Dungeon Defense (WN) 202 สงครามลิลี่ (5)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 202 สงครามลิลี่ (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

* * *

 

พวกเราออกเดินทัพ

 

 

– Raaa listi, trii freude…….

 

– Greecia sisbi mer bremedea

 

เสียงขับร้องของพระนักบวชดังก้องอยู่ในหัวของเหล่าทหารหาญ

 

นักบุญจำนวนหนึ่งเข้าร่วมกับกองทัพของพวกเรา ถึงจะไม่มีใครไปแตะถึงระดับนักบุญ แต่นักบวชทั้งชายและหญิงจำนวนมากต่างร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์อย่างพร้อมเพรียงกัน

 

ท่วงทำนองนั้นถูกขยายด้วยเวทย์มนตร์ดั่งไปทั่วทั้งผืนฟ้าและฉาดฉายราวกับแสงจากดวงอาทิตย์

กองทหาร 60,000 นายเดินทัพอย่างพร้อมเพรียง เจเรมิที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น

 

 

“ท่านดัน……ไม่สิ ท่านนักบวชท่านไม่ขับร้องดนตรีสักหน่อยหรือ?”

 

“เราต้องขอโทษด้วย แต่ตัวเรานั้นเป็นพวกร้องเพลงเพี้ยน”

 

ผมเม้มริมฝีปาก

 

อันที่จริงแล้ว ด้วยเรื่องนั้นนี่แหละที่ทำให้นักบวชกลายเป็นแกนหลักในกองทัพ

 

บทสวดศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเพิ่มทวีกำลังใจของทหารได้เป็นอย่างมาก มันช่วยให้พวกเขาอยู่ใต้การควบคุม และยังลดการเกิดปล้นฆ่ากันเองและการทำตามอำเภอใจที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในกองทหาร

 

เอาล่ะ บทเพลงสรรเสริญเทพเจ้านั้นมักใช้ขณะที่กองทัพกำลังเดินทัพใต้แสงอาทิตย์ มันให้ความรู้สึกเหมือนพวกเราได้รับกวนอวยพรจากเหล่าทวยเทพ ช่วยลดโอกาสการเกิดPTSD*ได้ด้วยเช่นกัน

 

“โอ้? สงสัยลูกไม้จะหล่นไกลต้นนะเนี่ย”

 

“หืม?”

 

“ฉันหมายถึง เดซี่น่ะ เธอน่ะร้องเพลงเพราะมากเลยนะ ตอนเธอร้องเพลงมันไพเราะเหมือนเป็นเสียงภูตขับกล่อมท่วงทำนองเลยล่ะ”

หา? ฮีโร่ในเกมนี่ก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกันเหรอ?

 

“……ตอนเราอยู่ก็ไม่เห็นเธอจะร้องอะไรให้ฟังเลย”

 

“แหงอยู่แล้วล่ะ ใครจะกล้าร้องเพลงแบบนั้นต่อหน้านักบวชกันล่ะ?”

 

“ใช้ลิ้นคมคายนั่นกับเรื่องที่คู่ควรดีกว่ามั้ง?”

 

“เคะเคะเคะ”

 

เจเรมิหัวเราะขึ้น ผมได้แต่ขู่ใส่

ผมเป็นหนึ่งในคนที่เพลิดเพลินกับการใช้ลิ้นทำให้ในขณะที่นักร้องโอเปร่าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทวีปกำลังทำการแสดง

เอาจริงๆนะ ดูเหมือนผมจะไม่มีเทสเรื่องไฟน์อาร์ทแบบนั้นเลยสักนิด

 

เจเรมิชี้ไปที่ด้านหลังของเธอ

 

“แล้วท่านจะเอาของพวกนั้นไปใช้ทำอะไรกันน่ะ?”

 

“อ๋อ รั้วไม้พวกนั้นรึ?”

 

กองทหารของเรานั้นก็ลากเกวียนมานับร้อยคัน กองรั้วไม้ทับถมเต็มคันเกวียนนั้นลากเลื่อนไปโดยลา

ผมสั่งให้พวกชาวนาทำมันขึ้นเอง เจ้าพวกนี้แหละเป็นอาวุธลับ

 

“ที่เราบอกได้ก็คือ มีเพียงสองแผนเท่านั้นที่เฮนริเอตต้าจะทำได้

หึ ไม่อยากจะบอกว่าเป็นแผนการหรือกลยุทธอะไรหรอก แต่มันก็คือ การรบเต็มรูปแบบอย่างที่เธอต้องการนั่นแหละ

และหากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราที่มีจำนวนมากกว่าเธอหลายเท่า

……แต่แผนที่สองก็คือ จักรพรรดิจะปรากฏตัวขึ้น”

 

“จักรพรรดิแห่งฟรานเคียน่ะหรือ?”

ผมพยักหน้า

 

“พวกเราประกาศไปว่า พวกนั้นน่ะเป็น ‘ผู้ไม่จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ’ และไม่ได้ทำเพื่อจักรพรรดิแต่อย่างใด เราทำให้พระองค์กลายเป็นเหยื่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวในเหตุการณ์ครั้งนี้

แล้วเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ หากจักรพรรดิกลับไปปรากฏอยู่ที่ฝ่ายศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้?”

 

“อาฮะ มันก็ต้องส่งผลต่อกำลังใจของทัพฝ่ายเรา”

 

“แน่นอนล่ะ”

 

สิ่งที่ผมกลัวจริงๆคือ การที่จักรพรรดิจะเป็นผู้ลุกขึ้นมาพูดปราศรัยเสียเอง

 

ในโลกนี้ เป็นปรกติที่จะออกมาพูดปราศรัยสุนทรพจน์ก่อนเริ่มการปะทะครั้งใหญ่

 

สุนทรพจน์พวกนั้นสรุปสั้นๆได้ 3 ประโยคว่า

ยอมแพ้-ไม่อย่างนั้น-จงตายซะ 

 

ถึงพวกอัศวินจะทรงพลังเหนือจินตนาการทั้งยังมีการรบแบบทรงเกียรติในสงครามสุดๆ ทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังใจให้กับเหล่าทหาร พร้อมกับลดกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย ออกจะเป็นปัญหามากเลยล่ะ หากจักรพรรดิของฟรานเคียจะมาแสดงตัวอีกในสถานการณ์เช่นนี้…….

 

“แต่การทำแบบนั้นมันส่งผลให้จักรพรรดิน่ะได้รับสิทธิในการบัญชาการทหาร”

 

มันยากที่จะเชื่อว่า เฮนรี่ที่สามนั้นมีความสามารถทางการทหารด้วย เพราะที่ผ่านๆมาก็แสดงให้ถึงแต่ด้านที่ไม่เอาไหน

ดังนั้นการที่ให้จักรพรรดิออกมาตอนนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคม

พวกเขาสามารถลดกำลังใจในการสู้รบของพวกเราได้ตอนกล่าวปราศรัยแต่ถึงอย่างนั้นคำสั่งที่ไม่เข้าท่าในการสู้รบจริงก็จะกลายเป็นปัญหา

“เป้าหมายของเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่นั้นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจักรพรรดิจะออกมาแสดงตัวหรือไม่ก็ตาม

หากเขาออกมาแสดงตัว เฮนริเอตต้าก็จะมุ่งเป้าไปที่การรบในรูปแบบเต็มกำลังพ่วงกับการได้รับชัยชนะทางการเมือง แต่หากจักรพรรดิไม่ออกมา…….”

ผมหยุดพูดไปชั่วครู่

“นั่นก็หมายความว่า เธอตั้งใจที่จะฆ่าล้างพวกเราให้สิ้นโดยไม่หวังผลทางการเมืองหรือการทูตระหว่างประเทศเลย

เราเตรียมรั้วพวกนี้ก็เผื่อกรณีหลังนี่ล่ะ”

 

กองทัพของเรามาถึงที่ราบ นักบุญเดนิส ใกล้กับเมืองปารีส

 

พันธมิตรของบริททานี่-จักรพรรดิ นั้นตั้งค่ายอยู่ที่นี่ จากที่กะประมาณด้วยสายตา ผมบอกได้คร่าวๆว่าไม่เกิน  30,000 นาย 

 

หลังจากส่งสายสืบไปหาข้อมูลมาได้ เราจึงได้รู้ว่า จักรพรรดิยังไม่ได้เสด็จมา

ัไม่มีธงที่แสดงถึง ตัวตนของจักรพรรดิฟรานเคียด้วยเช่นกัน

มีแต่เพียงธงของเหล่านายพลที่เป็นดั่งตัวแทนของจักรพรรดิสะบัดท่ามกลางกระแสลม

 

 

“เจ้ามุ่งหมายที่จะฆ่าล้างให้สิ้นเลยอย่างนั้นหรือ ,ราชินีเอ๋ย?”

 

ผมมองไปยังค่ายของฝ่ายศัตรูที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทุ่งราบ

มีชนชั้นสูงจำนวนหนึ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่ในค่ายศัตรูด้วย ต้องขอบคุณพวกนั้นแหละที่ทำให้พวกเราสามารถล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของกองกำลังฝ่ายศัตรู พวกเขาน่ะเป็นสปายของพวกเรานี่แหละ

 

 

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

<กองกำลังจักรพรรดิ>

ผู้บัญชาการสูงสุด: ราชินีเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่(Queen Henrietta de Brittany)
รองผู้บัญชาการ: นายพลรักษาการณ์แทน เกสพาร์ด เดอ ทาแวนเนส(Gaspard de Tavannes)

 

■  กองกำลังที่หนึ่ง: กองทัพราชอาณาจักรบริททานี่

ผู้บัญชาการสูงสุด: ราชินีเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่
ทหารเดินเท้า  5,000(ทหารรับจ้าง, ทหารเกณฑ์) ทหารม้า 8,000 (อัศวิน 1,000)

 

■ กองกำลังที่สอง: กองทหารของจักรพรรดิแห่งฟรานเคีย

ผู้บัญชาการสูงสุด : นายพลรักษาการณ์แทน เกสพาร์ด เดอ ทาแวนเนส

ทหารเดินเท้า 2,000 (ทหารเกณฑ์) ทหารม้า 8,500 (อัศวิน 600).

 

□ รวมจำนวนทหารทั้งสิ้น : ทหารเดินเท้า 7,000 ทหารม้า 16,500 (อัศวิน 1,600)

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

 

พวกเรามีประชุมเร่งด่วนทันทีหลังจากได้ข้อมูลมา

 

พวกเราแต่งตั้งให้ดยุค เฮนรี่ เดอ ดุย ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด

 

และแอนนา เดอ บิส สมาชิกของสภาสิบสาม ,ผู้บัญชาการของกองทัพสาธารณรัฐบัทตาเวีย,ผู้นำทหารรับจ้างที่พวกเราจ้างมาจากกองทหารคนแคระ 

และยังมีคนอื่นๆอีกมากมาย ชนชั้นสูงทุกคนและเหล่านายพลต่างมาร่วมประชุมกันที่นี่

 

 

“ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า ราชินีแห่งบริททานี่นั้นตั้งใจจะสู้ศึกนี้ด้วยการรบทหารม้า”

 

รองผู้บัญชาการ แอนนา เดอ บิส กล่าวขึ้น เธอนั้นเป็นฮาร์ฟ เอลฟ์และยังเป็นฮีโร่หญิงที่ไต่เต้าขึ้นสู่ระดับสูงสุดของสาธารณรัฐทั้งที่เป็นพวกเลือดผสม แถมเธอเองก็ยังเป็นสมาชิก <พันธมิตรปลดแอก> เหมือนกับผมนี่แหละ

 

 

“ฝ่ายเราด้อยกว่าหากเป็นเรื่องทัพม้า ดังนั้นกองทหารอัศวินของพวกเขาจึงจัดเป็นอันตรายอย่างมาก ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะให้เกิดการสู้รบบนหลังม้า ข้าว่า พวกเราไม่ควรปล่อยให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ”

 

แอนนามีผมสีเขียวที่หาได้ยากในกลุ่มสังคมมนุษย์ เธอนั้นงดงามสมกับเป็นฮาร์ฟเอลฟ์ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายถึงมองที่ต้นคอและเรือนผมของเธอไม่กระพริบตา

 

“ข้าเห็นด้วย ข้าเจอประสบการณ์แย่ๆกับพวกทหารม้าของพวกเขาไม่นานนี่เอง”

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเฮนรี่ เดอ กุย นั้นยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาเป็นดยุคผู้มีอายุราวห้าสิบกว่าและมีหนวดที่สร้างความประทับใจให้กับคนอื่น ตัวเขานั้นเพิ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อพวกกองทหารของบริททานี่ในการรบก่อนหน้า

 

“หากองค์จักรพรรดิออกมาแสดงตัว แน่นอนว่าคงทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย แต่ก็อย่างที่นักบวชจอร์น โบลกล่าว ดูเหมือนราชินีวางแผนจะกวาดล้างพวกเรา”

 

“แน่ล่ะ ข้าไม่แน่ใจว่า ควรจะบอกว่านางน่ะมั่นใจเกินไปหรือสะเพร่าดี”

 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นางเองก็มีความสามารถพอที่จะมั่นใจอย่างนั้น”

ดยุคกุยแสดงความเห็นขณะที่ลูบเครา ความประมาทเป็นสิ่งที่ห้ามมีเป็นอันขาด เขาเขากำลังให้ความรู้สึกกับพวกเราอย่างนั้น

 

อย่างที่ผมบอกไป แม้ทางฝ่ายฟรานเคียนั้นจะพ่ายแพ้ยับเยินแต่เขาเป็นบุคคลเดียวที่สามารถนำคนของตัวเองหนีมาได้อย่างปลอดภัย เขาอาจไม่ใช่อิจฉริยะแต่ก็ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ ดังนั้นสมควรแล้วที่จะให้เขาอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

 

 

“วางตำแหน่งทหารม้าไว้หลังทหารเดินเท้า…….”

 

“สิ่งสำคัญคือ ต้องวางพลหอกแทรกระหว่างไว้เพื่อให้ไม่มีช่องว่าง”

เหล่านายพลยังคงแสดงความสุภาพขณะที่หารือกันตามสะดวก

 

อย่างที่คิดไว้จริงๆ ที่ให้แอนนานั้นกุมสิทธิในการสั่งการทหารบัทตาเวียส่วนดยุคกุยคุมสิทธิในการสั่งการทหารชนชั้นสูง ถึงจะนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ แต่นี่น่าประหลาดใจก็คือ มีความขัดแย้งกันน้อยกว่าที่ผมคิดไว้มาก

 

ดยุคกุยนั้นอาจถูกประเมินว่า เป็นนายพลชั้นสองเมื่อเทียบกับเฮนริเอตต้า แต่เขาก็นับเป็นชนชั้นสูง ชั้นหนึ่งอยู่ดี ในระหว่างการประชุม

หัวหน้าทหารรับจ้างบางคนและชนชั้นสูง มีเรียกร้องออกมาแบบนี้บ้างว่า:

 

“นี่ทุกคนพูดอะไรกันอยู่น่ะ? พวกเรามีคนตั้ง 60,000 คนส่วนศัตรูมี แค่ 20,000 คนเองนะ 

ข้าไม่อยากทนฟังท่านบ่นนู่นบ่นนี่กับผู้หญิงทั้งที่กองทหารของพวกเราใหญ่กว่าพวกมันตั้งสามเท่า!

ผู้บัญชาการ! ส่งหน่วยของข้าออกไป ข้าจะไปจับนังนั่นแล้วเอาหัวมาฝากท่าน”

 

ถึงอย่างนั้นดยุคกุยก็กลับตอบกลับด้วยท่าทีที่ขึงขัง

 

“ท่านช่างเป็นคนกล้าหาญยิ่ง! แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังขอประวิงเวลาการใช้ทหารม้าของฝ่ายเราออกไป

 

การรบด้วยทหารม้าไม่ใช่วิธีเดียวที่จะแสดงความกล้าของท่านออกมาได้ และไม่มีเหตุผลใดที่เราสมควรจะเต้นไปตามเกมของราชินี”

ดยุคกุยนั้นสื่อสารออกมาได้อย่างเหมาะสมทำให้เหล่านายพลใจเย็นลง ซึ่งนั่นพิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ได้เป็นดยุคเพียงเพราะเล่นชนะพนัน

 

“กองทัพของเราจะดำเนินแผนของท่านนักบวชจอร์น โบล”

ดยุคกุยประกาศชัดเจน และผมโค้งให้ด้วยความนับถือ

 

แผนการของผมมันง่ายดายมาก ผมจะไปวางรั้วไม้ และเสาไม้แหลมๆเป็นอุปสรรค โดยใช้พวกลาขนย้ายไป วางแนวหน้าของศัตรู จากนั้นพวกเราก็จะส่งพลหอกไปประจำการแถวๆรั้วพวกนั้น

 

‘ผมขอยืมไอเดียนายพลเซปาร์มาน่ะ’

และก็แอบลอบยิ้มในใจ

 

นายพลเซปาร์ทำได้ยอดเยี่ยมมากตอนที่เผชิญหน้ากับเหล่าอัศวินในการรบที่ออสเตอร์ลิทช์ด้วยการใช้รั้วไม้และหนามไม้ ผมอาจจะไม่สามารถแสดงการบัญชาการทัพได้ยอดเยี่ยมเหมือนอย่างนายพลเซปาร์

 

━ทักษะนั้นน่ะเป็นอะไรที่เหมาะสมคู่ควรกับจอมมารในการบัญชาการมอนสเตอร์━แต่หากเป็นการใช้รั้วไม้มันก็อีกเรื่อง

 

 

การวางรั้วไม้ขวางไว้ตรงหน้าศัตรูจะเป็นการลดกำลังในการพุ่งของทหารม้าโดยอัติโนมัติ ความรุนแรงในการพุ่งชาร์จพวกทหารม้าของราชินีเฮนริเอตต้าย่อมต้องลดลง ในขณะที่คนของพวกเราก็เสือกหอกแทงทหารม้าที่ชะลอฝีเท้าลง

 

โดยปรกติแล้วกองทัพที่เล็กกว่าย่อมต้องเป็นฝ่ายตั้งรับกองทัพที่ใหญ่กว่า

แต่อย่างไรก็ดีคราวนี้มันกลับกัน พวกเราใช้แผนตั้งรับเนื่องจากความได้เปรียบอย่างมากในแง่ของจำนวน

 

“ทหารม้าและเหล่าอัศวินที่ราชินีภูมิใจนักภูมิใจหนานั้นจะถูกหยุดไว้ด้วยโล่ไม้ จนแผ่วกำลัง และพวกเราก็จะใช้โอกาสนั้นในการจู่โจมไปเรื่อยๆจนกว่าพวกเขาจะอ่อนล้า”

 

 

“อืมม”

ดยุคกุยพยักหน้าเห็นด้วยกับคำอธิบายของผม ความจริงผมได้บอกเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เราต้องประกาศให้คนอื่นๆรอบตัวพวกเรารับรู้ด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นแผนที่สร้างขึ้นเพื่อหยุดทหารม้าล้วนๆ…….มันเป็นรูปขบวนที่สร้างขึ้นด้วยเจตนาที่จะจัดการกับราชินีเฮนริเอตต้าเท่านั้น

 

นายพลหลายคนก็บ่นว่า แผนนี้มันขี้ขลาด แต่ผู้บัญชาการสูงสุดดยุค กุยนั้นมีประสบการณ์อันน่าหวาดผวาจากทหารม้าของบริททานี่มาเมื่อเร็วๆนี้ เขาจึงไม่ยอมปล่อยให้คนของตัวเองเข้าไปสู้แล้วตายโง่ๆโดยไม่คิดอีก

 

ผมโล่งใจขึ้นมา ผู้บัญชาการฝ่ายเราไม่ใช่พวกไร้น้ำยา ดังนั้นไม่มีทางที่เราจะแพ้เพราะพวกเขา

ในขณะที่ที่ราบนักบุญเดนิสนั้นเป็นพื้นที่ที่ได้เปรียบสำหรับฝ่ายเรา มีแม่น้ำอยู่ทางฝั่งซ้ายของทุ่งราบและป่าทางด้านฝั่งขวา

 

ดินข้างแม่น้ำนั้นนุ่มและไม่เหมาะต่อการให้ทหารม้าวิ่ง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงแนวชายป่าเลย เห็นได้ชัดว่า ที่ราบเดนิสนั้นเป็นสถานที่ที่แย่สำหรับการใช้การพุ่งชาร์จของทหารม้า ไม่มีความได้เปรียบของบริททานี่อยู่เลย

ดยุคกุยตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

 

“กองทัพเรามิได้มีแต่ความได้เปรียบด้านจำนวนเท่านั้น หากแต่แผนการเองก็นับว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน สมรภูมินี้เป็นสถานที่ที่เราได้เปรียบ ข้าจะขอให้นายพลทุกท่านลงไปสู้แล้วได้รับชัยชนะที่แน่นอนกลับมา!”

 

กองทหารบริททานี่เริ่มเคลื่อนทัพในเช้าวันต่อมา ตะวันทอแสงอยู่เหนือที่ราบนักบุญเดนนิส

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 202 สงครามลิลี่ (5)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 202 สงครามลิลี่ (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

* * *

 

พวกเราออกเดินทัพ

 

 

– Raaa listi, trii freude…….

 

– Greecia sisbi mer bremedea

 

เสียงขับร้องของพระนักบวชดังก้องอยู่ในหัวของเหล่าทหารหาญ

 

นักบุญจำนวนหนึ่งเข้าร่วมกับกองทัพของพวกเรา ถึงจะไม่มีใครไปแตะถึงระดับนักบุญ แต่นักบวชทั้งชายและหญิงจำนวนมากต่างร้องเพลงศักดิ์สิทธิ์อย่างพร้อมเพรียงกัน

 

ท่วงทำนองนั้นถูกขยายด้วยเวทย์มนตร์ดั่งไปทั่วทั้งผืนฟ้าและฉาดฉายราวกับแสงจากดวงอาทิตย์

กองทหาร 60,000 นายเดินทัพอย่างพร้อมเพรียง เจเรมิที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆผมพูดขึ้น

 

 

“ท่านดัน……ไม่สิ ท่านนักบวชท่านไม่ขับร้องดนตรีสักหน่อยหรือ?”

 

“เราต้องขอโทษด้วย แต่ตัวเรานั้นเป็นพวกร้องเพลงเพี้ยน”

 

ผมเม้มริมฝีปาก

 

อันที่จริงแล้ว ด้วยเรื่องนั้นนี่แหละที่ทำให้นักบวชกลายเป็นแกนหลักในกองทัพ

 

บทสวดศักดิ์สิทธิ์นั้นจะเพิ่มทวีกำลังใจของทหารได้เป็นอย่างมาก มันช่วยให้พวกเขาอยู่ใต้การควบคุม และยังลดการเกิดปล้นฆ่ากันเองและการทำตามอำเภอใจที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในกองทหาร

 

เอาล่ะ บทเพลงสรรเสริญเทพเจ้านั้นมักใช้ขณะที่กองทัพกำลังเดินทัพใต้แสงอาทิตย์ มันให้ความรู้สึกเหมือนพวกเราได้รับกวนอวยพรจากเหล่าทวยเทพ ช่วยลดโอกาสการเกิดPTSD*ได้ด้วยเช่นกัน

 

“โอ้? สงสัยลูกไม้จะหล่นไกลต้นนะเนี่ย”

 

“หืม?”

 

“ฉันหมายถึง เดซี่น่ะ เธอน่ะร้องเพลงเพราะมากเลยนะ ตอนเธอร้องเพลงมันไพเราะเหมือนเป็นเสียงภูตขับกล่อมท่วงทำนองเลยล่ะ”

หา? ฮีโร่ในเกมนี่ก็ร้องเพลงเพราะเหมือนกันเหรอ?

 

“……ตอนเราอยู่ก็ไม่เห็นเธอจะร้องอะไรให้ฟังเลย”

 

“แหงอยู่แล้วล่ะ ใครจะกล้าร้องเพลงแบบนั้นต่อหน้านักบวชกันล่ะ?”

 

“ใช้ลิ้นคมคายนั่นกับเรื่องที่คู่ควรดีกว่ามั้ง?”

 

“เคะเคะเคะ”

 

เจเรมิหัวเราะขึ้น ผมได้แต่ขู่ใส่

ผมเป็นหนึ่งในคนที่เพลิดเพลินกับการใช้ลิ้นทำให้ในขณะที่นักร้องโอเปร่าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทวีปกำลังทำการแสดง

เอาจริงๆนะ ดูเหมือนผมจะไม่มีเทสเรื่องไฟน์อาร์ทแบบนั้นเลยสักนิด

 

เจเรมิชี้ไปที่ด้านหลังของเธอ

 

“แล้วท่านจะเอาของพวกนั้นไปใช้ทำอะไรกันน่ะ?”

 

“อ๋อ รั้วไม้พวกนั้นรึ?”

 

กองทหารของเรานั้นก็ลากเกวียนมานับร้อยคัน กองรั้วไม้ทับถมเต็มคันเกวียนนั้นลากเลื่อนไปโดยลา

ผมสั่งให้พวกชาวนาทำมันขึ้นเอง เจ้าพวกนี้แหละเป็นอาวุธลับ

 

“ที่เราบอกได้ก็คือ มีเพียงสองแผนเท่านั้นที่เฮนริเอตต้าจะทำได้

หึ ไม่อยากจะบอกว่าเป็นแผนการหรือกลยุทธอะไรหรอก แต่มันก็คือ การรบเต็มรูปแบบอย่างที่เธอต้องการนั่นแหละ

และหากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราที่มีจำนวนมากกว่าเธอหลายเท่า

……แต่แผนที่สองก็คือ จักรพรรดิจะปรากฏตัวขึ้น”

 

“จักรพรรดิแห่งฟรานเคียน่ะหรือ?”

ผมพยักหน้า

 

“พวกเราประกาศไปว่า พวกนั้นน่ะเป็น ‘ผู้ไม่จงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิ’ และไม่ได้ทำเพื่อจักรพรรดิแต่อย่างใด เราทำให้พระองค์กลายเป็นเหยื่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวในเหตุการณ์ครั้งนี้

แล้วเจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ หากจักรพรรดิกลับไปปรากฏอยู่ที่ฝ่ายศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้?”

 

“อาฮะ มันก็ต้องส่งผลต่อกำลังใจของทัพฝ่ายเรา”

 

“แน่นอนล่ะ”

 

สิ่งที่ผมกลัวจริงๆคือ การที่จักรพรรดิจะเป็นผู้ลุกขึ้นมาพูดปราศรัยเสียเอง

 

ในโลกนี้ เป็นปรกติที่จะออกมาพูดปราศรัยสุนทรพจน์ก่อนเริ่มการปะทะครั้งใหญ่

 

สุนทรพจน์พวกนั้นสรุปสั้นๆได้ 3 ประโยคว่า

ยอมแพ้-ไม่อย่างนั้น-จงตายซะ 

 

ถึงพวกอัศวินจะทรงพลังเหนือจินตนาการทั้งยังมีการรบแบบทรงเกียรติในสงครามสุดๆ ทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังใจให้กับเหล่าทหาร พร้อมกับลดกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย ออกจะเป็นปัญหามากเลยล่ะ หากจักรพรรดิของฟรานเคียจะมาแสดงตัวอีกในสถานการณ์เช่นนี้…….

 

“แต่การทำแบบนั้นมันส่งผลให้จักรพรรดิน่ะได้รับสิทธิในการบัญชาการทหาร”

 

มันยากที่จะเชื่อว่า เฮนรี่ที่สามนั้นมีความสามารถทางการทหารด้วย เพราะที่ผ่านๆมาก็แสดงให้ถึงแต่ด้านที่ไม่เอาไหน

ดังนั้นการที่ให้จักรพรรดิออกมาตอนนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคม

พวกเขาสามารถลดกำลังใจในการสู้รบของพวกเราได้ตอนกล่าวปราศรัยแต่ถึงอย่างนั้นคำสั่งที่ไม่เข้าท่าในการสู้รบจริงก็จะกลายเป็นปัญหา

“เป้าหมายของเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่นั้นชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจักรพรรดิจะออกมาแสดงตัวหรือไม่ก็ตาม

หากเขาออกมาแสดงตัว เฮนริเอตต้าก็จะมุ่งเป้าไปที่การรบในรูปแบบเต็มกำลังพ่วงกับการได้รับชัยชนะทางการเมือง แต่หากจักรพรรดิไม่ออกมา…….”

ผมหยุดพูดไปชั่วครู่

“นั่นก็หมายความว่า เธอตั้งใจที่จะฆ่าล้างพวกเราให้สิ้นโดยไม่หวังผลทางการเมืองหรือการทูตระหว่างประเทศเลย

เราเตรียมรั้วพวกนี้ก็เผื่อกรณีหลังนี่ล่ะ”

 

กองทัพของเรามาถึงที่ราบ นักบุญเดนิส ใกล้กับเมืองปารีส

 

พันธมิตรของบริททานี่-จักรพรรดิ นั้นตั้งค่ายอยู่ที่นี่ จากที่กะประมาณด้วยสายตา ผมบอกได้คร่าวๆว่าไม่เกิน  30,000 นาย 

 

หลังจากส่งสายสืบไปหาข้อมูลมาได้ เราจึงได้รู้ว่า จักรพรรดิยังไม่ได้เสด็จมา

ัไม่มีธงที่แสดงถึง ตัวตนของจักรพรรดิฟรานเคียด้วยเช่นกัน

มีแต่เพียงธงของเหล่านายพลที่เป็นดั่งตัวแทนของจักรพรรดิสะบัดท่ามกลางกระแสลม

 

 

“เจ้ามุ่งหมายที่จะฆ่าล้างให้สิ้นเลยอย่างนั้นหรือ ,ราชินีเอ๋ย?”

 

ผมมองไปยังค่ายของฝ่ายศัตรูที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทุ่งราบ

มีชนชั้นสูงจำนวนหนึ่งที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่ในค่ายศัตรูด้วย ต้องขอบคุณพวกนั้นแหละที่ทำให้พวกเราสามารถล่วงรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของกองกำลังฝ่ายศัตรู พวกเขาน่ะเป็นสปายของพวกเรานี่แหละ

 

 

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

<กองกำลังจักรพรรดิ>

ผู้บัญชาการสูงสุด: ราชินีเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่(Queen Henrietta de Brittany)
รองผู้บัญชาการ: นายพลรักษาการณ์แทน เกสพาร์ด เดอ ทาแวนเนส(Gaspard de Tavannes)

 

■  กองกำลังที่หนึ่ง: กองทัพราชอาณาจักรบริททานี่

ผู้บัญชาการสูงสุด: ราชินีเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่
ทหารเดินเท้า  5,000(ทหารรับจ้าง, ทหารเกณฑ์) ทหารม้า 8,000 (อัศวิน 1,000)

 

■ กองกำลังที่สอง: กองทหารของจักรพรรดิแห่งฟรานเคีย

ผู้บัญชาการสูงสุด : นายพลรักษาการณ์แทน เกสพาร์ด เดอ ทาแวนเนส

ทหารเดินเท้า 2,000 (ทหารเกณฑ์) ทหารม้า 8,500 (อัศวิน 600).

 

□ รวมจำนวนทหารทั้งสิ้น : ทหารเดินเท้า 7,000 ทหารม้า 16,500 (อัศวิน 1,600)

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

 

พวกเรามีประชุมเร่งด่วนทันทีหลังจากได้ข้อมูลมา

 

พวกเราแต่งตั้งให้ดยุค เฮนรี่ เดอ ดุย ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด

 

และแอนนา เดอ บิส สมาชิกของสภาสิบสาม ,ผู้บัญชาการของกองทัพสาธารณรัฐบัทตาเวีย,ผู้นำทหารรับจ้างที่พวกเราจ้างมาจากกองทหารคนแคระ 

และยังมีคนอื่นๆอีกมากมาย ชนชั้นสูงทุกคนและเหล่านายพลต่างมาร่วมประชุมกันที่นี่

 

 

“ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า ราชินีแห่งบริททานี่นั้นตั้งใจจะสู้ศึกนี้ด้วยการรบทหารม้า”

 

รองผู้บัญชาการ แอนนา เดอ บิส กล่าวขึ้น เธอนั้นเป็นฮาร์ฟ เอลฟ์และยังเป็นฮีโร่หญิงที่ไต่เต้าขึ้นสู่ระดับสูงสุดของสาธารณรัฐทั้งที่เป็นพวกเลือดผสม แถมเธอเองก็ยังเป็นสมาชิก <พันธมิตรปลดแอก> เหมือนกับผมนี่แหละ

 

 

“ฝ่ายเราด้อยกว่าหากเป็นเรื่องทัพม้า ดังนั้นกองทหารอัศวินของพวกเขาจึงจัดเป็นอันตรายอย่างมาก ในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะให้เกิดการสู้รบบนหลังม้า ข้าว่า พวกเราไม่ควรปล่อยให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ”

 

แอนนามีผมสีเขียวที่หาได้ยากในกลุ่มสังคมมนุษย์ เธอนั้นงดงามสมกับเป็นฮาร์ฟเอลฟ์ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายถึงมองที่ต้นคอและเรือนผมของเธอไม่กระพริบตา

 

“ข้าเห็นด้วย ข้าเจอประสบการณ์แย่ๆกับพวกทหารม้าของพวกเขาไม่นานนี่เอง”

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเฮนรี่ เดอ กุย นั้นยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาเป็นดยุคผู้มีอายุราวห้าสิบกว่าและมีหนวดที่สร้างความประทับใจให้กับคนอื่น ตัวเขานั้นเพิ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อพวกกองทหารของบริททานี่ในการรบก่อนหน้า

 

“หากองค์จักรพรรดิออกมาแสดงตัว แน่นอนว่าคงทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย แต่ก็อย่างที่นักบวชจอร์น โบลกล่าว ดูเหมือนราชินีวางแผนจะกวาดล้างพวกเรา”

 

“แน่ล่ะ ข้าไม่แน่ใจว่า ควรจะบอกว่านางน่ะมั่นใจเกินไปหรือสะเพร่าดี”

 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นางเองก็มีความสามารถพอที่จะมั่นใจอย่างนั้น”

ดยุคกุยแสดงความเห็นขณะที่ลูบเครา ความประมาทเป็นสิ่งที่ห้ามมีเป็นอันขาด เขาเขากำลังให้ความรู้สึกกับพวกเราอย่างนั้น

 

อย่างที่ผมบอกไป แม้ทางฝ่ายฟรานเคียนั้นจะพ่ายแพ้ยับเยินแต่เขาเป็นบุคคลเดียวที่สามารถนำคนของตัวเองหนีมาได้อย่างปลอดภัย เขาอาจไม่ใช่อิจฉริยะแต่ก็ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ ดังนั้นสมควรแล้วที่จะให้เขาอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

 

 

“วางตำแหน่งทหารม้าไว้หลังทหารเดินเท้า…….”

 

“สิ่งสำคัญคือ ต้องวางพลหอกแทรกระหว่างไว้เพื่อให้ไม่มีช่องว่าง”

เหล่านายพลยังคงแสดงความสุภาพขณะที่หารือกันตามสะดวก

 

อย่างที่คิดไว้จริงๆ ที่ให้แอนนานั้นกุมสิทธิในการสั่งการทหารบัทตาเวียส่วนดยุคกุยคุมสิทธิในการสั่งการทหารชนชั้นสูง ถึงจะนับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ แต่นี่น่าประหลาดใจก็คือ มีความขัดแย้งกันน้อยกว่าที่ผมคิดไว้มาก

 

ดยุคกุยนั้นอาจถูกประเมินว่า เป็นนายพลชั้นสองเมื่อเทียบกับเฮนริเอตต้า แต่เขาก็นับเป็นชนชั้นสูง ชั้นหนึ่งอยู่ดี ในระหว่างการประชุม

หัวหน้าทหารรับจ้างบางคนและชนชั้นสูง มีเรียกร้องออกมาแบบนี้บ้างว่า:

 

“นี่ทุกคนพูดอะไรกันอยู่น่ะ? พวกเรามีคนตั้ง 60,000 คนส่วนศัตรูมี แค่ 20,000 คนเองนะ 

ข้าไม่อยากทนฟังท่านบ่นนู่นบ่นนี่กับผู้หญิงทั้งที่กองทหารของพวกเราใหญ่กว่าพวกมันตั้งสามเท่า!

ผู้บัญชาการ! ส่งหน่วยของข้าออกไป ข้าจะไปจับนังนั่นแล้วเอาหัวมาฝากท่าน”

 

ถึงอย่างนั้นดยุคกุยก็กลับตอบกลับด้วยท่าทีที่ขึงขัง

 

“ท่านช่างเป็นคนกล้าหาญยิ่ง! แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังขอประวิงเวลาการใช้ทหารม้าของฝ่ายเราออกไป

 

การรบด้วยทหารม้าไม่ใช่วิธีเดียวที่จะแสดงความกล้าของท่านออกมาได้ และไม่มีเหตุผลใดที่เราสมควรจะเต้นไปตามเกมของราชินี”

ดยุคกุยนั้นสื่อสารออกมาได้อย่างเหมาะสมทำให้เหล่านายพลใจเย็นลง ซึ่งนั่นพิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ได้เป็นดยุคเพียงเพราะเล่นชนะพนัน

 

“กองทัพของเราจะดำเนินแผนของท่านนักบวชจอร์น โบล”

ดยุคกุยประกาศชัดเจน และผมโค้งให้ด้วยความนับถือ

 

แผนการของผมมันง่ายดายมาก ผมจะไปวางรั้วไม้ และเสาไม้แหลมๆเป็นอุปสรรค โดยใช้พวกลาขนย้ายไป วางแนวหน้าของศัตรู จากนั้นพวกเราก็จะส่งพลหอกไปประจำการแถวๆรั้วพวกนั้น

 

‘ผมขอยืมไอเดียนายพลเซปาร์มาน่ะ’

และก็แอบลอบยิ้มในใจ

 

นายพลเซปาร์ทำได้ยอดเยี่ยมมากตอนที่เผชิญหน้ากับเหล่าอัศวินในการรบที่ออสเตอร์ลิทช์ด้วยการใช้รั้วไม้และหนามไม้ ผมอาจจะไม่สามารถแสดงการบัญชาการทัพได้ยอดเยี่ยมเหมือนอย่างนายพลเซปาร์

 

━ทักษะนั้นน่ะเป็นอะไรที่เหมาะสมคู่ควรกับจอมมารในการบัญชาการมอนสเตอร์━แต่หากเป็นการใช้รั้วไม้มันก็อีกเรื่อง

 

 

การวางรั้วไม้ขวางไว้ตรงหน้าศัตรูจะเป็นการลดกำลังในการพุ่งของทหารม้าโดยอัติโนมัติ ความรุนแรงในการพุ่งชาร์จพวกทหารม้าของราชินีเฮนริเอตต้าย่อมต้องลดลง ในขณะที่คนของพวกเราก็เสือกหอกแทงทหารม้าที่ชะลอฝีเท้าลง

 

โดยปรกติแล้วกองทัพที่เล็กกว่าย่อมต้องเป็นฝ่ายตั้งรับกองทัพที่ใหญ่กว่า

แต่อย่างไรก็ดีคราวนี้มันกลับกัน พวกเราใช้แผนตั้งรับเนื่องจากความได้เปรียบอย่างมากในแง่ของจำนวน

 

“ทหารม้าและเหล่าอัศวินที่ราชินีภูมิใจนักภูมิใจหนานั้นจะถูกหยุดไว้ด้วยโล่ไม้ จนแผ่วกำลัง และพวกเราก็จะใช้โอกาสนั้นในการจู่โจมไปเรื่อยๆจนกว่าพวกเขาจะอ่อนล้า”

 

 

“อืมม”

ดยุคกุยพยักหน้าเห็นด้วยกับคำอธิบายของผม ความจริงผมได้บอกเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เราต้องประกาศให้คนอื่นๆรอบตัวพวกเรารับรู้ด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นแผนที่สร้างขึ้นเพื่อหยุดทหารม้าล้วนๆ…….มันเป็นรูปขบวนที่สร้างขึ้นด้วยเจตนาที่จะจัดการกับราชินีเฮนริเอตต้าเท่านั้น

 

นายพลหลายคนก็บ่นว่า แผนนี้มันขี้ขลาด แต่ผู้บัญชาการสูงสุดดยุค กุยนั้นมีประสบการณ์อันน่าหวาดผวาจากทหารม้าของบริททานี่มาเมื่อเร็วๆนี้ เขาจึงไม่ยอมปล่อยให้คนของตัวเองเข้าไปสู้แล้วตายโง่ๆโดยไม่คิดอีก

 

ผมโล่งใจขึ้นมา ผู้บัญชาการฝ่ายเราไม่ใช่พวกไร้น้ำยา ดังนั้นไม่มีทางที่เราจะแพ้เพราะพวกเขา

ในขณะที่ที่ราบนักบุญเดนิสนั้นเป็นพื้นที่ที่ได้เปรียบสำหรับฝ่ายเรา มีแม่น้ำอยู่ทางฝั่งซ้ายของทุ่งราบและป่าทางด้านฝั่งขวา

 

ดินข้างแม่น้ำนั้นนุ่มและไม่เหมาะต่อการให้ทหารม้าวิ่ง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงแนวชายป่าเลย เห็นได้ชัดว่า ที่ราบเดนิสนั้นเป็นสถานที่ที่แย่สำหรับการใช้การพุ่งชาร์จของทหารม้า ไม่มีความได้เปรียบของบริททานี่อยู่เลย

ดยุคกุยตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

 

“กองทัพเรามิได้มีแต่ความได้เปรียบด้านจำนวนเท่านั้น หากแต่แผนการเองก็นับว่ายอดเยี่ยมเช่นกัน สมรภูมินี้เป็นสถานที่ที่เราได้เปรียบ ข้าจะขอให้นายพลทุกท่านลงไปสู้แล้วได้รับชัยชนะที่แน่นอนกลับมา!”

 

กองทหารบริททานี่เริ่มเคลื่อนทัพในเช้าวันต่อมา ตะวันทอแสงอยู่เหนือที่ราบนักบุญเดนนิส

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+