Dungeon Defense (WN) 206 สงครามลิลี่ (9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 206 สงครามลิลี่ (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

นักบุญหญิงลองวี่เปิดปาก

 

– ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งเดียวที่ข้าขอรับรอง

 

น้ำเสียงของเธอนั้นดังไปทั่วผืนฟ้าคราม เธอนั้นเฝ้ารออย่างเงียบๆมาตลอดทั้งการรบ

ตำแหน่งที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นต่อประเทศ ดังนั้นจึงมีเพียง 12 ตัวตนเท่านั้นบนผืนทวีป

แต่จำนวนที่ว่าก็ลดลงไปจนเหลือ 11 เพราะนักบุญหญิงแห่งฮับบวร์กนั้นถูกประหารเนื่องจากการแอบติดต่อลับๆกับกองทัพจอมมาร

ดังนั้นหนึ่งใน 11 นักบุญหญิงจึงเริ่มร้องเพลงสวด

 

 

– จิตวิญญาณนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าก่อนที่จะกลายมาเป็นสามัญชนและทาส 

ได้โปรดเถิด องค์เทพี โปรดประทานพรของท่านเพื่อปัดเป่าชะตากรรมให้พ้นไป

โปรดร่ายรำเริงระบำด้วยเท้าของเผ่าชนผู้ยิ่งใหญ่แล้วให้อภัยทุกชีวิตที่มีมากมาย

 

เหล่าทหารม้าตั้งแถวเป็นแนวกว้าง

 

เสียงร้องของนักบุญหญิงไหลซาบเข้าไปยังช่องว่างของเกราะ ระหว่างหมวก และเกราะอก ผ่านแผงคอม้าที่เหนื่อยล้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดและฝุ่นหนา

แม้แต่ภูตวิญญาณที่เคยเตลิดหนีเพราะเสียงปะทะยังแอบกลับมาส่องดูจากในป่า

 

เฮนริเอตต้านั้นมีทหารม้าเหลืออยู่เพียง  6,000 นาย

มันยากที่นักบุญหญิงเพียงผู้เดียวจะสามารถฟื้นฟูพลังกายของพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ร่างของนักบุญหญิงนั้นราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับพัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเป็นนักบุญ สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนเสียด้วยซ้ำ เธอยังคงสวดภาวนาเช่นเดิมอย่างสงบ

 

 

– อันความจริง พวกเรานั้นห่างไกลความตาย แต่ถึงอย่างไรก็ดี พวกเรานั้นปรารถสิ่งเดียว เพียงอิสรเสรีเดียวที่คู่ควรกับพวกเรา ; นั่นคือ เสรีภาพในการเผชิญหน้ากับความตาย

 

พวกเรารู้ดีว่า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่าที่ ผู้เป็นอมตะ ผู้คู่ควรแก่การกำหนดชะตา โอ้ องค์เทพีเอเธน่า

ประกายแสงสีฟ้าปรากฏไปทั่วทั้งร่างของทหารและม้าศึกก่อนจะหายวับไป

มันให้ความรู้สึกราวกับว่า เหล่าทหารม้าผู้ที่เคยพุ่งชาร์จเข้าใส่แนวรบของศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าถึงสี่เท่าได้ฟื้นร่างกายกลับมา เช่นเดียวกับนักเดินทางที่ท่องเที่ยวไปในทะเลทรายแล้วได้ดื่มน้ำเย็นอันแสนสดชื่

ม้าศึกร้องลั่นออกมาอย่างทรงพลังเหมือนหกชั่วโมงก่อน

นักบุญหญิงประสานมือไว้ด้วยกัน

 

 

– ได้โปรดอนุญาตให้ความตายนั้นยังคงเป็นความตายต่อไป

 

นักบุญหญิงลองวี่หล่นจากม้าหลังพูดคำนั้นจบ เธอสลบไสลไร้สติ

ผู้ติดตามที่อยู่รอบกายเธอนั้นเข้าประคองร่างของนักบุญหญิง

ร่างทั้งร่างของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ นับตั้งแต่เริ่มสวดภาวนา ยาวนานกว่านาที

 

 

 

“ยอดเยี่ยมมาก แจ็กเกอลีน ลองวี่ เพื่อนข้า”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าควบม้าไปข้างหน้า

ราชินีผู้มีเรือนผมสีแดงสการ์เล็ทนั้นหันหัวม้ากลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับทหารม้านับหลายพันตรงหน้าเธอ

ราชินีหัวเราะเบาๆก่อนจะมองพวกเขาด้วยแววตาที่ตึงเคร่ง

 

“ทหารรักของข้า เมื่อใดกันที่กองทัพจะพ่ายแพ้?”

ราชินีนั้นสั่งเปิดการใช้งานเวทย์มนตร์ขยายเสียงที่สร้อยคอแล้วพูดขึ้น

“ใช่ตอนที่พวกเขานั้นได้รับความพ่ายแพ้ในการศึกอย่างนั้นหรือ? 

ใช่ตอนที่พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ในการสงครามอย่างนั้นหรือ?

ใช่ตอนที่พวกเขาสูญเสียผู้บัญชาการไปหรือตอนที่ธงชัยถูกหักโค่งลงอย่างนั้นหรือ? 

ไม่เลย ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย”

ราชินีส่ายหัว

 

 

“เหล่านักรบเอ๋ย การศึกของพวกเจ้านั้นมิได้อยู่ที่นี่”

 

เธอชี้ไปที่จมูกตัวเอง

 

“มันอยู่ที่นี่ต่างหาก นี่ต่างหากคือ สนามรบของพวกเรา นับตั้งแต่ที่พวกเจ้าตัดสินใจที่จะช่วยมิตรสหาย หรือเมินเฉยต่อพวกเขา ที่นั่นต่างหากที่เป็นสนามรบของพวกเจ้า

 

การต่อสู่ของเจ้าจะเป็นตัวตัดสินว่าจะชะงักชะงันรั้งรอในขณะที่หอกกำลังพุ่งเข้ามาหรือไม่

เจ้าจะยอมเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอันแสนสาหัสแล้วยอมรับความตายหรือไม่? นั่นต่างหากคือ สนามรบของพวกเจ้า”

ราชินีเฮนริเอตต้าชี้ที่ผืนดิน

 

“หากมีคนๆหนึ่งอยู่ที่นี่ เขานั้นใช้ชีวิตไปตามธรรมดา เกิดขึ้นตามวิถีคนธรรมดา ใช้ชีวิตอันแสนธรรมดากับครอบครัว และตายลงในช่วงอายุ 60 ปี ”

 

เธอยกมือซ้ายขึ้นชี้ไปบนฟ้า

 

“และยังมีอีกผู้หนึ่งเช่นกัน ที่กระโดดลงจากความสูงเสียดฟ้าไกลห่างดั่งมาจากดวงจันทร์ เคลื่อนคล้อยลงมายังผืนโลกอย่างเชื่องช้าหากแต่มั่นคงไม่สั่นไหว

ผู้นั้นร่วงหล่นลงมายาวนานถึง 60ปี ― ก่อนที่จะลงถึงพื้นแล้วตายลงไป 

มนุษย์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่บนผืนดินมากว่า 60 ปีก่อนจะตาย ในขณะที่อีกผู้หนึ่งตกลงเกือบ 60ปี ก่อนจะตาย

ความตายของทั้งสองนั้นแตกต่างกันหรือไม่?”

 

ทหารทั้ง 6,000 นาย ตั้งใจฟังราชินีของพวกเขาอย่างเงียบๆ 

น้ำเสียงของเธอนั้นหนักแน่นและดังกังวาน เป็นเหมือนดั่งกิ่งรากของต้นไม้ที่หยั่งรากลึกลงไป

 

“มันอาจไม่มีอะไรต่างกันเลยด้วยซ้ำ ชีวิตหนึ่งดำรงอยู่ตามปรกติธรรมดาบนผิวโลกมา 60 ปี และอีกชีวิตที่ร่วงหล่นลงมาในห้วงเวลาเดียวกัน

 

แต่ขอถามหน่อยว่า ชีวิตของทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันใช่ไหม? 

ทหารทุกคน นี่เป็นปัญหาของมนุษยชาติและจะยังคงเป็นปัญหาเช่นนั้นไปตลอดกาลนาน

คำถามที่ยอดยิ่งกว่าคำถามใด แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ? 

พวกเจ้าทุกคนต่างต้องล้มตายเหมือนกันใช่ไหม? 

มีสิ่งใดหรือที่ไม่เน่าไม่เปื่อยสลาย?”

 

ราชินีถอนใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วพูดต่อ

 

“การที่พวกเจ้ามายืนอยู่ในสนามรบในวันนี้ พวกเจ้าจะถูกบังคับให้ตอบคำถามดังกล่าว

เพราะนี่คือ สมรภูมิอันเป็นสถานที่ที่จะโยนคำถามพวกนั้นใส่เจ้าอย่างเข้มข้นไม่จบสิ้น

ช่างน่าเศร้าใจเสียเหลือเกิน! 

ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเลี่ยงคำถามพวกนั้นมากเท่าใด ก็ไม่อาจทำได้”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าหัวเราะ

 

“ในทุกวินาทีที่ผ่านไป คำถามพวกนั้นจะถาโถมจู่โจมเจ้าเหมือนดั่งพายุ

เจ้าจะหันหลังหนียามเมื่อสหายตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?

เจ้าจะปิดตาตอนที่ศัตรูแทงหอกเข้ามาหรือไม่? 

เจ้าจะแกล้งไม่รู้ไม่เห็นต่อความตายขณะมันกำลังคืบคลานมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บอันน่าสยดสยองหรือไม่?”

 

เสียงม้าศึกนับพันๆกระทืบย่ำ เตะฝุ่นจนคลุ้ง

ทหารม้าทั้งหลายต่างหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปลุกกำลังใจตน ราชินีเฮนริเอตต้าเห็นดังนั้นจึงตะโกนขึ้น

 

 

“ทหารทุกคน ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามิเคยได้มีชีวิตมาก่อนเลย

ที่นี่วันนี้ เวลานี้เจ้าจะได้รับการทดสอบครั้งสำคัญ การทดสอบว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือที่ผ่านมาเป็นเพียงซากศพไร้ชีวิต

นี่คือ ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของพวกเจ้า

สงครามและการสู้รบนั้นมาเป็นรอง การตอบคำถามนี้ให้ได้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด!”

 

ม้าศึกสีดำของเฮนริเอตต้านั้นชูขาหน้าทั้งสองขึ้นกลางอากาศ ราชินีมองทหารของเธอจากมุมสูง

 

“เจ้าจะค่อยๆล้มตัวลงช้างๆหลังจากใช้ชีวิตมานานนับสิบปีหรือไม่!? หรือ เจ้าเลือกที่จะก้าวออกไปข้างหน้าอีกสักก้าว!?

เหล่านักรบเอ๋ย, จงเกิดใหม่ในฐานะมนุษย์บนทวีปที่เต็มไปด้วยกองศพเถิด!

จงก้าวไปข้างหน้าแล้วเผชิญกับความยากลำบาก ชีวิตนั้นจักมีค่าให้ดำรงอยู่ก็ต่อเมื่อเอาชนะเหนือความยากลำบากนั้น!”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าชูปลายหอกขึ้นไปบนฟ้า

กองทหารของเธอต่างตะโกนดังลั่งพร้อมกับเสียงร้องของม้า หอกทั้ง 6,000 ด้ามชูแทงขึ้น ขาหน้าของม้าทั้ง  12,000 กีบ ต่างกระทืบไปบนพื้น

 

“มีเพียงมนุษย์ผู้ที่ปรารถนาที่จะตายในวันนี้จึงดำรงอยู่ต่อไปได้

ในขณะที่มนุษย์ผู้ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อจักต้องตายลง!

ข้าไม่เคยเชื่อแม้สักครั้งว่า กองทัพของข้าจะประสบกับความพ่ายแพ้ 

ข้าไม่เคยเลย!

นักรบทั้งหลายของข้า บุตรธิดาแห่งพัลลัส เอเธน่า! 

นักรบทั้งหลายผู้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากการรบจากการเผชิญหน้าพวกมัน!”

ราชินีเฮนริเอตต้าหันหัวม้ากลับไปเผชิญหน้ากับทหารม้า 12,000 นายของฟรานเคีย

 

 

ไม่เพียงแต่พวกเขานั้นมีกำลังพลเป็นสองเท่าของกองทัพราชินีเท่านั้นหากแต่พวกเขายังกะปรี้กะเปร่าเนื่องจากยังไม่ได้รบเลยสักครั้ง ราชินีเปล่งเสียงดังลั่นออกมา

 

“―พุ่งเข้าไป!”

 

ม้าของราชินีนั้นพุ่งทะยานไปก่อนใคร

 

ทหารม้าที่ตามหลังเธอนั้นต่างกู่ก้องร้องตะโกนขณะที่ตะบึงม้า

ม้าศึกของพวกเขานั้นคำรามออกมา ในหมู่พวกเขานั้นมีทั้งชาวบริททาน,ฟรานเคียน,เบอนิเชียนและเคสทิลเลี่ยน ทั้งอัศวินและทหารรับจ้าง

 

แต่ถึงอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นเองทุกคนรับใช้ใต้ผู้ปกครองเดียวกัน นั่นคือ เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ พวกเขาอยู่ใต้การนำของราชินีผู้นั้นผู้เดียว

 

ทหารม้า  12,000 นายของฝ่ายศัตรูเริ่มขยับเคลื่อนด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่างดยุคกุยก็ด้วย

สมแล้วที่เขาได้รับสมญานามว่า เป็นอัศวินผู้ทรงเกียรติและชนชั้นสูงที่ยอดเยี่ยม ดยุคผู้นั้นยืนเคียงข้างกับหน่วยทหารม้าของเขา

 

ดยุคกล่าวปราศรัยกระตุ้นกำลังใจให้กับเหล่าทหารม้าฟรานเคียให้มีความกล้าหาญ

ระยะระหว่างทหารทั้งสองกองทัพแคบลงเรื่อยๆ

 

 

“พวกมันมี 10,000!”

 

เฮนริเอตต้าตะโกนออกมา

เธอลดเสียงเวทย์ขยายเสียงลงให้ได้ยินกันเฉพาะชนชั้นสูงรอบตัวเธอเท่านั้น

 

 

“พวกมันมีจำนวนเป็นสองเท่าของพวกเรา! พวกเจ้ากลัวกันไหม ทหารข้า!?”

 

“ไม่!”

 

“พวกเราจะพุ่งชาร์จมันสองครั้งแล้วแบ่งทัพมันออกเป็นสี่ จากนั้นก็ค่อยๆบดขยี้ไปทีละส่วน ให้มันเหลือกลุ่มละ  2,500 นาย 

เข้าใจกันหรือยัง? พวกมันไม่ได้มีจำนวนสองเท่าของพวกเรา เราต่างหากที่มีจำนวนสองเท่าของพวกมัน!”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าคำรามลั่น

 

“นายพลใต้การบัญชาการของข้าสมควรที่สามารถกำจัดกองทหารที่น้อยกว่าเราถึงครึ่งหนึ่งได้โดยง่าย!”

 

“ฝ่าบาทพูดถูกแล้ว!”

 

“หากนายพลคนไหนไม่อาจหิ้วหัวได้ถึงสิบหัว รู้ไว้ซะนะ วันนี้แหละจะเป็นงานศพของเจ้า!”

 

ราชินีเลื่อนกะบังหน้าหมวกเหล็กลงปิด ชนชั้นสูงคนอื่นต่างทำเช่นเดียวกัน เหล่าลูกน้องใกล้ชิดราชินีต่างก็ทำตามแม้จะไม่ใช่นักรบ

 

ม้าศึกของเฮนริเอตต้านี้เป็นที่รู้จักกันว่า ไร้เทียมทาน ยามเมื่อเธอนำทัพ ม้าของเหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายที่ไม่ดีเท่าจึงตามหลังเธอไป

เบื้องหลังพวกเขาคือ ทหารม้า  6,000 นาย ในฐานะอารักขาองค์ราชินี พวกเขาสร้างรูปขบวนสามเหลี่ยม โดยเคลื่อนข้ามทุ่งราบไป

 

 

จากการวิ่งเหยาะ 

ทหารม้าทั้่งหลายต่างเร่งความเร็วจนเข้ามาถึงระยะห่างจากศัตรูเพียง 200 เมตร 

เสียงร้องตะโกนท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวน

 

สู่การควบวิ่งทะยาน 

ทหารม้ากระชับบังเหียนในมือเร่งม้าจนอยู่ในระยะ 100 เมตร

 

เสียงย่ำกีบของม้าดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงตะโกนของทหารหาญ พวกเขาชี้หอกไปด้านหน้า

 

 

“แด่องค์ราชินีของพวกเรา!”

 

“เกียรติยศแด่เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่!”

 

การวิ่งห้อ

ระยะห่างเหลือเพียง 40 เมตร ม้าศึกต่างเร่งความเร็วสูงสุด ธงเล็กน้อยแขวนปลายหอกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง  ชั่ววินาทีที่เกือกม้าย่ำถี่―กองทัพทั้งสองก็เข้าปะทะกัน

 

– โครมม! เกร้งงง!

 

ทหารม้าต่อทหารม้า ปะทะกัน

ก่อนอื่น หอกที่ยาว 8 เมตรเคลือบหุ้มด้วยออร่าแทงทะลุหัวใจของทหารม้าอีกฝ่าย หอกที่ยาว 3 ถึง 5 เมตรก็แทงเข้าไปด้วยเช่นกัน

 

หอกเหล็กนั้นทะลวงไหล่ของชายผู้ชื่อ ปิแอร์ ความแข็งแกร่งของหอกทำเอาปิแอร์ตกจากม้าหน้าคลุกฝุ่น

 

หอกอีกเล่มเสียบเข้าที่ท้ายทอยของอัศวินที่ชื่อ แม็กซิมิเลี่ยน ทำให้ร่างใหญ่ของเขาหล่นตุบลงกับพื้น เกราะที่สวยงามของเขากระแทกกับพื้นดังแกร้งลั่น

 

ทหารที่มีชื่อว่า ดีโอเร นั้นหลบหอกได้ แต่ก็โดนม้าชนกระเด็นและไม่อาจทนต่อแรงกระแทกไหว ดีโอเรนั้นตกอยู่ท่ามกลางฝุ่นควันจนหายใจแทบไม่ออก เขายื่นมือออกไปพยายามควานหามิตรสหาย

 

ตอนนั้นเองที่ม้าศึกเตะฝุ่นใส่และเหยียบท้องของดีโอเร กีบม้าบดขยี้หน้าท้องของเขาอย่างไร้ปรานีทำให้เครื่องในทะลักออกมา ดวงตาของดีโอเรนั้นถลนออกนอกเบ้าขณะที่เขายังกรีดร้องอยู่

 

“อ๊ากกกกกกกกก!”

 

เฮนริเอตต้าโยนหอกทิ้งแล้วชักดาบออกมาแทน อกของศัตรูเป็นรู แขนของศัตรูลอยกระเด็น ทุกครั้งยามที่ดาบของเธอตวัดเปล่งแสงสีฟ้า

เลือดสีแดงสาดกระจายไปทั่ว เสียงบาดหูดังก้องทุกครั้งที่หอกและดาบปะทะเข้ากับเกราะ

นักรบทั้งหลายต่างส่งเสียงคำราม

 

การประสานงากันเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งทุ่งราบนั้นเต็มไปด้วยเลือดและเครื่องใน

 

เสียงการเข่นฆ่าดังก้องรอบเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ จนทำให้หูของเธอชา

 

ราชินีนั้นทำตัวกลมกลืนไปกับสถานการณ์รอบข้างขณะที่กวัดแกว่งดาบ ม้าตัวโปรดของเธอนั้นทั้งขบกัดและเตะม้าตัวอื่น

 

ราชินีกับม้ารวมกันเป็นหนึ่งเพื่อกำจัดกวาดล้างทุกอย่างที่กีดขวางเส้นทาง

 

ไม่ว่าจะมือ ,แขน หรือ หัว ต่างลอยปลิวในชั่วขณะที่แสงสีฟ้าของราชินีตวัดพาดผ่านอย่างไร้ปรานี

 

“องค์ราชินี! องค์ราชินี!”

หนึ่งในชนชั้นสูงตะโกนขึ้น ราชินีจึงกลับมาได้สติอีกครั้ง

 

ไม่มีทหารศัตรูคนใดอยู่ตรงหน้าเธออีกแล้ว

ตอนนี้เธอเห็นรั้วไม้ของศัตรูและพลหอกอยู่ไม่ห่างนัก พวกเขาต้องทะลวงผ่านไปให้ได้! 

 

ราชินีเฮนริเอตต้านั้นหันหัวม้าเพื่อวนดูรอบๆก่อนจะยกดาบขึ้น

 

 

“หันหัวกลับมา! ตามข้ามา!”

 

กองทัพของราชินีนั้นทะลวงผ่านทหาร 12,000 นาย ราวกับเป็นใบมีดที่แหวกผ่านม่านมนุษย์

 

ได้เวลาแล้วที่จะแบ่งกองกำลังอีกฝ่ายเป็น 4 ส่วน

 

ตอนนั้นเองที่ราชินีเห็นอะไรบางอย่างเข้า ท่ามกลางกระบวนทัพของข้าศึก มีธงกุหลาบสีขาวอยู่ที่ตรงนั้น

 

ราชินีเฮนริเอตต้าตะโกนขึ้น

 

“แกอยู่นั่นเองรึ เฮนรี่ เดอ กุย!”

 

ม้าศึกของเธอพุ่งไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ โดยไม่ต้องรอคำสั่ง 

เจ้ากาดำของเฮนริเอตต้า นั้นรู้โดยสัญชาตญาณว่า เหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

ม้าศึกที่มีสายเลือดพ่อเป็นมอนสเตอร์เปล่งเสียงร้องอย่างน่ากลัวขณะที่พุ่งเข้าไป

 

 

 

 

—–

 

*พัลลัส เอเธน่า(Pallas Athena)

ชื่อเต็มของ เทพีเอเธน่า

หนึ่งในเทพีองค์สำคัญของเทพนิยายกรีก

บุตรีของซุสที่เกิดจากการที่ซุสกลืนเธธีสลงไป แล้วเกิดอาการปวดหัว และเฮเฟตัส(เทพแห่งช่างเหล็ก)เอาขวานมาจามหัวเพื่อแก้อาการปวดนั่นให้ เทพีเอเธน่าออกมาจากหัวซุสพร้อมกับชุดนักรบ(หมวก เกราะ โล่ หอก) และกลายเป็นเทพีที่เป็นตัวแทนแห่งสติปัญญา และการรบ สัตว์ประจำตัวคือ นกฮูก มีวิหารส่วนตัว มีประชาชนชาวเมืองที่เคารพและใช้ชื่อเมืองตามนางคือ เมือง เอเธน(Athen) และยังเป็นหนึ่งในแคนดิเดทผู้ที่จะโค่นล้มบัลลังค์ของซุสในอนาคตตามคำทำนายของโพรมีธีอุส

 

แต่น่าเสียดายที่มหากาพย์เรื่องนี้ไปไม่ถึงตรงจุดนั้น(อาจเพราะชาวกรีกสูญสิ้นไปก่อนหรืออาจเพราะเอกสารถูกเผาไปเสียมาก) จึงไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้โค่นบัลลังค์ซุสลงตัวจริงกันแน่

ชื่อละตินของ เอเธน่า คือ มิเนอร์ว่า (Minerva) 

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 206 สงครามลิลี่ (9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 206 สงครามลิลี่ (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

นักบุญหญิงลองวี่เปิดปาก

 

– ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งเดียวที่ข้าขอรับรอง

 

น้ำเสียงของเธอนั้นดังไปทั่วผืนฟ้าคราม เธอนั้นเฝ้ารออย่างเงียบๆมาตลอดทั้งการรบ

ตำแหน่งที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นต่อประเทศ ดังนั้นจึงมีเพียง 12 ตัวตนเท่านั้นบนผืนทวีป

แต่จำนวนที่ว่าก็ลดลงไปจนเหลือ 11 เพราะนักบุญหญิงแห่งฮับบวร์กนั้นถูกประหารเนื่องจากการแอบติดต่อลับๆกับกองทัพจอมมาร

ดังนั้นหนึ่งใน 11 นักบุญหญิงจึงเริ่มร้องเพลงสวด

 

 

– จิตวิญญาณนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าก่อนที่จะกลายมาเป็นสามัญชนและทาส 

ได้โปรดเถิด องค์เทพี โปรดประทานพรของท่านเพื่อปัดเป่าชะตากรรมให้พ้นไป

โปรดร่ายรำเริงระบำด้วยเท้าของเผ่าชนผู้ยิ่งใหญ่แล้วให้อภัยทุกชีวิตที่มีมากมาย

 

เหล่าทหารม้าตั้งแถวเป็นแนวกว้าง

 

เสียงร้องของนักบุญหญิงไหลซาบเข้าไปยังช่องว่างของเกราะ ระหว่างหมวก และเกราะอก ผ่านแผงคอม้าที่เหนื่อยล้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดและฝุ่นหนา

แม้แต่ภูตวิญญาณที่เคยเตลิดหนีเพราะเสียงปะทะยังแอบกลับมาส่องดูจากในป่า

 

เฮนริเอตต้านั้นมีทหารม้าเหลืออยู่เพียง  6,000 นาย

มันยากที่นักบุญหญิงเพียงผู้เดียวจะสามารถฟื้นฟูพลังกายของพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ร่างของนักบุญหญิงนั้นราวกับถูกทิ่มแทงด้วยเข็มนับพัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงเป็นนักบุญ สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนเสียด้วยซ้ำ เธอยังคงสวดภาวนาเช่นเดิมอย่างสงบ

 

 

– อันความจริง พวกเรานั้นห่างไกลความตาย แต่ถึงอย่างไรก็ดี พวกเรานั้นปรารถสิ่งเดียว เพียงอิสรเสรีเดียวที่คู่ควรกับพวกเรา ; นั่นคือ เสรีภาพในการเผชิญหน้ากับความตาย

 

พวกเรารู้ดีว่า มีเพียงหนึ่งเดียวเท่าที่ ผู้เป็นอมตะ ผู้คู่ควรแก่การกำหนดชะตา โอ้ องค์เทพีเอเธน่า

ประกายแสงสีฟ้าปรากฏไปทั่วทั้งร่างของทหารและม้าศึกก่อนจะหายวับไป

มันให้ความรู้สึกราวกับว่า เหล่าทหารม้าผู้ที่เคยพุ่งชาร์จเข้าใส่แนวรบของศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าถึงสี่เท่าได้ฟื้นร่างกายกลับมา เช่นเดียวกับนักเดินทางที่ท่องเที่ยวไปในทะเลทรายแล้วได้ดื่มน้ำเย็นอันแสนสดชื่

ม้าศึกร้องลั่นออกมาอย่างทรงพลังเหมือนหกชั่วโมงก่อน

นักบุญหญิงประสานมือไว้ด้วยกัน

 

 

– ได้โปรดอนุญาตให้ความตายนั้นยังคงเป็นความตายต่อไป

 

นักบุญหญิงลองวี่หล่นจากม้าหลังพูดคำนั้นจบ เธอสลบไสลไร้สติ

ผู้ติดตามที่อยู่รอบกายเธอนั้นเข้าประคองร่างของนักบุญหญิง

ร่างทั้งร่างของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ นับตั้งแต่เริ่มสวดภาวนา ยาวนานกว่านาที

 

 

 

“ยอดเยี่ยมมาก แจ็กเกอลีน ลองวี่ เพื่อนข้า”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าควบม้าไปข้างหน้า

ราชินีผู้มีเรือนผมสีแดงสการ์เล็ทนั้นหันหัวม้ากลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับทหารม้านับหลายพันตรงหน้าเธอ

ราชินีหัวเราะเบาๆก่อนจะมองพวกเขาด้วยแววตาที่ตึงเคร่ง

 

“ทหารรักของข้า เมื่อใดกันที่กองทัพจะพ่ายแพ้?”

ราชินีนั้นสั่งเปิดการใช้งานเวทย์มนตร์ขยายเสียงที่สร้อยคอแล้วพูดขึ้น

“ใช่ตอนที่พวกเขานั้นได้รับความพ่ายแพ้ในการศึกอย่างนั้นหรือ? 

ใช่ตอนที่พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ในการสงครามอย่างนั้นหรือ?

ใช่ตอนที่พวกเขาสูญเสียผู้บัญชาการไปหรือตอนที่ธงชัยถูกหักโค่งลงอย่างนั้นหรือ? 

ไม่เลย ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย”

ราชินีส่ายหัว

 

 

“เหล่านักรบเอ๋ย การศึกของพวกเจ้านั้นมิได้อยู่ที่นี่”

 

เธอชี้ไปที่จมูกตัวเอง

 

“มันอยู่ที่นี่ต่างหาก นี่ต่างหากคือ สนามรบของพวกเรา นับตั้งแต่ที่พวกเจ้าตัดสินใจที่จะช่วยมิตรสหาย หรือเมินเฉยต่อพวกเขา ที่นั่นต่างหากที่เป็นสนามรบของพวกเจ้า

 

การต่อสู่ของเจ้าจะเป็นตัวตัดสินว่าจะชะงักชะงันรั้งรอในขณะที่หอกกำลังพุ่งเข้ามาหรือไม่

เจ้าจะยอมเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอันแสนสาหัสแล้วยอมรับความตายหรือไม่? นั่นต่างหากคือ สนามรบของพวกเจ้า”

ราชินีเฮนริเอตต้าชี้ที่ผืนดิน

 

“หากมีคนๆหนึ่งอยู่ที่นี่ เขานั้นใช้ชีวิตไปตามธรรมดา เกิดขึ้นตามวิถีคนธรรมดา ใช้ชีวิตอันแสนธรรมดากับครอบครัว และตายลงในช่วงอายุ 60 ปี ”

 

เธอยกมือซ้ายขึ้นชี้ไปบนฟ้า

 

“และยังมีอีกผู้หนึ่งเช่นกัน ที่กระโดดลงจากความสูงเสียดฟ้าไกลห่างดั่งมาจากดวงจันทร์ เคลื่อนคล้อยลงมายังผืนโลกอย่างเชื่องช้าหากแต่มั่นคงไม่สั่นไหว

ผู้นั้นร่วงหล่นลงมายาวนานถึง 60ปี ― ก่อนที่จะลงถึงพื้นแล้วตายลงไป 

มนุษย์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่บนผืนดินมากว่า 60 ปีก่อนจะตาย ในขณะที่อีกผู้หนึ่งตกลงเกือบ 60ปี ก่อนจะตาย

ความตายของทั้งสองนั้นแตกต่างกันหรือไม่?”

 

ทหารทั้ง 6,000 นาย ตั้งใจฟังราชินีของพวกเขาอย่างเงียบๆ 

น้ำเสียงของเธอนั้นหนักแน่นและดังกังวาน เป็นเหมือนดั่งกิ่งรากของต้นไม้ที่หยั่งรากลึกลงไป

 

“มันอาจไม่มีอะไรต่างกันเลยด้วยซ้ำ ชีวิตหนึ่งดำรงอยู่ตามปรกติธรรมดาบนผิวโลกมา 60 ปี และอีกชีวิตที่ร่วงหล่นลงมาในห้วงเวลาเดียวกัน

 

แต่ขอถามหน่อยว่า ชีวิตของทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันใช่ไหม? 

ทหารทุกคน นี่เป็นปัญหาของมนุษยชาติและจะยังคงเป็นปัญหาเช่นนั้นไปตลอดกาลนาน

คำถามที่ยอดยิ่งกว่าคำถามใด แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ? 

พวกเจ้าทุกคนต่างต้องล้มตายเหมือนกันใช่ไหม? 

มีสิ่งใดหรือที่ไม่เน่าไม่เปื่อยสลาย?”

 

ราชินีถอนใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วพูดต่อ

 

“การที่พวกเจ้ามายืนอยู่ในสนามรบในวันนี้ พวกเจ้าจะถูกบังคับให้ตอบคำถามดังกล่าว

เพราะนี่คือ สมรภูมิอันเป็นสถานที่ที่จะโยนคำถามพวกนั้นใส่เจ้าอย่างเข้มข้นไม่จบสิ้น

ช่างน่าเศร้าใจเสียเหลือเกิน! 

ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเลี่ยงคำถามพวกนั้นมากเท่าใด ก็ไม่อาจทำได้”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าหัวเราะ

 

“ในทุกวินาทีที่ผ่านไป คำถามพวกนั้นจะถาโถมจู่โจมเจ้าเหมือนดั่งพายุ

เจ้าจะหันหลังหนียามเมื่อสหายตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?

เจ้าจะปิดตาตอนที่ศัตรูแทงหอกเข้ามาหรือไม่? 

เจ้าจะแกล้งไม่รู้ไม่เห็นต่อความตายขณะมันกำลังคืบคลานมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บอันน่าสยดสยองหรือไม่?”

 

เสียงม้าศึกนับพันๆกระทืบย่ำ เตะฝุ่นจนคลุ้ง

ทหารม้าทั้งหลายต่างหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปลุกกำลังใจตน ราชินีเฮนริเอตต้าเห็นดังนั้นจึงตะโกนขึ้น

 

 

“ทหารทุกคน ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามิเคยได้มีชีวิตมาก่อนเลย

ที่นี่วันนี้ เวลานี้เจ้าจะได้รับการทดสอบครั้งสำคัญ การทดสอบว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือที่ผ่านมาเป็นเพียงซากศพไร้ชีวิต

นี่คือ ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของพวกเจ้า

สงครามและการสู้รบนั้นมาเป็นรอง การตอบคำถามนี้ให้ได้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด!”

 

ม้าศึกสีดำของเฮนริเอตต้านั้นชูขาหน้าทั้งสองขึ้นกลางอากาศ ราชินีมองทหารของเธอจากมุมสูง

 

“เจ้าจะค่อยๆล้มตัวลงช้างๆหลังจากใช้ชีวิตมานานนับสิบปีหรือไม่!? หรือ เจ้าเลือกที่จะก้าวออกไปข้างหน้าอีกสักก้าว!?

เหล่านักรบเอ๋ย, จงเกิดใหม่ในฐานะมนุษย์บนทวีปที่เต็มไปด้วยกองศพเถิด!

จงก้าวไปข้างหน้าแล้วเผชิญกับความยากลำบาก ชีวิตนั้นจักมีค่าให้ดำรงอยู่ก็ต่อเมื่อเอาชนะเหนือความยากลำบากนั้น!”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าชูปลายหอกขึ้นไปบนฟ้า

กองทหารของเธอต่างตะโกนดังลั่งพร้อมกับเสียงร้องของม้า หอกทั้ง 6,000 ด้ามชูแทงขึ้น ขาหน้าของม้าทั้ง  12,000 กีบ ต่างกระทืบไปบนพื้น

 

“มีเพียงมนุษย์ผู้ที่ปรารถนาที่จะตายในวันนี้จึงดำรงอยู่ต่อไปได้

ในขณะที่มนุษย์ผู้ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อจักต้องตายลง!

ข้าไม่เคยเชื่อแม้สักครั้งว่า กองทัพของข้าจะประสบกับความพ่ายแพ้ 

ข้าไม่เคยเลย!

นักรบทั้งหลายของข้า บุตรธิดาแห่งพัลลัส เอเธน่า! 

นักรบทั้งหลายผู้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากการรบจากการเผชิญหน้าพวกมัน!”

ราชินีเฮนริเอตต้าหันหัวม้ากลับไปเผชิญหน้ากับทหารม้า 12,000 นายของฟรานเคีย

 

 

ไม่เพียงแต่พวกเขานั้นมีกำลังพลเป็นสองเท่าของกองทัพราชินีเท่านั้นหากแต่พวกเขายังกะปรี้กะเปร่าเนื่องจากยังไม่ได้รบเลยสักครั้ง ราชินีเปล่งเสียงดังลั่นออกมา

 

“―พุ่งเข้าไป!”

 

ม้าของราชินีนั้นพุ่งทะยานไปก่อนใคร

 

ทหารม้าที่ตามหลังเธอนั้นต่างกู่ก้องร้องตะโกนขณะที่ตะบึงม้า

ม้าศึกของพวกเขานั้นคำรามออกมา ในหมู่พวกเขานั้นมีทั้งชาวบริททาน,ฟรานเคียน,เบอนิเชียนและเคสทิลเลี่ยน ทั้งอัศวินและทหารรับจ้าง

 

แต่ถึงอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นเองทุกคนรับใช้ใต้ผู้ปกครองเดียวกัน นั่นคือ เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ พวกเขาอยู่ใต้การนำของราชินีผู้นั้นผู้เดียว

 

ทหารม้า  12,000 นายของฝ่ายศัตรูเริ่มขยับเคลื่อนด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่างดยุคกุยก็ด้วย

สมแล้วที่เขาได้รับสมญานามว่า เป็นอัศวินผู้ทรงเกียรติและชนชั้นสูงที่ยอดเยี่ยม ดยุคผู้นั้นยืนเคียงข้างกับหน่วยทหารม้าของเขา

 

ดยุคกล่าวปราศรัยกระตุ้นกำลังใจให้กับเหล่าทหารม้าฟรานเคียให้มีความกล้าหาญ

ระยะระหว่างทหารทั้งสองกองทัพแคบลงเรื่อยๆ

 

 

“พวกมันมี 10,000!”

 

เฮนริเอตต้าตะโกนออกมา

เธอลดเสียงเวทย์ขยายเสียงลงให้ได้ยินกันเฉพาะชนชั้นสูงรอบตัวเธอเท่านั้น

 

 

“พวกมันมีจำนวนเป็นสองเท่าของพวกเรา! พวกเจ้ากลัวกันไหม ทหารข้า!?”

 

“ไม่!”

 

“พวกเราจะพุ่งชาร์จมันสองครั้งแล้วแบ่งทัพมันออกเป็นสี่ จากนั้นก็ค่อยๆบดขยี้ไปทีละส่วน ให้มันเหลือกลุ่มละ  2,500 นาย 

เข้าใจกันหรือยัง? พวกมันไม่ได้มีจำนวนสองเท่าของพวกเรา เราต่างหากที่มีจำนวนสองเท่าของพวกมัน!”

 

ราชินีเฮนริเอตต้าคำรามลั่น

 

“นายพลใต้การบัญชาการของข้าสมควรที่สามารถกำจัดกองทหารที่น้อยกว่าเราถึงครึ่งหนึ่งได้โดยง่าย!”

 

“ฝ่าบาทพูดถูกแล้ว!”

 

“หากนายพลคนไหนไม่อาจหิ้วหัวได้ถึงสิบหัว รู้ไว้ซะนะ วันนี้แหละจะเป็นงานศพของเจ้า!”

 

ราชินีเลื่อนกะบังหน้าหมวกเหล็กลงปิด ชนชั้นสูงคนอื่นต่างทำเช่นเดียวกัน เหล่าลูกน้องใกล้ชิดราชินีต่างก็ทำตามแม้จะไม่ใช่นักรบ

 

ม้าศึกของเฮนริเอตต้านี้เป็นที่รู้จักกันว่า ไร้เทียมทาน ยามเมื่อเธอนำทัพ ม้าของเหล่าผู้บัญชาการทั้งหลายที่ไม่ดีเท่าจึงตามหลังเธอไป

เบื้องหลังพวกเขาคือ ทหารม้า  6,000 นาย ในฐานะอารักขาองค์ราชินี พวกเขาสร้างรูปขบวนสามเหลี่ยม โดยเคลื่อนข้ามทุ่งราบไป

 

 

จากการวิ่งเหยาะ 

ทหารม้าทั้่งหลายต่างเร่งความเร็วจนเข้ามาถึงระยะห่างจากศัตรูเพียง 200 เมตร 

เสียงร้องตะโกนท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวน

 

สู่การควบวิ่งทะยาน 

ทหารม้ากระชับบังเหียนในมือเร่งม้าจนอยู่ในระยะ 100 เมตร

 

เสียงย่ำกีบของม้าดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงตะโกนของทหารหาญ พวกเขาชี้หอกไปด้านหน้า

 

 

“แด่องค์ราชินีของพวกเรา!”

 

“เกียรติยศแด่เฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่!”

 

การวิ่งห้อ

ระยะห่างเหลือเพียง 40 เมตร ม้าศึกต่างเร่งความเร็วสูงสุด ธงเล็กน้อยแขวนปลายหอกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง  ชั่ววินาทีที่เกือกม้าย่ำถี่―กองทัพทั้งสองก็เข้าปะทะกัน

 

– โครมม! เกร้งงง!

 

ทหารม้าต่อทหารม้า ปะทะกัน

ก่อนอื่น หอกที่ยาว 8 เมตรเคลือบหุ้มด้วยออร่าแทงทะลุหัวใจของทหารม้าอีกฝ่าย หอกที่ยาว 3 ถึง 5 เมตรก็แทงเข้าไปด้วยเช่นกัน

 

หอกเหล็กนั้นทะลวงไหล่ของชายผู้ชื่อ ปิแอร์ ความแข็งแกร่งของหอกทำเอาปิแอร์ตกจากม้าหน้าคลุกฝุ่น

 

หอกอีกเล่มเสียบเข้าที่ท้ายทอยของอัศวินที่ชื่อ แม็กซิมิเลี่ยน ทำให้ร่างใหญ่ของเขาหล่นตุบลงกับพื้น เกราะที่สวยงามของเขากระแทกกับพื้นดังแกร้งลั่น

 

ทหารที่มีชื่อว่า ดีโอเร นั้นหลบหอกได้ แต่ก็โดนม้าชนกระเด็นและไม่อาจทนต่อแรงกระแทกไหว ดีโอเรนั้นตกอยู่ท่ามกลางฝุ่นควันจนหายใจแทบไม่ออก เขายื่นมือออกไปพยายามควานหามิตรสหาย

 

ตอนนั้นเองที่ม้าศึกเตะฝุ่นใส่และเหยียบท้องของดีโอเร กีบม้าบดขยี้หน้าท้องของเขาอย่างไร้ปรานีทำให้เครื่องในทะลักออกมา ดวงตาของดีโอเรนั้นถลนออกนอกเบ้าขณะที่เขายังกรีดร้องอยู่

 

“อ๊ากกกกกกกกก!”

 

เฮนริเอตต้าโยนหอกทิ้งแล้วชักดาบออกมาแทน อกของศัตรูเป็นรู แขนของศัตรูลอยกระเด็น ทุกครั้งยามที่ดาบของเธอตวัดเปล่งแสงสีฟ้า

เลือดสีแดงสาดกระจายไปทั่ว เสียงบาดหูดังก้องทุกครั้งที่หอกและดาบปะทะเข้ากับเกราะ

นักรบทั้งหลายต่างส่งเสียงคำราม

 

การประสานงากันเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งทุ่งราบนั้นเต็มไปด้วยเลือดและเครื่องใน

 

เสียงการเข่นฆ่าดังก้องรอบเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ จนทำให้หูของเธอชา

 

ราชินีนั้นทำตัวกลมกลืนไปกับสถานการณ์รอบข้างขณะที่กวัดแกว่งดาบ ม้าตัวโปรดของเธอนั้นทั้งขบกัดและเตะม้าตัวอื่น

 

ราชินีกับม้ารวมกันเป็นหนึ่งเพื่อกำจัดกวาดล้างทุกอย่างที่กีดขวางเส้นทาง

 

ไม่ว่าจะมือ ,แขน หรือ หัว ต่างลอยปลิวในชั่วขณะที่แสงสีฟ้าของราชินีตวัดพาดผ่านอย่างไร้ปรานี

 

“องค์ราชินี! องค์ราชินี!”

หนึ่งในชนชั้นสูงตะโกนขึ้น ราชินีจึงกลับมาได้สติอีกครั้ง

 

ไม่มีทหารศัตรูคนใดอยู่ตรงหน้าเธออีกแล้ว

ตอนนี้เธอเห็นรั้วไม้ของศัตรูและพลหอกอยู่ไม่ห่างนัก พวกเขาต้องทะลวงผ่านไปให้ได้! 

 

ราชินีเฮนริเอตต้านั้นหันหัวม้าเพื่อวนดูรอบๆก่อนจะยกดาบขึ้น

 

 

“หันหัวกลับมา! ตามข้ามา!”

 

กองทัพของราชินีนั้นทะลวงผ่านทหาร 12,000 นาย ราวกับเป็นใบมีดที่แหวกผ่านม่านมนุษย์

 

ได้เวลาแล้วที่จะแบ่งกองกำลังอีกฝ่ายเป็น 4 ส่วน

 

ตอนนั้นเองที่ราชินีเห็นอะไรบางอย่างเข้า ท่ามกลางกระบวนทัพของข้าศึก มีธงกุหลาบสีขาวอยู่ที่ตรงนั้น

 

ราชินีเฮนริเอตต้าตะโกนขึ้น

 

“แกอยู่นั่นเองรึ เฮนรี่ เดอ กุย!”

 

ม้าศึกของเธอพุ่งไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ โดยไม่ต้องรอคำสั่ง 

เจ้ากาดำของเฮนริเอตต้า นั้นรู้โดยสัญชาตญาณว่า เหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

ม้าศึกที่มีสายเลือดพ่อเป็นมอนสเตอร์เปล่งเสียงร้องอย่างน่ากลัวขณะที่พุ่งเข้าไป

 

 

 

 

—–

 

*พัลลัส เอเธน่า(Pallas Athena)

ชื่อเต็มของ เทพีเอเธน่า

หนึ่งในเทพีองค์สำคัญของเทพนิยายกรีก

บุตรีของซุสที่เกิดจากการที่ซุสกลืนเธธีสลงไป แล้วเกิดอาการปวดหัว และเฮเฟตัส(เทพแห่งช่างเหล็ก)เอาขวานมาจามหัวเพื่อแก้อาการปวดนั่นให้ เทพีเอเธน่าออกมาจากหัวซุสพร้อมกับชุดนักรบ(หมวก เกราะ โล่ หอก) และกลายเป็นเทพีที่เป็นตัวแทนแห่งสติปัญญา และการรบ สัตว์ประจำตัวคือ นกฮูก มีวิหารส่วนตัว มีประชาชนชาวเมืองที่เคารพและใช้ชื่อเมืองตามนางคือ เมือง เอเธน(Athen) และยังเป็นหนึ่งในแคนดิเดทผู้ที่จะโค่นล้มบัลลังค์ของซุสในอนาคตตามคำทำนายของโพรมีธีอุส

 

แต่น่าเสียดายที่มหากาพย์เรื่องนี้ไปไม่ถึงตรงจุดนั้น(อาจเพราะชาวกรีกสูญสิ้นไปก่อนหรืออาจเพราะเอกสารถูกเผาไปเสียมาก) จึงไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้โค่นบัลลังค์ซุสลงตัวจริงกันแน่

ชื่อละตินของ เอเธน่า คือ มิเนอร์ว่า (Minerva) 

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+