เขานี่ช่างเป็นที่นิยมเสียจริง

 

ในอ้อมแขนของเลราเจเต็มไปด้วยช่อดอกไม้ในทันที ผู้ที่มาช้าเกินกว่าจะมอบช่อดอกไม้ให้ก็เริ่มโปรยกลีบดอกไม้ให้แทน ผมมองภาพตรงหน้าแล้วพูดออกมา

 

“สถานการณ์มันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”

 

“ตัวฉันผู้น้อยนี้ ขอบอกข่าวร้ายให้กับฝ่าบาท หากนั่นคือ เบอร์นาร์ด นักแสดงโอเปร่าจากฟรานเคียจริง นั่นก็เป็นชื่อที่แม้แต่ฉันที่อยู่เฉพาะในโลกปีศาจก็ยังรู้จัก

 ได้ยินว่าตระกูลของพวกเขานั้นมุ่งเน้นไปที่ดนตรีและการแสดงเป็นหลัก”

 

 

“นักแสดงที่ไม่ได้โด่งดังแต่ในเฉพาะโลกมนุษย์ หากแต่โด่งดังในโลกปีศาจด้วยอย่างนั้นรึ เข้าใจแล้ว”

 

ไม่ต้องบอกก็รู้เลยล่ะ หมอนี่น่ะจะต้องเป็นคนที่มีอีโก้ มีความภาคภูมิใจในตัวเองระดับสูงเสียดฟ้า

 

 

ไอ้เรื่องครอบครัวส่วนใหญ่เป็นนักแสดงก็คงเรื่องโกหกนั่นแหละ เป็นไปได้สูงมากว่า เลราเจนั้นจะปลอมตัวเป็นลูกหลานตระกูลนั้น

 

 

ทั้งสายตระกูลเบอร์นาร์ดทั้งหมดก็คงเป็นตัวเลราเจเองนั่นแหละ 

การที่ได้ตระหนักถึงความจริงเรื่องนั้นทำให้ผมผิดหวังกับดวงตาตัวเอง

 

“นี่ข้าหาวตลอดเวลาที่ดูนักแสดงระดับโลกอย่างนั้นเหรอเนี่ย เฮ่อ……?”

 

“ฉันก็ไม่รู้จะบอกความประทับใจในตัวเขาอย่างไรดีนะคะ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาท ฉันก็คงจะดูการแสดงจนจบแล้ว”

(TTL : เอ๊า โทษนายตัวเองเฉยเลย 555)

 

แล้วนี่เธอต้องการอะไรจากผมเนี่ย? อย่ามาครวญครางร้องไห้เสียดายกับอะไรที่ทำไปแล้วสิ

ผมให้คำสั่งหลายอย่างกับเจเรเมีย เลราเจนั้นแหวกฝูงชนออกมาอย่างช้าๆเพื่อหาทางออกจากโรงละคร

 

เขาบังเอิญผ่านมาใกล้จุดที่พวกเรายืนกันอยู่ แม้ภายนอกดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ดูก็รู้ว่า เขานั้นจงใจ

 

ผมยิ้มกว้างออกมา

 

“ช่างเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมนัก มงซิเออร์ เบอร์นาร์ด”

 

“โอ้? ข้าได้พบกับแขกสำคัญที่นี่ด้วย”

เลราเจจ้องมองผมกลับมา

 

 

“มันคงจะดีไม่น้อย หากนั่นเป็นอย่างที่ท่านรู้สึกจริงๆนะ มงซิเออร์ โบล”

 

สิ่งที่เขาออกมานั่นฟังยังไงก็รู้เลยล่ะว่า เขาสุดจะโกรธเคือง ถ้อยคำ และความหมายแฝงแสดงออกถึงความไม่พอใจ

 

เขากำลังอยากจะถามผมว่าจากใจจริงว่า การแสดงนั้นมันดีจริงไหม

 

 

จอมมารลำดับ 14 นั้นแทบไม่ต้องสงสัยเลยล่ะว่าเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาดด้วยกัน เขาสามารถกำจัดผมได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาดแบบนั้นแหละกำลังพูดกับผมด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ

 

โอ้ ชีวิตผมเนี่ยน้า หัวผมเริ่มปวดขึ้นมาหน่อยๆแล้วล่ะ มันไม่มีอะไรง่ายดายเลยจริงๆ ผมทำหน้าบูดขณะพูดออกมา

 

“แน่นอน นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆนะท่าน 

มาดมัวร์แซลบาร์บาจะต้องเสียใจมากที่นางไม่ได้มาเข้าร่วมชมการแสดงในวันนี้

ท่านก็ทราบดีว่า นางไม่ได้อยู่ในฐานะที่สามารถมาร่วมงานครั้งนี้ได้”

 

“โอ้ อย่างนั้นรึ? ช่างเป็นเกียรตินักที่นางคิดเช่นนั้น”

 

แน่นอนล่ะ ว่า บาร์บาที่ว่า หมายถึง บาร์บาทอส ผมบอกเขาเป็นนัยๆว่า การที่ผมมาเนี่ยไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของผมหรอกนะ หากแต่เป็นคำส่งตรงมาจากบาร์บาทอสถึงเขาเลย

 

 

ผมคิดว่า การได้ยินชื่อ บาร์บาทอสจะทำให้เขาสดใสได้เสียอีก แต่สีหน้าของเลราเจไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

เลราเจจ้องมองพวกเรา

 

“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การสนทนา ว่าอย่างไรล่ะ มงซิเออร์ โบล? หากไม่เป็นการรบกวนนัก ท่านสะดวกจะมาที่รถม้าของข้าไหม?”

 

“โอ้ ผมต้องขอสารภาพตามตรง ในบรรดาคำเชิญที่มีมาตลอดทั้งปีนี้ นั่นเป็นคำเชิญที่ชวนใจเต้นยิ่ง”

 

ใจเต้นในทางไม่ดีอะนะ

 

“แน่นอนล่ะ ผมนั้นยินดียิ่ง มงซิเออร์ เบอร์นาร์ด 

ต้องอภัยกับผู้ชมท่านอื่นด้วย แต่ผมจะขอไปกับท่าน”

 

“เช่นนั้นก็ดี ตามข้ามา ระวังอย่าให้โดนฝูงชนพัดพาไปล่ะ ฮ่าฮ่า”

 

 

เลราเจนั้นหันหลังกลับทันใดแล้วมุ่งตรงไปยังทางออก การสาวเท้าที่หนักหน่วงรุนแรงนั้น เป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนกับผมเลยว่า เขาโกรธมากมายขนาดไหน เจเรมิและผมตามหลังเขาไป

 

เราแหวกผ่านฝูงชนมากมายแล้วขึ้นไปบนรถม้าของเขา มันเป็นรถม้าสีแดงที่ประดับตกแต่งหรูหราสุดแฟนซี ทั้งยังลากจูงด้วยม้าสี่ตัวอีกต่างหาก แค่ดูเท่านั้นก็รู้แล้วว่า เลราเจมีฐานะระดับไหนในเมืองนี้

 

ทีแรกผมไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนเขาปลอมตัวเป็นลูกหลานขุนนาง

 

พอประตูรถม้าปิด เลราเจก็หันหน้ามาหาผมทันที บรรยากาศสุดหรูหราอลังการที่เคยห้อมล้อมตัวนักแสดงนำคนนั้นจู่ๆก็พลันหายไปทันที น้ำเสียงแหบแห้งดังออกมาจากลำคอของเขา

 

“เอาล่ะ ที่ปรึกษาสูงสุดแห่งฝ่ายที่ราบ”

 

เลราเจถอดหน้ากากของตัวเองออกมา แม้ภายใต้หน้ากากก็ยังเป็นใบหน้าของชายผู้หล่อเหลาราวกับรูปปั้น ผมสีดำหยิกของเขานั้นย้อยลงมาราวกับเถาองุ่น

 

“ข้าไม่แน่ใจนักว่า ท่านได้ตั้งใจดูการแสดงอันแสนต่ำต้อยของข้าผู้นี้หรือเปล่า

เอาล่ะ ถึงโดยมากท่านจะเพลิดเพลินไปกับจุดสุดยอดแล้วก็ตาม 

แต่ข้าก็ไม่เคยได้รู้สึกว่าได้รับเกียรติเช่นนี้ในฐานะนักแสดงมาก่อน”

 

รอยยิ้มแสนเย็นชาปรากฏบนปากของเลราเจ เขาแสดงความเป็นศัตรูกับผมอย่างชัดเจนเลย

 

ในปากผมมันขมไปหมด ตอนนี้ ผมได้แต่หวังว่า คำแก้ตัวของผมจะฟังขึ้นบ้างนะ…….

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+