Dungeon Defense (WN) 185 ความเกลียดชังมนุษย์ (7)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 185 ความเกลียดชังมนุษย์ (7) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ข้าไม่แน่ใจว่า ท่านพูดเรื่องอะไร มงซิเออร์เบอร์นาร์ด”

 

“เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าอย่างนั้นรึ? ห้ะ ดูเจ้าจะจองหองเย่อหยิ่งเสียเหลือเกินนะหลังจากได้รับความชื่นชอบจากบาร์บาทอสน่ะ”

 

พอผมแกล้งเรียกชื่อ ปลอมของเขา เลราเจก็ขมวดคิ้วมุ่ย

 

ไม่น่าแปลกใจนักที่เขาจะโกรธขึ้นมาเพราะผมเลือกที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแทนที่จะขอโทษที่ทำตัวไม่ให้เกียรติ

 

 

“ข้าได้กลิ่นเครื่องในหมูเหม็นๆโฉ่วออกมา นั่นเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าไม่ใช่รึไง? เจ้าทำผิดพลาดอย่างโง่ๆที่หลงคิดว่า ฟรานเคียนั้นเหมือนกับฮับบวร์ก จอมมารเด็กเอ๋ย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของจอมมารและภูเขาดำนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่!”

 

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพยายามจะบอกอะไร”

 

เลราเจดูจะเดือดดาลเป็นอย่างมาก นั่นทำเอาขอบตาผมกระตุกเล็กน้อย 

 

นี่ถ้าผมไม่เคยได้เจอจอมมารระดับสูงมาก่อนมีหวังผมคงเยี่ยวราดแล้วหันมาพูดประจบเอาใจแน่ๆ

 

“อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ ข้านั้นยังเด็กและมีเรื่องที่ไม่รู้อยู่มาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าตระหนักถึง”

 

ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้วิธีขยับลิ้นให้มันพูดไปเรื่อยแม้ร่างกายจะยังกลัวอยู่ ผมเป็นดั่งเหมือนหัวคะแนนที่ใช้ชีวิตเทียวไปทั่วแดนจนกระทั่งมาเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิในช่วงสงคราม

 

“ไม่ว่าจะเป็นที่ฮับบวร์หรือฟรานเคีย จอมมารยังคงเป็นจอมมาร และมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์”

 

“แกว่าอะไรนะ?”

 

“จอมมารนั้นต่างเป็นศัตรูกับเหล่ามนุษย์ และมนุษย์ก็เป็นศัตรูกับเหล่าจอมมาร ……มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?”

 

สีหน้าของเลราเจบูดบึ้งยิ่งขึ้น

ผมยิ้มออกมาแบบเด็กหนุ่มผู้สุภาพ

 

“ข้าต้องขอสารภาพว่า ข้าได้รอมานานแสนนานแล้วที่จะได้พบเจอกับฝ่าบาท จอมมารอื่นในฝ่ายที่ราบนั้นดูจะไม่สนใจใยดีฝ่าบาทด้วยเหตุบางประการ แต่ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

พื้นฐานกลยุทธทั้งหลายทางการทหารมีการจู่โจมศัตรูจากด้านหลังเป็นเบื้องต้น มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆไปสักหน่อย แต่มันเป็นพื้นฐานที่ไม่อาจมองข้ามได้”

 

“…….”

 

“ไม่มีใครอยากทำเรื่องแบบนั้น แต่ก็ต้องมีใครสักคนเป็นผู้ทำ แม้มันไม่น่าดึงดูดหรือได้รับความสนใจ แต่มันก็ยังมีความดีความชอบอยู่เช่นเดียวกัน

นั่นคือ ภารกิจที่ฝ่าบาทได้รับผิดชอบ ข้าเชื่อเช่นนั้น โดยมิต้องสงสัยเลย ฝ่าบาทนั้นเป็นผู้จงรักภักดี และได้อุทิศตัวอย่างแท้จริงให้กับทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา…….”

 

สีหน้าของเลราเจกลับดูสดใสขึ้นมาขณะที่ผมพูดเช่นนั้น ผมบอกได้เลยว่า เพลิงโทสะของเขาลดลง

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะแสดงความผิดหวังต่อการแสดงของฝ่าบาทในวันนี้ แต่ทำไมท่านถึงต้องไปชื่นชอบชื่นชมอะไรที่เป็นวัฒนธรรมของพวกมนุษย์เช่นนั้นด้วยเล่า? พวกมนุษย์น่ะเป็นศัตรูของพวกเรา”

 

“หึ”

ลาราเจพ่นลมออกจมูกอย่างไม่พอใจ เขาแสดงท่าทีเมินเฉยต่อผม นั่นแหละคือความประทับใจที่ได้ผมจากเขา 

 

“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า บุคคลแบบใดกันนะ ที่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงนี้

……แต่ดูเหมือนสุดท้ายเจ้าก็เป็นแค่ ‘จอมมาร’ ธรรมดาๆ”

 

 

เลราเจนั้นหยิบแก้วไวน์ออกมาจากหีบในตู้ไม้ เขาดึงจุกคอร์กออกด้วยมือเปล่าก่อนจะดื่มจากปากขวด

 

“จอมมารธรรมดา?”

ผมถามกลับไปด้วยความหน้าด้าน

 

“สิ่งที่ฝ่าบาทผู้ชวนให้สับสนจากที่พูดไปก่อนหน้า”

 

“ข้ากำลังบอกว่า เจ้าน่ะไม่น่าสนใจเลย จอมมารหนุ่มน้อย

ความรุนแรงนั้นเป็นดั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องไล่เฉดสีทั้งยังขับไล่เงาของโลกใบนี้ 

ยิ่งไปกว่านั้นการทำให้ทุกอย่างมันเข้มงวดนั้นช่างน่าเบื่อ ยิ่งเป็นภายใต้ข้ออ้างที่ว่า เพื่อการกวาดชำระล้างพวกเขาทิ้งแล้วด้วย

นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมข้าถึงไม่ชอบเหล่าสหายแห่งฝ่ายที่ราบสักเท่าไหร่นัก”

 

เขาหายโกรธแล้ว ตอนนี้เลราเจกลับดูถูกผมแทน

ผิดกับรูปลักษณ์ที่ยังดูหนุ่ม เขาพูดเหมือนคนแก่

 

มันดูเป็นเสน่ห์แปลกๆที่ได้ยินหนุ่มหล่อคนหนึ่งพูดแบบนั้น ชายหนุ่มที่พูดแบบคนแก่ จอมมารตรงหน้าผมให้ทั้งบรรยากาศของชายหนุ่ม คนหลักแหลม และชายชรา

 

 

“ข้าถามเจ้าสักคำถามสิ”

 

เลราเจพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน

 

“ไม่เพียงแต่เจ้าน่ะไม่ปล้นฆ่าผู้คนในดินแดนบรันเดนเบิร์ก หากแต่เจ้ายังสัญญากับพวกเขาว่าจะมอบความปลอดภัยและเสรีภาพให้ 

นั่นเป็นการตัดสินใจที่น่าขำและไร้สาระที่สุดสำหรับบุคคลที่เชื่อว่า พวกมนุษย์เป็นศัตรูของพวกเราเลยล่ะ เจ้าทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ?”

 

“เพราะข้าให้ความสำคัญกับความทะเยอทะยานในระยะยาว เพื่อการณ์ใหญ่ในภายภาคหน้ายิ่งกว่าความรู้สึกส่วนตัวของข้า”

 

ผมตอบตรงไปตรงมาตามความจริง

 

“การเข่นฆ่ามนุษย์ทั้งหลายในบรันเดนเบิร์กอาจสร้างความพึงพอใจได้ในทันทีแต่มันจะผลักความสำเร็จในการพิชิตทวีปของพวกเราให้ห่างไกลออกไป

หากต้องเป็นไปเพื่อความทะเยอทะยานของพวกเรา ข้ายินดีที่จะอดทนกลิ่นเหม็นสาบของพวกมนุษย์”

 

“หุหุ ความทะเยอทะยานของพวกเรา,อย่างนั้นรึ……?”

 

เลราเจกระดกไวน์

 

“นานสักพักแล้วนี่นะ ที่ข้าได้เจอกับเจ้าโง่ที่อุทิศตัวให้กับฝ่ายที่ราบ มันก็เข้าท่าดีที่บาร์บาทอสผู้นั้นจะตั้งใจปั้นแกขึ้นมา แม่นั่นจะไม่แฮปปี้ดี๊ด๊าได้ยังไงล่ะ ในเมื่อ ได้พบกับสุนัขที่พร้อมจะเห่าอย่างซื่อสัตย์เพื่อเธอ?”

 

ผมหุบยิ้มและทำเสียงต่ำเพื่อสร้างความจริงจังในเนื้อเสียง

 

“……ฝ่าบาท ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ท่านกำลังว่าร้ายกับผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเรา?”

 

“คุฮ่าฮ่าฮ่า!”

เลราเจระเบิดเสียงดังออกมา

 

 

“โอ้ย เขาช่างจงรักภักดีต่อนายตนเสียเหลือเกิน! ช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียจริงๆ เจ้าคงจะเห่าแบบนั้นต่อหน้าบาร์บาทอสมากมายเลยสินะ 

คึคึ ข้าเดาได้เลยล่ะ ว่าศูนย์กลางทวีปจะเป็นอย่างไรถ้าหากจักรวรรดิอย่างฮับบวร์กยังถูกแบ่งแยกได้โดยคนอย่างเจ้าน่ะ”

 

“…….”

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไม บาร์บาทอสถึงส่งคนแบบเจ้ามาหาข้า

จิตใจของเจ้านั้นก็ยังเด็กน้อยอยู่นั่นแหละ ดังนั้นก็คงจะข้องใจน่าดูเลยสิ ที่ต้องอยู่ใต้เงาของบาร์บาทอส”

 

ตอนนี้เลราเจกลับมองดูผมด้วยความรู้สึกเห็นใจผสมกับดูถูก

ความเห็นใจและความดูถูก นั่นหมายถึงว่า เขากำลังประเมินผมไว้ต่ำ

ผมแอบยิ้มกว้างอยู่ในใจ

‘มันได้ผลแฮะ’

 

 

มันเป็นอะไรที่ผมเพิ่งมาตระหนักรู้หลังจากที่จัดการกับจอมมารที่แสนเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายมาเมื่อปีที่ผ่านมา

การชักชวนอีกฝ่าย และทำให้พวกเขาเข้าใจตรงๆมันไม่ใช่วิธีที่ทำให้ทุกอย่างลุลวงไปได้

 

 

ลูกเล่นและกลยุทธที่ใช้ในศิลปะแห่งการสนทนา

แม้จะพ่ายศึก แต่ก็นับว่าชนะสงคราม คุณไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายเห็นใจหรือคล้อยตาม และไม่จำเป็นต้องทำให้เขารู้สึกดีๆกับคุณด้วยเช่นกัน

 

ผมแกล้งทำตัวเป็นไอ้โง่และทำให้เลราเจประทับใจว่า เป็นตัวตนที่คิดตื้นๆและโง่ขลาดยิ่ง มันง่ายที่จะทำให้เขารับรู้ว่า ผมเป็น ‘ผู้มีบุคลิกจำพวกนั้น’

 

พอผมทำแบบนั้นแล้ว ต่อไปก็

 

“เจ้าน่ะ เจ้าชื่อ ดันทาเลี่ยน ใช่ไหม? เจ้าเคยอยู่ในเมืองมนุษย์อย่างน้อยสักครึ่งเดือนหรือเปล่า?”

 

“……ไม่ ข้าไม่เคยอยู่ถึง”

 

“คุ นี่เจ้าพูดถึงการฆ่าล้างมนุษยชาติ โดยไม่เคยไปใกล้ชิดพวกเขาถึงครึ่งเดือนเลยอย่างนั้นรึ? ข้าไม่เคยเจอใครที่เหมือนตัวตลกเช่นเจ้ามาก่อนเลย

นั่นมันมิใช่การพยายามพิชิตภูเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างนั้นหรือไงกัน?”

 

―อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเองว่า ตัวเขานั้นเหนือกว่า

 

ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบอะไรเรื่องของผมอีกแล้ว การหยั่งเชิงระหว่างกันจบลงแล้ว

 

สิ่งนั้นทำให้เขาคิดว่า ผมไม่ได้แข็งแกร่งพอที่ควรจะกังวลแถมถ้าไม่ใส่ใจผมก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ด้วยซ้ำ

 

เขาเผลอประมาท ลดการ์ดลด ต่อหน้าผมโดยสมบูรณ์เลยล่ะ 

แน่นอนว่า ผมไม่ปล่อยให้มันจบลงแค่ตรงนั้นแน่

 

“……ฝ่าบาท เรื่องพรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้วในสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเรา”

 

“สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเรา? นี่เจ้าพูดว่า สถานการณ์ปัจจุบันอย่างนั้นหรือ? คุฮ่าฮ่า ทำไมเจ้าดูเหมือนข้าตอนยังละอ่อนได้ขนาดนั้นกัน?”

 

เลราเจหัวเราะขณะที่ทำไวน์บางส่วนหก

 

“ราวกับลูกศรที่ข้าเคยยิงไปโดยไม่คิดในอดีต แล้วตอนนี้มันกลับพุ่งทะลวงเข้าสู่หัวใจของข้า ช่างน่าสนใจยิ่งนัก

ช่างเป็นภาพที่น่าชมเหลือเกินที่ได้เห็นบุคคลที่ไม่รู้จักตัวเองมาพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ได้ บอกข้าเรื่องนั้นสิ”

 

 

“เป็นอย่างที่ท่านทราบ กองทัพจอมมารของพวกกำลังจะแตกแยกกันอีกครั้งแล้ว”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่โกรธหลังจากเลราเจดูถูกผมแต่ก็แกล้งทำเป็นกดข่มไว้ 

ดูเหมือนเลราเจจะสังเกตเห็น จึงได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม

 

 

ผมดูเหมือนเด็กน้อยที่พยายามเต็มที่เพื่อทำให้ดีที่สุด แต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาชื่นใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

เขาต้องทำงานอย่างหนักและโดดเดี่ยวในชายแดน แล้วอยู่ๆเจ้าจอมมารหน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ก็ได้ตำแหน่งสูงพรวดพราดในกองทัพหลัก

 

เขาจึงสงสัยว่า เจ้าหน้าใหม่คนนั้นเป็นคนประเภทไหน แต่กลับกลายเป็นว่า หมอนั่นเป็นพวกเด็กกากไร้วุฒิภาวะที่เชื่อว่า มนุษย์ทั้งหลายคือความชั่วร้ายและปีศาจทั้งหลายคือ ความดีงาม

 

เด็กกากยิ่งกว่าเด็กกากเสียอีก 

 

…….สิ่งนี้ประสานเข้ากับอารมณ์ด้านลบของเลราเจที่เก็บสะสมมานานที่มีต่อกองทัพหลัก ดังนั้นการที่เขาหัวเราะใส่ผมมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนหัวเราะใส่กองทัพหลักนั่นแหละ

 

ในตำแหน่งทางการทหารฐานะของกองทัพ เขาอาจจะดูต่ำต้อย แต่หากเป็นในฐานะจอมมาร เขาถือว่า เป็นผู้ที่อยู่ระดับสูงในหมู่จอมมาร

 

พวกกองทัพหลักไม่ใช่อะไรที่น่าประทับใจนัก ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 8 นั้น โดยมากก็แค่โชคดี……. เขาอาจจะปลอบใจตัวเองอย่างนั้นอยู่ลึกๆก็ได้

 

ผมพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ฝ่าบาทบาร์บาทอสและฝ่ายที่ราบของพวกเรานั้นต้องเสียเลือดเสียเนื้อในการพิชิตฮับบวร์ก แต่จอมมารตนอื่นกลับเรียกร้องให้แบ่งดินแดนอย่างไม่รู้จักเห็นใจ

การประนีประนอมไม่มีทางเกิดขึ้น หากรู้ว่า ฝ่าบาทบาร์บาทอสน่ะโกรธแค่ไหน 

ดังนั้นการระดมพลกองทัพพันธมิตรน่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องของมนุษย์สู้กับปีศาจอีกต่อไปแล้ว”

 

เลราเจมองผมขณะที่ยังคงดื่มไวน์

 

“ปัญหาคือ พวกมนุษย์ เราต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้นังชั่วไพมอนไปร่วมมือกับมนุษย์ พวกมนุษย์ที่ร่วมมือกับไพมอนเพื่อจัดฉากลากให้ฝ่ายที่ราบเข้าสู่กับดักแล้วหวังจะกวาดล้างพวกเราทิ้งในคราวเดียว…….”

 

ผมขบฟัน ทำให้เหมือนกับผมโกรธที่ต้องพูดถึงชื่อไพมอน ผมที่ช่างแสดงได้ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ

 

 

“แล้วนั่นหมายความอย่างยังไง? นั่นก็หมายความว่า ต่อจากนี้มนุษย์และจอมมารก็สามารถร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวได้ โดยเฉพาะกรณีที่กองทัพจอมมารแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย”

 

“ิอืมมม…….”

 

“ผิดกับกองทัพฝ่ายศัตรู กองทัพพันธมิตรของพวกมนุษย์น่ะยังคงเข้มแข็ง หากจอมมารตนอื่นชักนำพวกมนุษย์เข้ามาทำลายพวกเดียวกันแบบนี้ ผลประโยชน์ก็จะตกแก่พวกมนุษย์

 

ฝ่าบาท  กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราจะล้มเหลวอีกครั้ง”

 

เลราเจจึงพูดขึ้น

 

“ห้ะ แล้วยังไงล่ะกัน? เจ้ากำลังจะบอกว่า พวกเราต้องทำตามคำสั่งเพื่อป้องกันมิให้กองทัพพันธมิตรล่มสลายลงอย่างนั้นหรือ?”

 

“การรวมกองทัพกองกำลังจอมมารให้เป็นหนึ่งเดียวนั้นเป็นงานที่ใหญ่และไกลจนเกินไป เราไม่มีทางอื่นนอกจากทำให้ศัตรูของเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน  ฝ่าบาท,พวกเราต้องสร้างความแตกแยกให้เกิดกับมนุษย์”

 

 

“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรล่ะ?”

 

ความเบื่อหน่ายในดวงตาของเลราเจกลับจางหายไปอย่างช้าๆ

เขาเริ่มไม่เชื่อแล้วว่า ผมนั้นเป็น ‘หน้าใหม่ที่คิดอะไรตื้นๆ’ เขาอาจจะคิดว่า ผมเป็นพวก ‘คิดอะไรตื้นๆ’ แต่เจ้าเล่ห์ บ้างแล้ว

 

 

“ในแง่ของขนาดประเทศแล้วฟรานเคียนั้นเป็นรองจากฮับบวร์ก ลอร์ดซาตานต้องเฝ้าดูการตั้งเค้าของสงครามกลางเมืองในฟรานเคียอยู่เป็นแน่”

 

“จักรพรรดินีโดวาเจอร์และจักรพรรดิเองไม่คิดจะสู้กันจริงจังนักหรอก”

เลราเจยืนยัน

“แม่ที่ไหนจะพยายามฆ่าลูกชายตัวเองกัน?”

 

“แต่องค์จักรพรรดิมิได้คิดอย่างเดียวกัน……ถูกไหม?”

 

“…….”

เลราเจวางขวดลง

 

ตอนนี้เขาก็คงคิดว่า ผมนั้นเป็น ‘เจ้าหน้าใหม่ที่คิดอะไรตื้นๆ และมีเครือข่ายข้อมูลที่สุดยอด’ ผมพยายามจะชี้นำให้เขาคิดอย่างนั้น

 

“เมื่อสงครามกลางเมืองอุบัติขึ้น ปัญหาก็คือ สงครามกลางเมืองที่ว่านั้นจะขยายไปได้ไกลขนาดไหนกัน 

มันต้องไม่จบง่ายๆแค่การต่อสู้กันระหว่างพวกนิยมกษัตริย์กับพวกนิยมสาธารณรัฐ มันต้องมีการปลุกเร้าผู้คนแห่งฟรานเคียด้วยเช่นกัน”

 

“ปลุกเร้าผู้คนแห่งฟรานเคีย?”

“พวกเขาไม่เพียงแต่โดนทำร้ายจากกาฬโรคและความยากแค้น หากแต่ลอร์ดทั้งหลายยังลืมหน้าที่ของตนเองอีกด้วย

……พอเป็นอย่างนั้นสามัญชนผู้โง่เง่าก็ไม่มีทางระงับความโกรธได้อยู่”

 

 

เลราเจขยี้ถูปอยผมหน้าของตนเอง ดูเหมือนนั่นจะเป็นนิสัยที่เขาชอบทำเวลาใช้ความคิด

โอเค ผมพยายามจำท่าทางแบบนั้นไว้

 

“เจ้าหมายถึงอะไรที่บอกว่า ลอร์ดทั้งหลายลืมหน้าที่ของตนเอง?”

 

“มันง่ายมากเลย ข้าจะนำกองทหารรับจ้างที่ไว้ใจได้มา ได้โปรดนำกองทหารของท่านไปบุกโจมตีพื้นที่นั้น พวกเราจะร่วมกันจู่โจมจากภายใน”

 

“หืม นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าจะพิชิตดินแดนแห่งนั้น มันออกจะไร้ประโยชน์ไปหน่อยมิใช่รึ จอมมารนั้นเป็นศัตรูกับมนุษยชาติ การทำแบบนั้นรังแต่จะสร้างเหตุให้พวกเขาเลิกตีกัน”

 

ผมส่ายหัว

 

“ไม่ใช่เลย กลับกันด้วยซ้ำ ต้องขอภัย แต่ฝ่าบาทจะต้องยอมถอยทัพกลับไป”

 

“อะไรนะ?”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ถอยทัพกลับเฉพาะตอนที่เจอทหารรับจ้างของพวกเรา ไม่ใช่ตอนที่เจอกับกองทัพของลอร์ด”

 

ผมยังพูดต่อ

“กองทัพของลอร์ดทั้งหลายจะไม่สามารถรับมือกับกองทัพจอมมารได้ ที่ถูกปราบโดยทหารรับจ้างได้

พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองจากทหารรับจ้างของพวกเราจะแทบไม่มีการสูญเสียใดๆ

ในขณะที่พื้นที่ที่ได้รับการปกป้องจากลอร์ดพวกนั้นกลับสูญเสียมากมายมหาศาล สิ่งนี้แหละที่จะลดความไว้เนื้อเชื่อใจในลอร์ดผู้ถือครองดินแดนเป็นอย่างมาก”

 

“…….”

 

“แล้วหากอยู่ๆกองทหารรับจ้างของพวกเราถอนตัวจากสถานการณ์แบบนั้นล่ะ ……ฝ่าบาทพอนึกออกไหมว่า พวกสามัญชนจะมีปฏิกริยาเช่นไร

ความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาที่มีต่อลอร์ดนั้นจะพุ่งขึ้นสูงสุด”

 

เลราเจกลับนิ่งเป็นใบ้

ในที่สุดเขาก็เปิดปากออกมาหลังจากถูปอยผมหน้าอยู่สักพัก

 

“อ้า ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอาจเป็นไอ้หน้าใหม่ แต่ความสามารถของเจ้านั้นเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”

 

“……ท่านชมข้าเกินไปแล้ว”

 

ผมอาจถูกมองด้วยสายตาที่ไม่เชื่อใจสงสัย ผมจึงแกล้งทำเหมือนว่าไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเจ้าหน้าใหม่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก

ผมไม่สนด้วยซ้ำว่า เขาจะคิดว่าผมเป็นหน้าใหม่จริงหรือเปล่า?

 

 

 

และไม่สำคัญเลยหากเขาจะคิดว่า ผมนั้นเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง ผมอดทนได้ การโยนขยะใส่กองขยะเพิ่มอีกสักชิ้นมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปได้ล่ะ? 

ขอให้แกเพลิดเพลินกับมื้ออาหารที่ข้าเตรียมไว้ให้นัะ เลราเจ

 

 

เขาได้พึงพอใจกับความรู้สึกเหนือกว่าขณะที่ผมก็ทำเป้าหมายของตัวเองสำเร็จ ไม่มีใครสูญเสียทั้งนั้น นี่มันสถานการณ์ วิน-วิน 

 

ตราบใดที่ผมไม่ใส่ใจเรื่อง เกียรติยศศักดิ์ศรีตัวเอง ทุกคงต่างก็แฮปปี้? นี่ไม่ใช่การเจรจาทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมไปเลยอย่างนั้นหรือไง?

 

 

ถึงอย่างนั้น

ใจผมกลับเย็นเยือก

 

บางส่วนภายในกลับอ่อนล้าเมื่อใดก็ตามที่ผมหลอกลวงและดูถูกใครสักคนมากจนเกินกำลังตัวเอง 

นั่นเป็นอีกด้านหนึ่งของผม

 

นี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องการคนแบบลอร่าและลาพิส ผมต้องการใครสักคนที่ไม่เสแสร้งแกล้งทำอยู่ข้างกายผม

และพวกเขาก็จะเข้ามาทักทาย และพูดว่า ผมทำได้ดีมาก ตอนผมกลับถึงบ้าน

 

 

 

……. แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม  

 

ผมยังคงแกล้งปั้นสีหน้าเหมือนเป็นเจ้าหน้าใหม่ต่อไป

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 185 ความเกลียดชังมนุษย์ (7)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 185 ความเกลียดชังมนุษย์ (7) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“ข้าไม่แน่ใจว่า ท่านพูดเรื่องอะไร มงซิเออร์เบอร์นาร์ด”

 

“เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าอย่างนั้นรึ? ห้ะ ดูเจ้าจะจองหองเย่อหยิ่งเสียเหลือเกินนะหลังจากได้รับความชื่นชอบจากบาร์บาทอสน่ะ”

 

พอผมแกล้งเรียกชื่อ ปลอมของเขา เลราเจก็ขมวดคิ้วมุ่ย

 

ไม่น่าแปลกใจนักที่เขาจะโกรธขึ้นมาเพราะผมเลือกที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแทนที่จะขอโทษที่ทำตัวไม่ให้เกียรติ

 

 

“ข้าได้กลิ่นเครื่องในหมูเหม็นๆโฉ่วออกมา นั่นเป็นความภาคภูมิใจของเจ้าไม่ใช่รึไง? เจ้าทำผิดพลาดอย่างโง่ๆที่หลงคิดว่า ฟรานเคียนั้นเหมือนกับฮับบวร์ก จอมมารเด็กเอ๋ย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของจอมมารและภูเขาดำนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่!”

 

“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพยายามจะบอกอะไร”

 

เลราเจดูจะเดือดดาลเป็นอย่างมาก นั่นทำเอาขอบตาผมกระตุกเล็กน้อย 

 

นี่ถ้าผมไม่เคยได้เจอจอมมารระดับสูงมาก่อนมีหวังผมคงเยี่ยวราดแล้วหันมาพูดประจบเอาใจแน่ๆ

 

“อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ ข้านั้นยังเด็กและมีเรื่องที่ไม่รู้อยู่มาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าตระหนักถึง”

 

ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรู้วิธีขยับลิ้นให้มันพูดไปเรื่อยแม้ร่างกายจะยังกลัวอยู่ ผมเป็นดั่งเหมือนหัวคะแนนที่ใช้ชีวิตเทียวไปทั่วแดนจนกระทั่งมาเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิในช่วงสงคราม

 

“ไม่ว่าจะเป็นที่ฮับบวร์หรือฟรานเคีย จอมมารยังคงเป็นจอมมาร และมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์”

 

“แกว่าอะไรนะ?”

 

“จอมมารนั้นต่างเป็นศัตรูกับเหล่ามนุษย์ และมนุษย์ก็เป็นศัตรูกับเหล่าจอมมาร ……มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?”

 

สีหน้าของเลราเจบูดบึ้งยิ่งขึ้น

ผมยิ้มออกมาแบบเด็กหนุ่มผู้สุภาพ

 

“ข้าต้องขอสารภาพว่า ข้าได้รอมานานแสนนานแล้วที่จะได้พบเจอกับฝ่าบาท จอมมารอื่นในฝ่ายที่ราบนั้นดูจะไม่สนใจใยดีฝ่าบาทด้วยเหตุบางประการ แต่ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

พื้นฐานกลยุทธทั้งหลายทางการทหารมีการจู่โจมศัตรูจากด้านหลังเป็นเบื้องต้น มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆไปสักหน่อย แต่มันเป็นพื้นฐานที่ไม่อาจมองข้ามได้”

 

“…….”

 

“ไม่มีใครอยากทำเรื่องแบบนั้น แต่ก็ต้องมีใครสักคนเป็นผู้ทำ แม้มันไม่น่าดึงดูดหรือได้รับความสนใจ แต่มันก็ยังมีความดีความชอบอยู่เช่นเดียวกัน

นั่นคือ ภารกิจที่ฝ่าบาทได้รับผิดชอบ ข้าเชื่อเช่นนั้น โดยมิต้องสงสัยเลย ฝ่าบาทนั้นเป็นผู้จงรักภักดี และได้อุทิศตัวอย่างแท้จริงให้กับทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา…….”

 

สีหน้าของเลราเจกลับดูสดใสขึ้นมาขณะที่ผมพูดเช่นนั้น ผมบอกได้เลยว่า เพลิงโทสะของเขาลดลง

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะแสดงความผิดหวังต่อการแสดงของฝ่าบาทในวันนี้ แต่ทำไมท่านถึงต้องไปชื่นชอบชื่นชมอะไรที่เป็นวัฒนธรรมของพวกมนุษย์เช่นนั้นด้วยเล่า? พวกมนุษย์น่ะเป็นศัตรูของพวกเรา”

 

“หึ”

ลาราเจพ่นลมออกจมูกอย่างไม่พอใจ เขาแสดงท่าทีเมินเฉยต่อผม นั่นแหละคือความประทับใจที่ได้ผมจากเขา 

 

“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า บุคคลแบบใดกันนะ ที่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงนี้

……แต่ดูเหมือนสุดท้ายเจ้าก็เป็นแค่ ‘จอมมาร’ ธรรมดาๆ”

 

 

เลราเจนั้นหยิบแก้วไวน์ออกมาจากหีบในตู้ไม้ เขาดึงจุกคอร์กออกด้วยมือเปล่าก่อนจะดื่มจากปากขวด

 

“จอมมารธรรมดา?”

ผมถามกลับไปด้วยความหน้าด้าน

 

“สิ่งที่ฝ่าบาทผู้ชวนให้สับสนจากที่พูดไปก่อนหน้า”

 

“ข้ากำลังบอกว่า เจ้าน่ะไม่น่าสนใจเลย จอมมารหนุ่มน้อย

ความรุนแรงนั้นเป็นดั่งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องไล่เฉดสีทั้งยังขับไล่เงาของโลกใบนี้ 

ยิ่งไปกว่านั้นการทำให้ทุกอย่างมันเข้มงวดนั้นช่างน่าเบื่อ ยิ่งเป็นภายใต้ข้ออ้างที่ว่า เพื่อการกวาดชำระล้างพวกเขาทิ้งแล้วด้วย

นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมข้าถึงไม่ชอบเหล่าสหายแห่งฝ่ายที่ราบสักเท่าไหร่นัก”

 

เขาหายโกรธแล้ว ตอนนี้เลราเจกลับดูถูกผมแทน

ผิดกับรูปลักษณ์ที่ยังดูหนุ่ม เขาพูดเหมือนคนแก่

 

มันดูเป็นเสน่ห์แปลกๆที่ได้ยินหนุ่มหล่อคนหนึ่งพูดแบบนั้น ชายหนุ่มที่พูดแบบคนแก่ จอมมารตรงหน้าผมให้ทั้งบรรยากาศของชายหนุ่ม คนหลักแหลม และชายชรา

 

 

“ข้าถามเจ้าสักคำถามสิ”

 

เลราเจพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน

 

“ไม่เพียงแต่เจ้าน่ะไม่ปล้นฆ่าผู้คนในดินแดนบรันเดนเบิร์ก หากแต่เจ้ายังสัญญากับพวกเขาว่าจะมอบความปลอดภัยและเสรีภาพให้ 

นั่นเป็นการตัดสินใจที่น่าขำและไร้สาระที่สุดสำหรับบุคคลที่เชื่อว่า พวกมนุษย์เป็นศัตรูของพวกเราเลยล่ะ เจ้าทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ?”

 

“เพราะข้าให้ความสำคัญกับความทะเยอทะยานในระยะยาว เพื่อการณ์ใหญ่ในภายภาคหน้ายิ่งกว่าความรู้สึกส่วนตัวของข้า”

 

ผมตอบตรงไปตรงมาตามความจริง

 

“การเข่นฆ่ามนุษย์ทั้งหลายในบรันเดนเบิร์กอาจสร้างความพึงพอใจได้ในทันทีแต่มันจะผลักความสำเร็จในการพิชิตทวีปของพวกเราให้ห่างไกลออกไป

หากต้องเป็นไปเพื่อความทะเยอทะยานของพวกเรา ข้ายินดีที่จะอดทนกลิ่นเหม็นสาบของพวกมนุษย์”

 

“หุหุ ความทะเยอทะยานของพวกเรา,อย่างนั้นรึ……?”

 

เลราเจกระดกไวน์

 

“นานสักพักแล้วนี่นะ ที่ข้าได้เจอกับเจ้าโง่ที่อุทิศตัวให้กับฝ่ายที่ราบ มันก็เข้าท่าดีที่บาร์บาทอสผู้นั้นจะตั้งใจปั้นแกขึ้นมา แม่นั่นจะไม่แฮปปี้ดี๊ด๊าได้ยังไงล่ะ ในเมื่อ ได้พบกับสุนัขที่พร้อมจะเห่าอย่างซื่อสัตย์เพื่อเธอ?”

 

ผมหุบยิ้มและทำเสียงต่ำเพื่อสร้างความจริงจังในเนื้อเสียง

 

“……ฝ่าบาท ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ท่านกำลังว่าร้ายกับผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเรา?”

 

“คุฮ่าฮ่าฮ่า!”

เลราเจระเบิดเสียงดังออกมา

 

 

“โอ้ย เขาช่างจงรักภักดีต่อนายตนเสียเหลือเกิน! ช่างเป็นภาพที่น่าดูเสียจริงๆ เจ้าคงจะเห่าแบบนั้นต่อหน้าบาร์บาทอสมากมายเลยสินะ 

คึคึ ข้าเดาได้เลยล่ะ ว่าศูนย์กลางทวีปจะเป็นอย่างไรถ้าหากจักรวรรดิอย่างฮับบวร์กยังถูกแบ่งแยกได้โดยคนอย่างเจ้าน่ะ”

 

“…….”

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไม บาร์บาทอสถึงส่งคนแบบเจ้ามาหาข้า

จิตใจของเจ้านั้นก็ยังเด็กน้อยอยู่นั่นแหละ ดังนั้นก็คงจะข้องใจน่าดูเลยสิ ที่ต้องอยู่ใต้เงาของบาร์บาทอส”

 

ตอนนี้เลราเจกลับมองดูผมด้วยความรู้สึกเห็นใจผสมกับดูถูก

ความเห็นใจและความดูถูก นั่นหมายถึงว่า เขากำลังประเมินผมไว้ต่ำ

ผมแอบยิ้มกว้างอยู่ในใจ

‘มันได้ผลแฮะ’

 

 

มันเป็นอะไรที่ผมเพิ่งมาตระหนักรู้หลังจากที่จัดการกับจอมมารที่แสนเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายมาเมื่อปีที่ผ่านมา

การชักชวนอีกฝ่าย และทำให้พวกเขาเข้าใจตรงๆมันไม่ใช่วิธีที่ทำให้ทุกอย่างลุลวงไปได้

 

 

ลูกเล่นและกลยุทธที่ใช้ในศิลปะแห่งการสนทนา

แม้จะพ่ายศึก แต่ก็นับว่าชนะสงคราม คุณไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายเห็นใจหรือคล้อยตาม และไม่จำเป็นต้องทำให้เขารู้สึกดีๆกับคุณด้วยเช่นกัน

 

ผมแกล้งทำตัวเป็นไอ้โง่และทำให้เลราเจประทับใจว่า เป็นตัวตนที่คิดตื้นๆและโง่ขลาดยิ่ง มันง่ายที่จะทำให้เขารับรู้ว่า ผมเป็น ‘ผู้มีบุคลิกจำพวกนั้น’

 

พอผมทำแบบนั้นแล้ว ต่อไปก็

 

“เจ้าน่ะ เจ้าชื่อ ดันทาเลี่ยน ใช่ไหม? เจ้าเคยอยู่ในเมืองมนุษย์อย่างน้อยสักครึ่งเดือนหรือเปล่า?”

 

“……ไม่ ข้าไม่เคยอยู่ถึง”

 

“คุ นี่เจ้าพูดถึงการฆ่าล้างมนุษยชาติ โดยไม่เคยไปใกล้ชิดพวกเขาถึงครึ่งเดือนเลยอย่างนั้นรึ? ข้าไม่เคยเจอใครที่เหมือนตัวตลกเช่นเจ้ามาก่อนเลย

นั่นมันมิใช่การพยายามพิชิตภูเขาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างนั้นหรือไงกัน?”

 

―อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเองว่า ตัวเขานั้นเหนือกว่า

 

ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบอะไรเรื่องของผมอีกแล้ว การหยั่งเชิงระหว่างกันจบลงแล้ว

 

สิ่งนั้นทำให้เขาคิดว่า ผมไม่ได้แข็งแกร่งพอที่ควรจะกังวลแถมถ้าไม่ใส่ใจผมก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ด้วยซ้ำ

 

เขาเผลอประมาท ลดการ์ดลด ต่อหน้าผมโดยสมบูรณ์เลยล่ะ 

แน่นอนว่า ผมไม่ปล่อยให้มันจบลงแค่ตรงนั้นแน่

 

“……ฝ่าบาท เรื่องพรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้วในสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเรา”

 

“สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเรา? นี่เจ้าพูดว่า สถานการณ์ปัจจุบันอย่างนั้นหรือ? คุฮ่าฮ่า ทำไมเจ้าดูเหมือนข้าตอนยังละอ่อนได้ขนาดนั้นกัน?”

 

เลราเจหัวเราะขณะที่ทำไวน์บางส่วนหก

 

“ราวกับลูกศรที่ข้าเคยยิงไปโดยไม่คิดในอดีต แล้วตอนนี้มันกลับพุ่งทะลวงเข้าสู่หัวใจของข้า ช่างน่าสนใจยิ่งนัก

ช่างเป็นภาพที่น่าชมเหลือเกินที่ได้เห็นบุคคลที่ไม่รู้จักตัวเองมาพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ได้ บอกข้าเรื่องนั้นสิ”

 

 

“เป็นอย่างที่ท่านทราบ กองทัพจอมมารของพวกกำลังจะแตกแยกกันอีกครั้งแล้ว”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่โกรธหลังจากเลราเจดูถูกผมแต่ก็แกล้งทำเป็นกดข่มไว้ 

ดูเหมือนเลราเจจะสังเกตเห็น จึงได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม

 

 

ผมดูเหมือนเด็กน้อยที่พยายามเต็มที่เพื่อทำให้ดีที่สุด แต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาชื่นใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

เขาต้องทำงานอย่างหนักและโดดเดี่ยวในชายแดน แล้วอยู่ๆเจ้าจอมมารหน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ก็ได้ตำแหน่งสูงพรวดพราดในกองทัพหลัก

 

เขาจึงสงสัยว่า เจ้าหน้าใหม่คนนั้นเป็นคนประเภทไหน แต่กลับกลายเป็นว่า หมอนั่นเป็นพวกเด็กกากไร้วุฒิภาวะที่เชื่อว่า มนุษย์ทั้งหลายคือความชั่วร้ายและปีศาจทั้งหลายคือ ความดีงาม

 

เด็กกากยิ่งกว่าเด็กกากเสียอีก 

 

…….สิ่งนี้ประสานเข้ากับอารมณ์ด้านลบของเลราเจที่เก็บสะสมมานานที่มีต่อกองทัพหลัก ดังนั้นการที่เขาหัวเราะใส่ผมมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนหัวเราะใส่กองทัพหลักนั่นแหละ

 

ในตำแหน่งทางการทหารฐานะของกองทัพ เขาอาจจะดูต่ำต้อย แต่หากเป็นในฐานะจอมมาร เขาถือว่า เป็นผู้ที่อยู่ระดับสูงในหมู่จอมมาร

 

พวกกองทัพหลักไม่ใช่อะไรที่น่าประทับใจนัก ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราครั้งที่ 8 นั้น โดยมากก็แค่โชคดี……. เขาอาจจะปลอบใจตัวเองอย่างนั้นอยู่ลึกๆก็ได้

 

ผมพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ฝ่าบาทบาร์บาทอสและฝ่ายที่ราบของพวกเรานั้นต้องเสียเลือดเสียเนื้อในการพิชิตฮับบวร์ก แต่จอมมารตนอื่นกลับเรียกร้องให้แบ่งดินแดนอย่างไม่รู้จักเห็นใจ

การประนีประนอมไม่มีทางเกิดขึ้น หากรู้ว่า ฝ่าบาทบาร์บาทอสน่ะโกรธแค่ไหน 

ดังนั้นการระดมพลกองทัพพันธมิตรน่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องของมนุษย์สู้กับปีศาจอีกต่อไปแล้ว”

 

เลราเจมองผมขณะที่ยังคงดื่มไวน์

 

“ปัญหาคือ พวกมนุษย์ เราต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้นังชั่วไพมอนไปร่วมมือกับมนุษย์ พวกมนุษย์ที่ร่วมมือกับไพมอนเพื่อจัดฉากลากให้ฝ่ายที่ราบเข้าสู่กับดักแล้วหวังจะกวาดล้างพวกเราทิ้งในคราวเดียว…….”

 

ผมขบฟัน ทำให้เหมือนกับผมโกรธที่ต้องพูดถึงชื่อไพมอน ผมที่ช่างแสดงได้ยอดเยี่ยมเสียจริงๆ

 

 

“แล้วนั่นหมายความอย่างยังไง? นั่นก็หมายความว่า ต่อจากนี้มนุษย์และจอมมารก็สามารถร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวได้ โดยเฉพาะกรณีที่กองทัพจอมมารแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย”

 

“ิอืมมม…….”

 

“ผิดกับกองทัพฝ่ายศัตรู กองทัพพันธมิตรของพวกมนุษย์น่ะยังคงเข้มแข็ง หากจอมมารตนอื่นชักนำพวกมนุษย์เข้ามาทำลายพวกเดียวกันแบบนี้ ผลประโยชน์ก็จะตกแก่พวกมนุษย์

 

ฝ่าบาท  กองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราจะล้มเหลวอีกครั้ง”

 

เลราเจจึงพูดขึ้น

 

“ห้ะ แล้วยังไงล่ะกัน? เจ้ากำลังจะบอกว่า พวกเราต้องทำตามคำสั่งเพื่อป้องกันมิให้กองทัพพันธมิตรล่มสลายลงอย่างนั้นหรือ?”

 

“การรวมกองทัพกองกำลังจอมมารให้เป็นหนึ่งเดียวนั้นเป็นงานที่ใหญ่และไกลจนเกินไป เราไม่มีทางอื่นนอกจากทำให้ศัตรูของเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน  ฝ่าบาท,พวกเราต้องสร้างความแตกแยกให้เกิดกับมนุษย์”

 

 

“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรล่ะ?”

 

ความเบื่อหน่ายในดวงตาของเลราเจกลับจางหายไปอย่างช้าๆ

เขาเริ่มไม่เชื่อแล้วว่า ผมนั้นเป็น ‘หน้าใหม่ที่คิดอะไรตื้นๆ’ เขาอาจจะคิดว่า ผมเป็นพวก ‘คิดอะไรตื้นๆ’ แต่เจ้าเล่ห์ บ้างแล้ว

 

 

“ในแง่ของขนาดประเทศแล้วฟรานเคียนั้นเป็นรองจากฮับบวร์ก ลอร์ดซาตานต้องเฝ้าดูการตั้งเค้าของสงครามกลางเมืองในฟรานเคียอยู่เป็นแน่”

 

“จักรพรรดินีโดวาเจอร์และจักรพรรดิเองไม่คิดจะสู้กันจริงจังนักหรอก”

เลราเจยืนยัน

“แม่ที่ไหนจะพยายามฆ่าลูกชายตัวเองกัน?”

 

“แต่องค์จักรพรรดิมิได้คิดอย่างเดียวกัน……ถูกไหม?”

 

“…….”

เลราเจวางขวดลง

 

ตอนนี้เขาก็คงคิดว่า ผมนั้นเป็น ‘เจ้าหน้าใหม่ที่คิดอะไรตื้นๆ และมีเครือข่ายข้อมูลที่สุดยอด’ ผมพยายามจะชี้นำให้เขาคิดอย่างนั้น

 

“เมื่อสงครามกลางเมืองอุบัติขึ้น ปัญหาก็คือ สงครามกลางเมืองที่ว่านั้นจะขยายไปได้ไกลขนาดไหนกัน 

มันต้องไม่จบง่ายๆแค่การต่อสู้กันระหว่างพวกนิยมกษัตริย์กับพวกนิยมสาธารณรัฐ มันต้องมีการปลุกเร้าผู้คนแห่งฟรานเคียด้วยเช่นกัน”

 

“ปลุกเร้าผู้คนแห่งฟรานเคีย?”

“พวกเขาไม่เพียงแต่โดนทำร้ายจากกาฬโรคและความยากแค้น หากแต่ลอร์ดทั้งหลายยังลืมหน้าที่ของตนเองอีกด้วย

……พอเป็นอย่างนั้นสามัญชนผู้โง่เง่าก็ไม่มีทางระงับความโกรธได้อยู่”

 

 

เลราเจขยี้ถูปอยผมหน้าของตนเอง ดูเหมือนนั่นจะเป็นนิสัยที่เขาชอบทำเวลาใช้ความคิด

โอเค ผมพยายามจำท่าทางแบบนั้นไว้

 

“เจ้าหมายถึงอะไรที่บอกว่า ลอร์ดทั้งหลายลืมหน้าที่ของตนเอง?”

 

“มันง่ายมากเลย ข้าจะนำกองทหารรับจ้างที่ไว้ใจได้มา ได้โปรดนำกองทหารของท่านไปบุกโจมตีพื้นที่นั้น พวกเราจะร่วมกันจู่โจมจากภายใน”

 

“หืม นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าจะพิชิตดินแดนแห่งนั้น มันออกจะไร้ประโยชน์ไปหน่อยมิใช่รึ จอมมารนั้นเป็นศัตรูกับมนุษยชาติ การทำแบบนั้นรังแต่จะสร้างเหตุให้พวกเขาเลิกตีกัน”

 

ผมส่ายหัว

 

“ไม่ใช่เลย กลับกันด้วยซ้ำ ต้องขอภัย แต่ฝ่าบาทจะต้องยอมถอยทัพกลับไป”

 

“อะไรนะ?”

 

“แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ถอยทัพกลับเฉพาะตอนที่เจอทหารรับจ้างของพวกเรา ไม่ใช่ตอนที่เจอกับกองทัพของลอร์ด”

 

ผมยังพูดต่อ

“กองทัพของลอร์ดทั้งหลายจะไม่สามารถรับมือกับกองทัพจอมมารได้ ที่ถูกปราบโดยทหารรับจ้างได้

พื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองจากทหารรับจ้างของพวกเราจะแทบไม่มีการสูญเสียใดๆ

ในขณะที่พื้นที่ที่ได้รับการปกป้องจากลอร์ดพวกนั้นกลับสูญเสียมากมายมหาศาล สิ่งนี้แหละที่จะลดความไว้เนื้อเชื่อใจในลอร์ดผู้ถือครองดินแดนเป็นอย่างมาก”

 

“…….”

 

“แล้วหากอยู่ๆกองทหารรับจ้างของพวกเราถอนตัวจากสถานการณ์แบบนั้นล่ะ ……ฝ่าบาทพอนึกออกไหมว่า พวกสามัญชนจะมีปฏิกริยาเช่นไร

ความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาที่มีต่อลอร์ดนั้นจะพุ่งขึ้นสูงสุด”

 

เลราเจกลับนิ่งเป็นใบ้

ในที่สุดเขาก็เปิดปากออกมาหลังจากถูปอยผมหน้าอยู่สักพัก

 

“อ้า ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอาจเป็นไอ้หน้าใหม่ แต่ความสามารถของเจ้านั้นเป็นของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”

 

“……ท่านชมข้าเกินไปแล้ว”

 

ผมอาจถูกมองด้วยสายตาที่ไม่เชื่อใจสงสัย ผมจึงแกล้งทำเหมือนว่าไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าเจ้าหน้าใหม่ ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก

ผมไม่สนด้วยซ้ำว่า เขาจะคิดว่าผมเป็นหน้าใหม่จริงหรือเปล่า?

 

 

 

และไม่สำคัญเลยหากเขาจะคิดว่า ผมนั้นเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง ผมอดทนได้ การโยนขยะใส่กองขยะเพิ่มอีกสักชิ้นมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปได้ล่ะ? 

ขอให้แกเพลิดเพลินกับมื้ออาหารที่ข้าเตรียมไว้ให้นัะ เลราเจ

 

 

เขาได้พึงพอใจกับความรู้สึกเหนือกว่าขณะที่ผมก็ทำเป้าหมายของตัวเองสำเร็จ ไม่มีใครสูญเสียทั้งนั้น นี่มันสถานการณ์ วิน-วิน 

 

ตราบใดที่ผมไม่ใส่ใจเรื่อง เกียรติยศศักดิ์ศรีตัวเอง ทุกคงต่างก็แฮปปี้? นี่ไม่ใช่การเจรจาทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมไปเลยอย่างนั้นหรือไง?

 

 

ถึงอย่างนั้น

ใจผมกลับเย็นเยือก

 

บางส่วนภายในกลับอ่อนล้าเมื่อใดก็ตามที่ผมหลอกลวงและดูถูกใครสักคนมากจนเกินกำลังตัวเอง 

นั่นเป็นอีกด้านหนึ่งของผม

 

นี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงต้องการคนแบบลอร่าและลาพิส ผมต้องการใครสักคนที่ไม่เสแสร้งแกล้งทำอยู่ข้างกายผม

และพวกเขาก็จะเข้ามาทักทาย และพูดว่า ผมทำได้ดีมาก ตอนผมกลับถึงบ้าน

 

 

 

……. แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม  

 

ผมยังคงแกล้งปั้นสีหน้าเหมือนเป็นเจ้าหน้าใหม่ต่อไป

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+