Dungeon Defense (WN) 221 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (13)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 221 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (13) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

* * *

 

 

มีข่าวลือน่าสงสัยเริ่มแพร่ไปทั่วเมืองในแถบนี้

มันเป็นข่าวลือที่ว่าด้วยเรื่อง นักผจญภัยนับร้อยคนลอบหนีไปกลางดึก ทำให้จำนวนทหารในเมืองนั้นลดลงอย่างมาก

 

ตำนานเมืองที่กระซิบบอกต่อกันไปเรื่อยกลายเป็นข่าวส่งถึงกัน

 

“ได้ยินรึเปล่าน่ะ? เรื่องที่นักผจญภัยโดนฆ่าตายในปราสาทจอมมารน่ะ”

 

“พวกที่หนีจากเมืองไปเพราะไม่อยากจ่ายภาษีสินะ ชาวบ้านในหมู่บ้านแถวนั้นเป็นพยานให้ได้”

 

“ข้าได้ยินมาว่า ปราสาทจอมมารแถบโน้นน่ะเต็มไปด้วยทองและทรัพย์สมบัติมากมายเลย”

นักผจญภัยทั้งหลายต่างล้มเหลวในการปราบจอมมารดันทาเลี่ยน

 

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้กำไรอื้อซ่าจากการฆ่ามอนสเตอร์ในนั้น พอได้เงินมามากพอ พวกนั้นก็รีบชิ่งหนีไปเมืองอื่นเพราะไม่อยากจ่ายภาษีจากเงินที่หามาได้…….

 

“พวกเขาถึงบอกไงว่า พวกนักผจญภัยน่ะสู้เพื่อเงินเท่านั้นแหละ”

 

“เห็นว่า มีหลายคนฆ่ากันตายเพราะขัดแย้งกันเอง เผลอๆมากกว่าจำนวนที่ตายในปราสาทจอมมารเสียอีก!”

 

“เฮ่อ นี่แหละน้า พวกนักผจญภัยน่ะ”

 

ข่าวลือซ้อนข่าวลือ

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตำนานยิ่งใหญ่ที่ว่าด้วย นักผจญภัยทั้ง 150 คนโดนฆ่าบนกองเงินกองทองก็หายวับไป พวกชาวเมืองต่างหัวเราะเยาะให้กับความโง่เง่าของนักผจญภัย

 

 

นั่นเป็นข่าวลือที่ผมจงใจจะแพร่มันออกไป

จากนักผจญภัย 155 คน มีเพียง 2 คนที่รอดกลับมาได้ คือ ผมกับเจเรมิ

 

พวกนักผจญภัยที่เหลือไม่อาจหลบหนีได้และกระดูกก็ฝังไว้ในดันเจี้ยน ก็อบลินถึงกับจัดงานฉลองครั้งใหญ่กันเลยในวันนั้น ก็อบลินต่างสรรเสริญฝ่าบาทจอมมารขณะที่กินดื่มเลือดเนื้อมนุษย์

ก็ยังมี คนข้างนอกอีกราว 150 คนที่มุ่งเป้าไปที่รางวัลใหญ่นั้น และยังมีนักผจญภัยที่มาตามไม่กี่วันต่อมาจากชุดแรกที่โดนฆ่าไป แต่ถึงอย่างนั้นที่มาก็แค่จำนวนไม่มากนัก

 

พวกเขานั้นไม่มั่นใจว่าจะสามารถปราบจอมมารได้ จึงเอาแต่วนจับก็อบลินอยู่แถวๆหน้าปากทางเข้าดันเจี้ยน

ผมจึงปล่อยข่าวลือผ่านคนพวกนั้นนั่นแหละ

 

 

หากมาช้า ก็จะพลาดโอกาสงามๆ 

ในหัวนักผจญภัยพวกนั้นก็คิดแต่เรื่องแบบนั้นก่อนจะกลับบ้านไปด้วยความหงุดหงิด

 

พวกนั้นก็จะไปบ่นในบาร์ แล้วพูดประมาณว่า “นี่ถ้าพวกเราไปถึงที่นั่นก่อนนะ!”

หารู้ไม่ว่า พวกนั้นน่ะเป็นคนที่โชคดีเหลือเกิน

 

เอาล่ะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องนักผจญภัยน่ะมันเป็นปัญหาลำดับสองอยู่ดี

 

สิ่งสำคัญคือ การทำให้ระบบยุติธรรมทั้งเกิดการบังคับใช้ในดินแดนของผม ผมได้รวบรวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าของที่ดิน เป็นหัวหน้ากลุ่มชุมชน 20 คน 

ไม่เพียงแต่พวกเขาบริหารจัดการดินแดนเท่านั้นหากแต่ยังเป็นหัวหน้าตระกูลที่เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของผมนับแต่นี้เป็นต้นไปด้วย

 

“อย่างที่ทุกคนต้องการ ข้าได้กำจัดกลุ่มนักเดินทางผู้ชั่วร้ายป่าเถื่อนลงแล้ว”

ผมมองหน้าอีกฝ่ายขณะที่พูด

 

มนุษย์ทั้งหลายต่างรีบโค้งก้มหัวให้ยามเมื่อสบตา ผมเป็นลอร์ดผู้สังหารนักผจญภัยไป 15 คนภายในเวลาเพียงครึ่งวัน

ว่าง่ายๆ พวกหัวหน้าชุมชนนั้นรู้ดีว่า ชีวิตของพวกเขานั้นเป็นดั่งมดแมลง

 

“ข้าจะไม่ปกปิดเรื่องใดแก่พวกเจ้าทุกคน หากมีความลับระหว่างลอร์ดและข้ารับใช้ย่อมจะเกิดช่องว่างที่จะกลืนกินดินแดนของพวกเราทั้งหมด เหล่าผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านทั้งหลายเอ๋ย”

ผมหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ หัวหน้าชุมชนค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างระแวดระวัง

“ข้าจะไม่กล่าวอ้างว่าที่จัดการเหล่านักผจญภัยนั้นเป็นไปด้วยเจตนาดีบริสุทธิ์ ข้ารู้มานานแล้วว่า พวกเจ้านั้นจงรักภักดีต่อข้า

แต่ถึงอย่างนั้น ข้าจะขอเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกันว่า ข้าได้ฆ่าล้าง นักผจญภัยไป 155 คน เพราะมีสิ่งที่ข้าต้องการจะได้จากพวกเจ้า”

 

สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากพวกเขานั่นคือ จงส่งอำนาจตุลาการพิพากษามาให้ผม

 

ผมไม่อยากให้พวกเขาไปแอบจัดการเรื่องนั้นกันลับๆเพราะจะเป็นปัญหาเรื่องการลุกฮือต่อต้านขึ้นในหมู่บ้านของพวกเขาเอง แทนที่จะทำอย่างนั้นก็ยกให้เป็นอำนาจศาลจากต่างหมู่บ้านไป

 

ด้วยวิธีนี้ อำนาจของกฏหมายนั้นจะโปร่งใส่ 

หากมีปัญหาเกิดขึ้น ผลการตัดสินก็จะเผยแพร่ออกสู่สาธารณะให้ทุกคนตัดสินอีกครั้งว่า อะไรเป็นปัญหากันแน่ และมันสมเหตุสมผลหรือไม่

 

สิ่งนี้เองที่จะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านมีโอกาสพัฒนาตัวเองด้วย

มันทำให้เห็นกันได้อย่างชัดเจนเลยว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตัดสินคดีความ ทั้งยังลดเสียงตำหนิเรื่องการตัดสินผิดพลาดและยังยกระดับการทำคดีขึ้นมาด้วย

ผลลัพธ์ที่ได้ สิ่งนี้จะกลายเป็นดั่งคุก กรงขังโดยมีศูนย์กลางที่ทุกคนคอยเฝ้าจับตาดูกันและกัน

 

“ผู้นำชุมชนของหมู่บ้านทั้งหลาย พวกเจ้าจะยอมรับระบบการตัดสินคดีนี้หรือไม่?”

 

“ยอมรับครับฝ่าบาท ตามที่ท่านบัญชา”

ทั้ง 20 คนที่อยู่ตรงหน้าผมลุกขึ้นแล้วโค้งให้ด้วยความเคารพ

 

ตอนนี้พวกเราอยู่บนเนินเขา ณ ใจกลางดินแดนของผม ผมสั่งให้คนแคระสร้างอัฒจันทร์ ที่นั่งชมที่เป็นรูปวงกลมไม่มีหลังคา อยู่ที่นี่

สมเป็นนักก่อสร้างผู้มีชื่อเสียงในโลกปีศาจ พวกนั้นสร้างอัฒจันทร์เสร็จให้ดูดีได้ภายใน 4 วัน

 

ตรงใจกลางนั้นต่ำกว่าที่อื่นโดยมีที่นั่งไว้ให้ผู้สังเกตการณ์เป็นบันไดเดินขึ้นไปจากด้านข้าง

ผมจะยืนอยู่ตรงกลางขณะที่พูด

ส่วนผู้นำชุมชนอื่นๆจะนั่งเก้าอี้ผู้สังเกตการณ์ที่สูงกว่าหัวผมขึ้นไป

พวกเขาบ่นเหมือนกันว่า การนั่งที่นั่งแบบนั้นมันเป็น ‘การแสดงความไม่เคารพนับถือ’ อย่างยิ่ง

แต่พอผมกดดันเข้า สุดท้ายพวกก็เขาก็ต้องยอมนั่ง

มันมีเหตุผลอยู่ทำไมผมถึงสร้างสถานที่แบบนี้ขึ้นมา

 

“นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะทำการตัดสินคดีความกันที่นี่

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีจะต้องยืนตรงที่ที่ข้ายืนอยู่ ณ ตรงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ใครก็ตามที่อยากเข้าชมก็สามารถนั่งได้ตรงที่นั่งผู้สังเกตการณ์”

 

เพื่อให้เป็นการพิจารณาคดีสาธารณะ

 

สิ่งสำคัญและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆสำหรับชาวบ้านก็คือ การที่ศาลจะต้องอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ ยิ่งผมเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาได้ดีมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งจัดการพวกเขาได้พิถีพิถันยิ่งขึ้น

 

เราไม่มีทางรู้เลยว่า ใครจะเป็นผู้รับชมการพิจารณาคดี แต่ก็มีโอกาสเหมือนกันที่ผมจะแอบส่งคนไปฟัง ผู้นำชุมชนจึงเริ่มวิตกที่ผมอาจจะมีการตักเตือนหากเขาพิจารณาคดีผิดพลาด

 

แต่นั่นก็แค่ ‘อำนาจ’ ที่ผมแบ่งให้ในรูปแบบที่มองไม่เห็น

ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องจับตาดูพวกหัวหน้าหมู่บ้านตลอดเวลา มนุษย์น่ะไม่อาจจะเฝ้าจับตาดูกันและกันได้หรอก แต่ผมก็แค่หย่อนความสงสัยลังเลฝังไว้เพื่อให้เป็นผู้สังเกตการณ์ตัวจริง

 

หนึ่งในผู้นำชุมชนได้ถามคำถามอย่างสุภาพยิ่ง

 

“ขออนุญาตถามนะขอรับ ฝ่าบาทนั้นหมายถึง การตัดสินคดีทุกคดีเลยหรือครับ?”

 

“ถูกแล้ว ทุกคดีความ พวกเจ้าทั้งหมดต้องจัดการกับมันอย่างเต็มที่ ซึ่งการตัดสินคดีนั้นจะเกิดขึ้นสองครั้งต่อเดือน”

 

เมื่อหย่อนความลังเลสงสัยลงในหัวจิตหัวใจผู้คน การตัดสินคดีลับๆก็ไม่อาจทำได้

ทุกอย่างนั้นต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ทุกอย่างต้องทำในพื้นที่เปิดที่ทุกคนสามารถเห็นได้

แถมผมยังเพิ่มกระบวนการบางอย่างเข้าไปอีกด้วย

 

 

ผมยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน

 

“เหล่าผู้นำชุมชนเอ๋ย รวมถึงตัวข้าด้วยเช่นกัน หากเกิดเหตุการณ์สำคัญ และข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าก็ย่อมต้องเข้าสู่กระบวนการของศาลด้วย”

 

“แม้แต่ฝ่าบาทด้วยหรือ……?”

 

“แน่นอน หากผู้ใดเป็นผู้พิพากษา ผู้นั้นก็ต้องผู้ที่เที่ยงธรรม ไม่สำคัญว่าจะเป็น จอมมารหรือทาส จงจำไว้ในใจเสมอ การตัดสินคดีความนั้นต้องยุติธรรม!”

 

ผมทวนย้ำเรื่องนั้นอย่างหนักแน่น

 

“ผู้คนทั้งหลายกำลังจับตามองการตัดสินคดีจากอัฒจันทร์ แม้ผู้ชมจะไม่มากแต่ข่าวการตัดสินคดีจะแพร่ออกไปจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้าน ด้วยปากต่อปาก

การจะตัดสินคดีความได้ก็คิดใคร่ครวญให้ดี ว่าอยู่ภายใต้การจับตาดูของทั้งองค์เทพีและชาวบ้านทุกคน”

 

ผมยังคงพูดต่อ

“จงเชื่อมั่น ว่าทุกการตัดสินใจนั้นจะเป็นแม่แบบ และบันทึกคำตัดสิน ทั้งยังเผยอแพร่ต่อบุคคลที่มีสิทธิ์ตัดสินคดีต่อไป เพื่อให้รู้ว่า การตัดสินคดีที่ดีเป็นอย่างไร”

 

วิธีการของผมนั้น มอบ ‘ศักดิ์ศรี’ ให้กับพวกเขา

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก

แต่ก็คุ้มค่าพอที่จะให้รักษาไว้

ความยุติธรรม,กฏหมาย,ศีลธรรม และจริยธรรม สิ่งสำคัญที่สุดในโลกนั้นแบกอยู่บนบ่าของพวกเขา

 

หน้าที่ที่พวกเขาแบกรับนั้น ทำให้พวกเขาเป็น ‘บุคคลที่สำคัญที่สุดในโลก’

 

 

“ในฐานะจอมมาร ข้าคือ ผู้ปกครองแดนดินนี้ ถึงกระนั้น ใครกันจะเป็นผู้ปกครองความยุติธรรมกันเล่า? ใครกันจะเป็นผู้ตรวจสอบศีลธรรมจรรยา?”

 

“…….”

หัวหน้าชุมชนต่างลืมหายใจขณะที่มองมาทางผม

พวกเขารู้ดีว่า สิ่งที่ผมพูดนั้นแตกต่างจากสิ่งที่ลอร์ดคนอื่นพูด

 

 

“จริงแท้ที่ว่า เหล่าทวยเทพนั้นเป็นผู้เดียวที่จัดการเรื่องความยุติธรรมและปกครองบัญชาเหนือศีลธรรมทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าเทพก็มิได้ประพฤติเช่นผู้พิพากษาพวกเขาในศาล

ดังนั้นแล้ว ทุกคนทุกผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้จึงต้องกลายเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรมและศีลธรรมจรรยาแทน”

 

มนุษย์น่ะจะหงุดหงิดไม่พอใจในการอยู่กับสังคม หากพวกเขาเห็นว่า แต่ละวันแต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ความหมาย 

พอเข้าโรงเรียนได้แล้วยังไงต่อล่ะ? งานมากมายที่ข้าทำลงไปจนถึงตอนนี้มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งไม่สำคัญ?

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น หากพวกเขาเชื่อว่า มีเสียงเรียกร้องบางอย่างที่สำคัญยิ่งอยู่ 

หากพวกเขาเชื่อว่า ตัวเองเป็นผู้หนึ่งผู้เดียวที่รับหน้าที่ดูแลกฏหมาย ธำรงความยุติธรรมไว้ พวกเขาก็จะมืดบอดต่ออำนาจที่มี และจะไม่สงสัยในการงานหน้าที่ของพวกตนอีกต่อไป

“ข้าจะพูดอีกครั้ง จงภาคภูมิใจเถิด ผู้มีอายุ เอ๋ย!!”

ผมปรารถนาดินแดนที่เต็มไปด้วยมดงานผู้ไม่เคยสงสัยในงานที่ตัวเองกำลังทำ

 

 

“จงเกิดใหม่ในฐานะตัวแทนแห่งกฏหมาย จงกลายเป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีต่อทวยเทพ และนำความยุติธรรมสู่ดินแดนอันต้อยต่ำแห่งนี้”

 

จงอย่าสงสัยในการครองบัลลังค์ของจอมมารดันทาเลี่ยน

 

คำตัดสินผิดพลาดอย่างนั้นรึ? มันไม่ใช่ความผิดของดันทาเลี่ยน มันเป็นความผิดของผู้พิพากษา มันเป็นความผิดของมนุษย์อื่น

การตัดสินใจไม่ฉลาดพอรึ? มันเป็นความผิดของเจ้าพวกนั้นที่มองการณ์ไม่ไกลพอ…….

 

 

จอมมารดันทาเลี่ยนจักต้องดำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์

 

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาลูกนี้จะมีนามว่า พาลาทินัส(Palatinus) สถานที่แห่งความยุติธรรม เป็นราชอาณาจักรอันยั่งยืนไม่รู้จักสิ้นสุดที่เทพเจ้าจะไม่ปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด นอกจากที่นี่ ขอให้พวกเจ้าแบกรับสิ่งนั้นไว้บนบ่า”

 

 

“ความรุ่งโรจน์จงมีแด่ฝ่าบาท!”

ใครบางคนตะโกนขึ้นด้วยความไม่อาจหักห้ามความตื่นเต้นไว้ได้

“ความรุ่งโรจน์จงมีแด่ดันทาเลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่!”

 

“ความรุ่งโรจน์จงมีแก่พระองค์เจ้าเหนือหัว ดันทาเลี่ยน!”

อีก 20 คนที่ได้รับอิทธิพลเข้าต่างตะโกนอย่างพร้อมเกรียง

 

บนอัฒจันทร์นั้นก็ต่างพูดสรรเสริญกันอย่างเร่าร้อน ดวงตาของพวกเขานั้นลุกโชน

 

วันนี้ในฐานะลอร์ด ผมได้ยืน ณ จุดต่ำสุดของลาน

บุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างแล้ว ตอนนี้หัวหน้าชุมชนก็สมควรที่จะลงมายืนที่นี่อย่างไม่ลังเล

 

ไม่สิ พวกเขาจะรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้ยืนอยู่ ณ จุดเดียวกับตำแหน่งของจอมมาร

 

ผมให้เจเรมิและเหล่ามือสังหารรับหน้าที่ เป็นหน่วยดูแลสาธารณะ หากมีนักผจญภัยเข้ามาก่อเรื่องในหมู่บ้าน พวกนั้นจะได้จัดการได้ทันที

มีเพียงนักผจญภัยที่เก่งกาจจริงๆเท่านั้นที่จะสู้กับมือสังหารของเจเรมิไหว

 

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราตัดสินใจสร้างกำแพงล้อมรอบ พาลาทิโน่ หากมีกองทัพขนาดใหญ่บุกโจมตีเข้ามา พวกเราไม่มีทางใช้มือสังหารหยุดพวกนั้นได้

กรณีนั้นพวกเราจะขนย้ายผู้คนในหมู่บ้านไปรวมตัวกันที่พาลาทิโน่

 

‘ถึงจะออกมาจากหมู่บ้าน พวกเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันใต้กฏหมายและกฏอัยการศึก’

 

ทั้งศาลและกฏอัยการศึก เป็นสองสิ่งที่ผมต้องการ

 

แล้วมีอะไรที่ผมจะอยากได้กันอีกล่ะ?

 

ผมเผยรอยยิ้มสบายๆขณะที่อาบด้วยเสียงร้องเชียร์จากหัวหน้าหมู่บ้าน หลังจากนั้นผมก็ได้สลักคำพูดไว้ในใจ เช่นเดียวกับที่ใช้มีดสลักไว้ในศาลของพาลาทิโน่

 

「พวกเจ้าทุกคนเป็นข้ารับใช้ผู้น่าภาคภูมิใจยิ่ง」

 

แน่นอนว่า นั่นมันตลกร้าย กับการที่ผมบอกให้พวกเขาภูมิใจกับการที่ได้เป็นข้ารับใช้ ภาคภูมิใจในฐานะเป็นขี้ข้า

 

เป็นเรื่องที่ชวนกังขาอยู่ว่าจะมีใครสักคนไหมที่เข้าใจว่า สิ่งนี้จะดำรงอยู่ในดินแดนนี้ไปตลอด 

 

ก็เอาเถอะ การอดทนรอบุคคลนั้นก็ถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของความสนุกด้วยเช่นกัน

จอมมารน่ะสามารถอยู่ได้นับพันๆปี ตราบใดที่ยังอยู่ต่อไปได้

มาอดทนรอกันในฐานะจอมมารกันดีกว่า…….

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 221 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (13)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 221 ปาร์ตี้นักผจญภัยแร๊ง D (13) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

* * *

 

 

มีข่าวลือน่าสงสัยเริ่มแพร่ไปทั่วเมืองในแถบนี้

มันเป็นข่าวลือที่ว่าด้วยเรื่อง นักผจญภัยนับร้อยคนลอบหนีไปกลางดึก ทำให้จำนวนทหารในเมืองนั้นลดลงอย่างมาก

 

ตำนานเมืองที่กระซิบบอกต่อกันไปเรื่อยกลายเป็นข่าวส่งถึงกัน

 

“ได้ยินรึเปล่าน่ะ? เรื่องที่นักผจญภัยโดนฆ่าตายในปราสาทจอมมารน่ะ”

 

“พวกที่หนีจากเมืองไปเพราะไม่อยากจ่ายภาษีสินะ ชาวบ้านในหมู่บ้านแถวนั้นเป็นพยานให้ได้”

 

“ข้าได้ยินมาว่า ปราสาทจอมมารแถบโน้นน่ะเต็มไปด้วยทองและทรัพย์สมบัติมากมายเลย”

นักผจญภัยทั้งหลายต่างล้มเหลวในการปราบจอมมารดันทาเลี่ยน

 

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ได้กำไรอื้อซ่าจากการฆ่ามอนสเตอร์ในนั้น พอได้เงินมามากพอ พวกนั้นก็รีบชิ่งหนีไปเมืองอื่นเพราะไม่อยากจ่ายภาษีจากเงินที่หามาได้…….

 

“พวกเขาถึงบอกไงว่า พวกนักผจญภัยน่ะสู้เพื่อเงินเท่านั้นแหละ”

 

“เห็นว่า มีหลายคนฆ่ากันตายเพราะขัดแย้งกันเอง เผลอๆมากกว่าจำนวนที่ตายในปราสาทจอมมารเสียอีก!”

 

“เฮ่อ นี่แหละน้า พวกนักผจญภัยน่ะ”

 

ข่าวลือซ้อนข่าวลือ

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตำนานยิ่งใหญ่ที่ว่าด้วย นักผจญภัยทั้ง 150 คนโดนฆ่าบนกองเงินกองทองก็หายวับไป พวกชาวเมืองต่างหัวเราะเยาะให้กับความโง่เง่าของนักผจญภัย

 

 

นั่นเป็นข่าวลือที่ผมจงใจจะแพร่มันออกไป

จากนักผจญภัย 155 คน มีเพียง 2 คนที่รอดกลับมาได้ คือ ผมกับเจเรมิ

 

พวกนักผจญภัยที่เหลือไม่อาจหลบหนีได้และกระดูกก็ฝังไว้ในดันเจี้ยน ก็อบลินถึงกับจัดงานฉลองครั้งใหญ่กันเลยในวันนั้น ก็อบลินต่างสรรเสริญฝ่าบาทจอมมารขณะที่กินดื่มเลือดเนื้อมนุษย์

ก็ยังมี คนข้างนอกอีกราว 150 คนที่มุ่งเป้าไปที่รางวัลใหญ่นั้น และยังมีนักผจญภัยที่มาตามไม่กี่วันต่อมาจากชุดแรกที่โดนฆ่าไป แต่ถึงอย่างนั้นที่มาก็แค่จำนวนไม่มากนัก

 

พวกเขานั้นไม่มั่นใจว่าจะสามารถปราบจอมมารได้ จึงเอาแต่วนจับก็อบลินอยู่แถวๆหน้าปากทางเข้าดันเจี้ยน

ผมจึงปล่อยข่าวลือผ่านคนพวกนั้นนั่นแหละ

 

 

หากมาช้า ก็จะพลาดโอกาสงามๆ 

ในหัวนักผจญภัยพวกนั้นก็คิดแต่เรื่องแบบนั้นก่อนจะกลับบ้านไปด้วยความหงุดหงิด

 

พวกนั้นก็จะไปบ่นในบาร์ แล้วพูดประมาณว่า “นี่ถ้าพวกเราไปถึงที่นั่นก่อนนะ!”

หารู้ไม่ว่า พวกนั้นน่ะเป็นคนที่โชคดีเหลือเกิน

 

เอาล่ะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องนักผจญภัยน่ะมันเป็นปัญหาลำดับสองอยู่ดี

 

สิ่งสำคัญคือ การทำให้ระบบยุติธรรมทั้งเกิดการบังคับใช้ในดินแดนของผม ผมได้รวบรวมทั้งหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าของที่ดิน เป็นหัวหน้ากลุ่มชุมชน 20 คน 

ไม่เพียงแต่พวกเขาบริหารจัดการดินแดนเท่านั้นหากแต่ยังเป็นหัวหน้าตระกูลที่เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของผมนับแต่นี้เป็นต้นไปด้วย

 

“อย่างที่ทุกคนต้องการ ข้าได้กำจัดกลุ่มนักเดินทางผู้ชั่วร้ายป่าเถื่อนลงแล้ว”

ผมมองหน้าอีกฝ่ายขณะที่พูด

 

มนุษย์ทั้งหลายต่างรีบโค้งก้มหัวให้ยามเมื่อสบตา ผมเป็นลอร์ดผู้สังหารนักผจญภัยไป 15 คนภายในเวลาเพียงครึ่งวัน

ว่าง่ายๆ พวกหัวหน้าชุมชนนั้นรู้ดีว่า ชีวิตของพวกเขานั้นเป็นดั่งมดแมลง

 

“ข้าจะไม่ปกปิดเรื่องใดแก่พวกเจ้าทุกคน หากมีความลับระหว่างลอร์ดและข้ารับใช้ย่อมจะเกิดช่องว่างที่จะกลืนกินดินแดนของพวกเราทั้งหมด เหล่าผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านทั้งหลายเอ๋ย”

ผมหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ หัวหน้าชุมชนค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างระแวดระวัง

“ข้าจะไม่กล่าวอ้างว่าที่จัดการเหล่านักผจญภัยนั้นเป็นไปด้วยเจตนาดีบริสุทธิ์ ข้ารู้มานานแล้วว่า พวกเจ้านั้นจงรักภักดีต่อข้า

แต่ถึงอย่างนั้น ข้าจะขอเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกันว่า ข้าได้ฆ่าล้าง นักผจญภัยไป 155 คน เพราะมีสิ่งที่ข้าต้องการจะได้จากพวกเจ้า”

 

สิ่งเดียวที่ผมต้องการจากพวกเขานั่นคือ จงส่งอำนาจตุลาการพิพากษามาให้ผม

 

ผมไม่อยากให้พวกเขาไปแอบจัดการเรื่องนั้นกันลับๆเพราะจะเป็นปัญหาเรื่องการลุกฮือต่อต้านขึ้นในหมู่บ้านของพวกเขาเอง แทนที่จะทำอย่างนั้นก็ยกให้เป็นอำนาจศาลจากต่างหมู่บ้านไป

 

ด้วยวิธีนี้ อำนาจของกฏหมายนั้นจะโปร่งใส่ 

หากมีปัญหาเกิดขึ้น ผลการตัดสินก็จะเผยแพร่ออกสู่สาธารณะให้ทุกคนตัดสินอีกครั้งว่า อะไรเป็นปัญหากันแน่ และมันสมเหตุสมผลหรือไม่

 

สิ่งนี้เองที่จะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านมีโอกาสพัฒนาตัวเองด้วย

มันทำให้เห็นกันได้อย่างชัดเจนเลยว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อการตัดสินคดีความ ทั้งยังลดเสียงตำหนิเรื่องการตัดสินผิดพลาดและยังยกระดับการทำคดีขึ้นมาด้วย

ผลลัพธ์ที่ได้ สิ่งนี้จะกลายเป็นดั่งคุก กรงขังโดยมีศูนย์กลางที่ทุกคนคอยเฝ้าจับตาดูกันและกัน

 

“ผู้นำชุมชนของหมู่บ้านทั้งหลาย พวกเจ้าจะยอมรับระบบการตัดสินคดีนี้หรือไม่?”

 

“ยอมรับครับฝ่าบาท ตามที่ท่านบัญชา”

ทั้ง 20 คนที่อยู่ตรงหน้าผมลุกขึ้นแล้วโค้งให้ด้วยความเคารพ

 

ตอนนี้พวกเราอยู่บนเนินเขา ณ ใจกลางดินแดนของผม ผมสั่งให้คนแคระสร้างอัฒจันทร์ ที่นั่งชมที่เป็นรูปวงกลมไม่มีหลังคา อยู่ที่นี่

สมเป็นนักก่อสร้างผู้มีชื่อเสียงในโลกปีศาจ พวกนั้นสร้างอัฒจันทร์เสร็จให้ดูดีได้ภายใน 4 วัน

 

ตรงใจกลางนั้นต่ำกว่าที่อื่นโดยมีที่นั่งไว้ให้ผู้สังเกตการณ์เป็นบันไดเดินขึ้นไปจากด้านข้าง

ผมจะยืนอยู่ตรงกลางขณะที่พูด

ส่วนผู้นำชุมชนอื่นๆจะนั่งเก้าอี้ผู้สังเกตการณ์ที่สูงกว่าหัวผมขึ้นไป

พวกเขาบ่นเหมือนกันว่า การนั่งที่นั่งแบบนั้นมันเป็น ‘การแสดงความไม่เคารพนับถือ’ อย่างยิ่ง

แต่พอผมกดดันเข้า สุดท้ายพวกก็เขาก็ต้องยอมนั่ง

มันมีเหตุผลอยู่ทำไมผมถึงสร้างสถานที่แบบนี้ขึ้นมา

 

“นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะทำการตัดสินคดีความกันที่นี่

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีจะต้องยืนตรงที่ที่ข้ายืนอยู่ ณ ตรงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ใครก็ตามที่อยากเข้าชมก็สามารถนั่งได้ตรงที่นั่งผู้สังเกตการณ์”

 

เพื่อให้เป็นการพิจารณาคดีสาธารณะ

 

สิ่งสำคัญและรายละเอียดเล็กๆน้อยๆสำหรับชาวบ้านก็คือ การที่ศาลจะต้องอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ ยิ่งผมเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาได้ดีมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งจัดการพวกเขาได้พิถีพิถันยิ่งขึ้น

 

เราไม่มีทางรู้เลยว่า ใครจะเป็นผู้รับชมการพิจารณาคดี แต่ก็มีโอกาสเหมือนกันที่ผมจะแอบส่งคนไปฟัง ผู้นำชุมชนจึงเริ่มวิตกที่ผมอาจจะมีการตักเตือนหากเขาพิจารณาคดีผิดพลาด

 

แต่นั่นก็แค่ ‘อำนาจ’ ที่ผมแบ่งให้ในรูปแบบที่มองไม่เห็น

ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องจับตาดูพวกหัวหน้าหมู่บ้านตลอดเวลา มนุษย์น่ะไม่อาจจะเฝ้าจับตาดูกันและกันได้หรอก แต่ผมก็แค่หย่อนความสงสัยลังเลฝังไว้เพื่อให้เป็นผู้สังเกตการณ์ตัวจริง

 

หนึ่งในผู้นำชุมชนได้ถามคำถามอย่างสุภาพยิ่ง

 

“ขออนุญาตถามนะขอรับ ฝ่าบาทนั้นหมายถึง การตัดสินคดีทุกคดีเลยหรือครับ?”

 

“ถูกแล้ว ทุกคดีความ พวกเจ้าทั้งหมดต้องจัดการกับมันอย่างเต็มที่ ซึ่งการตัดสินคดีนั้นจะเกิดขึ้นสองครั้งต่อเดือน”

 

เมื่อหย่อนความลังเลสงสัยลงในหัวจิตหัวใจผู้คน การตัดสินคดีลับๆก็ไม่อาจทำได้

ทุกอย่างนั้นต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ทุกอย่างต้องทำในพื้นที่เปิดที่ทุกคนสามารถเห็นได้

แถมผมยังเพิ่มกระบวนการบางอย่างเข้าไปอีกด้วย

 

 

ผมยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน

 

“เหล่าผู้นำชุมชนเอ๋ย รวมถึงตัวข้าด้วยเช่นกัน หากเกิดเหตุการณ์สำคัญ และข้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าก็ย่อมต้องเข้าสู่กระบวนการของศาลด้วย”

 

“แม้แต่ฝ่าบาทด้วยหรือ……?”

 

“แน่นอน หากผู้ใดเป็นผู้พิพากษา ผู้นั้นก็ต้องผู้ที่เที่ยงธรรม ไม่สำคัญว่าจะเป็น จอมมารหรือทาส จงจำไว้ในใจเสมอ การตัดสินคดีความนั้นต้องยุติธรรม!”

 

ผมทวนย้ำเรื่องนั้นอย่างหนักแน่น

 

“ผู้คนทั้งหลายกำลังจับตามองการตัดสินคดีจากอัฒจันทร์ แม้ผู้ชมจะไม่มากแต่ข่าวการตัดสินคดีจะแพร่ออกไปจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้าน ด้วยปากต่อปาก

การจะตัดสินคดีความได้ก็คิดใคร่ครวญให้ดี ว่าอยู่ภายใต้การจับตาดูของทั้งองค์เทพีและชาวบ้านทุกคน”

 

ผมยังคงพูดต่อ

“จงเชื่อมั่น ว่าทุกการตัดสินใจนั้นจะเป็นแม่แบบ และบันทึกคำตัดสิน ทั้งยังเผยอแพร่ต่อบุคคลที่มีสิทธิ์ตัดสินคดีต่อไป เพื่อให้รู้ว่า การตัดสินคดีที่ดีเป็นอย่างไร”

 

วิธีการของผมนั้น มอบ ‘ศักดิ์ศรี’ ให้กับพวกเขา

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก

แต่ก็คุ้มค่าพอที่จะให้รักษาไว้

ความยุติธรรม,กฏหมาย,ศีลธรรม และจริยธรรม สิ่งสำคัญที่สุดในโลกนั้นแบกอยู่บนบ่าของพวกเขา

 

หน้าที่ที่พวกเขาแบกรับนั้น ทำให้พวกเขาเป็น ‘บุคคลที่สำคัญที่สุดในโลก’

 

 

“ในฐานะจอมมาร ข้าคือ ผู้ปกครองแดนดินนี้ ถึงกระนั้น ใครกันจะเป็นผู้ปกครองความยุติธรรมกันเล่า? ใครกันจะเป็นผู้ตรวจสอบศีลธรรมจรรยา?”

 

“…….”

หัวหน้าชุมชนต่างลืมหายใจขณะที่มองมาทางผม

พวกเขารู้ดีว่า สิ่งที่ผมพูดนั้นแตกต่างจากสิ่งที่ลอร์ดคนอื่นพูด

 

 

“จริงแท้ที่ว่า เหล่าทวยเทพนั้นเป็นผู้เดียวที่จัดการเรื่องความยุติธรรมและปกครองบัญชาเหนือศีลธรรมทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าเทพก็มิได้ประพฤติเช่นผู้พิพากษาพวกเขาในศาล

ดังนั้นแล้ว ทุกคนทุกผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้จึงต้องกลายเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรมและศีลธรรมจรรยาแทน”

 

มนุษย์น่ะจะหงุดหงิดไม่พอใจในการอยู่กับสังคม หากพวกเขาเห็นว่า แต่ละวันแต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ความหมาย 

พอเข้าโรงเรียนได้แล้วยังไงต่อล่ะ? งานมากมายที่ข้าทำลงไปจนถึงตอนนี้มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งไม่สำคัญ?

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น หากพวกเขาเชื่อว่า มีเสียงเรียกร้องบางอย่างที่สำคัญยิ่งอยู่ 

หากพวกเขาเชื่อว่า ตัวเองเป็นผู้หนึ่งผู้เดียวที่รับหน้าที่ดูแลกฏหมาย ธำรงความยุติธรรมไว้ พวกเขาก็จะมืดบอดต่ออำนาจที่มี และจะไม่สงสัยในการงานหน้าที่ของพวกตนอีกต่อไป

“ข้าจะพูดอีกครั้ง จงภาคภูมิใจเถิด ผู้มีอายุ เอ๋ย!!”

ผมปรารถนาดินแดนที่เต็มไปด้วยมดงานผู้ไม่เคยสงสัยในงานที่ตัวเองกำลังทำ

 

 

“จงเกิดใหม่ในฐานะตัวแทนแห่งกฏหมาย จงกลายเป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีต่อทวยเทพ และนำความยุติธรรมสู่ดินแดนอันต้อยต่ำแห่งนี้”

 

จงอย่าสงสัยในการครองบัลลังค์ของจอมมารดันทาเลี่ยน

 

คำตัดสินผิดพลาดอย่างนั้นรึ? มันไม่ใช่ความผิดของดันทาเลี่ยน มันเป็นความผิดของผู้พิพากษา มันเป็นความผิดของมนุษย์อื่น

การตัดสินใจไม่ฉลาดพอรึ? มันเป็นความผิดของเจ้าพวกนั้นที่มองการณ์ไม่ไกลพอ…….

 

 

จอมมารดันทาเลี่ยนจักต้องดำรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์

 

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาลูกนี้จะมีนามว่า พาลาทินัส(Palatinus) สถานที่แห่งความยุติธรรม เป็นราชอาณาจักรอันยั่งยืนไม่รู้จักสิ้นสุดที่เทพเจ้าจะไม่ปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด นอกจากที่นี่ ขอให้พวกเจ้าแบกรับสิ่งนั้นไว้บนบ่า”

 

 

“ความรุ่งโรจน์จงมีแด่ฝ่าบาท!”

ใครบางคนตะโกนขึ้นด้วยความไม่อาจหักห้ามความตื่นเต้นไว้ได้

“ความรุ่งโรจน์จงมีแด่ดันทาเลี่ยนผู้ยิ่งใหญ่!”

 

“ความรุ่งโรจน์จงมีแก่พระองค์เจ้าเหนือหัว ดันทาเลี่ยน!”

อีก 20 คนที่ได้รับอิทธิพลเข้าต่างตะโกนอย่างพร้อมเกรียง

 

บนอัฒจันทร์นั้นก็ต่างพูดสรรเสริญกันอย่างเร่าร้อน ดวงตาของพวกเขานั้นลุกโชน

 

วันนี้ในฐานะลอร์ด ผมได้ยืน ณ จุดต่ำสุดของลาน

บุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดได้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างแล้ว ตอนนี้หัวหน้าชุมชนก็สมควรที่จะลงมายืนที่นี่อย่างไม่ลังเล

 

ไม่สิ พวกเขาจะรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้ยืนอยู่ ณ จุดเดียวกับตำแหน่งของจอมมาร

 

ผมให้เจเรมิและเหล่ามือสังหารรับหน้าที่ เป็นหน่วยดูแลสาธารณะ หากมีนักผจญภัยเข้ามาก่อเรื่องในหมู่บ้าน พวกนั้นจะได้จัดการได้ทันที

มีเพียงนักผจญภัยที่เก่งกาจจริงๆเท่านั้นที่จะสู้กับมือสังหารของเจเรมิไหว

 

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราตัดสินใจสร้างกำแพงล้อมรอบ พาลาทิโน่ หากมีกองทัพขนาดใหญ่บุกโจมตีเข้ามา พวกเราไม่มีทางใช้มือสังหารหยุดพวกนั้นได้

กรณีนั้นพวกเราจะขนย้ายผู้คนในหมู่บ้านไปรวมตัวกันที่พาลาทิโน่

 

‘ถึงจะออกมาจากหมู่บ้าน พวกเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันใต้กฏหมายและกฏอัยการศึก’

 

ทั้งศาลและกฏอัยการศึก เป็นสองสิ่งที่ผมต้องการ

 

แล้วมีอะไรที่ผมจะอยากได้กันอีกล่ะ?

 

ผมเผยรอยยิ้มสบายๆขณะที่อาบด้วยเสียงร้องเชียร์จากหัวหน้าหมู่บ้าน หลังจากนั้นผมก็ได้สลักคำพูดไว้ในใจ เช่นเดียวกับที่ใช้มีดสลักไว้ในศาลของพาลาทิโน่

 

「พวกเจ้าทุกคนเป็นข้ารับใช้ผู้น่าภาคภูมิใจยิ่ง」

 

แน่นอนว่า นั่นมันตลกร้าย กับการที่ผมบอกให้พวกเขาภูมิใจกับการที่ได้เป็นข้ารับใช้ ภาคภูมิใจในฐานะเป็นขี้ข้า

 

เป็นเรื่องที่ชวนกังขาอยู่ว่าจะมีใครสักคนไหมที่เข้าใจว่า สิ่งนี้จะดำรงอยู่ในดินแดนนี้ไปตลอด 

 

ก็เอาเถอะ การอดทนรอบุคคลนั้นก็ถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของความสนุกด้วยเช่นกัน

จอมมารน่ะสามารถอยู่ได้นับพันๆปี ตราบใดที่ยังอยู่ต่อไปได้

มาอดทนรอกันในฐานะจอมมารกันดีกว่า…….

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+