Dungeon Defense (WN) 209 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (1)
กองทหารอาสาของพวกเราสลายกองกันหลังจากที่พวกเราถึงเมืองใกล้เคียงอย่างปลอดภัย
กองกำลังบริททานี่จบลงที่สามารถยึดปารีสได้
ทหารส่วนมากของฝ่ายราชวงศ์ที่ไม่ยอมรับคำสั่งของจักรพรรดิจบลงด้วยการถูกฆ่าล้าง
โดยฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ล้มตายไปมากที่สุด ผู้คนในฟรานเคียนั้นทั้งทึ่งและผวากับความสำเร็จของราชินีผู้ยังสาว
ส่วนฝ่ายจักรพรรดินั้น…….
เอาล่ะ หรือผมควรจะรวมพวกบริททานี่ว่าเป็น ฝ่ายนิยมกษัตริย์ด้วยดีล่ะ?
หากจะพูดว่า ฝ่ายนิยมกษัตริย์นั้นมั่นคงขึ้นก็ไม่ผิดนัก
การฆ่าล้างที่เริ่มขึ้นในปารีสนั้นแพร่กระจายดั่งโรคระบาดไปสู่เมืองอื่นๆ ตอนนั้นเองที่ใช้วิธีการอ้างความพลาดพลั้งของจักรพรรดิว่าเป็น ‘การกระทำเพื่อกำจัดผู้ทรยศอย่างฝ่ายสาธารณรัฐ’
ฝ่ายสาธารณรัฐนิยมนั้นต่างล้มตายกันใต้คมดาบยกเว้นก็แต่ทางตอนเหนือของฟรานเคียเท่านั้น
ทั้งเจ้าหน้าที่และเหล่าขุนนางนั้นเป็นแกนหลักสำคัญในการกวาดล้าง พูดง่ายๆ การกระทำของเขาคล้ายกับประกาศว่า ‘พวกข้าเป็นฝ่ายองค์จักรพรรดิ ดังนั้นไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!’ ประเทศก็ตกอยู่ในสภาพแบบนั้นแหละ
เหล่าขุนนางที่เคยโต้เถียงกันมาว่าควรจะไปอยู่ฝ่ายจักรพรรดิหรือฝ่ายจักรพรรดินีดี แต่การรบ ณ ที่ราบนักบุญเดนิสเป็นเหมือนแรงผลักสุดท้าย
ทุกคนต่างก้มหัวให้กับราชินีผู้ฆ่าล้างทหาร 60,000 นาย ด้วยกำลังเพียง 20,000
พวกเขาต่างกุลีกุจอหาทางร่วมมือกับการกวาดล้างเพื่อจะได้ไม่โดนกล่าวหาว่า เอาแต่ดูอยู่เฉยๆ
เจ้าหน้าที่ขุนนางที่เคยมีสำนึกมโนธรรมในหัวใจกลับแกล้งทำเป็นไม่รับรู้การฆ่าล้างนั่น
ทิศทางลมน่ะมันเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้พวกสาธารณนิยมน่ะแม้จะขี้เยี่ยวอยู่ในบ้านตัวเองยังต้องระวังตัวเลยด้วยซ้ำ……เพราะหากเผลอก็อาจหมดลมเมื่อไหร่ก็ได้
พวกนั้นน่ะเข้าใจแล้วว่า ฝ่ายตัวเองน่ะพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
“ได้ยินว่า เหล่าอัศวินที่แยกตัวจากฮับบวร์กนั้นโดยมากมารวมตัวกันอยู่ที่ฟรานเคีย”
“อัศวินที่ถูกขับออก?”
“ใช่”
ไพมอนจิบชาเขียวจากถ้วยชา
ผมถูกไพมอนเรียกตัวทันทีหลังแพ้สงคราม ผมแอบกังวลว่า เธอจะบอกให้ผมรับผิดชอบที่ทำศึกแพ้ แต่เหมือนมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
จากมุมมองของไพมอน เธอมองว่า การรบ ณ ที่ราบเดนนิสนั้น ไม่ใช่อะไรที่ผู้บัญชาการคนเดียวจะจัดการไหว
ทำเนียบรัฐบาลของสาธารณรัฐบัทตาเวีย
ผมกับไพมอนนั่งในสวนใกล้กับทำเนียบรัฐบาล
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ดอกไม้สีฟ้าสีแดงต่างออกดอก ชูช่อไปทั่วทั้งสวน
“ชนชั้นสูงบางส่วนยังอยู่ในสาธารณรัฐฮับบวร์กใหม่ โดยส่วนใหญ่พวกนั้นก็เป็นอัศวิน”
“เข้าใจแล้ว พวกนั้นมีกำลังพอที่จะทำการปฏิวัติหารยังปล่อยให้พวกนั้นอยู่ในประเทศ
……อลิซาเบธน่ะ ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว ด้วยการส่งพวกนั้นไปให้กับราชินีเฮนริเอตต้า นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆ?”
ไพมอนยิ้มอย่างสดใส ราวกับเป็นสาวน้อยจากตระกูลสูงศักดิ์
“ดูเหมือนท่านยังตาแหลมเหมือนเคยเลยนะ ดันทาเลี่ยน”
“ข้ามิได้เป็นอะไรมากไปกว่าผู้บัญชาการที่พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช”
ผมยักไหล่ให้เธอ
เกิดพันธมิตรขึ้นระหว่างคอนซูลอลิซาเบธและราชินีเฮนริเอตต้า
มันเป็นผลดีกับคอนซูลอลิซาเบธเพราะนั่นหมายความว่าเธอจะสามารถจัดการกับอัศวินชนชั้นสูงได้โดยที่ไม่ต้องให้เลือดเปื้อนมือ ขณะที่ฝ่ายราชินีเฮนริเอตต้านั้นได้รับทหารที่แข็งแกร่งไว้ในมือ
ใน<Dungeon Attack> ทั้งอลิซาเบธและเฮนริเอตต้าต่างเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกัน เนื่องจากทั้งคู่ต่างมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งทวีป แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนนี้ทั้งคู่กลับจับมือเป็นพันธมิตรกันในโลกนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
“มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ ท่านได้ทำในสิ่งที่สมควรทำไปแล้วล่ะ,ดันทาเลี่ยน”
“ข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก…….”
“อย่างน้อยที่สุด ตอนนีอิทธิพลของแนวคิดสาธารณรัฐก็ได้แพร่ขยายไปทั่วแดนเหนือของฟรานเคียแล้ว
พูดอีกอย่างก็คือ ดินแดนที่มั่งคั่งที่สุดของฟรานเคียตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวสาธารณรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากนี่ยังไม่นับว่าเป็นความสำเร็จ แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ? มั่นใจในตัวเองหน่อยน่า”
ไพมอนจิบชาเงียบๆ
“ข้าไม่คู่ควรกับคำชมนั้นหรอก ฮ่าฮ่า”
ผมเกาท้ายทอย ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายปลอบใจ แต่ดูเหมือนตำแหน่งของเราจะสลับกันเสียอย่างนั้น
จากบุคลิกของไพมอน อาจเป็นไปได้ว่า เธอคงจะคุ้ยชินกับความพ่ายแพ้มายิ่งกว่าใครๆทั้งนั้น
เธอนั้นอุทิศเวลานับร้อยปีเพื่อก่อร่างสร้างสาธารณรัฐบัทตาเวียขึ้นมา อย่างเชื่องช้า อย่างอดทนยิ่งกว่าใครๆ นั่นเป็นสิ่งที่ไพมอนเชื่อ
จากมุมมองของเธอนั้นการที่ยึดแผ่นดินเหนือของฟรานเคียได้นับเป็นความสำเร็จใหญ่
“มันมิได้เกิดขึ้นแต่ที่ใน ฟรานเคีย <พันธมิตรแห่งการปลดแอก> ได้ลุกฮือขึ้นทั่วทวีป
การปฏิวัตินั้นเกิดขึ้นทั้งใน เบอร์นิเซีย(Bernicia), ซาร์ดิเนีย(Sardinia), คาสทิล(Castile),และมอสโคว(Moscow)
และจะเกิดขึ้นในเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย(Polish-Lithuanian Commonwealth) และคาร์ม่าเร็วๆนี้ด้วย”
“เธอทุ่มสุดตัวเลยสินะ อื้ม ข้าเข้าใจแล้ว”
ผมดับกระหายด้วยน้ำชา ผมรู้สึกเหมือนความกังวลทั้งหมดปลาสนาการไปจากร่างยามเมื่อน้ำร้อนไหลผ่านลำคอ
“……คิดว่าพวกเรามีโอกาสชนะไหม?”
“ชัยชนะสมบูรณ์เด็ดขาดเป็นไปได้ยากเหลือเกิน แต่พวกเราก็ควรสามารถปลดปล่อยเมืองให้ได้หลายแห่ง”
ไพมอนตอบอย่างใจเย็น แม้จะฟังดูเจียมเนื้อเจียมตัวแต่ความจริงเธอได้ประกาศแล้วว่า จะปลดปล่อยเมืองจำนวนมากให้เป็นอิสระ ซึ่งเมืองพวกนั้นเป็นเมืองที่มั่งคั่ง
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินภาษีจำนวนมากที่จ่ายให้แก่ประเทศชาติและนั่นจะเป็นเหมือนการซัดเข้าจุดตายของเหล่าผู้ปกครองทั้งหลาย
“หลายเดือนมานี่ ท่านทำได้ดีมาก,ดันทาเลี่ยน ท่านคงอยากพัก ข้าจะเรียกท่านมาหาถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
“ขอบคุณสำหรับการให้เกียรติเช่นนั้น”
“หืมมม ถ้าวันนี้นายไม่มีแผนการอะไร ใช้เวลาว่างมาหย่อนใจกับเลดี้ผู้นี้ไหม?”
ไพมอนนั้นแย้มยิ้ม ดวงตาวิบวับของเธอมันคล้ายกับสิงโตตัวเมียที่จ้องมองเหยื่อ
“ข้าช่างได้รับเกียรติยิ่งนัก แต่ต้องขอปฏิเสธ,ท่านไพมอน”
ฉายาที่ว่า ‘ชายผู้ร่วมรักกับทั้งบาร์บาทอสและไพมอน’ นั้นมันนอกจากจะชวนโมโหแล้ว ผมยังกลัวว่าในอนาคตหากผมได้ฉายานั้นมาประดับตัวเข้าจริงๆ
ไพมอนอาจจะไปเที่ยวโพทนาบอกจอมมารหญิงคนอื่นๆว่า ได้หลับนอนกับผมแล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อยั่วโมโหบาร์บาทอส
และตอนนั้นเองบาร์บาทอสก็จะมาหาผมพร้อมกับเคียวในมือของเธอ
แม่นั่นก็คงจะพูดประมาณว่า
‘ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าเอาหำซุกซนไปใช้งานที่ไหนอีกแล้ว’
ด้วยรอยยิ้มกว้างๆจากนั้นก็ฟันฉับ
เฮ้ย ผมไม่ล้อเล่นนะเออ ยัยบาร์บาทอสนั่นมันต้องทำแบบนั้นแหงๆ
ไพมอนถึงกับถอนหายใจเบาๆออกมา
“เฮ่อ ถึงแม้ข้าจะเป็นราชินีซัคคิวบัสเนี่ยน่ะเหรอ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองหน่อยสิ ข้าดูไม่มีเสน่ห์หรืออย่างไรกัน?”
“ท่านไพมอน ท่านน่ะเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้ แต่หากบาร์บาทอสรู้เรื่องนั้นเข้ามีหวังได้ฆ่าข้าแน่
เว้นก็แต่ว่า ท่านจะยอมสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากบาร์บาทอส”
“ทำแบบนั้นก็ไม่สนุกซี่”
ไพมอนใช้พัดป้องปากแล้วหัวเราะออกมา
ชิ กะไว้แล้วเชียว
ผมบอกลาแล้วเดินออกมาจากสวน ด้วยความคิดที่ว่า ผมได้ออกมาจากปราสาทจอมมารตัวเองเกือบสองเดือนแล้วนี่นา ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่ใส่ใจเรื่องที่ตัวเองแพ้ในสงคราม
ตอนที่ผมกำลังจะลงไปยังอุโมงลับในทำเนียบ ผมก็นึกได้ว่าผมลืมของบางอย่างไว้ ผมลืมลูกบอลไม้ที่จะถือไว้ในอุ้งมือเพื่อแก้ประหม่า
“แหมข้านี่ช่างงี่เง่าเสียจริง ท่านไพมอน ข้า…….”
กลับกลายเป็นว่า ผมได้เห็นอะไรบางอย่างแทน
ในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ผลิเบ่งบาน ศีรษะของไพมอนนั้นลดต่ำลงท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สว่างไสว
เธอปิดคลุมใบหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้า……ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อย
เสียงร่ำไห้เล็ดออกมาเบาๆระหว่างใบหน้าและผ้าเช็ดหน้าของเธอ เสียงของจอมมารกำลังร้องไห้ดังในสวนที่ไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว
“…….”
เธอร้องไห้เรื่องอะไรกันนะ?
เดาได้หลายสาเหตุ
ความเสียใจที่ต้องห่างไกลจากอุดมการณ์ที่ทำให้โลกนี้เป็นอิสระด้วยแนวคิดสาธารณรัฐ
ความเสียใจที่ผู้คนต้องล้มตายไปอย่างไร้ค่า
ความเสียใจที่เกิดจากไม่สามารถยับยั้งสงครามกลางเมืองได้และจบลงที่ทำให้ประเทศทั้งประเทศนั้นตกอยู่ในความวุ่นวาย
ผมที่เคยคิดว่า เธอน่าจะเคยชินกับความพ่ายแพ้ แต่ผมคิดผิด ไม่มีใครชินชาต่อความพ่ายแพ้…….
จะมีก็แต่บุคคลที่แกล้งทำเป็นชินชาต่อความพ่ายแพ้เท่านั้นแหละ
ผมนี่โง่ชะมัด
ไพมอนผู้ร้องไห้ให้กับพ่อค้าก็อบลินดาดๆคนหนึ่งที่ตายจากไป พ่อค้าที่ทรยศหักหลังเธอได้ฆ่าตัวตาย
มาคราวนี้ คนนับหมื่นคนที่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเธอกลับถูกฆ่าล้าง
ผมไม่อาจหยั่งถึงความโศกเศร้าเสียใจที่เธอรู้สึก ณ ตอนนี้
ผมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
‘จะดีกว่านี้นะ ถ้าเธอน่ะจะตำหนิหรือด่าว่าผมบ้าง’
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ตำหนิผมเลย ไพมอนนั้นมีศักดิ์ศรีในฐานะจอมมาร…….
ผมย่องออกจากทำเนียบอย่างรวดเร็ว ผมอาจจะให้การร่วมมือกับพันธมิตรปลดแอกไม่นานก็จริง แต่ผมก็กลับทรยศพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ความมุ่งมั่นของผมอาจจะแผ่วลงหากผมปล่อยให้ตัวเองเห็นภาพพวกนี้อีก
ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
น้ำตานั้นไม่เหมาะกับจอมมารผู้เห็นแก่ตัวอย่างพวกเราหรอก
เธอคิดอย่างนั้น,ไพมอน?
(TTL : ชิส์ ไม่เข้าไปปลอบเฉยเลย)
* * *
ผมได้มอบหมายการสั่งการทั้งหมดของทหารอาสาให้กับแจ็กเกอรี่ก่อนจะกลับสู่ดันเจี้ยนของตัวเอง
เพิ่มเติมนะ เดซี่,ลุค,เจเรมิและกลุ่มมือสังหารของเธอนั้นตามผมมา กลุ่มพวกนั้นมันพอเหมาะพอดีที่ผมจะใช้คัมภีร์เทเลพอร์ทขั้นกลางวาร์ปน่ะ
ก่อนอื่นผมก็ไปส่งเดซี่กับลุคที่หมู่บ้าน―ผมแสดงการทักทายพ่อแม่ของพวกเขานิดหน่อยก่อนจะแจ้นกลับมายังปราสาทจอมมารของตัวเอง
“ผู้ปลดปล่อยอิสรภาพได้กลับถึงบ้านของเขาแล้ว
โอ่เอ๋ยบ้านอันเป็นดั่งวิมานแห่งข้า!”
เมื่อผมมาถึงหน้าปากทางเข้าถ้ำจอมมารผมก็ตะโกนแบบนั้นออกมาดังลั่น
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะรูปลักษณ์ภายนอกของถ่้ำที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ
เสาขนาดมหึมาทำให้ดูเหมือนวิหาร ทั้งยังมีเหล่าคนงานก็อบลินคอยกะเทาะสลักเก็บรายละเอียดรูปปั้นกันอยู่
“โอ้ววว! ชั้นแรกเกือบเสร็จกันแล้วมิใช่หรือ?”
“นั่น ฝ่าบาทใช่ไหม?”
ก็อบลินที่เป็นเหมือนหัวหน้าผู้คุมงานเดิมเข้ามาหาผมแล้วโค้งให้
“ฝ่าบาทสบายดีอยู่ใช่ไหม? กระผมเดาว่าคงสุขภาพแข็งแรงดี”
“ฮ่าฮ่า แค่ได้ยินเจ้าทักทายอย่างนี้มันก็ชะล้างความเหนื่อยล้าที่ก่อตัวระหว่างเดินทางจนหมดแล้ว”
ผมลูบหลังก็อบลินตนนั้นเบาๆ เจ้านี่คงคิดว่าตัวเองทำงานได้ดีก็เลยถูมือตัวเองด้วยความกระตือรือร้น
“ผู้น้อยนั้นอยู่ระหว่างการทำทางเข้า และตอนนี้ในส่วนของขั้นสุดท้ายก็ทำเสร็จแล้ว
พวกเราพยายามทำกันอย่างเต็มที่แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่อาจแสดงเสน่ห์ที่ฝ่าบาทมีได้เนื่องจากความสามารถของพวกเราไปไม่ถึงระดับนั้น
โปรดให้อภัยผู้น้อยด้วย”
“โธ่ ไร้สาระน่า นี่ก็จัดว่าดีมากแล้ว นี่หากบ้านของจอมมารกลับดูฟุ้งเฟ้อหรูหราจนเกินไป ข้าคงโดนเยาะเย้ยว่าทำตัวเหมือนพวกมนุษย์เสียมากกว่า
มันควรที่จะมัธยัสถ์และสง่างามในระดับหนึ่งก็พอ เจ้าคิดอย่างนั้นไหม?”
“ช่างเป็นคำพูดที่หลักแหลมยิ่ง! ฮี่ฮี่”
พวกก็อบลินที่ทำงานกันอยู่พอได้ยินก็ต่างตะโกนขึ้นมาว่า
‘สมกับเป็นฝ่าบาท!’
อย่างพร้อมเพรียงกัน
(TTL : สมแล้วที่เป็นท่านไอ… เอ้ย… ท่านริมุ… เอ้ย ท่านอานอ… เอ้ย ท่านดันทาเลี่ยน! เอ้ย … ถูกแล้ว!)
อ่าห์ห์ห์―.
ความรู้สึกแบบนี้นี่แหละ
บรรยากาศที่ทุกคนต่างอุทิศพลีแรงกายให้ผมอย่างเต็มที่ต่อหน้าผม มันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ฟรานเคีย
อย่างที่คิดไว้จริงๆนั่นแหละ จอมมารน่ะนะจะเจิดจรัสได้มากที่สุดยามเมื่ออยู่ท่ามกลางเหล่าปีศาจนี่แหละ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ดีสุดๆไปเลย! เอาล่ะ วันนี้เรามาจัดงานเลี้ยงฉลางใหญ่กันดีกว่า!”
ผมล้วงกระเป๋า กำเหรียญทองออกมากำหนึ่ง ก็อบลินต่างร้องเฮออกมาขณะที่พุ่งตัวมาอยู่ข้างๆผม
“ทองคำ! ทองคำยังไงล่ะ!”
“เครุรุรุก ค่าแรงของพวกเราไปกองอยู่บนพื้นแล้ว!”
เหล่าก็อบลินทั้งหลายต่างคลานไปบนพื้นเหมือนหมาและฉวยคว้าเหรียญทองไว้ เผ่าพันธุ์ก็อบลินน่ะขึ้นชื่อเรื่อง ละโมบมากที่สุดในโลกปีศาจ แม้แต่ก็อบลินตัวที่ทักทายผมตอนเข้ามาก็ยังยอมทิ้งศักดิ์ศรีแล้วคลานไปบนพื้นเพื่อเก็บเหรียญทองพร้อมกับก็อบลินตัวอื่นๆเลย
“ฮุฮ่าฮ่าฮ่า! ข้ามันพวกกระเป๋าหนักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล!”
“เครุก! ฮู่เร่ แด่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน!”
“ฮูเร่ แด่จอมมารผู้ยิ่งใหญ่แห่งผืนทวีปนี้!”
ผมโปรยฝนเหรียญทองตามที่ใจต้องการ และทุกครั้งพวกก็อบลินก็จะส่งเสียงฮือฮาและร้องเชียร์ทุกครั้งที่ผมทำแบบนั้น
นี่แหละความเหมือนกันในเรื่องเงินของพวกมนุษย์และปีศาจ
สิ่งนี้มันทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้เร็วขึ้น หลังจากที่ซึมเซาจากการพ่ายศึกมา
ผมเดินเข้าถ้ำพลางโปรยฝนตอนไปตลอดเส้นทาง คนแคระและก็อบลินที่เคยจดจ่ออยู่กับการสร้างปราสาทจอมมารกลับส่งเสียงเชียร์ออกมากับโชคดีที่อยู่ๆก็มาหาตัวเอง
พอจอมมารกลับมา มันก็ต้องมีการเฉลิมฉลองกันแบบนี้แหละ
(TTL : เปิดเพลง ‘ลองรวย’ ของ DTK จะได้บรรยากาศตอนโปรยเหรียญทองมาก 555)
หลังจากเดินมาเกือบ 30 นาที ผมก็เห็นลาพิสจากไกลๆ
ลาพิสที่สวมชุดสูทธุรกิจสีดำ กำลังออกคำสั่งกับเหล่าคนงานอยู่
คนแคระและก็อบลินที่ดูเหมือนเป็นผู้บริหารกำลังตามหลังเธอมา
ผมจึงตะโกนขึ้น
“ลาพิสสสสสสสสส, ข้าเองจ้าาาาา! ดันทาเลี่ยนกลับมาล้าววววว!”
“…….”
ลาพิสหันกลับมามองผม ดวงตาสีฟ้าที่ผมเฝ้าฝันมานานคืนจ้องตรงมายังผม
อย่างที่คิดนั่นแหละ ท่าทางที่ผมคาดหวังไว้ไม่ได้แสดงออกมา ลาพิสยังคงเฉยชา
“ใช่ค่ะ ปล่อยให้ที่ตรงนั้นว่างไว้ พวกเราต้องการพื้นที่โกดังเก็บของ
ไม่ใช่ค่ะ ตรงนั้นต้องทำให้กว้างกว่านี้ ดิฉันหวังว่า คนของพวกคุณที่บลูเซลอสเทีย จะสามารถเก็บรักษาวัสดุพวกนั้นได้…….”
แล้วเธอก็หันกลับไปสั่งงานที่ซับซ้อนกับพวกคนงานก่อสร้างต่อ พวกคนงานทั้งหลายดูเหมือนจะไม่สนใจการมีอยู่ของผมด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆจึงเดินเข้าไปหาเธออย่างระวัง
“อือหือออ ลาพิส นี่ดันทาเลี่ยนเองน้า? จอมมารที่เจ้าไม่เห็นหน้าตั้งสองเดือนเลยใช่ไหม?
ข้าก็ไม่ได้แบบว่า หวังจะให้มีปาร์ตี้ต้อนรับหรูหราอะไรหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ทักทายด้วยคำพูดที่แสนอุ่นใจสักประโยค……?”
ลาพิสตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์
“ท่านไม่เห็นว่า ดิฉันกำลังทำงานอยู่หรือคะ? ท่านยืนขวางทางดิฉันอยู่ค่ะ ไว้ค่อยคุยกับดิฉันทีหลังนะคะ”
“…….”
ลาพิส ก็คือ ลาพิสอะนะ
Comments
Dungeon Defense (WN) 209 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (1)
กองทหารอาสาของพวกเราสลายกองกันหลังจากที่พวกเราถึงเมืองใกล้เคียงอย่างปลอดภัย
กองกำลังบริททานี่จบลงที่สามารถยึดปารีสได้
ทหารส่วนมากของฝ่ายราชวงศ์ที่ไม่ยอมรับคำสั่งของจักรพรรดิจบลงด้วยการถูกฆ่าล้าง
โดยฝ่ายจักรพรรดินีโดวาเจอร์ล้มตายไปมากที่สุด ผู้คนในฟรานเคียนั้นทั้งทึ่งและผวากับความสำเร็จของราชินีผู้ยังสาว
ส่วนฝ่ายจักรพรรดินั้น…….
เอาล่ะ หรือผมควรจะรวมพวกบริททานี่ว่าเป็น ฝ่ายนิยมกษัตริย์ด้วยดีล่ะ?
หากจะพูดว่า ฝ่ายนิยมกษัตริย์นั้นมั่นคงขึ้นก็ไม่ผิดนัก
การฆ่าล้างที่เริ่มขึ้นในปารีสนั้นแพร่กระจายดั่งโรคระบาดไปสู่เมืองอื่นๆ ตอนนั้นเองที่ใช้วิธีการอ้างความพลาดพลั้งของจักรพรรดิว่าเป็น ‘การกระทำเพื่อกำจัดผู้ทรยศอย่างฝ่ายสาธารณรัฐ’
ฝ่ายสาธารณรัฐนิยมนั้นต่างล้มตายกันใต้คมดาบยกเว้นก็แต่ทางตอนเหนือของฟรานเคียเท่านั้น
ทั้งเจ้าหน้าที่และเหล่าขุนนางนั้นเป็นแกนหลักสำคัญในการกวาดล้าง พูดง่ายๆ การกระทำของเขาคล้ายกับประกาศว่า ‘พวกข้าเป็นฝ่ายองค์จักรพรรดิ ดังนั้นไว้ชีวิตพวกข้าด้วย!’ ประเทศก็ตกอยู่ในสภาพแบบนั้นแหละ
เหล่าขุนนางที่เคยโต้เถียงกันมาว่าควรจะไปอยู่ฝ่ายจักรพรรดิหรือฝ่ายจักรพรรดินีดี แต่การรบ ณ ที่ราบนักบุญเดนิสเป็นเหมือนแรงผลักสุดท้าย
ทุกคนต่างก้มหัวให้กับราชินีผู้ฆ่าล้างทหาร 60,000 นาย ด้วยกำลังเพียง 20,000
พวกเขาต่างกุลีกุจอหาทางร่วมมือกับการกวาดล้างเพื่อจะได้ไม่โดนกล่าวหาว่า เอาแต่ดูอยู่เฉยๆ
เจ้าหน้าที่ขุนนางที่เคยมีสำนึกมโนธรรมในหัวใจกลับแกล้งทำเป็นไม่รับรู้การฆ่าล้างนั่น
ทิศทางลมน่ะมันเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้พวกสาธารณนิยมน่ะแม้จะขี้เยี่ยวอยู่ในบ้านตัวเองยังต้องระวังตัวเลยด้วยซ้ำ……เพราะหากเผลอก็อาจหมดลมเมื่อไหร่ก็ได้
พวกนั้นน่ะเข้าใจแล้วว่า ฝ่ายตัวเองน่ะพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
“ได้ยินว่า เหล่าอัศวินที่แยกตัวจากฮับบวร์กนั้นโดยมากมารวมตัวกันอยู่ที่ฟรานเคีย”
“อัศวินที่ถูกขับออก?”
“ใช่”
ไพมอนจิบชาเขียวจากถ้วยชา
ผมถูกไพมอนเรียกตัวทันทีหลังแพ้สงคราม ผมแอบกังวลว่า เธอจะบอกให้ผมรับผิดชอบที่ทำศึกแพ้ แต่เหมือนมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
จากมุมมองของไพมอน เธอมองว่า การรบ ณ ที่ราบเดนนิสนั้น ไม่ใช่อะไรที่ผู้บัญชาการคนเดียวจะจัดการไหว
ทำเนียบรัฐบาลของสาธารณรัฐบัทตาเวีย
ผมกับไพมอนนั่งในสวนใกล้กับทำเนียบรัฐบาล
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ดอกไม้สีฟ้าสีแดงต่างออกดอก ชูช่อไปทั่วทั้งสวน
“ชนชั้นสูงบางส่วนยังอยู่ในสาธารณรัฐฮับบวร์กใหม่ โดยส่วนใหญ่พวกนั้นก็เป็นอัศวิน”
“เข้าใจแล้ว พวกนั้นมีกำลังพอที่จะทำการปฏิวัติหารยังปล่อยให้พวกนั้นอยู่ในประเทศ
……อลิซาเบธน่ะ ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว ด้วยการส่งพวกนั้นไปให้กับราชินีเฮนริเอตต้า นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆ?”
ไพมอนยิ้มอย่างสดใส ราวกับเป็นสาวน้อยจากตระกูลสูงศักดิ์
“ดูเหมือนท่านยังตาแหลมเหมือนเคยเลยนะ ดันทาเลี่ยน”
“ข้ามิได้เป็นอะไรมากไปกว่าผู้บัญชาการที่พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช”
ผมยักไหล่ให้เธอ
เกิดพันธมิตรขึ้นระหว่างคอนซูลอลิซาเบธและราชินีเฮนริเอตต้า
มันเป็นผลดีกับคอนซูลอลิซาเบธเพราะนั่นหมายความว่าเธอจะสามารถจัดการกับอัศวินชนชั้นสูงได้โดยที่ไม่ต้องให้เลือดเปื้อนมือ ขณะที่ฝ่ายราชินีเฮนริเอตต้านั้นได้รับทหารที่แข็งแกร่งไว้ในมือ
ใน<Dungeon Attack> ทั้งอลิซาเบธและเฮนริเอตต้าต่างเป็นไม้เบื่อไม้เมาต่อกัน เนื่องจากทั้งคู่ต่างมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งทวีป แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ตอนนี้ทั้งคู่กลับจับมือเป็นพันธมิตรกันในโลกนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ
“มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ ท่านได้ทำในสิ่งที่สมควรทำไปแล้วล่ะ,ดันทาเลี่ยน”
“ข้าไม่แน่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก…….”
“อย่างน้อยที่สุด ตอนนีอิทธิพลของแนวคิดสาธารณรัฐก็ได้แพร่ขยายไปทั่วแดนเหนือของฟรานเคียแล้ว
พูดอีกอย่างก็คือ ดินแดนที่มั่งคั่งที่สุดของฟรานเคียตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวสาธารณรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากนี่ยังไม่นับว่าเป็นความสำเร็จ แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ? มั่นใจในตัวเองหน่อยน่า”
ไพมอนจิบชาเงียบๆ
“ข้าไม่คู่ควรกับคำชมนั้นหรอก ฮ่าฮ่า”
ผมเกาท้ายทอย ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายปลอบใจ แต่ดูเหมือนตำแหน่งของเราจะสลับกันเสียอย่างนั้น
จากบุคลิกของไพมอน อาจเป็นไปได้ว่า เธอคงจะคุ้ยชินกับความพ่ายแพ้มายิ่งกว่าใครๆทั้งนั้น
เธอนั้นอุทิศเวลานับร้อยปีเพื่อก่อร่างสร้างสาธารณรัฐบัทตาเวียขึ้นมา อย่างเชื่องช้า อย่างอดทนยิ่งกว่าใครๆ นั่นเป็นสิ่งที่ไพมอนเชื่อ
จากมุมมองของเธอนั้นการที่ยึดแผ่นดินเหนือของฟรานเคียได้นับเป็นความสำเร็จใหญ่
“มันมิได้เกิดขึ้นแต่ที่ใน ฟรานเคีย <พันธมิตรแห่งการปลดแอก> ได้ลุกฮือขึ้นทั่วทวีป
การปฏิวัตินั้นเกิดขึ้นทั้งใน เบอร์นิเซีย(Bernicia), ซาร์ดิเนีย(Sardinia), คาสทิล(Castile),และมอสโคว(Moscow)
และจะเกิดขึ้นในเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนีย(Polish-Lithuanian Commonwealth) และคาร์ม่าเร็วๆนี้ด้วย”
“เธอทุ่มสุดตัวเลยสินะ อื้ม ข้าเข้าใจแล้ว”
ผมดับกระหายด้วยน้ำชา ผมรู้สึกเหมือนความกังวลทั้งหมดปลาสนาการไปจากร่างยามเมื่อน้ำร้อนไหลผ่านลำคอ
“……คิดว่าพวกเรามีโอกาสชนะไหม?”
“ชัยชนะสมบูรณ์เด็ดขาดเป็นไปได้ยากเหลือเกิน แต่พวกเราก็ควรสามารถปลดปล่อยเมืองให้ได้หลายแห่ง”
ไพมอนตอบอย่างใจเย็น แม้จะฟังดูเจียมเนื้อเจียมตัวแต่ความจริงเธอได้ประกาศแล้วว่า จะปลดปล่อยเมืองจำนวนมากให้เป็นอิสระ ซึ่งเมืองพวกนั้นเป็นเมืองที่มั่งคั่ง
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินภาษีจำนวนมากที่จ่ายให้แก่ประเทศชาติและนั่นจะเป็นเหมือนการซัดเข้าจุดตายของเหล่าผู้ปกครองทั้งหลาย
“หลายเดือนมานี่ ท่านทำได้ดีมาก,ดันทาเลี่ยน ท่านคงอยากพัก ข้าจะเรียกท่านมาหาถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
“ขอบคุณสำหรับการให้เกียรติเช่นนั้น”
“หืมมม ถ้าวันนี้นายไม่มีแผนการอะไร ใช้เวลาว่างมาหย่อนใจกับเลดี้ผู้นี้ไหม?”
ไพมอนนั้นแย้มยิ้ม ดวงตาวิบวับของเธอมันคล้ายกับสิงโตตัวเมียที่จ้องมองเหยื่อ
“ข้าช่างได้รับเกียรติยิ่งนัก แต่ต้องขอปฏิเสธ,ท่านไพมอน”
ฉายาที่ว่า ‘ชายผู้ร่วมรักกับทั้งบาร์บาทอสและไพมอน’ นั้นมันนอกจากจะชวนโมโหแล้ว ผมยังกลัวว่าในอนาคตหากผมได้ฉายานั้นมาประดับตัวเข้าจริงๆ
ไพมอนอาจจะไปเที่ยวโพทนาบอกจอมมารหญิงคนอื่นๆว่า ได้หลับนอนกับผมแล้ว โดยมีจุดประสงค์เพื่อยั่วโมโหบาร์บาทอส
และตอนนั้นเองบาร์บาทอสก็จะมาหาผมพร้อมกับเคียวในมือของเธอ
แม่นั่นก็คงจะพูดประมาณว่า
‘ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าเอาหำซุกซนไปใช้งานที่ไหนอีกแล้ว’
ด้วยรอยยิ้มกว้างๆจากนั้นก็ฟันฉับ
เฮ้ย ผมไม่ล้อเล่นนะเออ ยัยบาร์บาทอสนั่นมันต้องทำแบบนั้นแหงๆ
ไพมอนถึงกับถอนหายใจเบาๆออกมา
“เฮ่อ ถึงแม้ข้าจะเป็นราชินีซัคคิวบัสเนี่ยน่ะเหรอ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองหน่อยสิ ข้าดูไม่มีเสน่ห์หรืออย่างไรกัน?”
“ท่านไพมอน ท่านน่ะเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้ แต่หากบาร์บาทอสรู้เรื่องนั้นเข้ามีหวังได้ฆ่าข้าแน่
เว้นก็แต่ว่า ท่านจะยอมสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากบาร์บาทอส”
“ทำแบบนั้นก็ไม่สนุกซี่”
ไพมอนใช้พัดป้องปากแล้วหัวเราะออกมา
ชิ กะไว้แล้วเชียว
ผมบอกลาแล้วเดินออกมาจากสวน ด้วยความคิดที่ว่า ผมได้ออกมาจากปราสาทจอมมารตัวเองเกือบสองเดือนแล้วนี่นา ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่ใส่ใจเรื่องที่ตัวเองแพ้ในสงคราม
ตอนที่ผมกำลังจะลงไปยังอุโมงลับในทำเนียบ ผมก็นึกได้ว่าผมลืมของบางอย่างไว้ ผมลืมลูกบอลไม้ที่จะถือไว้ในอุ้งมือเพื่อแก้ประหม่า
“แหมข้านี่ช่างงี่เง่าเสียจริง ท่านไพมอน ข้า…….”
กลับกลายเป็นว่า ผมได้เห็นอะไรบางอย่างแทน
ในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้ประจำฤดูใบไม้ผลิเบ่งบาน ศีรษะของไพมอนนั้นลดต่ำลงท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สว่างไสว
เธอปิดคลุมใบหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้า……ไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อย
เสียงร่ำไห้เล็ดออกมาเบาๆระหว่างใบหน้าและผ้าเช็ดหน้าของเธอ เสียงของจอมมารกำลังร้องไห้ดังในสวนที่ไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว
“…….”
เธอร้องไห้เรื่องอะไรกันนะ?
เดาได้หลายสาเหตุ
ความเสียใจที่ต้องห่างไกลจากอุดมการณ์ที่ทำให้โลกนี้เป็นอิสระด้วยแนวคิดสาธารณรัฐ
ความเสียใจที่ผู้คนต้องล้มตายไปอย่างไร้ค่า
ความเสียใจที่เกิดจากไม่สามารถยับยั้งสงครามกลางเมืองได้และจบลงที่ทำให้ประเทศทั้งประเทศนั้นตกอยู่ในความวุ่นวาย
ผมที่เคยคิดว่า เธอน่าจะเคยชินกับความพ่ายแพ้ แต่ผมคิดผิด ไม่มีใครชินชาต่อความพ่ายแพ้…….
จะมีก็แต่บุคคลที่แกล้งทำเป็นชินชาต่อความพ่ายแพ้เท่านั้นแหละ
ผมนี่โง่ชะมัด
ไพมอนผู้ร้องไห้ให้กับพ่อค้าก็อบลินดาดๆคนหนึ่งที่ตายจากไป พ่อค้าที่ทรยศหักหลังเธอได้ฆ่าตัวตาย
มาคราวนี้ คนนับหมื่นคนที่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเธอกลับถูกฆ่าล้าง
ผมไม่อาจหยั่งถึงความโศกเศร้าเสียใจที่เธอรู้สึก ณ ตอนนี้
ผมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
‘จะดีกว่านี้นะ ถ้าเธอน่ะจะตำหนิหรือด่าว่าผมบ้าง’
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ตำหนิผมเลย ไพมอนนั้นมีศักดิ์ศรีในฐานะจอมมาร…….
ผมย่องออกจากทำเนียบอย่างรวดเร็ว ผมอาจจะให้การร่วมมือกับพันธมิตรปลดแอกไม่นานก็จริง แต่ผมก็กลับทรยศพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ความมุ่งมั่นของผมอาจจะแผ่วลงหากผมปล่อยให้ตัวเองเห็นภาพพวกนี้อีก
ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
น้ำตานั้นไม่เหมาะกับจอมมารผู้เห็นแก่ตัวอย่างพวกเราหรอก
เธอคิดอย่างนั้น,ไพมอน?
(TTL : ชิส์ ไม่เข้าไปปลอบเฉยเลย)
* * *
ผมได้มอบหมายการสั่งการทั้งหมดของทหารอาสาให้กับแจ็กเกอรี่ก่อนจะกลับสู่ดันเจี้ยนของตัวเอง
เพิ่มเติมนะ เดซี่,ลุค,เจเรมิและกลุ่มมือสังหารของเธอนั้นตามผมมา กลุ่มพวกนั้นมันพอเหมาะพอดีที่ผมจะใช้คัมภีร์เทเลพอร์ทขั้นกลางวาร์ปน่ะ
ก่อนอื่นผมก็ไปส่งเดซี่กับลุคที่หมู่บ้าน―ผมแสดงการทักทายพ่อแม่ของพวกเขานิดหน่อยก่อนจะแจ้นกลับมายังปราสาทจอมมารของตัวเอง
“ผู้ปลดปล่อยอิสรภาพได้กลับถึงบ้านของเขาแล้ว
โอ่เอ๋ยบ้านอันเป็นดั่งวิมานแห่งข้า!”
เมื่อผมมาถึงหน้าปากทางเข้าถ้ำจอมมารผมก็ตะโกนแบบนั้นออกมาดังลั่น
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะรูปลักษณ์ภายนอกของถ่้ำที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ
เสาขนาดมหึมาทำให้ดูเหมือนวิหาร ทั้งยังมีเหล่าคนงานก็อบลินคอยกะเทาะสลักเก็บรายละเอียดรูปปั้นกันอยู่
“โอ้ววว! ชั้นแรกเกือบเสร็จกันแล้วมิใช่หรือ?”
“นั่น ฝ่าบาทใช่ไหม?”
ก็อบลินที่เป็นเหมือนหัวหน้าผู้คุมงานเดิมเข้ามาหาผมแล้วโค้งให้
“ฝ่าบาทสบายดีอยู่ใช่ไหม? กระผมเดาว่าคงสุขภาพแข็งแรงดี”
“ฮ่าฮ่า แค่ได้ยินเจ้าทักทายอย่างนี้มันก็ชะล้างความเหนื่อยล้าที่ก่อตัวระหว่างเดินทางจนหมดแล้ว”
ผมลูบหลังก็อบลินตนนั้นเบาๆ เจ้านี่คงคิดว่าตัวเองทำงานได้ดีก็เลยถูมือตัวเองด้วยความกระตือรือร้น
“ผู้น้อยนั้นอยู่ระหว่างการทำทางเข้า และตอนนี้ในส่วนของขั้นสุดท้ายก็ทำเสร็จแล้ว
พวกเราพยายามทำกันอย่างเต็มที่แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่อาจแสดงเสน่ห์ที่ฝ่าบาทมีได้เนื่องจากความสามารถของพวกเราไปไม่ถึงระดับนั้น
โปรดให้อภัยผู้น้อยด้วย”
“โธ่ ไร้สาระน่า นี่ก็จัดว่าดีมากแล้ว นี่หากบ้านของจอมมารกลับดูฟุ้งเฟ้อหรูหราจนเกินไป ข้าคงโดนเยาะเย้ยว่าทำตัวเหมือนพวกมนุษย์เสียมากกว่า
มันควรที่จะมัธยัสถ์และสง่างามในระดับหนึ่งก็พอ เจ้าคิดอย่างนั้นไหม?”
“ช่างเป็นคำพูดที่หลักแหลมยิ่ง! ฮี่ฮี่”
พวกก็อบลินที่ทำงานกันอยู่พอได้ยินก็ต่างตะโกนขึ้นมาว่า
‘สมกับเป็นฝ่าบาท!’
อย่างพร้อมเพรียงกัน
(TTL : สมแล้วที่เป็นท่านไอ… เอ้ย… ท่านริมุ… เอ้ย ท่านอานอ… เอ้ย ท่านดันทาเลี่ยน! เอ้ย … ถูกแล้ว!)
อ่าห์ห์ห์―.
ความรู้สึกแบบนี้นี่แหละ
บรรยากาศที่ทุกคนต่างอุทิศพลีแรงกายให้ผมอย่างเต็มที่ต่อหน้าผม มันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ฟรานเคีย
อย่างที่คิดไว้จริงๆนั่นแหละ จอมมารน่ะนะจะเจิดจรัสได้มากที่สุดยามเมื่ออยู่ท่ามกลางเหล่าปีศาจนี่แหละ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้ากำลังอารมณ์ดีสุดๆไปเลย! เอาล่ะ วันนี้เรามาจัดงานเลี้ยงฉลางใหญ่กันดีกว่า!”
ผมล้วงกระเป๋า กำเหรียญทองออกมากำหนึ่ง ก็อบลินต่างร้องเฮออกมาขณะที่พุ่งตัวมาอยู่ข้างๆผม
“ทองคำ! ทองคำยังไงล่ะ!”
“เครุรุรุก ค่าแรงของพวกเราไปกองอยู่บนพื้นแล้ว!”
เหล่าก็อบลินทั้งหลายต่างคลานไปบนพื้นเหมือนหมาและฉวยคว้าเหรียญทองไว้ เผ่าพันธุ์ก็อบลินน่ะขึ้นชื่อเรื่อง ละโมบมากที่สุดในโลกปีศาจ แม้แต่ก็อบลินตัวที่ทักทายผมตอนเข้ามาก็ยังยอมทิ้งศักดิ์ศรีแล้วคลานไปบนพื้นเพื่อเก็บเหรียญทองพร้อมกับก็อบลินตัวอื่นๆเลย
“ฮุฮ่าฮ่าฮ่า! ข้ามันพวกกระเป๋าหนักอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล!”
“เครุก! ฮู่เร่ แด่ฝ่าบาทดันทาเลี่ยน!”
“ฮูเร่ แด่จอมมารผู้ยิ่งใหญ่แห่งผืนทวีปนี้!”
ผมโปรยฝนเหรียญทองตามที่ใจต้องการ และทุกครั้งพวกก็อบลินก็จะส่งเสียงฮือฮาและร้องเชียร์ทุกครั้งที่ผมทำแบบนั้น
นี่แหละความเหมือนกันในเรื่องเงินของพวกมนุษย์และปีศาจ
สิ่งนี้มันทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้เร็วขึ้น หลังจากที่ซึมเซาจากการพ่ายศึกมา
ผมเดินเข้าถ้ำพลางโปรยฝนตอนไปตลอดเส้นทาง คนแคระและก็อบลินที่เคยจดจ่ออยู่กับการสร้างปราสาทจอมมารกลับส่งเสียงเชียร์ออกมากับโชคดีที่อยู่ๆก็มาหาตัวเอง
พอจอมมารกลับมา มันก็ต้องมีการเฉลิมฉลองกันแบบนี้แหละ
(TTL : เปิดเพลง ‘ลองรวย’ ของ DTK จะได้บรรยากาศตอนโปรยเหรียญทองมาก 555)
หลังจากเดินมาเกือบ 30 นาที ผมก็เห็นลาพิสจากไกลๆ
ลาพิสที่สวมชุดสูทธุรกิจสีดำ กำลังออกคำสั่งกับเหล่าคนงานอยู่
คนแคระและก็อบลินที่ดูเหมือนเป็นผู้บริหารกำลังตามหลังเธอมา
ผมจึงตะโกนขึ้น
“ลาพิสสสสสสสสส, ข้าเองจ้าาาาา! ดันทาเลี่ยนกลับมาล้าววววว!”
“…….”
ลาพิสหันกลับมามองผม ดวงตาสีฟ้าที่ผมเฝ้าฝันมานานคืนจ้องตรงมายังผม
อย่างที่คิดนั่นแหละ ท่าทางที่ผมคาดหวังไว้ไม่ได้แสดงออกมา ลาพิสยังคงเฉยชา
“ใช่ค่ะ ปล่อยให้ที่ตรงนั้นว่างไว้ พวกเราต้องการพื้นที่โกดังเก็บของ
ไม่ใช่ค่ะ ตรงนั้นต้องทำให้กว้างกว่านี้ ดิฉันหวังว่า คนของพวกคุณที่บลูเซลอสเทีย จะสามารถเก็บรักษาวัสดุพวกนั้นได้…….”
แล้วเธอก็หันกลับไปสั่งงานที่ซับซ้อนกับพวกคนงานก่อสร้างต่อ พวกคนงานทั้งหลายดูเหมือนจะไม่สนใจการมีอยู่ของผมด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆจึงเดินเข้าไปหาเธออย่างระวัง
“อือหือออ ลาพิส นี่ดันทาเลี่ยนเองน้า? จอมมารที่เจ้าไม่เห็นหน้าตั้งสองเดือนเลยใช่ไหม?
ข้าก็ไม่ได้แบบว่า หวังจะให้มีปาร์ตี้ต้อนรับหรูหราอะไรหรอกนะ แต่อย่างน้อยก็ทักทายด้วยคำพูดที่แสนอุ่นใจสักประโยค……?”
ลาพิสตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์
“ท่านไม่เห็นว่า ดิฉันกำลังทำงานอยู่หรือคะ? ท่านยืนขวางทางดิฉันอยู่ค่ะ ไว้ค่อยคุยกับดิฉันทีหลังนะคะ”
“…….”
ลาพิส ก็คือ ลาพิสอะนะ
Comments