Dungeon Defense (WN) 205 สงครามลิลี่ (8)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 205 สงครามลิลี่ (8) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

แล้วลางร้ายก็กลายเป็นจริง

กองกำลังฝ่ายศัตรูบุกเข้ามาต่อเนื่องสลับกันโจมตีอย่างไม่พัก โดยไม่รู้จักเหน็ด ไม่รู้จักเหนื่อย

 

พอม้าศึกพุ่งเข้ามาอัศวินก็แทงหอกครั้งหนึ่งแล้วก็ถอย สลับให้แนวแรกเป็นพลธนูขี่ม้า แนวที่สองเป็นทหารม้า

จนถึงตอนนี้วงจรที่ว่า ก็วนมาเป็นรอบที่ 7 แล้ว

 

ไอ้พวกห่าขั้วนั่น ผมสบถออกมาสลับกับถอนใจจนปนเปกันมั่วไปหมด

 

“ม้าศึกของบริททานี่มันไม่ต้องกินหญ้ากันเลยรึยังไงกัน!?”

 

5 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่เปิดศึก

 

นับรวมจนถึงตอนนี้ หน่วยทั้งหลายของบริททานี่ก็เข้ามาจู่โจมถึง 12 ครั้ง ทหารม้าของพวกนั้นไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเกราะตัวเองจะบุบบี้ไปแค่ไหน ตราบเท่าที่ยังพุ่งร่างเข้าชนกับพลหอกฝ่ายเราได้

 

 

“แต่ถึงอย่างนั้่นพวกเขาก็อ่อนแรงลงไปเยอะแล้วค่ะ”

เจเรมิเช็ดเลือดจากมีดของตัวเองขณะพูด

“ไม่สำคัญว่า ม้าของพวกเขาจะน่าประทับใจขนาดไหน ตราบใดที่มันยังมีชีวิตยังต้องหายใจอยู่ ไม่มีทางที่มันจะไม่เหนื่อย”

 

 

“ปัญหาก็คือ ทหารของพวกเราน่ะกำลังจะหมดแรงในไม่ช้านี้แล้วน่ะสิ แม่งเอ๊ย”

 

พลหอกของพวกเราดูเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

ทหารฝ่ายเราก็จะตายไปสามถึงห้านายเพื่อแลกชีวิตกับทหารม้าหนึ่งนาย

 

ความแตกต่างเรื่องจำนวนก็เกือบสี่เท่า ผมพยายามส่งคนส่งข่าวไปยังศูนย์กลางกองทัพและปีกขวา  และก็ได้รู้ว่า สถานการณ์ของพวกเขานั้นไม่ต่างจากเรานัก

 

กองทหารฝ่ายเรานั้นพยายามดันทหารเดินเท้า  5,100 นายให้ไปออกัน จึงประสบความสำเร็จในการคุ้มกันเครื่องกีดขวางไว้

 

ซึ่งเรื่องนี้ถ้ากองทัพฝ่ายเราไม่ได้มีจำนวนมากกว่าอีกฝ่ายถึงสามเท่าแล้วล่ะก็……ผมไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 

‘ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมนายพล เซปาร์ถึงได้บอกว่า พลทหารม้าของพวกมนุษย์นั้นน่ากลัวมาก’

 

 

พวกนั้นน่ะทรงพลังจนเกินไป จากอัศวินที่ใช้ออร่าเคลือบร่างกาย และทหารม้าที่ฝึกออร่าใต้การดูแลของอัศวินพวกนั้น

 

หอกที่ยาวเวอร์นั่นก็ด้วย ยาวตั้ง 5 ถึง 8 เมตร!

ถ้าในทุ่งราบที่โล่งมีแค่พลหอกเผ่าออร์คเท่านั้นที่สู้ด้วยไหว เจ้าพวกนั้นมันแทบไม่ต่างจากฝันร้ายเคลื่อนที่เลยด้วยซ้ำ

ตอนนี้ผมเข้าใจถึงสิ่งที่บาร์บาทอสบอกแล้วว่า ตอนนั้นนายพลเซปาร์ทำตัวโง่มากที่พุ่งเข้าไปหาพวกอัศวิน

 

เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว มันเป็นตัวห่าบ้าอะไรสักอย่างที่ผิดมนุษย์มานา

 

 

“พวกนั้นกำลังจะพุ่งเข้ามาอีกรอบ”

 

“บ้าชิบ ไอ้พวกนั้นมันลูกกะหรี่ยิ่งกว่าลูกกะหรี่คนไหนในโลกจริงๆ”

ม้านับพันตัวกำลังวิ่งด้วยความเร็วข้ามทุ่งราบพุ่งเข้าใส่พวกเรา

 

“ข้ายอมดูดหำเจ้าพาร์ซี่ดีกว่าต้องมารบเต็มรูปแบบกับพวกอัศวินแบบนี้อีก!”

 

“ชิ สงสัยจังว่า พาร์ซินั่นเป็นใครกัน?”

 

เจเรมิถอนใจออกมาก่อนจะกลับไปที่แนวหน้าอีกครั้ง

(TTL : พาร์ซิ : ผมเกี่ยวอะไร๊!?)

 

เจเรมิและกลุ่มมือสังหารของเธอนั้นเตรียมตัวไว้เสมอเผื่อกรณีที่มีอัศวินเล็ดรอดออกมาได้ พวกเราจึงเสียมือสังหารไปแล้ว 5 นาย

 

“แค่ก, แค่ก……ห่าเอ๊ย”

 

ผมอยากจะกระตุ้นกำลังใจทหารอีกรอบ ด้วยเวทย์ขยายเสียงแต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

เสียงของผมแหบแห้งราวกับชายแก่ มันเป็นแบบนี้เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว

 

ทหารทั้งหลายต่างกรีดร้องขณะที่โดนเสียบที่ปลายหอกไม่ต่างจากเนื้อเคบับ ม้าศึกนั้นต่างร้องอย่างน่าสังเวชขณะทื่ล้มลงกองกับพื้น

ไม่ว่าจะฝ่ายเราหรือฝ่ายศัตรูทุกอย่าง ทุกคนมันดูเละเทะไปหมด

 

ผู้คนที่เคยทำแต่ไร่ไถแต่นามาตลอดชีวิตกลับชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำตา พวกเขาร้องตะโกนออกมา ส่วนพวกบริททานี่เองก็ต้องมาสละชีพในดินแดนที่ไกลบ้านเกิด

 

“ท่านนักบวช……ได้โปรดช่วยชีวิตชายคนนี้ด้วย…….”

ทหารคนหนึ่งเข้ามาหาผมพร้อมประคองชายอีกคนที่บาดเจ็บ ผมลอบถอนใจ อีกแล้วสินะ

 

“แขนของหมอนี่ขาดไป ท่านนักบวชได้โปรดเมตตา…….”

 

แทบไม่จำเป็นต้องบอกอะไรก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ชายที่บาดเจ็บนั้นเสียแขนทั้งสองข้าง แขนหายไปตั้งปลายมือจนถึงข้อศอก

รอยตัดเรียบจนน่ากลัว

โชคไม่ดีจริงๆ ดูเหมือนเขาเผชิญหน้ากับอัศวินระดับ 3 ขึ้นไป

ทหารคนนั้นจุมพิตรองเท้าผมหลายต่อหลายรอบขณะที่ก้มโค้งให้ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“หมอนี่เป็นคนสุดท้ายที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันกับผม หากเขาตายไปผมก็ไม่รู้จะกลับไปสู้หน้าคนในหมู่บ้านได้ยังไง……? ได้โปรด ท่านนักบวช โปรดเมตตาด้วย……!”

 

“ดูนี่ สหายข้า”

ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะบอกออกไป ลำคอเหนียวหนืด มันเป็นสิ่งที่ชวนให้รู้สึกแย่ที่สุดแต่ก็ต้องทำ

 

“โชคไม่ดีนัก แม้แต่นักบวชผู้รับใช้องค์เทพีก็ไม่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนกลับมาได้”

 

“อะไรนะครับ?”

 

“ชายคนนั้นตายไปแล้ว”

ทหารคนนั้นมองไปยังใบหน้าของชายผู้บาดเจ็บ บาดเจ็บน่ะรึ ไม่หรอก ทหารที่ตายไปแล้วคนนั้นอ้าปากกว้าง ดวงตาไร้ชีวิต

มันเหมือนกับเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สีหน้าของเขากลับซีดเผือด เขามองหน้าของเพื่อนเขากับใบหน้าของผมสลับไปมา

 

“เอ๋? อะ้? อะไรกัน? แต่ก่อนหน้า ไม่สิ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เขายังพูดอยู่เลย……?”

 

ดวงตาของเขาเหมือนมีถ้อยคำมากมายที่อยากถามผม

 

ทหารคนนี้คงพูดความจริงนั่นแหละ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ก็คงพูดอะไรอะไรสักอย่างกับเพื่อนของเขา

 

 

อดทนไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งหลับไป อดทนอีกนิด ท่านนักบวชจะรักษานายเอง ทนอีกนิดเดียวเอง…….เขาน่าจะพูดอะไรประมาณนั้นตอนที่ผละออกมาจากแนวหน้า ทหารที่ได้รับบาดเจ็บน่ะมักจะตายแบบนี้เสมอๆ

 

เขายังไม่ได้บอกลาเพื่อนหมู่บ้านเดียวกันด้วยซ้ำ เขาตบแก้มเพื่อนที่ตายไปแล้ว และบอกให้เขาลืมตา และลุกขึ้น แต่ก็ไร้การตอบสนองใด

เมื่อเขาเริ่มตระหนักได้แล้วว่า เพื่อนของเขานั้นได้งีบหลับไปตลอดกาล จึงร้องไห้ออกมา

หยดน้ำตานั้นหลั่งรินอยู่บนใบหน้าชายวัยกลางคนที่มีหนวดยุ่ง 

 

“…….”

 

ผมแตะแผ่นหลังของชายคนนั้น ผมอาจเป็นคนเสแสร้งแกล้งทำ แต่บางทีสิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ณ ตอนนี้ ในสงครามน่ะไม่มีอะไรดีทั้งนั้นนั่นแหละ

 

แต่อะไรที่ต้องทำ ก็ต้องทำอยู่ดี ถูกไหม? 

 

ไม่ว่าศัตรูจะเหนื่อยจนล้มพับ หรือฝ่ายเราจะล้มพับลงก่อน

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน…….

 

เหล่าผู้บัญชาการคนอื่นคิดแบบนี้หรือเปล่านะ?

 

“ท่านดยุคต้องการใช้ทหารกองหนุน”

 

คนส่งสารจากผู้บัญชาการสูงสุดมาถึง ดูเหมือนผู้บัญชาการคนอื่นก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า ‘อะไรที่ต้องทำก็พึงทำ’

 

ไม่น่าประหลาดใจนักหรอก ในขณะที่ผมดูแลทหาร 12,000 นาย ดยุคกุย ผู้บัญชาการสูงสุดก็ดูแลทหาร 63,000 ชีวิต

 

10,000 กับ 60,000 เป็นจำนวนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมไม่ได้เล่นลิ้นอะไรหรอกนะ มันต่างกันมากจริงๆ คงเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำกับบริบทของความกดดันทางจิตใจ

 

“ทหารกองหนุนอย่างนั้นหรือ? พวกเรามีทหารกองหนุนอยู่แล้วนี่?”

 

“ท่านดยุควางแผนจะใช้ทหารม้าของพวกเรา”

 

ผมถึงกับ ‘อ้อ’ หลังจากที่คนส่งสารอธิบายเพิ่ม

 

ทำไมผมถึงไม่เอะใจเรื่องนี้มาก่อนนะ!? 

ใช่แล้วล่ะ ฝ่ายเราเองก็มีทหารม้าเหมือนกัน มีอัศวิน 1,000 และทหารม้าอีก 10,000 นาย

ถึงจำนวนจะไม่สู้กองทหารม้าของบริททานี่ แต่ตอนนี้ทางนั้นกำลังเหนื่อยล้ากันแล้ว

ในขณะที่ทหารม้าฝ่ายเรายังแข็งแรงดีอยู่ ซึ่งมันก็แน่ล่ะ ยังไม่ลงสนามเลยด้วยซ้ำ

 

“เข้าใจแล้ว……ข้าก็ดันไม่เอะใจเลยว่า ทำไมกองทหารของข้าถึงได้ไม่มีทหารม้าเลยสักนาย

ท่านดยุค ตั้งใจใช้เป็นไพ่ตายนี่เอง”

 

ผมพยักหน้า

 

“ข้าควรจะไปรายงานผู้บัญชาการปีกซ้ายเรื่องแผนนี้ด้วยไหม?”

 

“อย่างนั้นก็ดี ถึงอย่างไรเสียข้างก็ไม่มีทหารม้าอยู่แล้ว ดังนั้นก็คงให้ผลไม่ต่างกันนักหรอก บอกท่านดยุคด้วยว่า ขอให้ท่านโชคดี”

 

ผมยิ้มขมขื่นหน่อยๆ แล้วคนส่งสารก็กลับค่ายไป

 

ว่ากันตามตรง ก่อนหน้าที่พวกเขาก็ยังไม่ได้ไว้วางใจผมนัก มีเพียงชนชั้นสูงของฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ที่อยู่กลางทัพและสาธารณรัฐบัทตาเวียเท่านั้นที่มีสิทธิในการถือครองทหารม้า

 

แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมาประชุมกันแล้ว จึงได้อนุญาตให้ผมใช้ทหารม้า

ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมาใช้คนส่งสารมาบอกผม นั่นทำให้เห็นได้ชัดเลยล่ะว่า ดยุคกุยนั้นรอบคอบขนาดไหน ทำให้เข้าใจได้เลยว่า ความใจกว้างของดยุคนั้นเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนเข้ามาหา

 

‘นี่ถ้าจักรพรรดิได้สักเสี้ยวหนึ่งของดยุคกุย สงครามกลางเมืองไม่มีทางเกิดขึ้นแน่’

 

นับเป็นโชคร้ายของฟรานเคีย แต่ก็เป็นโชคดีของผม อ้อ นับเป็นโชคร้ายของทหารคนที่เพิ่งตายไปเมื่อกี้ด้วย…….

 

ผมขึ้นขี่ม้าแล้วมองไปแนวป้องกันด้านหลัง ทหารม้า 10,000 นายค่อยๆเคลื่อนพลอย่างช้าๆ 

ผมสั่งให้คนของเรานั้นเปิดทางเพื่อให้พวกทหารม้าสามารถผ่านสิ่งกีดขวางได้โดยง่าย

 

ผมถอนใจออกมา

 

“ใกล้จะจบแล้วสินะ? ช่างเป็นการรบที่เหนื่อยยากเสียเหลือเกิน…….”

 

 

* * *

 

 

“ในที่สุดมันก็เริ่มต้นเสียที”

 

ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มออกมา เธอนั้นอยู่ในชุดเกราะเต็มยศและขี่ม้าศึก

ที่ปรึกษาของบริททานี่ต่างเคียงข้าง ม้าของพวกเขานั้นหันไปทิศทางเดียวกัน

 

รั้วอันแสนชั่วช้าของศัตรู พลหอกที่ค่อยๆร่นบีบระยะชิดกับตัวรั้ว ราชินีสงบใจลงก่อนจะพูดขึ้น

 

“บอกให้พวกพลธนูบนหลังม้าเปลี่ยนเป็นถือหอกทันที”

 

“ครับ ฝ่าบาท”

ที่ปรึกษาข้างๆถ่ายทอดคำสั่งผ่านคนส่งสาร คนส่งสารนั้นแสดงความเคารพก่อนขี่ม้าแล่นออกไปไวราวกับลูกธนู

พวกเขานั้นเตรียมหอกเพื่อการรบวันนี้เกินจำนวน

ไม่เพียงแต่พวกเขาเค้นคอเอาจากคลังอาวุธของฟรานเคียมาจนหมด หากแต่ยังไปขูดรีดเอาจากช่างตีเหล็กทั่วทั้งปารีสหลายวันก่อนอีกด้วย

 

“นักบุญหญิงลองวี่ ที่ข้าเคยบอกไปว่า มีคนใกล้ชิดกับจักรพรรดิเป็นผู้ปล่อยข้อมูลไปนั้นน่ะ”

 

“หือ? อ้อ ใช่ เราจำได้ ฝ่าบาท”

นักบุญหญิงแห่งเทพีเอเธน่า แจ็กเกอลีน ลองวี่ ตอบรับ

 

“นั่นโกหกนะ”

 

“……อะไระนะคะ?”

 

จู่ๆเฮนริเอตต้าก็หัวเราะออกมา

 

 

“หากเจ้าคนที่ขายข้อมูลนั่นตั้งใจจะหยุดพวกเราจริงๆแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่ขอกำลังเสริมจากพวกชาติสาธารณรัฐที่อยู่ในฐานะของ‘กองกำลังต่างชาติ’ หรอก หากจะมีใครชักนำพวกนั้นเข้ามาในชาติตัวเองคงมีความเป็นไปได้สองอย่าง”

 

เธอมุ่งเป้าไปที่ตัวตนหนึ่ง

ตัวตนที่ยืมกองกำลังของพวกสาธารณรัฐเพื่อหวังขึ้นบัลลังค์ หรือพูดง่ายๆก็คือ ดยุคเฮนรี่ เดอ กุย ผู้นำกองกำลังชนชั้นสูงในตอนนี้นี่เอง

 

 

“ดยุคกุยนั้นเป็นผู้เดียวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ในสถานการณ์แบบนี้ ในขณะเดียวกันคู่แข่งทางการเมืองของเขาอย่าง มงมอเรนซี่นั้นได้ตายไปในการรบไปแล้ว จึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่ดยุคกุยจะเป็นผู้วางแผนทั้งหมดนี่”

 

“แล้วอีกความเป็นไปได้หนึ่งล่ะ ฝ่าบาท?”

 

“ลองวี่ เจ้าต้องลองคิดนอกกรอบดูบ้าง”

 

เฮนริเอตต้ารับหอกมาจากผู้ติดตาม หอกของบริททานี่นั้นทำมาจากต้นเฟอร์จึงสามารถโค้งงอได้มาก

อีกทั้งยังทำให้น้ำหนักเบา แต่ก็แลกกับการที่ไม่ทนทานนัก

 

หอกของบริททานี่นั้นออกแบบมาเพื่อทะลวงทหารศัตรูก่อนที่จะแตก

เฮนริเอตต้า ในฐานะนักรบระดับ 2 จับหอกอย่างชำนิชำนาญ

 

“ไม่มีใครเป็นผู้ผลักดันให้บัทตาเวียเคลื่อนไหว ตัวชาติสาธารณรัฐบัตตาเวียเองนั่นแหละที่แอบชักใยชนชั้นสูงฝั่งเหนือของฟรานเคียอยู่”

 

“……เป็นฝีมือของบัทตาเวีย?”

 

 

 

“ถูกต้องแล้ว นี่แหละจึงจะสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมฟรานเคียถึงพยายามพึ่งพากองกำลังต่างชาติเพื่อจัดการภัยคุกคาม  

อื้มม นานแล้วเหมือนกันนะ ที่ข้าไม่ได้พุ่งไปบนหลังม้า”

 

ม้าที่ราชินีขี่อยู่ส่งเสียงร้องเบาๆ ราวกับต้องการจะบอกนางว่า ไม่ต้องกังวล

ม้าศึกตัวสีดำสนิทไปจนถึงแผงคอ

ราชินีเฮนริเอตต้าให้ชื่อม้าตัวนี้ว่า ‘ขนกา’ ( ‘Crow Feather ’ ) 

มันเป็นม้าตัวโปรดของเธอที่เหมาะกับ ดอกลิลลี่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของบริททานี่ เป็นอย่างมาก

 

 

“หากดยุคกุยเป็นผู้บงการจริง พวกเราก็ต้องล่อเขาออกมา”

ราชินีเฮนริเอตต้าลูบไล้แผงคอม้าของเธอแผ่วเบา

 

“เขานั้นเป็นชายผู้หลักแหลมที่สามารถฆ่าคู่แข่งทางการเมืองได้

หากเขาไม่ได้เปรียบในสนามรบ ก็ไม่มีทางที่เขาจะย่างเท้าเข้ามาแน่

หืมมม เขาอาจจะพยายามยื้อให้ศึกนี้ยาวนานออกไปที่สุดก็ได้ ไม่ใช่แค่เราจะอ่อนแอลงหากแต่ยังยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นด้วย

บัทตาเวียเองก็พยายามจะใช้ประโยชน์ทางการเมืองเช่นกัน”

 

ทหารม้าที่กำลังโจมตีอยู่ก็หันหลังกลับมาอยู่ในแถว

แถวหน้ากระดานเรียงนั้นเป็นขบวนรบพื้นฐานสำหรับทหารม้าเพื่อประจัญบาน  

กองทหารม้าของศัตรูโผล่มาจากแนวป้องกันด้านหลังและสร้างแนวรบที่เสถียรขึ้น

 

“ถึงอย่างไรเสียความจริงที่เราต้องกำจัดทั้งดยุคกุยและกองทหารของบัทตาเวียนั้นก็ไม่เปลี่ยนไป วันนี้พวกเราจะเอาชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มา”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าพูดขณะที่กระตุ้นม้าของเธอ ผู้ช่วยคอยตามหลังเธอไป

 

“พวกเราต้องบดขยี้พวกนั้นให้ราบคาบ นักบุญหญิงลองวี่ สวดภาวนาให้ข้าและคนของข้าด้วย คราวนี้พวกเราต้องใส่หนักอีกครั้ง”

 

“ค่ะ ขอให้ชัยชนะจงอยู่กับฝ่าบาท”

 

 

กองทหารของราชินีนั้นเข้าร่วมกับกองทหารม้าเพื่อที่จะบัญชาการพวกเขา

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 205 สงครามลิลี่ (8)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 205 สงครามลิลี่ (8) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

แล้วลางร้ายก็กลายเป็นจริง

กองกำลังฝ่ายศัตรูบุกเข้ามาต่อเนื่องสลับกันโจมตีอย่างไม่พัก โดยไม่รู้จักเหน็ด ไม่รู้จักเหนื่อย

 

พอม้าศึกพุ่งเข้ามาอัศวินก็แทงหอกครั้งหนึ่งแล้วก็ถอย สลับให้แนวแรกเป็นพลธนูขี่ม้า แนวที่สองเป็นทหารม้า

จนถึงตอนนี้วงจรที่ว่า ก็วนมาเป็นรอบที่ 7 แล้ว

 

ไอ้พวกห่าขั้วนั่น ผมสบถออกมาสลับกับถอนใจจนปนเปกันมั่วไปหมด

 

“ม้าศึกของบริททานี่มันไม่ต้องกินหญ้ากันเลยรึยังไงกัน!?”

 

5 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่เปิดศึก

 

นับรวมจนถึงตอนนี้ หน่วยทั้งหลายของบริททานี่ก็เข้ามาจู่โจมถึง 12 ครั้ง ทหารม้าของพวกนั้นไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเกราะตัวเองจะบุบบี้ไปแค่ไหน ตราบเท่าที่ยังพุ่งร่างเข้าชนกับพลหอกฝ่ายเราได้

 

 

“แต่ถึงอย่างนั้่นพวกเขาก็อ่อนแรงลงไปเยอะแล้วค่ะ”

เจเรมิเช็ดเลือดจากมีดของตัวเองขณะพูด

“ไม่สำคัญว่า ม้าของพวกเขาจะน่าประทับใจขนาดไหน ตราบใดที่มันยังมีชีวิตยังต้องหายใจอยู่ ไม่มีทางที่มันจะไม่เหนื่อย”

 

 

“ปัญหาก็คือ ทหารของพวกเราน่ะกำลังจะหมดแรงในไม่ช้านี้แล้วน่ะสิ แม่งเอ๊ย”

 

พลหอกของพวกเราดูเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

ทหารฝ่ายเราก็จะตายไปสามถึงห้านายเพื่อแลกชีวิตกับทหารม้าหนึ่งนาย

 

ความแตกต่างเรื่องจำนวนก็เกือบสี่เท่า ผมพยายามส่งคนส่งข่าวไปยังศูนย์กลางกองทัพและปีกขวา  และก็ได้รู้ว่า สถานการณ์ของพวกเขานั้นไม่ต่างจากเรานัก

 

กองทหารฝ่ายเรานั้นพยายามดันทหารเดินเท้า  5,100 นายให้ไปออกัน จึงประสบความสำเร็จในการคุ้มกันเครื่องกีดขวางไว้

 

ซึ่งเรื่องนี้ถ้ากองทัพฝ่ายเราไม่ได้มีจำนวนมากกว่าอีกฝ่ายถึงสามเท่าแล้วล่ะก็……ผมไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

 

‘ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมนายพล เซปาร์ถึงได้บอกว่า พลทหารม้าของพวกมนุษย์นั้นน่ากลัวมาก’

 

 

พวกนั้นน่ะทรงพลังจนเกินไป จากอัศวินที่ใช้ออร่าเคลือบร่างกาย และทหารม้าที่ฝึกออร่าใต้การดูแลของอัศวินพวกนั้น

 

หอกที่ยาวเวอร์นั่นก็ด้วย ยาวตั้ง 5 ถึง 8 เมตร!

ถ้าในทุ่งราบที่โล่งมีแค่พลหอกเผ่าออร์คเท่านั้นที่สู้ด้วยไหว เจ้าพวกนั้นมันแทบไม่ต่างจากฝันร้ายเคลื่อนที่เลยด้วยซ้ำ

ตอนนี้ผมเข้าใจถึงสิ่งที่บาร์บาทอสบอกแล้วว่า ตอนนั้นนายพลเซปาร์ทำตัวโง่มากที่พุ่งเข้าไปหาพวกอัศวิน

 

เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว มันเป็นตัวห่าบ้าอะไรสักอย่างที่ผิดมนุษย์มานา

 

 

“พวกนั้นกำลังจะพุ่งเข้ามาอีกรอบ”

 

“บ้าชิบ ไอ้พวกนั้นมันลูกกะหรี่ยิ่งกว่าลูกกะหรี่คนไหนในโลกจริงๆ”

ม้านับพันตัวกำลังวิ่งด้วยความเร็วข้ามทุ่งราบพุ่งเข้าใส่พวกเรา

 

“ข้ายอมดูดหำเจ้าพาร์ซี่ดีกว่าต้องมารบเต็มรูปแบบกับพวกอัศวินแบบนี้อีก!”

 

“ชิ สงสัยจังว่า พาร์ซินั่นเป็นใครกัน?”

 

เจเรมิถอนใจออกมาก่อนจะกลับไปที่แนวหน้าอีกครั้ง

(TTL : พาร์ซิ : ผมเกี่ยวอะไร๊!?)

 

เจเรมิและกลุ่มมือสังหารของเธอนั้นเตรียมตัวไว้เสมอเผื่อกรณีที่มีอัศวินเล็ดรอดออกมาได้ พวกเราจึงเสียมือสังหารไปแล้ว 5 นาย

 

“แค่ก, แค่ก……ห่าเอ๊ย”

 

ผมอยากจะกระตุ้นกำลังใจทหารอีกรอบ ด้วยเวทย์ขยายเสียงแต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

เสียงของผมแหบแห้งราวกับชายแก่ มันเป็นแบบนี้เมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว

 

ทหารทั้งหลายต่างกรีดร้องขณะที่โดนเสียบที่ปลายหอกไม่ต่างจากเนื้อเคบับ ม้าศึกนั้นต่างร้องอย่างน่าสังเวชขณะทื่ล้มลงกองกับพื้น

ไม่ว่าจะฝ่ายเราหรือฝ่ายศัตรูทุกอย่าง ทุกคนมันดูเละเทะไปหมด

 

ผู้คนที่เคยทำแต่ไร่ไถแต่นามาตลอดชีวิตกลับชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำตา พวกเขาร้องตะโกนออกมา ส่วนพวกบริททานี่เองก็ต้องมาสละชีพในดินแดนที่ไกลบ้านเกิด

 

“ท่านนักบวช……ได้โปรดช่วยชีวิตชายคนนี้ด้วย…….”

ทหารคนหนึ่งเข้ามาหาผมพร้อมประคองชายอีกคนที่บาดเจ็บ ผมลอบถอนใจ อีกแล้วสินะ

 

“แขนของหมอนี่ขาดไป ท่านนักบวชได้โปรดเมตตา…….”

 

แทบไม่จำเป็นต้องบอกอะไรก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว ชายที่บาดเจ็บนั้นเสียแขนทั้งสองข้าง แขนหายไปตั้งปลายมือจนถึงข้อศอก

รอยตัดเรียบจนน่ากลัว

โชคไม่ดีจริงๆ ดูเหมือนเขาเผชิญหน้ากับอัศวินระดับ 3 ขึ้นไป

ทหารคนนั้นจุมพิตรองเท้าผมหลายต่อหลายรอบขณะที่ก้มโค้งให้ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

“หมอนี่เป็นคนสุดท้ายที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันกับผม หากเขาตายไปผมก็ไม่รู้จะกลับไปสู้หน้าคนในหมู่บ้านได้ยังไง……? ได้โปรด ท่านนักบวช โปรดเมตตาด้วย……!”

 

“ดูนี่ สหายข้า”

ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะบอกออกไป ลำคอเหนียวหนืด มันเป็นสิ่งที่ชวนให้รู้สึกแย่ที่สุดแต่ก็ต้องทำ

 

“โชคไม่ดีนัก แม้แต่นักบวชผู้รับใช้องค์เทพีก็ไม่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนกลับมาได้”

 

“อะไรนะครับ?”

 

“ชายคนนั้นตายไปแล้ว”

ทหารคนนั้นมองไปยังใบหน้าของชายผู้บาดเจ็บ บาดเจ็บน่ะรึ ไม่หรอก ทหารที่ตายไปแล้วคนนั้นอ้าปากกว้าง ดวงตาไร้ชีวิต

มันเหมือนกับเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สีหน้าของเขากลับซีดเผือด เขามองหน้าของเพื่อนเขากับใบหน้าของผมสลับไปมา

 

“เอ๋? อะ้? อะไรกัน? แต่ก่อนหน้า ไม่สิ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เขายังพูดอยู่เลย……?”

 

ดวงตาของเขาเหมือนมีถ้อยคำมากมายที่อยากถามผม

 

ทหารคนนี้คงพูดความจริงนั่นแหละ เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ก็คงพูดอะไรอะไรสักอย่างกับเพื่อนของเขา

 

 

อดทนไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งหลับไป อดทนอีกนิด ท่านนักบวชจะรักษานายเอง ทนอีกนิดเดียวเอง…….เขาน่าจะพูดอะไรประมาณนั้นตอนที่ผละออกมาจากแนวหน้า ทหารที่ได้รับบาดเจ็บน่ะมักจะตายแบบนี้เสมอๆ

 

เขายังไม่ได้บอกลาเพื่อนหมู่บ้านเดียวกันด้วยซ้ำ เขาตบแก้มเพื่อนที่ตายไปแล้ว และบอกให้เขาลืมตา และลุกขึ้น แต่ก็ไร้การตอบสนองใด

เมื่อเขาเริ่มตระหนักได้แล้วว่า เพื่อนของเขานั้นได้งีบหลับไปตลอดกาล จึงร้องไห้ออกมา

หยดน้ำตานั้นหลั่งรินอยู่บนใบหน้าชายวัยกลางคนที่มีหนวดยุ่ง 

 

“…….”

 

ผมแตะแผ่นหลังของชายคนนั้น ผมอาจเป็นคนเสแสร้งแกล้งทำ แต่บางทีสิ่งนั้นมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ณ ตอนนี้ ในสงครามน่ะไม่มีอะไรดีทั้งนั้นนั่นแหละ

 

แต่อะไรที่ต้องทำ ก็ต้องทำอยู่ดี ถูกไหม? 

 

ไม่ว่าศัตรูจะเหนื่อยจนล้มพับ หรือฝ่ายเราจะล้มพับลงก่อน

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน…….

 

เหล่าผู้บัญชาการคนอื่นคิดแบบนี้หรือเปล่านะ?

 

“ท่านดยุคต้องการใช้ทหารกองหนุน”

 

คนส่งสารจากผู้บัญชาการสูงสุดมาถึง ดูเหมือนผู้บัญชาการคนอื่นก็ได้ข้อสรุปตรงกันว่า ‘อะไรที่ต้องทำก็พึงทำ’

 

ไม่น่าประหลาดใจนักหรอก ในขณะที่ผมดูแลทหาร 12,000 นาย ดยุคกุย ผู้บัญชาการสูงสุดก็ดูแลทหาร 63,000 ชีวิต

 

10,000 กับ 60,000 เป็นจำนวนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมไม่ได้เล่นลิ้นอะไรหรอกนะ มันต่างกันมากจริงๆ คงเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำกับบริบทของความกดดันทางจิตใจ

 

“ทหารกองหนุนอย่างนั้นหรือ? พวกเรามีทหารกองหนุนอยู่แล้วนี่?”

 

“ท่านดยุควางแผนจะใช้ทหารม้าของพวกเรา”

 

ผมถึงกับ ‘อ้อ’ หลังจากที่คนส่งสารอธิบายเพิ่ม

 

ทำไมผมถึงไม่เอะใจเรื่องนี้มาก่อนนะ!? 

ใช่แล้วล่ะ ฝ่ายเราเองก็มีทหารม้าเหมือนกัน มีอัศวิน 1,000 และทหารม้าอีก 10,000 นาย

ถึงจำนวนจะไม่สู้กองทหารม้าของบริททานี่ แต่ตอนนี้ทางนั้นกำลังเหนื่อยล้ากันแล้ว

ในขณะที่ทหารม้าฝ่ายเรายังแข็งแรงดีอยู่ ซึ่งมันก็แน่ล่ะ ยังไม่ลงสนามเลยด้วยซ้ำ

 

“เข้าใจแล้ว……ข้าก็ดันไม่เอะใจเลยว่า ทำไมกองทหารของข้าถึงได้ไม่มีทหารม้าเลยสักนาย

ท่านดยุค ตั้งใจใช้เป็นไพ่ตายนี่เอง”

 

ผมพยักหน้า

 

“ข้าควรจะไปรายงานผู้บัญชาการปีกซ้ายเรื่องแผนนี้ด้วยไหม?”

 

“อย่างนั้นก็ดี ถึงอย่างไรเสียข้างก็ไม่มีทหารม้าอยู่แล้ว ดังนั้นก็คงให้ผลไม่ต่างกันนักหรอก บอกท่านดยุคด้วยว่า ขอให้ท่านโชคดี”

 

ผมยิ้มขมขื่นหน่อยๆ แล้วคนส่งสารก็กลับค่ายไป

 

ว่ากันตามตรง ก่อนหน้าที่พวกเขาก็ยังไม่ได้ไว้วางใจผมนัก มีเพียงชนชั้นสูงของฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ที่อยู่กลางทัพและสาธารณรัฐบัทตาเวียเท่านั้นที่มีสิทธิในการถือครองทหารม้า

 

แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมาประชุมกันแล้ว จึงได้อนุญาตให้ผมใช้ทหารม้า

ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมาใช้คนส่งสารมาบอกผม นั่นทำให้เห็นได้ชัดเลยล่ะว่า ดยุคกุยนั้นรอบคอบขนาดไหน ทำให้เข้าใจได้เลยว่า ความใจกว้างของดยุคนั้นเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนเข้ามาหา

 

‘นี่ถ้าจักรพรรดิได้สักเสี้ยวหนึ่งของดยุคกุย สงครามกลางเมืองไม่มีทางเกิดขึ้นแน่’

 

นับเป็นโชคร้ายของฟรานเคีย แต่ก็เป็นโชคดีของผม อ้อ นับเป็นโชคร้ายของทหารคนที่เพิ่งตายไปเมื่อกี้ด้วย…….

 

ผมขึ้นขี่ม้าแล้วมองไปแนวป้องกันด้านหลัง ทหารม้า 10,000 นายค่อยๆเคลื่อนพลอย่างช้าๆ 

ผมสั่งให้คนของเรานั้นเปิดทางเพื่อให้พวกทหารม้าสามารถผ่านสิ่งกีดขวางได้โดยง่าย

 

ผมถอนใจออกมา

 

“ใกล้จะจบแล้วสินะ? ช่างเป็นการรบที่เหนื่อยยากเสียเหลือเกิน…….”

 

 

* * *

 

 

“ในที่สุดมันก็เริ่มต้นเสียที”

 

ราชินีเฮนริเอตต้ายิ้มออกมา เธอนั้นอยู่ในชุดเกราะเต็มยศและขี่ม้าศึก

ที่ปรึกษาของบริททานี่ต่างเคียงข้าง ม้าของพวกเขานั้นหันไปทิศทางเดียวกัน

 

รั้วอันแสนชั่วช้าของศัตรู พลหอกที่ค่อยๆร่นบีบระยะชิดกับตัวรั้ว ราชินีสงบใจลงก่อนจะพูดขึ้น

 

“บอกให้พวกพลธนูบนหลังม้าเปลี่ยนเป็นถือหอกทันที”

 

“ครับ ฝ่าบาท”

ที่ปรึกษาข้างๆถ่ายทอดคำสั่งผ่านคนส่งสาร คนส่งสารนั้นแสดงความเคารพก่อนขี่ม้าแล่นออกไปไวราวกับลูกธนู

พวกเขานั้นเตรียมหอกเพื่อการรบวันนี้เกินจำนวน

ไม่เพียงแต่พวกเขาเค้นคอเอาจากคลังอาวุธของฟรานเคียมาจนหมด หากแต่ยังไปขูดรีดเอาจากช่างตีเหล็กทั่วทั้งปารีสหลายวันก่อนอีกด้วย

 

“นักบุญหญิงลองวี่ ที่ข้าเคยบอกไปว่า มีคนใกล้ชิดกับจักรพรรดิเป็นผู้ปล่อยข้อมูลไปนั้นน่ะ”

 

“หือ? อ้อ ใช่ เราจำได้ ฝ่าบาท”

นักบุญหญิงแห่งเทพีเอเธน่า แจ็กเกอลีน ลองวี่ ตอบรับ

 

“นั่นโกหกนะ”

 

“……อะไระนะคะ?”

 

จู่ๆเฮนริเอตต้าก็หัวเราะออกมา

 

 

“หากเจ้าคนที่ขายข้อมูลนั่นตั้งใจจะหยุดพวกเราจริงๆแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่ขอกำลังเสริมจากพวกชาติสาธารณรัฐที่อยู่ในฐานะของ‘กองกำลังต่างชาติ’ หรอก หากจะมีใครชักนำพวกนั้นเข้ามาในชาติตัวเองคงมีความเป็นไปได้สองอย่าง”

 

เธอมุ่งเป้าไปที่ตัวตนหนึ่ง

ตัวตนที่ยืมกองกำลังของพวกสาธารณรัฐเพื่อหวังขึ้นบัลลังค์ หรือพูดง่ายๆก็คือ ดยุคเฮนรี่ เดอ กุย ผู้นำกองกำลังชนชั้นสูงในตอนนี้นี่เอง

 

 

“ดยุคกุยนั้นเป็นผู้เดียวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ในสถานการณ์แบบนี้ ในขณะเดียวกันคู่แข่งทางการเมืองของเขาอย่าง มงมอเรนซี่นั้นได้ตายไปในการรบไปแล้ว จึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่ดยุคกุยจะเป็นผู้วางแผนทั้งหมดนี่”

 

“แล้วอีกความเป็นไปได้หนึ่งล่ะ ฝ่าบาท?”

 

“ลองวี่ เจ้าต้องลองคิดนอกกรอบดูบ้าง”

 

เฮนริเอตต้ารับหอกมาจากผู้ติดตาม หอกของบริททานี่นั้นทำมาจากต้นเฟอร์จึงสามารถโค้งงอได้มาก

อีกทั้งยังทำให้น้ำหนักเบา แต่ก็แลกกับการที่ไม่ทนทานนัก

 

หอกของบริททานี่นั้นออกแบบมาเพื่อทะลวงทหารศัตรูก่อนที่จะแตก

เฮนริเอตต้า ในฐานะนักรบระดับ 2 จับหอกอย่างชำนิชำนาญ

 

“ไม่มีใครเป็นผู้ผลักดันให้บัทตาเวียเคลื่อนไหว ตัวชาติสาธารณรัฐบัตตาเวียเองนั่นแหละที่แอบชักใยชนชั้นสูงฝั่งเหนือของฟรานเคียอยู่”

 

“……เป็นฝีมือของบัทตาเวีย?”

 

 

 

“ถูกต้องแล้ว นี่แหละจึงจะสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมฟรานเคียถึงพยายามพึ่งพากองกำลังต่างชาติเพื่อจัดการภัยคุกคาม  

อื้มม นานแล้วเหมือนกันนะ ที่ข้าไม่ได้พุ่งไปบนหลังม้า”

 

ม้าที่ราชินีขี่อยู่ส่งเสียงร้องเบาๆ ราวกับต้องการจะบอกนางว่า ไม่ต้องกังวล

ม้าศึกตัวสีดำสนิทไปจนถึงแผงคอ

ราชินีเฮนริเอตต้าให้ชื่อม้าตัวนี้ว่า ‘ขนกา’ ( ‘Crow Feather ’ ) 

มันเป็นม้าตัวโปรดของเธอที่เหมาะกับ ดอกลิลลี่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของบริททานี่ เป็นอย่างมาก

 

 

“หากดยุคกุยเป็นผู้บงการจริง พวกเราก็ต้องล่อเขาออกมา”

ราชินีเฮนริเอตต้าลูบไล้แผงคอม้าของเธอแผ่วเบา

 

“เขานั้นเป็นชายผู้หลักแหลมที่สามารถฆ่าคู่แข่งทางการเมืองได้

หากเขาไม่ได้เปรียบในสนามรบ ก็ไม่มีทางที่เขาจะย่างเท้าเข้ามาแน่

หืมมม เขาอาจจะพยายามยื้อให้ศึกนี้ยาวนานออกไปที่สุดก็ได้ ไม่ใช่แค่เราจะอ่อนแอลงหากแต่ยังยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นด้วย

บัทตาเวียเองก็พยายามจะใช้ประโยชน์ทางการเมืองเช่นกัน”

 

ทหารม้าที่กำลังโจมตีอยู่ก็หันหลังกลับมาอยู่ในแถว

แถวหน้ากระดานเรียงนั้นเป็นขบวนรบพื้นฐานสำหรับทหารม้าเพื่อประจัญบาน  

กองทหารม้าของศัตรูโผล่มาจากแนวป้องกันด้านหลังและสร้างแนวรบที่เสถียรขึ้น

 

“ถึงอย่างไรเสียความจริงที่เราต้องกำจัดทั้งดยุคกุยและกองทหารของบัทตาเวียนั้นก็ไม่เปลี่ยนไป วันนี้พวกเราจะเอาชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มา”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าพูดขณะที่กระตุ้นม้าของเธอ ผู้ช่วยคอยตามหลังเธอไป

 

“พวกเราต้องบดขยี้พวกนั้นให้ราบคาบ นักบุญหญิงลองวี่ สวดภาวนาให้ข้าและคนของข้าด้วย คราวนี้พวกเราต้องใส่หนักอีกครั้ง”

 

“ค่ะ ขอให้ชัยชนะจงอยู่กับฝ่าบาท”

 

 

กองทหารของราชินีนั้นเข้าร่วมกับกองทหารม้าเพื่อที่จะบัญชาการพวกเขา

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+