Dungeon Defense (WN) 214 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 214 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ฟาเบียนหันมามองทางผม

 

“อืมม ดูเหมือนข้าต้องพิสูจน์ตัวเองซีนะว่าข้าไม่ได้ดีแต่ปาก ข้าน่ะเป็นนักผจญภัยระดับเหลือง(Yellow Rank)แห่งเมืองนี้ นายสามารถไปตรวจกับกิลด์ก็ได้”

 

เขาพยายามแอบถามระดับด้วยการเปิดเผยระดับของตัวเอง

 

นักผจญภัยระดับสีเหลือง หากเทียบกับเกมก็คือ แร๊งค์ D

 

ไร้สีคือ พวกที่ต่ำสุด (F Rank) , สีเขียว (E Rank), สีเหลือง (D Rank), สีส้ม (C Rank), สีแดง (B Rank), สีดำ (A Rank),และสุดท้าย สีขาว (S Rank) 

และเป็นที่แน่นอนว่า นักผจญภัยส่วนใหญ่จะไปกองกันอยู่ที่ช่วง F ถึง E แร๊งค์

 

 

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าประทับใจมาก”

 

ผมพยักหน้า ระดับสีเหลืองนั้นก็คู่ควรกับการที่จะเรียกตัวเองอย่างมั่นใจได้ว่า เป็นผู้มากประสบการณ์

นักผจญภัยระดับสีดำกับขาวนั้นมีน้อยมากๆ แทบนับได้ในทั่วผืนทวีป

 

แถมตัวตนระดับนั้นมีแต่จะโดนดึงตัวไปเป็นหน่วยอัศวินหรือไม่ก็หัวหน้าระดับสูงของหน่วยทหารรับจ้าง

 

พวกนั้นมีแต่จะโดนดันตำแหน่งขึ้นเหนือจากชีวิตที่ต่ำตมก้นบึ้งของเหล่านักผจญภัยอยู่แล้ว

จริงๆสีแดงก็เพียงพอที่จะเป็นหัวหน้ากองทหารรับจ้างแล้วล่ะ

 

มันเป็นปรกติของโลกอยู่แล้ว

พวกมือสังหารก็ด้วยเช่นกัน ลองคิดดูหากมีมือสังหารที่เก่งฉกาจมากพอที่จะลอบฆ่าอัศวินสักคนได้โดยง่าย

แล้วทำไมคนมีความสามารถเช่นนั้นยังคงเป็นมือสังหารอยู่ต่อไปล่ะ? พวกนั้นย่อมจะต้องเลิกอาชีพแบบนั้นในทันทีด้วยซ้ำ

พวกเขาอาจจะไปรับใช้ลอร์ดในดินแดนใกล้เคียง หรือไม่ก็กลายเป็นอัศวินของลอร์ดไปแทน

 

เอาล่ะ แต่นั่นก็สำหรับมือสังหารที่ไม่ได้มีตราทาสสลักบนหัวใจแบบเจเรมิล่ะนะ

 

หากไม่นับโอกาสที่น้อยแบบน้อย น้อยมากๆ ระดับส่วนใหญ่ที่นักผจญภัยจะไปถึงได้จริงๆก็คือ สีส้ม หรือก็คือ แร๊งค์ C นั่นเอง

 

ฟาเบียนที่เป็นแร๊งค์ D ก็ไม่อาจวัดได้ว่าดีที่สุดอยู่ดี ตัวเขาไม่ใช่ข้อยกเว้นใด

ผมยังคงยิ้มค้างแล้วพูดขึ้น

 

 

“พวกเราเดินทางมาจากออร์ลีน(Orléan) เพื่อมาสอบวัดระดับส้มที่นี่”

 

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า ข้าตาถึงดูคนออกน่ะสิ ว่าแต่ออลีนนั้นไม่ใช่ว่า เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในฟรานเคียหรอกหรือ?”

 

ฟาเบียนร้องออกมาด้วยความอึ้ง

 

ถึงแม้จะเป็นระดับเดียวกัน แต่การสอบวัดระดับจากเมืองใหญ่นั้นเชื่อถือได้มากกว่าจากในเมืองเล็ก

 

แต่ถึงอย่างนั้นไม่ได้มีแต่ความประหลาดใจปรากฏในดวงตาของฟาเบียนอย่างเดียวหรอก มันมีเสี้ยวหนึ่งของความสงสัยเจืออยู่ด้วย

 

 

“ที่ข้าถามนี่อาจจะดูหยาบคายสักหน่อย แต่ข้าอยากรู้ว่าทำไมนักผจญภัยจากเมืองออร์ลีนถึงได้ถ่อมาไกลถึงเมืองนี้  ต่อจากนี้พวกเราจะต้องเผชิญสถานการณ์ถึงเป็นถึงตายด้วยกัน ดังนั้นเข้าใจด้วยว่า ทำไมข้าถึงถามอย่างนี้”

 

“เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี คุณฟาเบียน ท่านรู้เรื่องสงครามที่เกิดขึ้นในฟรานเคียนี้แล้วใช่ไหม?”

 

“ข้าได้ยินข่าวมาบ้าง”

ฟาเบียนพยักหน้า

“บริททานี่ได้ยึดเมืองปารีสและออร์ลีนเองก็เป็นหนึ่งในเมืองที่พวกนั้นยึดไป

พวกเรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นเลยรีบหนีออกมา เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีนี่ว่า เหล่านักผจญภัยน่ะอยู่ในส่วนไหนของสงครามใช่ไหม?”

 

“……พวกเราเป็นพวกแรกที่จะโดนเกณฑ์ไปรบเลย อ้าาา ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ฟาเบียนเอามือแตะหน้าหัวล้านๆของเขา

 

จากมุมมองของผู้ปกครองเมือง กลุ่มนักผจญภัยนั้นเป็นกลุ่มบุคคลที่การันตีความแข็งแกร่งได้ ดังนั้นจึงต้องเรียกมาใช้ประโยชน์ในทันที

จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า นักผจญภัยจะต้องโดนบังคับให้มาเกณฑ์ไปโดยจะได้รับรองการเป็นพลเมืองเป็นรางวัลตอบแทนหากทำผลงานได้ดี

 

“พวกนายมาที่นี่เพราะไม่อยากโดนเกณฑ์ไปรบสินะ หือ? 

คึคึ ที่นี่น่ะห่างไกลจากภูเขาดำพอสมควรเลย ดังนั้นเลยเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการหลบหนีมาสินะ”

 

“พวกเราน่ะพอจะรู้ภาษาทิวทันนิกก็เลยหลบหนีออกมาได้ แล้วตอนนี้ก็มีโชคพอที่จะได้เจอกับภารกิจดีๆแบบนี้ระหว่างเดินทาง ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

ดวงตาของฟาเบียนดูเย็นชาไปชั่วขณะ

 

“……สำหรับคนแฟรงค์แล้ว คำว่าทิวทันนิกออกจะฟังดูป่าเถื่อนไปหน่อยไหม”

 

“ไม่หรอก ไม่ได้ขนาดนั้น”

 

“ไร้สาระน่า ไม่ต้องแกล้งทำตัวสุภาพหรอก ไอ้พวกชาวทิวทันเนี่ยป่าเถื่อนมากหากเทียบกับชาวแฟรงค์

อย่างนั้นก็เถอะ ช่วยร้องเพลงที่ช่วงนี้นิยมในฟรานเคียให้ฟังหน่อยได้ไหม? 

นี่เป็นโอกาสหายากที่ข้าจะได้ฟังเพลงเพราะๆจากชาวแฟรง”

 

เขาสงสัยว่า ผมใช่ชาวแฟรงจริงหรืเปล่า จึงขอให้ผมร้องเพลงให้ฟัง

 

(TTL : ฟีลประมาณ ตำรวจตรวจต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองแล้วให้ร้องเพลงชาติไทยให้ฟังนั่นแหละ เช็คดูว่าใช่คนไทยจริงไหม 

ว่าแต่…….เอ็งจะร้องเพลงกันอีกแล้วเหรอวะ ไม่สงสารคนแปลมั่งเลยรึไง (หัวเราะ) )

 

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”

ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเริ่มร้อง

 

 

จากบรูโน่ ถึง เดนิส–

กองดาบที่วางชิดเปื้อนด้วยเลือดแลน้ำตา

ข้าลากกายาด้วยเท้าเปล่า

 

จงเดินก้าวต่อไป ลูกหลานชายหญิงแห่งฟรานเคีย

คำรามจนไฟลุกลามเลียลำคอ

ความเรืองโรจน์จักมาถึงโดยมิต้องเฝ้ารอ

 

จากปราสาทสการ์เล่ทจนถึงที่ราบเอล์ม

โบเอเทียจนถึงเนเมีย

จงสดับเสียงกรีดร้องของศัตรูนั่นเสีย

ที่ดังก้องไปทั่วทั้งภูเขาและแม่น้ำ!

 

 

จงชูธงแห่งสงคราม!

จงชูธงแห่งสงคราม!

 

ให้สิ่งที่เจิ่งนองของพวกมันนั้น คือ เลือด

บนผืนดินที่แห้งเหือดแห่งชาติเรา!

 

 

 

มันจะไปยากอะไรในเมื่อเพลงนี้ผมแต่งเอง ผมก็เลยร้องมันออกมาได้ง่ายๆ

ถึงผมจะจำเนื้อร้องไม่ได้แม่นเป๊ะ ก็เลยด้นสดเอาบ้างในบางส่วน แต่อันที่จริงพวกเพลงแบบนี้เนี่ย พอร้องต่อๆกันมันก็ต้องมีผิดเพี้ยนไปบ้างอยู่แล้ว

 

“ว้าวว เจ้าที่เป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยมเลยนี่!”

ฟาเบียนปรบมือให้ ผมขอยอมรับจากใจจริงว่า ยังห่างไกลจากการเป็นสุดยอดนักร้อง แต่เขาเองก็ทำแบบนั้นเป็นการขอโทษที่มาตั้งข้อสงสัยกับผม

 

นักผจญภัยหัวล้าน ตาเดียว ฟาเบียน จึงเลิกสอดรู้สอดเห็นปูมหลังของพวกเราอีก 

แต่ก็มีนักผจญภัยหลายคนที่มีเรื่องราวที่น่าเศร้าอยู่เหมือนกัน ฟาเบียนก็เลยสั่งเบียร์ข้าวสาลีมาถึง 12 แก้ว ต้อนรับเราอย่างดี

 

 

แล้วฟาเบียนเองก็ตกใจอย่างมากตอนที่ผมเปิดเผยว่า ตัวผมนั้นเป็น ผู้ใช้ภูติ(spirit tamer) ผู้ใช้ภูตินั้นเป็นตัวตนที่หาได้ยาก ยากยิ่งกว่านักเวทย์(mage)เสียอีก

 

“มันเรื่องจริงเหรอ? ไม่ใช่ว่า ข้าสงสัยนายนะ แต่นายน่ะเป็นผู้ใช้ภูติจริงๆใช่ไหม?”

 

“ ถ้าอย่างนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น…….”

 

ผมค่อยๆบรรจงล้วงของบางอย่างออกมาจากใต้เสื้อโค้ท มันเป็นภูติระดับต่ำ ผมได้แอบเอาภูตซิลฟ์(Sylph*)บางตัวพกไว้เผื่อจะได้แอบอ้างว่าเป็นผู้ใช้ภูติ

 

แม้แต่ตอนนี้ก็มีภูตซิลฟ์สองตัวเกาะหนึบผมอย่างกับตัวสลอธ

 

– เคี๋ย?

 

ซิลฟ์ตัวหนึ่งนั่งอยู่บนฝ่ามือของผมแล้วเอียงคอมอง 

 

มาสเตอร์? ที่นี่มันที่ไหนกันน่ะ ท่าทางของเธอกำลังถามผมแบบนั้นอยู่ และถึงผมจะอธิบายไปเจ้าซิลฟ์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมจึงลูบเบาๆด้วยนิ้ว

 

 

– คิฮะ, คย่าาาา~

 

เจ้าภูตตัวนั้นก็เกาะหนึบกับนิ้วและพยายามจะให้ผมนวดถูแก้มของเธอ น่ารักชะมัด!

 

ร่างของจอมมารนั้นไหลเวียนไปด้วยมานา ดังนั้นจึงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในแดนดินที่มีมานาเข้มข้น 

 

ฟาเบียนมองผมพลางพูดออกมาด้วยความทึ่ง

 

“นะ-นี่มันของจริง……ภูตของจริง”

 

กรามของเขาอ้าค้างจนแทบจะลากถึงพื้น ผมแอบลอบยิ้มให้ก่อนที่จะเก็บซิลฟ์กลับไปในใต้เสื้อตัวเองอีกครั้ง 

ผมอยากจะเล่นกับแม่นี่หนูมากกว่านี้แหละ แต่นี่มันยังไม่ใช่เวลาและสถานที่อันสมควร 

 

ผมจะเล่นกับหนูๆทั้งหลายหลังจากฆ่าล้างพวกนักผจญภัยจนหมดแล้วนะจ๊ะ แม่สาวน้อยผู้น่ารักทั้งหลาย!

แต่ตอนนี้ยังก่อน

 

“แล้วตอนนี้? เจ้าเชื่อข้ารึยัง?”

 

“ชะ-เชื่อแล้ว เชื่อแน่นอน ไม่มีใครกล้าสงสัยทั้งที่ได้เห็นอะไรยืนยันชัดเจนขนาดนั้น

โอ้ พระเจ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าที่ได้พบกับ ผู้ใช้ภูต”

 

ฟาเบียนดื่มเบียร์อย่างเหม่อลอย จนกระทั่งหมดแก้ว

ตอนนั้นเองที่เขาคงรู้ตัวแล้วว่า ได้ทำอะไรโง่ๆลงไปจึงได้แต่ยักไหล่

 

 

“พอมาคิดๆดูว่า ข้าได้เจอคนที่มีความสามารถอย่างพวกนายสองคนนี่ ดูเหมือนสายตาในการดูคนของข้านี่ยังใช้ได้อยู่

ข้าแน่ใจเลยล่ะ ว่าพวกเราต้องสำเร็จแน่ๆ ข้าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ”

 

“ข้าต่างหากที่ต้องฝากเนื้อฝากตัว”

พวกเราต่างสั่งเบียร์มาเพิ่มแล้วก็กล่าวอวยพรให้แก่กัน

 

ผมล่ะสงสัยจริงๆว่า หากเขาพบว่า เพื่อนร่วมปาร์ตี้เป็นจอมมารขึ้นมาเนี่ย เขาจะแสดงความประหลาดใจหรือความหวาดกลัวกันแน่นะ 

แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่ว่า ไอ้เรื่องแบบนี้มันน่าสนุก ก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี…….

 

 

* * *

 

 

สองวันต่อมาพวกเราก็ออกจากเมือง ฟาเบียนใช้เวลาเตรียมตัวมากมาย มีแม้กระทั่งแผนที่ปราสาทจอมมารของผม

 

“ไม่ต้องกลัวหลงเลยนะ เพื่อนๆ”

 

นี่ผมกำลังโดนนำทางไปบ้านตัวเองอยู่สินะ มันช่างเป็นเรื่องน่าขำ 

แต่ผมกับเจเรมิเองก็พยายามทำตัวเป็นนักผจญภัยบ้านนอกคอกนา ดังนั้นก็เลยอยู่เงียบๆปล่อยให้เขานำทางพวกเราไป

 

พวกเราหยุดแวะพักหลายหมู่บ้านที่นี่ ที่นั่นก่อนจะไปถึงปลายทางในสี่วันต่อมา

 

 

6 ภูเขา และ6 หมู่บ้านในแถบนั้น

ชาวบ้านจากดินแดนอื่นอาจไม่รู้ แต่ผมน่ะเป็นผู้ปกครองดินแดนเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งไม่ต้องจ่ายภาษี

 

มีเพียงบางครอบครัวเท่านั้นที่ต้องส่งภาษีรายรับ  30% และรางวัลตอบแทนจากการยอมรับใช้ก็คือ ผมจะระงับการรุกรานของพวกมอนสเตอร์ที่เข้ามาจู่โจมพวกเขา…….จึงนับเป็นสรวงสวรรค์ของชาวนาโดยแท้

 

 

ชาวบ้านพวกนี้ตอนนี้กำลังทุกข์ใจกับฝูงนักผจญภัยที่แห่เข้ามา

 

“ได้โปรดเถอะครับ ท่าน! นั่นมันแม่ไก่ของครอบครัวเรา!”

 

“เฮ่อออ ข้าก็บอกแล้วไง ข้าจะซื้อไง แกจะมาทำให้ข้าโมโหทำไมวะ?”

 

กลุ่มนักผจญภัยนั้นเอาทรัพย์สินของชาวบ้านในหมู่บ้านไปแลกกับเศษเงินเล็กๆน้อยๆที่ไม่คุ้มกันเลย

 

ชาวนาคนนั้นรู้แล้วว่าตัวเองต้องสูญเสียแม่ไก่ไปกับเงินไม่กี่เหรียญทองแดง แต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้ เนื่องจากมีนักผจญภัยเกือบ 30คนอยู่ในหมู่บ้าน

 

“คิดว่าน้อยไปรึ? ถ้าอย่างนั้นก็เอาลูกสาวมาแก้ขัดสักคืนสิ”

 

“มะ-ไม่ครับ พอแล้วครับ…….”

 

ชาวนาคนนั้นกำเหรียญที่รับมาแน่นและโค้งให้ นักผจญภัยก็แตะบ่าอย่างขบขันก่อนจะจากไป ดูเหมือนคืนนี้พวกเขาจะมีซุปไก่กินกันแล้ว

 

ประชากรในหมู่บ้านลดน้อยถอยลงเพราะลูกชายคนเล็กสุดแยกตัวออกไป หมู่บ้านที่เล็กที่สุดมีประชากรราว50 ที่ใหญ่สุดก็ไม่เกิน 90 พวกชาวบ้านจึงได้แต่ก้มหน้ารับการกระทำแบบนั้นไป

 

ถึงแม้เจ้าพวกนี้จะเคยจัดการกับก็อบลินให้มาก่อนก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนักผจญภัยก็เป็นบุคคลที่จับดาบมาตลอดชีวิต  

พวกทหารอาสาสามารถออกหน้ามาจัดการกับนักผจญภัยพวกนี้ได้

แต่ถึงอย่างนั้น ทหารอาสาประจำหมู่บ้านในดินแดนผมก็ลดลงจำนวนมากเนื่องจากเหตุการณ์ที่ริฟเข้ามา…….

 

 

“ชิ บรรยากาศไม่ดีเลยว่ะ ไปหมู่บ้านอื่นกันเถอะ”

 

ฟาเบียนเดาะลิ้น พวกเราจึงต้องไปหมู่บ้านถัดไปแทน ซึ่งที่นั่นก็กลายเป็นถิ่นอาชญากรไปแล้ว

 

ทั้งเควอรินาเล่(Quirinale), วิมินาเล่(Viminale), เอสควิลิโน่(Esquilino),คาปิโตลิโน่(Capitolino), อเวนทิโน่(Aventino), และเซลิโอ้(Celio)

……ที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยเหล่านักผจญภัย ทั้ง 6 หมู่บ้านต่างก็ลำบากกับการรุกรานจากคนภายนอก

 

 

“แม่เอ๊ย อย่างกับไอ้พวกจัญไรมารวมกัน! 

ข้าคิดแล้วว่า สักวันมันต้องกิดขึ้น ไอ้พวกไก่อ่อนขี้ขลาด”

 

ฟาเบียนตะโกนออกมาด้วยความขัดใจตอนที่พวกเราเดินทางผ่านดินแดนของผมไปแล้วครึ่งวัน เขาทุบพื้น

 

“ก็เพราะไอ้พวกห่านั่นแหละที่ทำให้ชาวบ้านปฏิบัติกับพวกเราเหมือนคนเร่ร่อน!

พวกมันไม่มีสำนึก ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร 

แม่งไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังบั่นทอนทำลายทำลายงานตัวเองอยู่”

 

“ไม่มีหมู่บ้านไหนมีโรงแรมเลย เราคงต้องนอนกันข้างนอก”

 

“……มันเป็นอะไรที่โง่มาก หากพักผ่อนไม่เพียงพอก่อนเข้าไปในปราสาทจอมมาร”

ฟาเบียนส่ายหน้า

“เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอให้ใครสักคนให้ที่พักกับเราคืนนี้”

 

“หืมม ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็ไม่ต่างจาก นักผจญภัยพวกนั้นเลยสิ ”

 

“แล้วข้าจะไปทำอะไรได้ล่ะ? แต่อย่างน้อยข้าก็ยินดีจ่ายค่าที่พักที่เหมาะสมให้ก็แล้วกัน 

พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้านนะ”

 

ฟาเบียนบ่นอุบก่อนจะเดินไปไหนสักแห่ง

 

 

ผมรู้สึกแย่แทนเขานะ แต่เจเรมิกับผมมีที่พักอยู่แล้ว  

ผมจึงเดินไปยังปากทางหมู่บ้านไม่กี่ก้าว บ้านหลังที่เคยเป็นของนักล่าประจำหมู่บ้านแต่ตอนนี้กลายเป็นของหัวหน้าหมู่บ้านแทนแล้ว

 

ผมเคาะประตู เสียงผู้ชายดังมาจากด้านใน

 

“เฮ้ยย! ถ้ามึงเป็นนักผจญภัย ก็ไสหัวไปซะ! แต่ถ้าเป็นชาวบ้านก็ไสหัวไปอยู่ดีโว้ย! 

ข้าไม่ให้ที่พักพวกแกหรอก แล้วข้าก็ไม่ว่างไล่นักผจญภัยออกจากบ้านพวกแกด้วย!”

 

ผมหัวเราะขึ้นมา

 

“พาร์ซิเอ๋ย นี่ข้าเอง ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ที่เจ้าภาคภูมิใจยังไงล่ะ”

 

“อ้อ โธ่ๆ!”

 

มีเสียงตึงตังดังขึ้นเหมือนของหล่นให้ได้ยินก่อนที่จะเปิดประตูออกมา บุคคลที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นเป็นคนที่คุ้นตากันดี พาร์ซิยังไงล่ะ

 

“ข้ารอจนไข่เหี่ยวแล้วเนี่ย ฝ่าบาท!”

 

“ทำไมแกถึงทำตัวเหมือนรอมานานหลายวันแล้ววะ?”

 

“ในหมู่บ้านนี้มันวุ่นวาย ปั่นป่วนเป็น 10 ครั้งได้ ในช่วงหลายวันนี้ รีบเข้ามาเถอะ”

พอเขาเรียกผมเข้าไปเสร็จผมก็ถามเขาทันที

 

“เอาล่ะ แล้วชาวบ้านน่ะไม่พอใจนิดหน่อยกับการมาของพวกนักผจญภัยพวกนี้ใช่ไหม?”

 

“นิดหน่อยเหรอครับ? ท่านพึ่งพูดว่า นิดหน่อยใช่ไหม? อย่าพูดอย่างนั้นเลย

พวกเขาเอาแต่โวยวายยอมโดนควักไข่ยัดใส่เบ้าตาดีกว่าโดนไอ้พวกนักผจญภัยพวกนั้นเอาเปรียบ”

 

“พูดง่ายๆก็คือ”

 

ผมนั่งลงแล้วหัวเราะร่วน

 

“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสินะ”

 

พาร์ซิถอนใจดังๆ

 

“ใช่ครับ ให้ตายเถอะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฝ่าบาทวางแผนไว้”

 

 

—–

 

*ซิลฟ์(Sylph)

ซิลฟ์นั้นเป็นภูตหรือจิตวิญญาณแห่งสายลม เกิดขึ้นในงานเขียน ของพาราเซลซัล(Paracelcus) โดยเขาเชื่อว่า มีจิตวิญญาณอยู่ในธาตุทั้ง 4 ธาตุดิน คือ กโนม(Gnome) ธาตุน้ำ คือ อุนดิเน่(Undine) ธาตุไฟ คือ ซาลามานเดอร์(Salamander) และธาตุลม คือ ซิลฟ์(Sylph) โดยซิลฟ์นั้นใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่า จิตวิญญาณธาตุอื่น มีความสามารถในการทะลุผ่านสิ่งต่างๆได้ 

 

ต่อมาก็มีนักประพันธ์หลายคนแต่งเติม ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกแฟรี่ โดยมีรูปร่างยอดนิยมในสื่อปัจจุบันเป็นภูตสาวตัวน้อย มีปีกใสๆหนึ่งคู่ บินไปกับสายลมด้วยความรวดเร็ว 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 214 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 214 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ฟาเบียนหันมามองทางผม

 

“อืมม ดูเหมือนข้าต้องพิสูจน์ตัวเองซีนะว่าข้าไม่ได้ดีแต่ปาก ข้าน่ะเป็นนักผจญภัยระดับเหลือง(Yellow Rank)แห่งเมืองนี้ นายสามารถไปตรวจกับกิลด์ก็ได้”

 

เขาพยายามแอบถามระดับด้วยการเปิดเผยระดับของตัวเอง

 

นักผจญภัยระดับสีเหลือง หากเทียบกับเกมก็คือ แร๊งค์ D

 

ไร้สีคือ พวกที่ต่ำสุด (F Rank) , สีเขียว (E Rank), สีเหลือง (D Rank), สีส้ม (C Rank), สีแดง (B Rank), สีดำ (A Rank),และสุดท้าย สีขาว (S Rank) 

และเป็นที่แน่นอนว่า นักผจญภัยส่วนใหญ่จะไปกองกันอยู่ที่ช่วง F ถึง E แร๊งค์

 

 

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าประทับใจมาก”

 

ผมพยักหน้า ระดับสีเหลืองนั้นก็คู่ควรกับการที่จะเรียกตัวเองอย่างมั่นใจได้ว่า เป็นผู้มากประสบการณ์

นักผจญภัยระดับสีดำกับขาวนั้นมีน้อยมากๆ แทบนับได้ในทั่วผืนทวีป

 

แถมตัวตนระดับนั้นมีแต่จะโดนดึงตัวไปเป็นหน่วยอัศวินหรือไม่ก็หัวหน้าระดับสูงของหน่วยทหารรับจ้าง

 

พวกนั้นมีแต่จะโดนดันตำแหน่งขึ้นเหนือจากชีวิตที่ต่ำตมก้นบึ้งของเหล่านักผจญภัยอยู่แล้ว

จริงๆสีแดงก็เพียงพอที่จะเป็นหัวหน้ากองทหารรับจ้างแล้วล่ะ

 

มันเป็นปรกติของโลกอยู่แล้ว

พวกมือสังหารก็ด้วยเช่นกัน ลองคิดดูหากมีมือสังหารที่เก่งฉกาจมากพอที่จะลอบฆ่าอัศวินสักคนได้โดยง่าย

แล้วทำไมคนมีความสามารถเช่นนั้นยังคงเป็นมือสังหารอยู่ต่อไปล่ะ? พวกนั้นย่อมจะต้องเลิกอาชีพแบบนั้นในทันทีด้วยซ้ำ

พวกเขาอาจจะไปรับใช้ลอร์ดในดินแดนใกล้เคียง หรือไม่ก็กลายเป็นอัศวินของลอร์ดไปแทน

 

เอาล่ะ แต่นั่นก็สำหรับมือสังหารที่ไม่ได้มีตราทาสสลักบนหัวใจแบบเจเรมิล่ะนะ

 

หากไม่นับโอกาสที่น้อยแบบน้อย น้อยมากๆ ระดับส่วนใหญ่ที่นักผจญภัยจะไปถึงได้จริงๆก็คือ สีส้ม หรือก็คือ แร๊งค์ C นั่นเอง

 

ฟาเบียนที่เป็นแร๊งค์ D ก็ไม่อาจวัดได้ว่าดีที่สุดอยู่ดี ตัวเขาไม่ใช่ข้อยกเว้นใด

ผมยังคงยิ้มค้างแล้วพูดขึ้น

 

 

“พวกเราเดินทางมาจากออร์ลีน(Orléan) เพื่อมาสอบวัดระดับส้มที่นี่”

 

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า ข้าตาถึงดูคนออกน่ะสิ ว่าแต่ออลีนนั้นไม่ใช่ว่า เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในฟรานเคียหรอกหรือ?”

 

ฟาเบียนร้องออกมาด้วยความอึ้ง

 

ถึงแม้จะเป็นระดับเดียวกัน แต่การสอบวัดระดับจากเมืองใหญ่นั้นเชื่อถือได้มากกว่าจากในเมืองเล็ก

 

แต่ถึงอย่างนั้นไม่ได้มีแต่ความประหลาดใจปรากฏในดวงตาของฟาเบียนอย่างเดียวหรอก มันมีเสี้ยวหนึ่งของความสงสัยเจืออยู่ด้วย

 

 

“ที่ข้าถามนี่อาจจะดูหยาบคายสักหน่อย แต่ข้าอยากรู้ว่าทำไมนักผจญภัยจากเมืองออร์ลีนถึงได้ถ่อมาไกลถึงเมืองนี้  ต่อจากนี้พวกเราจะต้องเผชิญสถานการณ์ถึงเป็นถึงตายด้วยกัน ดังนั้นเข้าใจด้วยว่า ทำไมข้าถึงถามอย่างนี้”

 

“เรื่องนั้นข้าเข้าใจดี คุณฟาเบียน ท่านรู้เรื่องสงครามที่เกิดขึ้นในฟรานเคียนี้แล้วใช่ไหม?”

 

“ข้าได้ยินข่าวมาบ้าง”

ฟาเบียนพยักหน้า

“บริททานี่ได้ยึดเมืองปารีสและออร์ลีนเองก็เป็นหนึ่งในเมืองที่พวกนั้นยึดไป

พวกเรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นเลยรีบหนีออกมา เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีนี่ว่า เหล่านักผจญภัยน่ะอยู่ในส่วนไหนของสงครามใช่ไหม?”

 

“……พวกเราเป็นพวกแรกที่จะโดนเกณฑ์ไปรบเลย อ้าาา ข้าเข้าใจแล้ว”

 

ฟาเบียนเอามือแตะหน้าหัวล้านๆของเขา

 

จากมุมมองของผู้ปกครองเมือง กลุ่มนักผจญภัยนั้นเป็นกลุ่มบุคคลที่การันตีความแข็งแกร่งได้ ดังนั้นจึงต้องเรียกมาใช้ประโยชน์ในทันที

จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า นักผจญภัยจะต้องโดนบังคับให้มาเกณฑ์ไปโดยจะได้รับรองการเป็นพลเมืองเป็นรางวัลตอบแทนหากทำผลงานได้ดี

 

“พวกนายมาที่นี่เพราะไม่อยากโดนเกณฑ์ไปรบสินะ หือ? 

คึคึ ที่นี่น่ะห่างไกลจากภูเขาดำพอสมควรเลย ดังนั้นเลยเป็นที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการหลบหนีมาสินะ”

 

“พวกเราน่ะพอจะรู้ภาษาทิวทันนิกก็เลยหลบหนีออกมาได้ แล้วตอนนี้ก็มีโชคพอที่จะได้เจอกับภารกิจดีๆแบบนี้ระหว่างเดินทาง ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

ดวงตาของฟาเบียนดูเย็นชาไปชั่วขณะ

 

“……สำหรับคนแฟรงค์แล้ว คำว่าทิวทันนิกออกจะฟังดูป่าเถื่อนไปหน่อยไหม”

 

“ไม่หรอก ไม่ได้ขนาดนั้น”

 

“ไร้สาระน่า ไม่ต้องแกล้งทำตัวสุภาพหรอก ไอ้พวกชาวทิวทันเนี่ยป่าเถื่อนมากหากเทียบกับชาวแฟรงค์

อย่างนั้นก็เถอะ ช่วยร้องเพลงที่ช่วงนี้นิยมในฟรานเคียให้ฟังหน่อยได้ไหม? 

นี่เป็นโอกาสหายากที่ข้าจะได้ฟังเพลงเพราะๆจากชาวแฟรง”

 

เขาสงสัยว่า ผมใช่ชาวแฟรงจริงหรืเปล่า จึงขอให้ผมร้องเพลงให้ฟัง

 

(TTL : ฟีลประมาณ ตำรวจตรวจต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองแล้วให้ร้องเพลงชาติไทยให้ฟังนั่นแหละ เช็คดูว่าใช่คนไทยจริงไหม 

ว่าแต่…….เอ็งจะร้องเพลงกันอีกแล้วเหรอวะ ไม่สงสารคนแปลมั่งเลยรึไง (หัวเราะ) )

 

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”

ผมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเริ่มร้อง

 

 

จากบรูโน่ ถึง เดนิส–

กองดาบที่วางชิดเปื้อนด้วยเลือดแลน้ำตา

ข้าลากกายาด้วยเท้าเปล่า

 

จงเดินก้าวต่อไป ลูกหลานชายหญิงแห่งฟรานเคีย

คำรามจนไฟลุกลามเลียลำคอ

ความเรืองโรจน์จักมาถึงโดยมิต้องเฝ้ารอ

 

จากปราสาทสการ์เล่ทจนถึงที่ราบเอล์ม

โบเอเทียจนถึงเนเมีย

จงสดับเสียงกรีดร้องของศัตรูนั่นเสีย

ที่ดังก้องไปทั่วทั้งภูเขาและแม่น้ำ!

 

 

จงชูธงแห่งสงคราม!

จงชูธงแห่งสงคราม!

 

ให้สิ่งที่เจิ่งนองของพวกมันนั้น คือ เลือด

บนผืนดินที่แห้งเหือดแห่งชาติเรา!

 

 

 

มันจะไปยากอะไรในเมื่อเพลงนี้ผมแต่งเอง ผมก็เลยร้องมันออกมาได้ง่ายๆ

ถึงผมจะจำเนื้อร้องไม่ได้แม่นเป๊ะ ก็เลยด้นสดเอาบ้างในบางส่วน แต่อันที่จริงพวกเพลงแบบนี้เนี่ย พอร้องต่อๆกันมันก็ต้องมีผิดเพี้ยนไปบ้างอยู่แล้ว

 

“ว้าวว เจ้าที่เป็นนักร้องที่ยอดเยี่ยมเลยนี่!”

ฟาเบียนปรบมือให้ ผมขอยอมรับจากใจจริงว่า ยังห่างไกลจากการเป็นสุดยอดนักร้อง แต่เขาเองก็ทำแบบนั้นเป็นการขอโทษที่มาตั้งข้อสงสัยกับผม

 

นักผจญภัยหัวล้าน ตาเดียว ฟาเบียน จึงเลิกสอดรู้สอดเห็นปูมหลังของพวกเราอีก 

แต่ก็มีนักผจญภัยหลายคนที่มีเรื่องราวที่น่าเศร้าอยู่เหมือนกัน ฟาเบียนก็เลยสั่งเบียร์ข้าวสาลีมาถึง 12 แก้ว ต้อนรับเราอย่างดี

 

 

แล้วฟาเบียนเองก็ตกใจอย่างมากตอนที่ผมเปิดเผยว่า ตัวผมนั้นเป็น ผู้ใช้ภูติ(spirit tamer) ผู้ใช้ภูตินั้นเป็นตัวตนที่หาได้ยาก ยากยิ่งกว่านักเวทย์(mage)เสียอีก

 

“มันเรื่องจริงเหรอ? ไม่ใช่ว่า ข้าสงสัยนายนะ แต่นายน่ะเป็นผู้ใช้ภูติจริงๆใช่ไหม?”

 

“ ถ้าอย่างนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น…….”

 

ผมค่อยๆบรรจงล้วงของบางอย่างออกมาจากใต้เสื้อโค้ท มันเป็นภูติระดับต่ำ ผมได้แอบเอาภูตซิลฟ์(Sylph*)บางตัวพกไว้เผื่อจะได้แอบอ้างว่าเป็นผู้ใช้ภูติ

 

แม้แต่ตอนนี้ก็มีภูตซิลฟ์สองตัวเกาะหนึบผมอย่างกับตัวสลอธ

 

– เคี๋ย?

 

ซิลฟ์ตัวหนึ่งนั่งอยู่บนฝ่ามือของผมแล้วเอียงคอมอง 

 

มาสเตอร์? ที่นี่มันที่ไหนกันน่ะ ท่าทางของเธอกำลังถามผมแบบนั้นอยู่ และถึงผมจะอธิบายไปเจ้าซิลฟ์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมจึงลูบเบาๆด้วยนิ้ว

 

 

– คิฮะ, คย่าาาา~

 

เจ้าภูตตัวนั้นก็เกาะหนึบกับนิ้วและพยายามจะให้ผมนวดถูแก้มของเธอ น่ารักชะมัด!

 

ร่างของจอมมารนั้นไหลเวียนไปด้วยมานา ดังนั้นจึงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในแดนดินที่มีมานาเข้มข้น 

 

ฟาเบียนมองผมพลางพูดออกมาด้วยความทึ่ง

 

“นะ-นี่มันของจริง……ภูตของจริง”

 

กรามของเขาอ้าค้างจนแทบจะลากถึงพื้น ผมแอบลอบยิ้มให้ก่อนที่จะเก็บซิลฟ์กลับไปในใต้เสื้อตัวเองอีกครั้ง 

ผมอยากจะเล่นกับแม่นี่หนูมากกว่านี้แหละ แต่นี่มันยังไม่ใช่เวลาและสถานที่อันสมควร 

 

ผมจะเล่นกับหนูๆทั้งหลายหลังจากฆ่าล้างพวกนักผจญภัยจนหมดแล้วนะจ๊ะ แม่สาวน้อยผู้น่ารักทั้งหลาย!

แต่ตอนนี้ยังก่อน

 

“แล้วตอนนี้? เจ้าเชื่อข้ารึยัง?”

 

“ชะ-เชื่อแล้ว เชื่อแน่นอน ไม่มีใครกล้าสงสัยทั้งที่ได้เห็นอะไรยืนยันชัดเจนขนาดนั้น

โอ้ พระเจ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าที่ได้พบกับ ผู้ใช้ภูต”

 

ฟาเบียนดื่มเบียร์อย่างเหม่อลอย จนกระทั่งหมดแก้ว

ตอนนั้นเองที่เขาคงรู้ตัวแล้วว่า ได้ทำอะไรโง่ๆลงไปจึงได้แต่ยักไหล่

 

 

“พอมาคิดๆดูว่า ข้าได้เจอคนที่มีความสามารถอย่างพวกนายสองคนนี่ ดูเหมือนสายตาในการดูคนของข้านี่ยังใช้ได้อยู่

ข้าแน่ใจเลยล่ะ ว่าพวกเราต้องสำเร็จแน่ๆ ข้าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ”

 

“ข้าต่างหากที่ต้องฝากเนื้อฝากตัว”

พวกเราต่างสั่งเบียร์มาเพิ่มแล้วก็กล่าวอวยพรให้แก่กัน

 

ผมล่ะสงสัยจริงๆว่า หากเขาพบว่า เพื่อนร่วมปาร์ตี้เป็นจอมมารขึ้นมาเนี่ย เขาจะแสดงความประหลาดใจหรือความหวาดกลัวกันแน่นะ 

แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่ว่า ไอ้เรื่องแบบนี้มันน่าสนุก ก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี…….

 

 

* * *

 

 

สองวันต่อมาพวกเราก็ออกจากเมือง ฟาเบียนใช้เวลาเตรียมตัวมากมาย มีแม้กระทั่งแผนที่ปราสาทจอมมารของผม

 

“ไม่ต้องกลัวหลงเลยนะ เพื่อนๆ”

 

นี่ผมกำลังโดนนำทางไปบ้านตัวเองอยู่สินะ มันช่างเป็นเรื่องน่าขำ 

แต่ผมกับเจเรมิเองก็พยายามทำตัวเป็นนักผจญภัยบ้านนอกคอกนา ดังนั้นก็เลยอยู่เงียบๆปล่อยให้เขานำทางพวกเราไป

 

พวกเราหยุดแวะพักหลายหมู่บ้านที่นี่ ที่นั่นก่อนจะไปถึงปลายทางในสี่วันต่อมา

 

 

6 ภูเขา และ6 หมู่บ้านในแถบนั้น

ชาวบ้านจากดินแดนอื่นอาจไม่รู้ แต่ผมน่ะเป็นผู้ปกครองดินแดนเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งไม่ต้องจ่ายภาษี

 

มีเพียงบางครอบครัวเท่านั้นที่ต้องส่งภาษีรายรับ  30% และรางวัลตอบแทนจากการยอมรับใช้ก็คือ ผมจะระงับการรุกรานของพวกมอนสเตอร์ที่เข้ามาจู่โจมพวกเขา…….จึงนับเป็นสรวงสวรรค์ของชาวนาโดยแท้

 

 

ชาวบ้านพวกนี้ตอนนี้กำลังทุกข์ใจกับฝูงนักผจญภัยที่แห่เข้ามา

 

“ได้โปรดเถอะครับ ท่าน! นั่นมันแม่ไก่ของครอบครัวเรา!”

 

“เฮ่อออ ข้าก็บอกแล้วไง ข้าจะซื้อไง แกจะมาทำให้ข้าโมโหทำไมวะ?”

 

กลุ่มนักผจญภัยนั้นเอาทรัพย์สินของชาวบ้านในหมู่บ้านไปแลกกับเศษเงินเล็กๆน้อยๆที่ไม่คุ้มกันเลย

 

ชาวนาคนนั้นรู้แล้วว่าตัวเองต้องสูญเสียแม่ไก่ไปกับเงินไม่กี่เหรียญทองแดง แต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้ เนื่องจากมีนักผจญภัยเกือบ 30คนอยู่ในหมู่บ้าน

 

“คิดว่าน้อยไปรึ? ถ้าอย่างนั้นก็เอาลูกสาวมาแก้ขัดสักคืนสิ”

 

“มะ-ไม่ครับ พอแล้วครับ…….”

 

ชาวนาคนนั้นกำเหรียญที่รับมาแน่นและโค้งให้ นักผจญภัยก็แตะบ่าอย่างขบขันก่อนจะจากไป ดูเหมือนคืนนี้พวกเขาจะมีซุปไก่กินกันแล้ว

 

ประชากรในหมู่บ้านลดน้อยถอยลงเพราะลูกชายคนเล็กสุดแยกตัวออกไป หมู่บ้านที่เล็กที่สุดมีประชากรราว50 ที่ใหญ่สุดก็ไม่เกิน 90 พวกชาวบ้านจึงได้แต่ก้มหน้ารับการกระทำแบบนั้นไป

 

ถึงแม้เจ้าพวกนี้จะเคยจัดการกับก็อบลินให้มาก่อนก็ตาม แต่ถึงอย่างไรนักผจญภัยก็เป็นบุคคลที่จับดาบมาตลอดชีวิต  

พวกทหารอาสาสามารถออกหน้ามาจัดการกับนักผจญภัยพวกนี้ได้

แต่ถึงอย่างนั้น ทหารอาสาประจำหมู่บ้านในดินแดนผมก็ลดลงจำนวนมากเนื่องจากเหตุการณ์ที่ริฟเข้ามา…….

 

 

“ชิ บรรยากาศไม่ดีเลยว่ะ ไปหมู่บ้านอื่นกันเถอะ”

 

ฟาเบียนเดาะลิ้น พวกเราจึงต้องไปหมู่บ้านถัดไปแทน ซึ่งที่นั่นก็กลายเป็นถิ่นอาชญากรไปแล้ว

 

ทั้งเควอรินาเล่(Quirinale), วิมินาเล่(Viminale), เอสควิลิโน่(Esquilino),คาปิโตลิโน่(Capitolino), อเวนทิโน่(Aventino), และเซลิโอ้(Celio)

……ที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยเหล่านักผจญภัย ทั้ง 6 หมู่บ้านต่างก็ลำบากกับการรุกรานจากคนภายนอก

 

 

“แม่เอ๊ย อย่างกับไอ้พวกจัญไรมารวมกัน! 

ข้าคิดแล้วว่า สักวันมันต้องกิดขึ้น ไอ้พวกไก่อ่อนขี้ขลาด”

 

ฟาเบียนตะโกนออกมาด้วยความขัดใจตอนที่พวกเราเดินทางผ่านดินแดนของผมไปแล้วครึ่งวัน เขาทุบพื้น

 

“ก็เพราะไอ้พวกห่านั่นแหละที่ทำให้ชาวบ้านปฏิบัติกับพวกเราเหมือนคนเร่ร่อน!

พวกมันไม่มีสำนึก ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร 

แม่งไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังบั่นทอนทำลายทำลายงานตัวเองอยู่”

 

“ไม่มีหมู่บ้านไหนมีโรงแรมเลย เราคงต้องนอนกันข้างนอก”

 

“……มันเป็นอะไรที่โง่มาก หากพักผ่อนไม่เพียงพอก่อนเข้าไปในปราสาทจอมมาร”

ฟาเบียนส่ายหน้า

“เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอให้ใครสักคนให้ที่พักกับเราคืนนี้”

 

“หืมม ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็ไม่ต่างจาก นักผจญภัยพวกนั้นเลยสิ ”

 

“แล้วข้าจะไปทำอะไรได้ล่ะ? แต่อย่างน้อยข้าก็ยินดีจ่ายค่าที่พักที่เหมาะสมให้ก็แล้วกัน 

พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้านนะ”

 

ฟาเบียนบ่นอุบก่อนจะเดินไปไหนสักแห่ง

 

 

ผมรู้สึกแย่แทนเขานะ แต่เจเรมิกับผมมีที่พักอยู่แล้ว  

ผมจึงเดินไปยังปากทางหมู่บ้านไม่กี่ก้าว บ้านหลังที่เคยเป็นของนักล่าประจำหมู่บ้านแต่ตอนนี้กลายเป็นของหัวหน้าหมู่บ้านแทนแล้ว

 

ผมเคาะประตู เสียงผู้ชายดังมาจากด้านใน

 

“เฮ้ยย! ถ้ามึงเป็นนักผจญภัย ก็ไสหัวไปซะ! แต่ถ้าเป็นชาวบ้านก็ไสหัวไปอยู่ดีโว้ย! 

ข้าไม่ให้ที่พักพวกแกหรอก แล้วข้าก็ไม่ว่างไล่นักผจญภัยออกจากบ้านพวกแกด้วย!”

 

ผมหัวเราะขึ้นมา

 

“พาร์ซิเอ๋ย นี่ข้าเอง ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ที่เจ้าภาคภูมิใจยังไงล่ะ”

 

“อ้อ โธ่ๆ!”

 

มีเสียงตึงตังดังขึ้นเหมือนของหล่นให้ได้ยินก่อนที่จะเปิดประตูออกมา บุคคลที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นเป็นคนที่คุ้นตากันดี พาร์ซิยังไงล่ะ

 

“ข้ารอจนไข่เหี่ยวแล้วเนี่ย ฝ่าบาท!”

 

“ทำไมแกถึงทำตัวเหมือนรอมานานหลายวันแล้ววะ?”

 

“ในหมู่บ้านนี้มันวุ่นวาย ปั่นป่วนเป็น 10 ครั้งได้ ในช่วงหลายวันนี้ รีบเข้ามาเถอะ”

พอเขาเรียกผมเข้าไปเสร็จผมก็ถามเขาทันที

 

“เอาล่ะ แล้วชาวบ้านน่ะไม่พอใจนิดหน่อยกับการมาของพวกนักผจญภัยพวกนี้ใช่ไหม?”

 

“นิดหน่อยเหรอครับ? ท่านพึ่งพูดว่า นิดหน่อยใช่ไหม? อย่าพูดอย่างนั้นเลย

พวกเขาเอาแต่โวยวายยอมโดนควักไข่ยัดใส่เบ้าตาดีกว่าโดนไอ้พวกนักผจญภัยพวกนั้นเอาเปรียบ”

 

“พูดง่ายๆก็คือ”

 

ผมนั่งลงแล้วหัวเราะร่วน

 

“ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสินะ”

 

พาร์ซิถอนใจดังๆ

 

“ใช่ครับ ให้ตายเถอะ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฝ่าบาทวางแผนไว้”

 

 

—–

 

*ซิลฟ์(Sylph)

ซิลฟ์นั้นเป็นภูตหรือจิตวิญญาณแห่งสายลม เกิดขึ้นในงานเขียน ของพาราเซลซัล(Paracelcus) โดยเขาเชื่อว่า มีจิตวิญญาณอยู่ในธาตุทั้ง 4 ธาตุดิน คือ กโนม(Gnome) ธาตุน้ำ คือ อุนดิเน่(Undine) ธาตุไฟ คือ ซาลามานเดอร์(Salamander) และธาตุลม คือ ซิลฟ์(Sylph) โดยซิลฟ์นั้นใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่า จิตวิญญาณธาตุอื่น มีความสามารถในการทะลุผ่านสิ่งต่างๆได้ 

 

ต่อมาก็มีนักประพันธ์หลายคนแต่งเติม ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกแฟรี่ โดยมีรูปร่างยอดนิยมในสื่อปัจจุบันเป็นภูตสาวตัวน้อย มีปีกใสๆหนึ่งคู่ บินไปกับสายลมด้วยความรวดเร็ว 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+