Dungeon Defense (WN) 208 สงครามลิลี่ (11)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 208 สงครามลิลี่ (11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเจเรมิปฏิเสธข้อเสนอของอัศวินคนนั้น

 

 

“เลิกมาตอแหลได้แล้วน่า!คิดว่า คนอย่างพวกเราจะไปยอมแพ้ไอ้หมารับใช้ของพวกบริททานี่รึไง ห้ะ!?”

 

ชายวัยกลางคนที่มีเคราหนาก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมตะโกนก่อนที่เจเรมิจะได้ทันพูดอะไรด้วยซ้ำ

 

 

มันเป็นเหมือนดั่งปฏิกริยาลูกโซ่ที่พอมีคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาแล้ว คนอื่นๆก็พากันโวยวายใส่อัศวินคนนั้นด้วย

 

บางคนถึงกับปาหินใส่ด้วยซ้ำ อัศวินคนนั้นก็ปัดป้องหิน6-7ก้อนด้วยมืออย่างง่ายดาย

 

 

“เจ้าพวกโง่ พวกแกน่ะแพ้ไปแล้ว”

อัศวินผู้นั้นยังพูดต่อ

“พวกแกทั้งหลายที่อยู่ที่นี่น่ะ ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากพวกแพ้สงครามที่โดนทอดทิ้ง นี่พวกแกจะโยนโอกาสดีๆแบบนี้ทิ้งไปเนี่ยนะ?

 

คิดให้ดีๆนะเว้ย แค่พวกแกส่งตัวผู้บัญชาการมา พวกเราสัญญาว่าจะปล่อยที่เหลือกลับบ้านอย่างปลอดภัย…….”

 

 

“เราจะเก็บไปคิดถ้าพวกเอ็งอะส่งราชินีของพวกเอ็งมาให้พวกข้าก่อน”

 

หนึ่งในทหารของพวกเราเย้ยเยาะ

 

 

“ข้าได้ยินว่า นางน่ะเร่าร้อนจัดถึงกับเล่นเอาล่อเอาเถิดกับเหล่าชนชั้นสูงในวันข้ามวันข้ามคืนเลยนี่”

 

“เห็นบอกกันว่า มีฮาเร็มหนุ่มน้อย 200 กว่าคนให้จ้ำจี้กันสนุกเลยนี่!? ไม่เคยได้ยินเหรอที่บอกว่า ราชินีบริททานี่น่ะไม่อึ๊บหนุ่มน้อยแค่คนเดียวหรอก มันต้องสี่คนพร้อมๆกัน”

 

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ?”

 

“หำเดียว มันไม่พอรูของนางหรอก เข้าใจไหม อันเดียวมันไม่พอ อย่างน้อยก็ต้องสอง!”

 

ทหารอาสาฝ่ายเราหัวเราะเสียงแหลม

เฮ่อ พวกนี้ทำเอาผมถอนใจออกมา

 

 

ในขณะที่สีหน้าของอัศวินคนนั้นกลับบูดบึ้ง ดูท่าทางของเขาสิ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่อัศวินที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด แต่คงโดนปั้นมาจากสถาบันอัศวินที่กินเงินภาษีของประเทศชาติ ว่าง่ายๆเจ้านี่มันเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่ง แค่โดนพูดหยอกด้วยมุกตลกลามกก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธแล้ว

 

“แกกล้าดียังไง…….”

 

“โอ้เดี๋ยวสิๆ สองคนเองเหรอ แล้วอีกสองคนล่ะ?”

 

“ไม่ใช่แค่รูเดียวนี่ที่เอาหำไปเสียบได้ แกก็น่าจะรู้ ฮี่ฮี่ เวลาที่ราชินีแห่งบริททานี่ผู้สูงศักดิ์จะเอากัน ข้าได้ยินว่านางช่วยตัวเองอย่างกับแมงมุมโดยมีหนุ่มหน้าสวยรายล้อมไปหมด”

 

เหล่าทหารต่างระเบิดหัวเราะออกมา

“เฮ้ ถ้าอย่างนี้เราไม่ควรยอมแพ้นะ! มามา เรามา ฮูเร่ให้กับราชินีแมงมุมกันเหอะ”

 

“อย่าห่วงเลยนะ ท่านอัศวิน พวกเราน่ะเลื่องชื่อในฟรานเคียอยู่แล้วในเรื่องกามๆ

 แม้นายจะทำให้ราชินีพอใจในหำเหี่ยวๆไม่ได้ แต่พวกเรามั่นใจว่าทำให้นางถึงได้ เอ้า เอาล่ะรีบพานางมาหาพวกเราเร็วๆสิ!”

 

“…….”

 

อัศวินคนนั้นมองเขม่นมาที่พวกเรา ก่อนจะหันหัวม้าแล้วจากไป ทหารฝ่ายเราก็หัวเราะใส่ดังๆ

 

“โฮ้ย ไอ้หนูหำหดเอ๊ย!”

 

“ไว้หำถอกก่อนค่อยมาใหม่นะ ไอ้หนู!”

ผมฝืนแสร้งหัวเราะออกมา แม้แต่เจเรมิที่ยืนข้างๆผมก็กำลังหัวเราะอยู่ได้

 

ผมได้แต่แอบพึมพัมกับตัวเอง

 

“ดูเหมือนข้าจะได้เป็นผู้บัญชาการเหล่าทหารผู้ยอดเยี่ยม”

 

“แน่นอนครับ ฝ่าบาท”

 

ทหารอาสากลับมีความสมานสามัคคีและไว้ใจได้ยิ่งกว่าพวกทหารม้าฝ่ายเดียวกันที่มีสภาพน่าสังเวช ผมไม่ได้หัวเราะออกมาเพราะตลก หากแต่หัวเราะเพื่อเย้ยหยันความจริงเรื่องนั้นต่างหาก

 

คนพวกนี้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เพราะผมปลุกระดมพวกเขา

ถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยคำลวง แต่เจตจำนงของเขานั้นเป็นของจริง

พวกเขาน่ะมีความเป็นมนุษย์แท้มากกว่าตัวตลกอย่างผมเสียอีก

 

จักรพรรดิที่ดันคิดจะก่อสงครามกลางเมือง ณ ดินแดนที่ผู้คนแบบนี้อาศัยอยู่? ยากที่จะมองว่า จักรพรรดิสติดีอยู่

 

ผมตัดสินใจแล้ว

 

“แยกคนเจ็บออกไป”

 

“อะไรนะคะ?”

 

 

“ข้าจะใช้อาติแฟ่ค เทเลพอร์ทย้ายพวกนั้นไปยังเมืองด้านหลังพวกเรา 

ต่อให้ทัพศัตรูยอมรับการยอมจำนนของพวกเรา ก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติดีๆต่อพวกคนเจ็บ พวกเขาจะต้องทนเจ็บไปอีกนานจนกว่าจะข้ามไปอีกฟากได้”

 

แต่หากเราย้ายคนเจ็บไปยังเมืองข้างหลังพวกเรา แล้วคนเจ็บก็จะได้รับการดูแลรักษา แม้วิธีการรักษาเยียวยาอาจจะป่าเถื่อนไปบ้างแต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้ไม่ทำอะไร

ความจริงที่ว่ากองกำลังของเหล่าชนชั้นสูงโดนกวาดล้างไปในการรบวันนี้ทำให้กองทหารอาสานั้นมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

ผู้ดูแลเมืองย่อมต้องดูแลพวกเขาในฐานะที่ไม่ยอมแพ้ให้กับพวกบริททานี่

เจเรมิทำหน้ากังวลขณะพูด

“แต่ท่านผู้บัญชาการคะ ท่านยังมีคัมภีร์เทเลพอร์ทเหลืออีกเท่าไหร่กัน?”

 

“ข้ามีเหลือแค่ใช้ปกป้องชีวิตข้า”

ผมแตะที่อกตัวเอง

 

“เจ้าก็รู้นี่ว่า ข้ามีเงินเท่าไหร่ ถูกไหม? เอาล่ะ อาติแฟ่คพวกนี้ราคามันเกินกว่า สิบเหรียญทองอยู่แล้ว แต่ก็ขอให้คิดเสียว่า มันเป็นความใจดีอันฟุ้งเฟ้อของเศรษฐีหน้าใหม่ก็แล้วกัน

ถือว่า ข้าตกรางวัลให้พวกเขาที่แสดงผลงานกันได้ยอดเยี่ยม”

 

“อ่าาา รับทราบค่ะ……หากท่านว่าอย่างนั้น”

 

เจเรมิถึงกับบ่นอุบเรื่องที่ผมใช้เงินทิ้งขว้างอย่างกับน้ำ

เธอรู้ดีว่า ทุนรอนค่าเสบียงทั้งหลายของทหารนั้นมาจากกระเป๋าตังผมโดยตรง

พวกเรารวมคนเจ็บไปกองไว้ที่เดียว มีชายคนนึงยังเอาแต่ตะโกนว่า เขาไม่เป็นอะไร ปล่อยเขาไป แต่คนที่กระดูกหักไปแล้วจะทำอะไรได้……? 

 

เจเรมิหวดหมอนั่นเข้าโครมนึงแล้วก็ลากหมอนั่นที่ทำตัวสงบเสงี่ยมไปอย่างเงียบๆ ทหารคนอื่นๆถึงกับหัวเราะกับภาพเหตุการณ์นั้น

พวกเรามีกำลังใจดี และเต็มไปด้วยความสุขุม เผลอๆหน่วยของพวกเราอาจเหมาะกับการรบครั้งนี้ที่สุดเลยด้วยซ้ำ

 

พวกเราถมช่องว่างระหว่างรั้วด้วยซากม้าศึกที่กองพะเนินสูง

สิ่งที่พวกเราทำมันคล้ายๆกับก่อป้อมปราการขนาดย่อมขึ้นมา พอจะมีเวลาสักหน่อยก่อนที่กองทหารของบริททานี่จะมาหาพวกเรา

 

 

ไม่มีอะไรต้องพูดเรื่องที่พวกเขาจะยกทัพมาหา

กองกำลังของศัตรูนั้นวนซ้ำกลยุทธเดิม ตั้งแต่หัววัน จนถึงตอนนี้นี่ไม่เหนื่อยไม่เบื่อกันบ้างหรือยังไงกัน? 

พลธนูบนหลังม้าก็สาดธนูห่างออกไป 20-30 เมตร ก่อนจะให้ทหารม้าชาร์จเข้ามาพร้อมหอก

แต่ถึงอย่างนั้นความแรงก็ลดฮวบฮาบ

ต้นไม้ทั้งหลายกลายเป็นโล่ธรรมชาติ ควบคู่ไปกับรั้วไม้ของพวกเรา มันเพียงพอที่จะปกป้องชีวิตพวกเราจากทั้งธนูและการพุ่งชาร์จของม้า

 

ศัตรูดูอ่อนล้าลงไปมาก บทสวดภาวนาของนักบุญหญิง พูดง่ายๆก็คือ บัฟชั่วคราวของพวกนั้นหมดลงแล้ว 

ทหารม้าต่างเคลื่อนที่ช้าลงหลังจากพุ่งชน พุ่งกระแทกต่อเนื่อง6-7 ชั่วโมง

 

ถ้าอยู่ในที่ราบก็น่าเป็นห่วง แต่เสียดายนะ พวกเราอยู่กันในป่า

ทหารชาวบ้านของพวกเราตั้งรับพวกนั้นได้ถึงสามครั้งงามๆ

 

“ถอย!”

 

หลังจากพุ่งชาร์จครั้งที่สี่ ทหารม้าของศัตรูนั้นก็ล่าถอยโดยไม่ได้อะไรกลับไปเลยแถมยังต้องเสียม้าศึกราคาแพงแสนแพงไปอีกด้วย

ศพของม้าศึกตอนนี้กลายเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ศัตรูพุ่งเข้ามาได้อีก

 

 

“ฮุฮ่าฮ่า! ท่านนักบวช พวกนั้นนี่แม่งไม่เอาไหนเลยนะ!”

 

“มีแต่พวกหำเล็กเท่านั้นแหละที่จะเห่อโชว์เกราะเหล็กตัวเองแบบนั้น!”

 

“อ่าฮ่า ทำได้ดี”

 

ผมชื่นชมพวกเขาด้วยเสียงที่แหบห้าว

กองทหารของพวกเราเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานการณ์ดีๆแบบนี้ไม่ได้คงอยู่ไปตลอดหรอก

 

ศัตรูน่ะมีทั้งทหารเดินเท้า ทหารเดินเท้าที่ยังไม่เหนื่อยไม่ล้า ยังเพราะยังไม่ได้เข้าร่วมศึกเลยด้วยซ้ำ หากพวกนั้นเดินทางมาถึงที่นี่แล้วเปิดศึกเข้าโรมรัน พวกเราก็ย่อมแแพ้

แต่สุดท้ายนี้ก็ยังพอมีแสงแห่งความหวังในความมืดมิดอยู่……ประกายแสงสุดท้าย

 

 

หนทางที่ดีที่สุดที่กองกำลังบริททานี่จะมอบให้พวกเรายอมแพ้อีกครั้งหนึ่ง

แต่คราวนี้เงื่อนไขที่ทางนั้นเสนอให้จะใจดีกว่าเดิม เพราะตอนนี้บริททานี่น่ะชนะภาพรวมของสงครามไปแล้ว จึงไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะเสียทหารเดินเท้าไปอีก นั่นแหละคือความหวังเดียวของพวกเรา

 

หลังจากการพุ่งชาร์จของทหารม้า ศัตรูก็ส่งทูตมาหา คราวนี้เป็นชนชั้นสูงในชุดผ้าคลุมแดง ชนชั้นสูงหนุ่มตะโกนออกมาเมื่อมาอยู่ใกล้กับรั้วไม้

 

 

 

“ข้าคือ บารอนเน็ต การ์ซอน เดอ เดเซีย แห่ง บริททานี่(Baronet Garzon de Dezei of Brittany) ใครคือ ผู้บัญชาการของพวกเจ้า!?”

 

“เทพีอาร์เทมีส คือ ผู้บัญชาการของพวกเรา!”

หนึ่งในทหารของพวกเราตอบกลับทื่อๆแบบนั้น

 

 

“และผู้ที่เป็นตัวแทนของผู้บัญชาการของพวกเรานั่นคือ จอน โบล!”

 

“จอน โบล……. ข้าเข้าใจแล้ว <คนคลั่ง จอน โบล> นี่เอง ?”

 

ชนชั้นสูงผู้นั้นพยักหน้าราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

 

 

ตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า คนในบริททานี่เรียก จอน โบลว่ายังไงกัน 

นักบวชบ้า เหรอวะ!? ช่างเป็นการตั้งชื่อที่เลวร้ายเสียจริง รู้อย่างนี้ไม่น่าคาดหวังอะไรจากพวกหมูบริททานี่เล้ย…….

 

“นักบวชจอน โบล ข้าขอโอกาสได้พูดกับท่าน!”

 

“ถ้าข้าจำไม่ผิด เราได้สนทนากันไปกว่า 7 ชั่วโมงแล้ว”

 

ผมเดินแทรกตัวระหว่างพลหอกระหว่างตอบกลับไป

 

ชนชั้นสูงคนนั้นถอดหมวกออกแล้วโค้งให้อย่างสุภาพ ผมปฏิบัติตามมารยาทในการทักทายของนักบวชและทักทายกลับไป การกระทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการสงบศึกชั่วขณะโดยไม่ต้องบอกกล่าว ชนชั้นสูงสวมหมวกเสียบขนนกแล้วพูดเข้าประเด็นทันที

 

“นักบวชจอน โบล สงครามนี้จบลงแล้วมิใช่หรือ?”

 

“หากข้าฟังไม่ผิด ราชินีบริททานี่ประกาศเองนี่ว่า สงครามนี้ยังดำเนินอยู่ต่อไปชั่วกาลสำหรับเหล่านักรบ ดูเหมือนข้าคงหูฝาดไปเอง”

ผมยักไหล่

“พอมนุษย์เรามาอยู่ในสนามรบแล้วจะแก่กันไวผิดปกติ ท่านคิดเช่นนั้นไหม บารอนเน็ต การ์ซอน เดอ เดเซีย?”

 

“โอ้ ท่านนักบวชแห่งเซเลเน่* ท่านไม่ต้องพิสูจน์ตนต่อข้าหรอกว่าท่านนั้นเป็นนักพูดที่ยอดเยี่ยมเพียงใด”

ชนชั้นสูงหัวเราะแบบขมขื่น

 

 

“ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักในหมู่พวกเราดี ราชินีของพวกเรานั้นมักจะฟังสุนทราพจน์สุดคมคายหลักแหลมนั่นเสมอก่อนจะขึ้นครองบัลลังค์

ข้าเชื่อว่า พวกเขานั้นก็รู้จักรมารยาทสำหรับชนชั้นสูงไม่ต่างจากข้าหรอก แต่ถึงอย่างนั้น ข้ามาที่นี่ในฐานะทหาร”

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น การ์ซอน ในฐานะทหารนายหนึ่งปรารถนาจะบอกอะไรล่ะ?”

 

ชนชั้นสูงคนนั้นสูดหายใจลึกๆก่อนจะตอบกลับมา

 

“ท่านจะเลือกการยอมรับความพ่ายแพ้อันทรงเกียรติหรือความตายที่น่าละอาย!?”

 

“…….”

มันเป็นคำถามที่ผ่าซากตรงไปตรงมา พวกเจ้าจะยอมแพ้หรือจะตายอย่างหมาที่นี่?

 

พอผมเงียบไป ชนชั้นสูงหนุ่มที่อยู่หลังรั้วไม้ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ

 

“ท่านนักบวช จอน โบล มันอาจฟังดูไร้สาระ แต่ขอข้าถามท่านสักอย่างได้ไหม 

ท่านคิดว่าอะไรคือความต่างระหว่าง ความเชื่อและความงมงาย?”

 

“ความเชื่อนั้นมีเหตุผล ส่วนความงมงายนั้นเป็นอารมณ์”

 

“ตอบได้ตามตำรามาก”

ชนชั้นสูงยิ้มออกมา

 

“ในฐานะทหาร ข้าเชื่อว่า ความเชื่อนั้นคือ การมุ่งหน้าไปอย่างหาญกล้า ในขณะที่ยังเชื่อว่ามีโอกาสในชัยชนะนั้นอยู่ ในขณะที่ความงมงายคือ การเดินหน้าเข้าสู่ความแพ้พ่าย”

 

ผมเข้าใจว่า หมอนี่กำลังจะสื่ออะไร

 

“แต่ความพ่ายแพ้ก็มอบอะไรให้เราได้หลายอย่าง”

 

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องแกล้งบอกปัดไปสักครั้ง หากผมตอบไปว่า ‘ใช่ ข้าเข้าใจแล้ว’ อีกฝ่ายก็จะบีบเงื่อนไขในการยอมแพ้ของพวกเราอีก ผมจึงตั้งใจตอบไปทั้งที่ทำเสียงแข็ง

 

“หากทำไปเพื่อความภาคภูมิใจของชาติ นั่นก็มิใช่ความตายอันน่าละอาย ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชื่อว่า การยอมจำนนนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่งกว่า”

 

 “โอ้ แน่ล่ะ ในหน้าประวัติศาสตร์อาจจะสรรเสริญท่านนักบวชจอน โบล และเหล่าทหารอาสา แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้ที่สรรเสริญไปมันจะมีค่าอะไรกัน? ก็ในเมื่อลูกหลานในชาติจะไม่มีวันลืมตราบาปที่ท่านได้ก่อขึ้นอันเนื่องจากลากพาสามัญชนมาตายในสนามรบเพียงเพื่อจะรักษาเกียรติยศของชาติ”

 

“…….”

 

ผมแกล้งทำทีเป็นครุ่นคิดสิ่งที่เขาพูดมา นี่เขาคิดว่าตัวเองสามารถจูงใจผมได้แล้วสินะ?  หมอนั่นก็พูดต่ออีก

 

“โปรดรักษาชีวิตของผู้คนไว้เถิด นักบวช จอน โบล ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ จะให้สามัญชนคนธรรมดาเช่นนั้นจะต้องมาแบกรับความรับผิดชอบโง่ๆ ทั้งยังต้องมาเสียเลือดเสียเนื้อให้กับสงครามกลางเมืองครั้งนี้”

 

เหล่าทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังผมกลับตะโกนเมื่อฟังเขาพูดจบ

 

“ไม่ใช่ พวกแกต่างหากที่รุกรานพวกเราก่อน! พวกแกต่างหากที่หยามหมิ่นเกียรติขององค์จักรพรรดิ!”

 

“ท่านนักบุญ! อย่าไปฟังไอ้หนุ่มนี่ ให้พวกเราซัดหน้าไอ้สำอางนี่เถอะ!”

 

“พวกข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะฆ่าพวกขี้ขโมยบริททานี่!โว้ย!”

 

ผมยกมือขวาขึ้นช้าๆ แล้วเหล่าทหารก็หุบปากพร้อมกัน ผมพูดประโยคหนึ่งก่อนจะเงียบไป

 

“……มีอะไรยืนยันหรือไม่ว่า ท่านจะไม่คุกคามทำร้ายทหารของเราหลังจากยอมแพ้ไปแล้ว?”

 

“ถึงข้าขอสาบานต่อทวยเทพทุกพระองค์……ก็คงไม่อาจคลายความกังวลของท่านได้”

 

เขายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

 

“องค์ราชินีของพวกเรานั้นให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น เป้าหมายขอพระนางคือ การกวาดล้างกำจัดกองทหารของบัทตาเวียและไล่ตามทัพที่เหลือของดยุคกุย

หากให้ข้าพูดตามตรง กองทหารอาสาของท่านก็เป็นแค่ตัวเกะกะน่ารำคาญสำหรับฝ่ายเรา”

 

“น่ารำคาญสินะ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้นสินะ”

 

“ถูกต้อง”

ชนชั้นสูงคนนั้นยกมือขึ้นทาบอกและสาบาน

“ทิ้งอาวุธแล้วยอมจำนนเถิด

กองทหารของพวกท่านไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น 

มุ่งหน้าไปทางตะวันออกมือเปล่า  ข้าขอสาบานต่อครอบครัวและเกียรติของนายเหนือหัวของข้าว่า หน่วยของข้า จะคอยคุ้มครองดูแลท่านไปจนถึงเมืองที่ใกล้ที่สุด”

 

“…….”

 

 

ผมหลับตาลง

 

แสงแดดในช่วงกลางวันสาดฉายมายังเปลือกตา ผมอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ ณ ทุ่งราบนักบุญเดนนิส ปล่อยให้แสงอาบฉายทั้งใบหน้าและร่างกาย แสงแดดที่สาดส่องลงมาประทับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก

 

 

ผมเปิดปากพูด

 

 

“พวกเราขอยอมแพ้”

 

 

 

—-

*เซเลเน่

แต่เดิมเป็นเทพีอีกองค์หนึ่งเป็นบุตรของไททั่นไฮเพอเรียน(Hyperion) กับ ไททั่นธีอา (Theia) แต่ต่อมาถูกแทนที่ด้วยเทพีอาร์เทมิสแทน (เช่นเดียวกับเทพีลูน่า)

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 208 สงครามลิลี่ (11)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 208 สงครามลิลี่ (11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเจเรมิปฏิเสธข้อเสนอของอัศวินคนนั้น

 

 

“เลิกมาตอแหลได้แล้วน่า!คิดว่า คนอย่างพวกเราจะไปยอมแพ้ไอ้หมารับใช้ของพวกบริททานี่รึไง ห้ะ!?”

 

ชายวัยกลางคนที่มีเคราหนาก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมตะโกนก่อนที่เจเรมิจะได้ทันพูดอะไรด้วยซ้ำ

 

 

มันเป็นเหมือนดั่งปฏิกริยาลูกโซ่ที่พอมีคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาแล้ว คนอื่นๆก็พากันโวยวายใส่อัศวินคนนั้นด้วย

 

บางคนถึงกับปาหินใส่ด้วยซ้ำ อัศวินคนนั้นก็ปัดป้องหิน6-7ก้อนด้วยมืออย่างง่ายดาย

 

 

“เจ้าพวกโง่ พวกแกน่ะแพ้ไปแล้ว”

อัศวินผู้นั้นยังพูดต่อ

“พวกแกทั้งหลายที่อยู่ที่นี่น่ะ ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากพวกแพ้สงครามที่โดนทอดทิ้ง นี่พวกแกจะโยนโอกาสดีๆแบบนี้ทิ้งไปเนี่ยนะ?

 

คิดให้ดีๆนะเว้ย แค่พวกแกส่งตัวผู้บัญชาการมา พวกเราสัญญาว่าจะปล่อยที่เหลือกลับบ้านอย่างปลอดภัย…….”

 

 

“เราจะเก็บไปคิดถ้าพวกเอ็งอะส่งราชินีของพวกเอ็งมาให้พวกข้าก่อน”

 

หนึ่งในทหารของพวกเราเย้ยเยาะ

 

 

“ข้าได้ยินว่า นางน่ะเร่าร้อนจัดถึงกับเล่นเอาล่อเอาเถิดกับเหล่าชนชั้นสูงในวันข้ามวันข้ามคืนเลยนี่”

 

“เห็นบอกกันว่า มีฮาเร็มหนุ่มน้อย 200 กว่าคนให้จ้ำจี้กันสนุกเลยนี่!? ไม่เคยได้ยินเหรอที่บอกว่า ราชินีบริททานี่น่ะไม่อึ๊บหนุ่มน้อยแค่คนเดียวหรอก มันต้องสี่คนพร้อมๆกัน”

 

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ?”

 

“หำเดียว มันไม่พอรูของนางหรอก เข้าใจไหม อันเดียวมันไม่พอ อย่างน้อยก็ต้องสอง!”

 

ทหารอาสาฝ่ายเราหัวเราะเสียงแหลม

เฮ่อ พวกนี้ทำเอาผมถอนใจออกมา

 

 

ในขณะที่สีหน้าของอัศวินคนนั้นกลับบูดบึ้ง ดูท่าทางของเขาสิ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่อัศวินที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด แต่คงโดนปั้นมาจากสถาบันอัศวินที่กินเงินภาษีของประเทศชาติ ว่าง่ายๆเจ้านี่มันเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่ง แค่โดนพูดหยอกด้วยมุกตลกลามกก็ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธแล้ว

 

“แกกล้าดียังไง…….”

 

“โอ้เดี๋ยวสิๆ สองคนเองเหรอ แล้วอีกสองคนล่ะ?”

 

“ไม่ใช่แค่รูเดียวนี่ที่เอาหำไปเสียบได้ แกก็น่าจะรู้ ฮี่ฮี่ เวลาที่ราชินีแห่งบริททานี่ผู้สูงศักดิ์จะเอากัน ข้าได้ยินว่านางช่วยตัวเองอย่างกับแมงมุมโดยมีหนุ่มหน้าสวยรายล้อมไปหมด”

 

เหล่าทหารต่างระเบิดหัวเราะออกมา

“เฮ้ ถ้าอย่างนี้เราไม่ควรยอมแพ้นะ! มามา เรามา ฮูเร่ให้กับราชินีแมงมุมกันเหอะ”

 

“อย่าห่วงเลยนะ ท่านอัศวิน พวกเราน่ะเลื่องชื่อในฟรานเคียอยู่แล้วในเรื่องกามๆ

 แม้นายจะทำให้ราชินีพอใจในหำเหี่ยวๆไม่ได้ แต่พวกเรามั่นใจว่าทำให้นางถึงได้ เอ้า เอาล่ะรีบพานางมาหาพวกเราเร็วๆสิ!”

 

“…….”

 

อัศวินคนนั้นมองเขม่นมาที่พวกเรา ก่อนจะหันหัวม้าแล้วจากไป ทหารฝ่ายเราก็หัวเราะใส่ดังๆ

 

“โฮ้ย ไอ้หนูหำหดเอ๊ย!”

 

“ไว้หำถอกก่อนค่อยมาใหม่นะ ไอ้หนู!”

ผมฝืนแสร้งหัวเราะออกมา แม้แต่เจเรมิที่ยืนข้างๆผมก็กำลังหัวเราะอยู่ได้

 

ผมได้แต่แอบพึมพัมกับตัวเอง

 

“ดูเหมือนข้าจะได้เป็นผู้บัญชาการเหล่าทหารผู้ยอดเยี่ยม”

 

“แน่นอนครับ ฝ่าบาท”

 

ทหารอาสากลับมีความสมานสามัคคีและไว้ใจได้ยิ่งกว่าพวกทหารม้าฝ่ายเดียวกันที่มีสภาพน่าสังเวช ผมไม่ได้หัวเราะออกมาเพราะตลก หากแต่หัวเราะเพื่อเย้ยหยันความจริงเรื่องนั้นต่างหาก

 

คนพวกนี้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้เพราะผมปลุกระดมพวกเขา

ถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยคำลวง แต่เจตจำนงของเขานั้นเป็นของจริง

พวกเขาน่ะมีความเป็นมนุษย์แท้มากกว่าตัวตลกอย่างผมเสียอีก

 

จักรพรรดิที่ดันคิดจะก่อสงครามกลางเมือง ณ ดินแดนที่ผู้คนแบบนี้อาศัยอยู่? ยากที่จะมองว่า จักรพรรดิสติดีอยู่

 

ผมตัดสินใจแล้ว

 

“แยกคนเจ็บออกไป”

 

“อะไรนะคะ?”

 

 

“ข้าจะใช้อาติแฟ่ค เทเลพอร์ทย้ายพวกนั้นไปยังเมืองด้านหลังพวกเรา 

ต่อให้ทัพศัตรูยอมรับการยอมจำนนของพวกเรา ก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติดีๆต่อพวกคนเจ็บ พวกเขาจะต้องทนเจ็บไปอีกนานจนกว่าจะข้ามไปอีกฟากได้”

 

แต่หากเราย้ายคนเจ็บไปยังเมืองข้างหลังพวกเรา แล้วคนเจ็บก็จะได้รับการดูแลรักษา แม้วิธีการรักษาเยียวยาอาจจะป่าเถื่อนไปบ้างแต่ก็ดีกว่าปล่อยไว้ไม่ทำอะไร

ความจริงที่ว่ากองกำลังของเหล่าชนชั้นสูงโดนกวาดล้างไปในการรบวันนี้ทำให้กองทหารอาสานั้นมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

ผู้ดูแลเมืองย่อมต้องดูแลพวกเขาในฐานะที่ไม่ยอมแพ้ให้กับพวกบริททานี่

เจเรมิทำหน้ากังวลขณะพูด

“แต่ท่านผู้บัญชาการคะ ท่านยังมีคัมภีร์เทเลพอร์ทเหลืออีกเท่าไหร่กัน?”

 

“ข้ามีเหลือแค่ใช้ปกป้องชีวิตข้า”

ผมแตะที่อกตัวเอง

 

“เจ้าก็รู้นี่ว่า ข้ามีเงินเท่าไหร่ ถูกไหม? เอาล่ะ อาติแฟ่คพวกนี้ราคามันเกินกว่า สิบเหรียญทองอยู่แล้ว แต่ก็ขอให้คิดเสียว่า มันเป็นความใจดีอันฟุ้งเฟ้อของเศรษฐีหน้าใหม่ก็แล้วกัน

ถือว่า ข้าตกรางวัลให้พวกเขาที่แสดงผลงานกันได้ยอดเยี่ยม”

 

“อ่าาา รับทราบค่ะ……หากท่านว่าอย่างนั้น”

 

เจเรมิถึงกับบ่นอุบเรื่องที่ผมใช้เงินทิ้งขว้างอย่างกับน้ำ

เธอรู้ดีว่า ทุนรอนค่าเสบียงทั้งหลายของทหารนั้นมาจากกระเป๋าตังผมโดยตรง

พวกเรารวมคนเจ็บไปกองไว้ที่เดียว มีชายคนนึงยังเอาแต่ตะโกนว่า เขาไม่เป็นอะไร ปล่อยเขาไป แต่คนที่กระดูกหักไปแล้วจะทำอะไรได้……? 

 

เจเรมิหวดหมอนั่นเข้าโครมนึงแล้วก็ลากหมอนั่นที่ทำตัวสงบเสงี่ยมไปอย่างเงียบๆ ทหารคนอื่นๆถึงกับหัวเราะกับภาพเหตุการณ์นั้น

พวกเรามีกำลังใจดี และเต็มไปด้วยความสุขุม เผลอๆหน่วยของพวกเราอาจเหมาะกับการรบครั้งนี้ที่สุดเลยด้วยซ้ำ

 

พวกเราถมช่องว่างระหว่างรั้วด้วยซากม้าศึกที่กองพะเนินสูง

สิ่งที่พวกเราทำมันคล้ายๆกับก่อป้อมปราการขนาดย่อมขึ้นมา พอจะมีเวลาสักหน่อยก่อนที่กองทหารของบริททานี่จะมาหาพวกเรา

 

 

ไม่มีอะไรต้องพูดเรื่องที่พวกเขาจะยกทัพมาหา

กองกำลังของศัตรูนั้นวนซ้ำกลยุทธเดิม ตั้งแต่หัววัน จนถึงตอนนี้นี่ไม่เหนื่อยไม่เบื่อกันบ้างหรือยังไงกัน? 

พลธนูบนหลังม้าก็สาดธนูห่างออกไป 20-30 เมตร ก่อนจะให้ทหารม้าชาร์จเข้ามาพร้อมหอก

แต่ถึงอย่างนั้นความแรงก็ลดฮวบฮาบ

ต้นไม้ทั้งหลายกลายเป็นโล่ธรรมชาติ ควบคู่ไปกับรั้วไม้ของพวกเรา มันเพียงพอที่จะปกป้องชีวิตพวกเราจากทั้งธนูและการพุ่งชาร์จของม้า

 

ศัตรูดูอ่อนล้าลงไปมาก บทสวดภาวนาของนักบุญหญิง พูดง่ายๆก็คือ บัฟชั่วคราวของพวกนั้นหมดลงแล้ว 

ทหารม้าต่างเคลื่อนที่ช้าลงหลังจากพุ่งชน พุ่งกระแทกต่อเนื่อง6-7 ชั่วโมง

 

ถ้าอยู่ในที่ราบก็น่าเป็นห่วง แต่เสียดายนะ พวกเราอยู่กันในป่า

ทหารชาวบ้านของพวกเราตั้งรับพวกนั้นได้ถึงสามครั้งงามๆ

 

“ถอย!”

 

หลังจากพุ่งชาร์จครั้งที่สี่ ทหารม้าของศัตรูนั้นก็ล่าถอยโดยไม่ได้อะไรกลับไปเลยแถมยังต้องเสียม้าศึกราคาแพงแสนแพงไปอีกด้วย

ศพของม้าศึกตอนนี้กลายเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ศัตรูพุ่งเข้ามาได้อีก

 

 

“ฮุฮ่าฮ่า! ท่านนักบวช พวกนั้นนี่แม่งไม่เอาไหนเลยนะ!”

 

“มีแต่พวกหำเล็กเท่านั้นแหละที่จะเห่อโชว์เกราะเหล็กตัวเองแบบนั้น!”

 

“อ่าฮ่า ทำได้ดี”

 

ผมชื่นชมพวกเขาด้วยเสียงที่แหบห้าว

กองทหารของพวกเราเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานการณ์ดีๆแบบนี้ไม่ได้คงอยู่ไปตลอดหรอก

 

ศัตรูน่ะมีทั้งทหารเดินเท้า ทหารเดินเท้าที่ยังไม่เหนื่อยไม่ล้า ยังเพราะยังไม่ได้เข้าร่วมศึกเลยด้วยซ้ำ หากพวกนั้นเดินทางมาถึงที่นี่แล้วเปิดศึกเข้าโรมรัน พวกเราก็ย่อมแแพ้

แต่สุดท้ายนี้ก็ยังพอมีแสงแห่งความหวังในความมืดมิดอยู่……ประกายแสงสุดท้าย

 

 

หนทางที่ดีที่สุดที่กองกำลังบริททานี่จะมอบให้พวกเรายอมแพ้อีกครั้งหนึ่ง

แต่คราวนี้เงื่อนไขที่ทางนั้นเสนอให้จะใจดีกว่าเดิม เพราะตอนนี้บริททานี่น่ะชนะภาพรวมของสงครามไปแล้ว จึงไม่มีทางที่พวกเขาอยากจะเสียทหารเดินเท้าไปอีก นั่นแหละคือความหวังเดียวของพวกเรา

 

หลังจากการพุ่งชาร์จของทหารม้า ศัตรูก็ส่งทูตมาหา คราวนี้เป็นชนชั้นสูงในชุดผ้าคลุมแดง ชนชั้นสูงหนุ่มตะโกนออกมาเมื่อมาอยู่ใกล้กับรั้วไม้

 

 

 

“ข้าคือ บารอนเน็ต การ์ซอน เดอ เดเซีย แห่ง บริททานี่(Baronet Garzon de Dezei of Brittany) ใครคือ ผู้บัญชาการของพวกเจ้า!?”

 

“เทพีอาร์เทมีส คือ ผู้บัญชาการของพวกเรา!”

หนึ่งในทหารของพวกเราตอบกลับทื่อๆแบบนั้น

 

 

“และผู้ที่เป็นตัวแทนของผู้บัญชาการของพวกเรานั่นคือ จอน โบล!”

 

“จอน โบล……. ข้าเข้าใจแล้ว <คนคลั่ง จอน โบล> นี่เอง ?”

 

ชนชั้นสูงผู้นั้นพยักหน้าราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

 

 

ตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า คนในบริททานี่เรียก จอน โบลว่ายังไงกัน 

นักบวชบ้า เหรอวะ!? ช่างเป็นการตั้งชื่อที่เลวร้ายเสียจริง รู้อย่างนี้ไม่น่าคาดหวังอะไรจากพวกหมูบริททานี่เล้ย…….

 

“นักบวชจอน โบล ข้าขอโอกาสได้พูดกับท่าน!”

 

“ถ้าข้าจำไม่ผิด เราได้สนทนากันไปกว่า 7 ชั่วโมงแล้ว”

 

ผมเดินแทรกตัวระหว่างพลหอกระหว่างตอบกลับไป

 

ชนชั้นสูงคนนั้นถอดหมวกออกแล้วโค้งให้อย่างสุภาพ ผมปฏิบัติตามมารยาทในการทักทายของนักบวชและทักทายกลับไป การกระทำเช่นนั้นถือว่าเป็นการสงบศึกชั่วขณะโดยไม่ต้องบอกกล่าว ชนชั้นสูงสวมหมวกเสียบขนนกแล้วพูดเข้าประเด็นทันที

 

“นักบวชจอน โบล สงครามนี้จบลงแล้วมิใช่หรือ?”

 

“หากข้าฟังไม่ผิด ราชินีบริททานี่ประกาศเองนี่ว่า สงครามนี้ยังดำเนินอยู่ต่อไปชั่วกาลสำหรับเหล่านักรบ ดูเหมือนข้าคงหูฝาดไปเอง”

ผมยักไหล่

“พอมนุษย์เรามาอยู่ในสนามรบแล้วจะแก่กันไวผิดปกติ ท่านคิดเช่นนั้นไหม บารอนเน็ต การ์ซอน เดอ เดเซีย?”

 

“โอ้ ท่านนักบวชแห่งเซเลเน่* ท่านไม่ต้องพิสูจน์ตนต่อข้าหรอกว่าท่านนั้นเป็นนักพูดที่ยอดเยี่ยมเพียงใด”

ชนชั้นสูงหัวเราะแบบขมขื่น

 

 

“ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักในหมู่พวกเราดี ราชินีของพวกเรานั้นมักจะฟังสุนทราพจน์สุดคมคายหลักแหลมนั่นเสมอก่อนจะขึ้นครองบัลลังค์

ข้าเชื่อว่า พวกเขานั้นก็รู้จักรมารยาทสำหรับชนชั้นสูงไม่ต่างจากข้าหรอก แต่ถึงอย่างนั้น ข้ามาที่นี่ในฐานะทหาร”

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น การ์ซอน ในฐานะทหารนายหนึ่งปรารถนาจะบอกอะไรล่ะ?”

 

ชนชั้นสูงคนนั้นสูดหายใจลึกๆก่อนจะตอบกลับมา

 

“ท่านจะเลือกการยอมรับความพ่ายแพ้อันทรงเกียรติหรือความตายที่น่าละอาย!?”

 

“…….”

มันเป็นคำถามที่ผ่าซากตรงไปตรงมา พวกเจ้าจะยอมแพ้หรือจะตายอย่างหมาที่นี่?

 

พอผมเงียบไป ชนชั้นสูงหนุ่มที่อยู่หลังรั้วไม้ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ

 

“ท่านนักบวช จอน โบล มันอาจฟังดูไร้สาระ แต่ขอข้าถามท่านสักอย่างได้ไหม 

ท่านคิดว่าอะไรคือความต่างระหว่าง ความเชื่อและความงมงาย?”

 

“ความเชื่อนั้นมีเหตุผล ส่วนความงมงายนั้นเป็นอารมณ์”

 

“ตอบได้ตามตำรามาก”

ชนชั้นสูงยิ้มออกมา

 

“ในฐานะทหาร ข้าเชื่อว่า ความเชื่อนั้นคือ การมุ่งหน้าไปอย่างหาญกล้า ในขณะที่ยังเชื่อว่ามีโอกาสในชัยชนะนั้นอยู่ ในขณะที่ความงมงายคือ การเดินหน้าเข้าสู่ความแพ้พ่าย”

 

ผมเข้าใจว่า หมอนี่กำลังจะสื่ออะไร

 

“แต่ความพ่ายแพ้ก็มอบอะไรให้เราได้หลายอย่าง”

 

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องแกล้งบอกปัดไปสักครั้ง หากผมตอบไปว่า ‘ใช่ ข้าเข้าใจแล้ว’ อีกฝ่ายก็จะบีบเงื่อนไขในการยอมแพ้ของพวกเราอีก ผมจึงตั้งใจตอบไปทั้งที่ทำเสียงแข็ง

 

“หากทำไปเพื่อความภาคภูมิใจของชาติ นั่นก็มิใช่ความตายอันน่าละอาย ข้าไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชื่อว่า การยอมจำนนนั้นเป็นสิ่งที่สูงส่งกว่า”

 

 “โอ้ แน่ล่ะ ในหน้าประวัติศาสตร์อาจจะสรรเสริญท่านนักบวชจอน โบล และเหล่าทหารอาสา แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้ที่สรรเสริญไปมันจะมีค่าอะไรกัน? ก็ในเมื่อลูกหลานในชาติจะไม่มีวันลืมตราบาปที่ท่านได้ก่อขึ้นอันเนื่องจากลากพาสามัญชนมาตายในสนามรบเพียงเพื่อจะรักษาเกียรติยศของชาติ”

 

“…….”

 

ผมแกล้งทำทีเป็นครุ่นคิดสิ่งที่เขาพูดมา นี่เขาคิดว่าตัวเองสามารถจูงใจผมได้แล้วสินะ?  หมอนั่นก็พูดต่ออีก

 

“โปรดรักษาชีวิตของผู้คนไว้เถิด นักบวช จอน โบล ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ จะให้สามัญชนคนธรรมดาเช่นนั้นจะต้องมาแบกรับความรับผิดชอบโง่ๆ ทั้งยังต้องมาเสียเลือดเสียเนื้อให้กับสงครามกลางเมืองครั้งนี้”

 

เหล่าทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังผมกลับตะโกนเมื่อฟังเขาพูดจบ

 

“ไม่ใช่ พวกแกต่างหากที่รุกรานพวกเราก่อน! พวกแกต่างหากที่หยามหมิ่นเกียรติขององค์จักรพรรดิ!”

 

“ท่านนักบุญ! อย่าไปฟังไอ้หนุ่มนี่ ให้พวกเราซัดหน้าไอ้สำอางนี่เถอะ!”

 

“พวกข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะฆ่าพวกขี้ขโมยบริททานี่!โว้ย!”

 

ผมยกมือขวาขึ้นช้าๆ แล้วเหล่าทหารก็หุบปากพร้อมกัน ผมพูดประโยคหนึ่งก่อนจะเงียบไป

 

“……มีอะไรยืนยันหรือไม่ว่า ท่านจะไม่คุกคามทำร้ายทหารของเราหลังจากยอมแพ้ไปแล้ว?”

 

“ถึงข้าขอสาบานต่อทวยเทพทุกพระองค์……ก็คงไม่อาจคลายความกังวลของท่านได้”

 

เขายิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

 

“องค์ราชินีของพวกเรานั้นให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น เป้าหมายขอพระนางคือ การกวาดล้างกำจัดกองทหารของบัทตาเวียและไล่ตามทัพที่เหลือของดยุคกุย

หากให้ข้าพูดตามตรง กองทหารอาสาของท่านก็เป็นแค่ตัวเกะกะน่ารำคาญสำหรับฝ่ายเรา”

 

“น่ารำคาญสินะ ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้นสินะ”

 

“ถูกต้อง”

ชนชั้นสูงคนนั้นยกมือขึ้นทาบอกและสาบาน

“ทิ้งอาวุธแล้วยอมจำนนเถิด

กองทหารของพวกท่านไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น 

มุ่งหน้าไปทางตะวันออกมือเปล่า  ข้าขอสาบานต่อครอบครัวและเกียรติของนายเหนือหัวของข้าว่า หน่วยของข้า จะคอยคุ้มครองดูแลท่านไปจนถึงเมืองที่ใกล้ที่สุด”

 

“…….”

 

 

ผมหลับตาลง

 

แสงแดดในช่วงกลางวันสาดฉายมายังเปลือกตา ผมอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ ณ ทุ่งราบนักบุญเดนนิส ปล่อยให้แสงอาบฉายทั้งใบหน้าและร่างกาย แสงแดดที่สาดส่องลงมาประทับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก

 

 

ผมเปิดปากพูด

 

 

“พวกเราขอยอมแพ้”

 

 

 

—-

*เซเลเน่

แต่เดิมเป็นเทพีอีกองค์หนึ่งเป็นบุตรของไททั่นไฮเพอเรียน(Hyperion) กับ ไททั่นธีอา (Theia) แต่ต่อมาถูกแทนที่ด้วยเทพีอาร์เทมิสแทน (เช่นเดียวกับเทพีลูน่า)

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+