Dungeon Defense (WN) 227 คำทำนายของแม่มด (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 227 คำทำนายของแม่มด (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ตอนนั้นเองที่หน้าต่างแจ้งเตือนมากมายเด้งขึ้นมา

 

 

「จอมมารกามิกินถูก ‘ครอบงำ’ โดยคุณ!」

「เงื่อนไขสเตตัสนั้นจะถูกต้านทานไว้หรือไม่ขึ้นอยู่กับค่าสติปัญญาและค่าเสน่ห์ของกามิกิน」

 

「ลูกเต๋าแห่งโชคได้ถูกทอดออกมาเป็นแต้ม 6 โดยปาฏิหารย์!

คุณสำเร็จใน ‘การครอบ’ ถึงแม้ว่า คุณจะมีค่าสเตตัสที่ต่างกันมากมายก็ตาม!」

 

 

เสียงซาวน์เอ็ฟเฟ็คอันแสนหนวกหู

 

「คุณได้เคลียร์ภารกิจที่สุดยอด」

「หนึ่งในสกิลที่คุณมีจะได้รับการยกระดับเป็นรางวัล」

「ขอแสดงความยินดีด้วย! สกิล <การแสดงของคุณ> ได้อัพเกรดกลายเป็น <จุมพิตของจูดาส*>!」

<Kiss of Judas>

 

มันออกจะเป็นอะไรที่ชวนตกใจ ผมไม่ได้รับสกิลมานานมากแล้ว

 

หากผมจำไม่ผิด สกิล จุมพิตของจูดาสนั้นจะให้โบนัสเมื่อมีการเจรจาต่อรองหรือการวางแผนเกิดขึ้นในเกม

ต่างจากสกิลขยะแบบ <การแสดง> ที่ไม่รู้ว่า ควรจะเอาไปใช้ตรงไหนดี จุมพิตของจูดาสนั้นมีประโยชน์กว่าเห็นๆ

 

 

โอ้ พระเจ้า พอมาคิดๆดูนี่ ผมต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะได้สกิลที่พอใช้ได้

จะยากนรกก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิวะ

ถ้าเป็นเกมจริงๆนี่เหล่าผู้เล่นได้รวมตัวกันเผาบ้านผู้พัฒนาเกมไปแล้ว

 

 

“ดันทาเลี่ยน…….”

ริมฝีปากบางของกามิกินอ้าขึ้นหลังจากหุบมาสักพัก 

เธอมองมายังผมก่อนจะกลับไปหันมองตัวเอง

 

“ดันทาเลี่ยน นายบ้าไปแล้วใช่ไหม?”

“โอ้ ได้โปรดเถอะ กรุณาบอกมาตรฐานความบ้าให้ข้ารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าทุกคนที่ผิดไปจากมาตรฐานนั่นก็ถือว่าบ้ากันหมด ไม่ใช่หรือ?”

 

“……นายน่ะมันบ้าเกินไปแล้ว นานๆทีจะมีจอมมารแบบนายเกิดขึ้นมา”

กามิกินปล่อยมือผม

“นายรู้บ้างไหม? มันมีคนอยู่สองประเภทที่เพลิดเพลินกับการดูสิ่งพวกนั้น

นักผจญภัยผู้ที่ชื่นชอบเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตาย หรือไม่ก็ นักพนันที่พยายามฆ่าตัวตายอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน

แต่จะไม่ว่าพวกไหน ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนคลั่งสติแตกที่อยากจะได้ใครสักคนมาฆ่าตัวเอง”

 

 

“แล้วมันยังไงกันล่ะ?”

ผมเอียงคอสงสัย

“แน่อยู่แล้วนี่ บอกกันตรงๆไปเลยก็ได้ว่า ข้าน่ะบ้า ก็น่าจะรู้ก็น่าจะเห็นกันอยู่แล้วนี่? แล้วเธอไม่บ้าอย่างนั้นเหรอ ที่คิดว่า สิ่งอื่นๆบนโลกนี้นอกจากการเอาชีวิตรอดน่ะ มันไร้ค่า? 

แล้วบาร์บาทอสจัดว่าบ้าไหม ตอนที่ฆ่าล้างมนุษย์นับแสนคนเพียงเพื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ

พวกเราน่ะแม่งก็บ้ากันทั้งนั้นนั่นแหละ”

 

ผมมองไปรอบๆ

 

จอมมารบางคนก็แอบมองเราคุยกันด้วยความกังวล

ขณะที่ส่วนมากแล้วก็วุ่นยุ่งอยู่กับการเจ๊าะแจ๊ะกับพรรคพวกฝ่ายเดียวกัน เสียงถูกปิดกั้นโดยสิ้นเชิง ผมจึงไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร

 

ผมพูดด้วยความรู้สึกเหมือนกับตัวเองนั้นโดดเดี่ยวโดยสมบูรณ์

 

“มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่สามารถเป็นจอมมารได้

หากจะมีเหตุผลใดที่กลายเป็นจอมมารก็คงเพราะความบ้านี่แหละ,กามิกิน

 

เธอพยายามชี้ให้เห็นว่า การช่วยเหลือบาร์บาทอสนั้นมันช่างไร้ค่าเปล่าประโยชน์ แต่มันกลับกันต่างหาก ข้ามีความสุขที่ได้เฝ้าดูบาร์บาทอสอยู่ข้างๆ”

 

 

“…….”

 

“อ้า ใช่นะ ข้าเองก็ชอบท่านเหมือนกันนะ คุณกามิกิน 

ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเลยล่ะ ว่า เธอใช้ชีวิตโดยแบ่งแยกเป็นภายในกับภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แยกขาดจากกันได้ยังไง

ข้าได้แต่หวังว่า จะมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้กับเธอสักวันหนึ่ง”

กามิกินกรีดตามองผมอย่างเย็นชา

 

“……หากมีโอกาส”

กามิกินยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้เสมอจนกระทั่งหันหน้าออก

เธอเดินกลับไปยังจุดที่เธอมา

ที่นี่ไม่มีจอมมารคนไหนเป็นมิตรกับผมอยู่แล้ว ผมเลยต้องอยู่คนเดียว

 

สิตริมองผมด้วยสีหน้าหดหู่ใจ แต่เธอก็มาหาผมไม่ได้เพราะรอบตัวเธอนั้นห้อมล้อมไปด้วยจอมมารจากฝ่ายภูเขา

เธอคงจะโดนเพื่อนร่วมฝ่ายบ่นเอาเรื่องที่มาสนิทกับผม

 

 

– ช่วยข้าด้วย ดันทาเลี่ยน!

 

สิตริอ้อนวอนผมด้วยสายตา ผมตอบกลับไปด้วยการยักไหล่

เธอสมควรโดนดุบ้างแล้วแหละ ตอนนี้เธอเป็นตัวแทนของฝ่ายภูเขา ไม่ใช่ไพมอน ดังนั้นจะเป็นปัญหามากหากเธอยังคงปล่อยตัวตามสบายไม่รู้จักควบคุมตัวเองบ้าง

 

 

– ยอมแต่โดยดีซะเถอะ ไม่ว่ายังไงเธอน่ะต้องโดนบ่นอยู่ดีนั่นแหละ

 

– คนทรยศ! เจ้าคนโกหก! ข้าเกลียดเจ้าาา!

 

สิตริมองผมด้วยใบหน้าที่สุดสิ้นหวัง แต่ผมไม่ใจอ่อนหรอก ชีวิตน่ะมันต้องผ่านความยากลำบากบ้างถึงจะเติบโต

จอมมารบางคนแอบลอบมองผม แต่ไม่มีสักคนที่พยายามจะมาอยู่ใกล้ๆผม

 

 

จุดยืนของจอมมารดันทาเลี่ยนตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทุกคนนั้นต่างรู้ดีถึงความสำเร็จของผมในกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา

ซึ่งนั่นทำให้มีจอมมารกลุ่มหนึ่งอยากจะสนิทกับผม แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็คือ หากเข้ามาสนิทกับผมโดยไม่ระวังก็อาจเจอความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ

 

ผมเป็นสมาชิกหลักของฝ่ายที่ราบ และเป็นที่รู้กันว่า ผมเป็นคนรักของบาร์บาทอส ผู้คนอาจคิดไปว่า บุคคลที่ใกล้ชิดสนิทกับผมนั้นกลายเป็นฝ่ายของที่ราบไปด้วย

 

ฝ่ายที่ราบน่ะขึ้นชื่อเรื่อง หัวรุนแรงเกินเหตุ แม้แต่ในโลกปีศาจ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเลย

 

แถมผมเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไพมอนนั้นพ่ายแพ้ยับเยินอีกต่างหาก

พูดง่ายๆผมนั้นเป็นเหมือนหนามแทงใจสำหรับฝ่ายภูเขา

ดังนั้นยากที่ใครจะกล้ามาตีสนิทกับผมหากไม่เตรียมใจพอที่จะเป็นศัตรูกับฝ่ายภูเขา

 

‘เอาล่ะ ก็ถือว่าแต่ละคนก็มีวิธีผ่อนคลายกับงานเลี้ยงต่างกันออกไปก็แล้วกัน’

ผมเดินไปที่มุมหนึ่งในงานเลี้ยงอย่างสบายๆ

 มันมีเครื่องดื่มสุดหรูหรา หาได้ยากมากมองกองกันราวกับเป็นภูเขา สินค้าเหล่านี้ถ้าให้หามาเองก็เหนื่อยยากลำบากมาก 

สุดยอดไปเลยจริงๆ

 

 

ผมรับแก้วไวน์มาจากบริกร ก่อนจะเช็คหน้าต่างสเตตัส 

อย่างที่คิดไว้จริงๆ <การแสดง> นั้นหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วย <จุมพิตของจูดาส> แทน

 

ผมตรวจสอบรายละเอียดของสกิลเกือบลืมหายใจ

 

 

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

[สกิล]

แร๊ง A 

สกิลสั่งใช้

 

หากเป้าหมายมีค่าความชอบน้อยกว่า 20 : ค่าไหวพริบของผู้เล่น  +10%, ค่าเสน่ห์ +10%

หากเป้าหมายมีค่าความชอบมากกว่า 20 และคุณโจมตีเป้ามาย :  ค่าความเป็นผู้นำเป้าหมาย -20%, ค่าอำนาจ -10%, ค่าสติปัญญา -20%, ค่าไหวพริบ -20%.

 

(※ สกิลนี้เป็นเวอชั่นอัพเกรดของ <การแสดง> เมื่อเปิดการใช้งาน จะส่งผลสกิล <การแสดง> ด้วย)

 

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

 

 

“อื้มม ถือว่าดีเลยนี่”

ผมจิบไวน์ขณะพยักหน้า

 

มันอาจจะดูอ่อนไปหน่อยสำหรับสกิลแร๊ง A แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย

สกิลการแสดงนั้นบรรยายแค่บรรทัดเดียวว่า : ‘เพิ่มโอกาสการโน้มน้าวเป้าหมาย’

ผ่านมานานเหลือเกินกว่าที่ผมจะได้รับค่าสแตทดีๆ และการที่สกิลนี้ส่งผลให้ค่าไหวพริบและค่าเสน่ห์ของผมเพิ่ม 10% มันดีจนผมอยากจะขอบคุณโลกใบนี้ 

เอาล่ะๆ การรู้จักซาบซึ้งเป็นเรื่องสำคัญ คนเราก็ต้องรู้จักการถ่อมตนไว้บ้าง

 

 

เสียงดนตรีดังก้องไปทั่วทั้งฮอล

 

วงออเคสตร้าที่เต็มไปด้วยดาร์คเอลฟ์เล่นเครื่องดนตรีอย่างช่ำชอง เพิ่มเติมให้ว่า ดาร์คเอลฟ์น่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักการดนตรีมากที่สุดในโลกของเอลฟ์ เพราะพวกสายเลือดแท้น่ะดูถูกว่า ดนตรีนั้นเป็น ‘งานศิลป์ห่วยๆ’ 

 

 

“เฮ้ย ทำไมแกมาซุกในมุมเหมือนไอ้ขี้แพ้ล่ะ?”

 

สักพักจอมมารก็เริ่มทยอยกันมาและบาร์บาทอสเองก็หนึ่งในพวกนั้น เธอเที่ยวกวาดตามองจอมมารตนอื่นก่อนจะเดินเข้ามาหาผมในงานโดยไม่รอช้า

ผมตอบรับเธออย่างเย็นชา

“ก็อย่างที่เธอเห็น ข้ากำลังเอนจอยกับงานเลี้ยงนี้อยู่”

 

“พูดมั่วซั่ว ชายที่ควรเป็นแขกผู้ทรงเกียรติในคืนนี้กลับมาอยู่ในมุมอย่างกับพวกสังคมทอดทิ้งเนี่ยนะ ยอดไปเลย”

บาร์บาทอสท้าวสะเอว

 

“ข้าบอกแกไปแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าแกยังมาทำตัวห่วยๆป่วยๆอยู่ มันส่งผลต่อภาพลักษณ์ของข้าด้วยน่ะ?”

 

“ฟุฟุ เธอเข้าใจผิดแล้วนา บาร์บาทอส ข้ากำลังนิ่งสงบอยู่ในความโดดเดี่ยว หากแต่ความโดดเดี่ยวที่ว่านั่นหาใช่ กะลาสีผู้หลงไปในทะเลไม่ ข้าน่ะเป็นกัปตันผู้เดียวดายที่กำลังสำรวจผืนทะเลด้วยเรือของ…….”

 

“หุบปาก ไม่งั้นข้าตัดลิ้นเจ้าทิ้งแน่”

ผมจึงเงียบทันที

 

บาร์บาทอสหยิบคุกกี้มากิน จนได้ผมยินเสียงเธอเคี้ยวคุกกี้ดังกรุบกรับ ผมเพิ่งโดนเธอบอกให้รู้จักรักษาภาพลักษณ์ของเธอ อยากจะพูดสวนอะไรไปสักคำ แต่ก็ต้องยอมเงียบไว้เพราะไม่อยากลิ้นขาด

 

ต่างจากชุดปกติประจำวันของเธอ มาวันนี้เธอสวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์

 

 

หากนึกถึงบาร์บาทอส ไม่ว่าใครก็คงนึกถึงชุดสีดำแดงก่อนเป็นอย่างแรก

 

เธอน่ะขึ้นชื่อมาเรื่องการแต่งกายเฉพาะชุดโทนสีดำแดง ไม่ว่าจะในสนามรบหรือในงานเลี้ยง แต่วันนี้มาแปลกที่เธอเลือกแต่งชุดขาวสนิททั้งตัวแบบนี้

เอาจริงๆมันก็เหมาะกับเธอดีอยู่หรอก ราวกับกำลังจ้องมองไข่มุกเม็ดงามประกายที่มีเคลือบด้วยหิมะ

ผมคงจะให้คะแนนเต็มเลยล่ะ หากนิสัยข้างในมันเป็นไปตามรูปลักษณ์ภายนอก

 

“ทำไมเธอไม่ใส่ชุดปกติเหมือนทุกที?”

 

“ข้าเลือกชุดที่เข้าคู่กับเจ้าไง เจ้าสมองน้อย”

บาร์บาทอสแย่งแก้วไวน์ไปจากมือผม แล้วกระดกไวน์อย่างรวดเร็ว

 

“เฮอะ แกน่ะมันเอาแต่ใส่ชุดสีดำ ดูมืดมนโทรมๆตลอด ข้าคิดไว้แล้วว่า วันนี้แกก็คงทำอย่างนั้นเหมือนกัน ข้าเลยตัดสินใจสวมชุดอะไรที่มันขาวๆให้มันเข้าคู่กับแก 

ว่าไงคำอธิบายนี้ดีพอสำหรับแกไหม?”

 

“โอ้ แหม แหม ตัวข้านี่ ช่างได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่ง”

ผมยื่นมือไปจับมือของเธอ

 

“โอ้ แฟรี่หิมะผู้งดงาม ได้โปรดประทานโอกาสให้เราได้เต้นรำด้วยกันสักเพลงจะได้ไหม?”

 

“นั่นคือ สาเหตุที่ข้ามาที่นี่แหละ เจ้าสุภาพบุรุษสุดงั่ง”

 

บาร์บาทอสหัวเราะออกมาก่อนจะวางมือซ้อนบนมือของผม มือของเธอนั้นเล็กกว่า

ผมค่อยๆแตะสัมผัสอย่างนุ่มนวลราวกับประคองแก้วชิ้นงาม

พวกเราไปที่กลางห้องจัดงานเลี้ยงและเริ่มเต้นรำ

 

 

“แกเต้นเก่งขึ้นนี่”

บาร์บาทอสหัวเราะหึ

“แกได้ไปฝึกซ้อมกับสาวที่ไหนมาก่อนสินะ?”

 

“มีเลดี้ผู้หนึ่งชอบหยอกเย้าข้าเรื่องที่เต้นไม่เป็น ข้าจึงพยายามฝึกเพื่อที่จะได้ไม่เหยียบเท้าใคร”

ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล บาร์บาทอสเองนี่แหละที่แซวผม

 

“หึ แกที่มันดีแต่เห่าไม่รู้จักกัดจริงๆ”

 

“ก่อนหน้านี้กามิกินเข้าหาข้า นางพยายามจะโน้มน้าวด้วยการถามว่าข้าต้องการอะไร”

บาร์บาทอสทำตาวิบวับอย่างสนอกสนใจ

 

“แล้วแกตอบมันไปว่ายังไง?”

 

“ข้าก็ตอบไปด้วยความสัตย์จริงว่า ข้าชอบเด็กสาวตัวเล็กๆ ดังนั้นคนอย่างนางที่ชอบใช้ไขมันส่วนเกินดึงดูดผู้อื่นจึงไม่ใช่รสนิยมของข้า”

 

“เคะเคะเคะ”

 

บาร์บาทอสหัวเราะร่วน ผมก็ตอแหลเห็นๆอยู่แล้วแหละ

ร่างกายทรงแบบกามิกินนี่แหละที่ใกล้เคียงกับรสนิยมที่ผมชอบ

ถึงอย่างไรเสียผมก็อยากให้บาร์บาทอสรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

 

“แกนี่มันงั่งจริงๆเล้ย รู้ตัวใช่มะ?”

 

“แล้วเพิ่งมาพูดอะไรตอนนี้ล่ะครับ?”

เราก็หยอกล้อกันเล่นขณะที่เต้นรำกันไปด้วย

 

 

 

* * *

 

“แหม ดูนั่นสิ นั่นคุณบาร์บาทอสกับดันทาเลี่ยนนี่”

 

“ได้ยินข่าวเล่าว่า พวกนั้นไม่ได้คบหากันแบบปกติสักเท่าไหร่ แต่เหมือนข่าวนั่นจะไม่จริงสินะ!”

 

จอมมารหญิงต่างกระซิบกระซาบกัน

ผู้หญิงรอบตัวกามิกินนั้นต่างไม่มีฝึกฝ่ายใด พวกนั้นเน้นการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะจอมมาร มากกว่าที่จะมากังวลเรื่องศัตรูทางการเมือง

ไม่มีอะไรทำให้พวกเธอตื่นเต้นได้มากเท่ากับการเม้ามอยเรื่องความรัก

 

“นั่นดูราวกับแฟรี่ตัวน้อยเต้นรำกับเอลฟ์เลย!”

 

“ข้าไม่รู้สิ คุณบาร์บาทอสน่ะงดงามอยู่แล้ว แต่คู่เต้นของเธอนี่…….”

 

“เหรอ ๆ แต่ข้าออกจะชอบคนแบบคู่ขาของนางนะ”

 

กามิกินเฝ้าดูบาร์บาทอสกับดันทาเลี่ยนเงียบๆ ทั้งคู่ต่างยกให้แก่กันและกัน

มันเป็นบรรยากาศที่ยากจะเข้าไปใกล้ทั้งคู่ ราวกับมีกำแพงกั้นกางขวางผู้อื่นไว้

 

มันอาจเป็นความเชื่อใจ ที่ทั้งสองต่างเชื่อใจกันและกัน

‘คู่ควรต่อการให้เชื่อใจ’

กามิกินดื่มไวน์แก้วนั้นที่หวานฉ่ำ

จอมมารหญิงชวนกามิกินคุย

 

 

“แล้วเธอล่ะ คุณกามิกิน? เมื่อครู่ข้าเห็นเธอไปคุยกับดันทาเลี่ยนด้วย”

 

“อืมมม”

 

กามิกินยิ้มสดใสเหมือนอย่างเคย เธอกำลังใช้ความคิดอยู่ว่า สมควรตอบกลับไปอย่างไรจึงจะดี?

สมควรไหมที่เธอจะสื่อเป็นนัยว่า เธอมีความสัมพันธ์สนิทแนบชิดกับดันทาเลี่ยน? ใช่แล้วล่ะ มันเข้าท่าดี

 

จอมมารหญิงนั้นเป็นศูนย์กลางของแวดวงสังคมชั้นสูงและแหล่งข่าวลือมากมาย

หากข่าวโคมลอยบอกว่า กามิกินกับดันทาเลี่ยนแอบมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน ข่าวนั้นคงสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายที่ราบเป็นแน่

 

“ก็ช่ายแหละน้า ออกจะน่าอายไปสักหน่อย แต่ข้าก็แอบสนใจเขาอยู่แหละ~?”

 

“แหม แหม จริงหรือคะ!?”

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่า เธอรู้สึกดีๆกับเขาเหรอ?”

 

จอมมารผู้หญิงต่างมาห้อมล้อมกามิกินราวกับไฮยีน่า

 

กามิกินนั้นพูดด้วยการคิดคำนวนถึงผลประโยชน์ทางการเมืองไว้ก่อนแล้ว

เธอไม่ลืมที่จะทำเป็นหน้าแดง เพื่อให้แน่ใจว่าได้แกล้งยิ้มเขินๆออกไป

 

เธอแอบเปรยตามองบาร์บาทอสและดันทาเลี่ยนอยู่ห่างๆ

 

 

 

 

*Kiss of Judas 

เป็นชื่อภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์ Scrovegni ในเมืองปาดัว ของอิตาลี ซึ่งแสดงถึงเหตุการณ์การทรยศต่อพระคริสต์ของจูดาส 1 ใน 12 อัครสาวกของพระเยซู 

โดยศิลปินอย่างจ็อตโต้ (Giotto) สถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี ได้จำลองเหตุการณ์ที่จูดาสพาทหารไปที่สวนเกทเสมานี และชี้ตัวพระองค์ด้วยการเข้าไปจูบพระพักตร์ อันนำไปสู่การตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์ของพระเยซู 

จูบของจูดาสจึงเป็นจูบที่แสดงถึงความทรยศ และทำให้ภายหลังจูดาสเกิดความรู้สึกผิด จนตัดสินใจแขวนคอกับต้นไม้

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 227 คำทำนายของแม่มด (6)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 227 คำทำนายของแม่มด (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ตอนนั้นเองที่หน้าต่างแจ้งเตือนมากมายเด้งขึ้นมา

 

 

「จอมมารกามิกินถูก ‘ครอบงำ’ โดยคุณ!」

「เงื่อนไขสเตตัสนั้นจะถูกต้านทานไว้หรือไม่ขึ้นอยู่กับค่าสติปัญญาและค่าเสน่ห์ของกามิกิน」

 

「ลูกเต๋าแห่งโชคได้ถูกทอดออกมาเป็นแต้ม 6 โดยปาฏิหารย์!

คุณสำเร็จใน ‘การครอบ’ ถึงแม้ว่า คุณจะมีค่าสเตตัสที่ต่างกันมากมายก็ตาม!」

 

 

เสียงซาวน์เอ็ฟเฟ็คอันแสนหนวกหู

 

「คุณได้เคลียร์ภารกิจที่สุดยอด」

「หนึ่งในสกิลที่คุณมีจะได้รับการยกระดับเป็นรางวัล」

「ขอแสดงความยินดีด้วย! สกิล <การแสดงของคุณ> ได้อัพเกรดกลายเป็น <จุมพิตของจูดาส*>!」

<Kiss of Judas>

 

มันออกจะเป็นอะไรที่ชวนตกใจ ผมไม่ได้รับสกิลมานานมากแล้ว

 

หากผมจำไม่ผิด สกิล จุมพิตของจูดาสนั้นจะให้โบนัสเมื่อมีการเจรจาต่อรองหรือการวางแผนเกิดขึ้นในเกม

ต่างจากสกิลขยะแบบ <การแสดง> ที่ไม่รู้ว่า ควรจะเอาไปใช้ตรงไหนดี จุมพิตของจูดาสนั้นมีประโยชน์กว่าเห็นๆ

 

 

โอ้ พระเจ้า พอมาคิดๆดูนี่ ผมต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าจะได้สกิลที่พอใช้ได้

จะยากนรกก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิวะ

ถ้าเป็นเกมจริงๆนี่เหล่าผู้เล่นได้รวมตัวกันเผาบ้านผู้พัฒนาเกมไปแล้ว

 

 

“ดันทาเลี่ยน…….”

ริมฝีปากบางของกามิกินอ้าขึ้นหลังจากหุบมาสักพัก 

เธอมองมายังผมก่อนจะกลับไปหันมองตัวเอง

 

“ดันทาเลี่ยน นายบ้าไปแล้วใช่ไหม?”

“โอ้ ได้โปรดเถอะ กรุณาบอกมาตรฐานความบ้าให้ข้ารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าทุกคนที่ผิดไปจากมาตรฐานนั่นก็ถือว่าบ้ากันหมด ไม่ใช่หรือ?”

 

“……นายน่ะมันบ้าเกินไปแล้ว นานๆทีจะมีจอมมารแบบนายเกิดขึ้นมา”

กามิกินปล่อยมือผม

“นายรู้บ้างไหม? มันมีคนอยู่สองประเภทที่เพลิดเพลินกับการดูสิ่งพวกนั้น

นักผจญภัยผู้ที่ชื่นชอบเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตาย หรือไม่ก็ นักพนันที่พยายามฆ่าตัวตายอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน

แต่จะไม่ว่าพวกไหน ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนคลั่งสติแตกที่อยากจะได้ใครสักคนมาฆ่าตัวเอง”

 

 

“แล้วมันยังไงกันล่ะ?”

ผมเอียงคอสงสัย

“แน่อยู่แล้วนี่ บอกกันตรงๆไปเลยก็ได้ว่า ข้าน่ะบ้า ก็น่าจะรู้ก็น่าจะเห็นกันอยู่แล้วนี่? แล้วเธอไม่บ้าอย่างนั้นเหรอ ที่คิดว่า สิ่งอื่นๆบนโลกนี้นอกจากการเอาชีวิตรอดน่ะ มันไร้ค่า? 

แล้วบาร์บาทอสจัดว่าบ้าไหม ตอนที่ฆ่าล้างมนุษย์นับแสนคนเพียงเพื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ

พวกเราน่ะแม่งก็บ้ากันทั้งนั้นนั่นแหละ”

 

ผมมองไปรอบๆ

 

จอมมารบางคนก็แอบมองเราคุยกันด้วยความกังวล

ขณะที่ส่วนมากแล้วก็วุ่นยุ่งอยู่กับการเจ๊าะแจ๊ะกับพรรคพวกฝ่ายเดียวกัน เสียงถูกปิดกั้นโดยสิ้นเชิง ผมจึงไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร

 

ผมพูดด้วยความรู้สึกเหมือนกับตัวเองนั้นโดดเดี่ยวโดยสมบูรณ์

 

“มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่สามารถเป็นจอมมารได้

หากจะมีเหตุผลใดที่กลายเป็นจอมมารก็คงเพราะความบ้านี่แหละ,กามิกิน

 

เธอพยายามชี้ให้เห็นว่า การช่วยเหลือบาร์บาทอสนั้นมันช่างไร้ค่าเปล่าประโยชน์ แต่มันกลับกันต่างหาก ข้ามีความสุขที่ได้เฝ้าดูบาร์บาทอสอยู่ข้างๆ”

 

 

“…….”

 

“อ้า ใช่นะ ข้าเองก็ชอบท่านเหมือนกันนะ คุณกามิกิน 

ผมนี่ถึงกับอึ้งไปเลยล่ะ ว่า เธอใช้ชีวิตโดยแบ่งแยกเป็นภายในกับภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แยกขาดจากกันได้ยังไง

ข้าได้แต่หวังว่า จะมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้กับเธอสักวันหนึ่ง”

กามิกินกรีดตามองผมอย่างเย็นชา

 

“……หากมีโอกาส”

กามิกินยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้เสมอจนกระทั่งหันหน้าออก

เธอเดินกลับไปยังจุดที่เธอมา

ที่นี่ไม่มีจอมมารคนไหนเป็นมิตรกับผมอยู่แล้ว ผมเลยต้องอยู่คนเดียว

 

สิตริมองผมด้วยสีหน้าหดหู่ใจ แต่เธอก็มาหาผมไม่ได้เพราะรอบตัวเธอนั้นห้อมล้อมไปด้วยจอมมารจากฝ่ายภูเขา

เธอคงจะโดนเพื่อนร่วมฝ่ายบ่นเอาเรื่องที่มาสนิทกับผม

 

 

– ช่วยข้าด้วย ดันทาเลี่ยน!

 

สิตริอ้อนวอนผมด้วยสายตา ผมตอบกลับไปด้วยการยักไหล่

เธอสมควรโดนดุบ้างแล้วแหละ ตอนนี้เธอเป็นตัวแทนของฝ่ายภูเขา ไม่ใช่ไพมอน ดังนั้นจะเป็นปัญหามากหากเธอยังคงปล่อยตัวตามสบายไม่รู้จักควบคุมตัวเองบ้าง

 

 

– ยอมแต่โดยดีซะเถอะ ไม่ว่ายังไงเธอน่ะต้องโดนบ่นอยู่ดีนั่นแหละ

 

– คนทรยศ! เจ้าคนโกหก! ข้าเกลียดเจ้าาา!

 

สิตริมองผมด้วยใบหน้าที่สุดสิ้นหวัง แต่ผมไม่ใจอ่อนหรอก ชีวิตน่ะมันต้องผ่านความยากลำบากบ้างถึงจะเติบโต

จอมมารบางคนแอบลอบมองผม แต่ไม่มีสักคนที่พยายามจะมาอยู่ใกล้ๆผม

 

 

จุดยืนของจอมมารดันทาเลี่ยนตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทุกคนนั้นต่างรู้ดีถึงความสำเร็จของผมในกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทรา

ซึ่งนั่นทำให้มีจอมมารกลุ่มหนึ่งอยากจะสนิทกับผม แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็คือ หากเข้ามาสนิทกับผมโดยไม่ระวังก็อาจเจอความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ

 

ผมเป็นสมาชิกหลักของฝ่ายที่ราบ และเป็นที่รู้กันว่า ผมเป็นคนรักของบาร์บาทอส ผู้คนอาจคิดไปว่า บุคคลที่ใกล้ชิดสนิทกับผมนั้นกลายเป็นฝ่ายของที่ราบไปด้วย

 

ฝ่ายที่ราบน่ะขึ้นชื่อเรื่อง หัวรุนแรงเกินเหตุ แม้แต่ในโลกปีศาจ ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเลย

 

แถมผมเองยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไพมอนนั้นพ่ายแพ้ยับเยินอีกต่างหาก

พูดง่ายๆผมนั้นเป็นเหมือนหนามแทงใจสำหรับฝ่ายภูเขา

ดังนั้นยากที่ใครจะกล้ามาตีสนิทกับผมหากไม่เตรียมใจพอที่จะเป็นศัตรูกับฝ่ายภูเขา

 

‘เอาล่ะ ก็ถือว่าแต่ละคนก็มีวิธีผ่อนคลายกับงานเลี้ยงต่างกันออกไปก็แล้วกัน’

ผมเดินไปที่มุมหนึ่งในงานเลี้ยงอย่างสบายๆ

 มันมีเครื่องดื่มสุดหรูหรา หาได้ยากมากมองกองกันราวกับเป็นภูเขา สินค้าเหล่านี้ถ้าให้หามาเองก็เหนื่อยยากลำบากมาก 

สุดยอดไปเลยจริงๆ

 

 

ผมรับแก้วไวน์มาจากบริกร ก่อนจะเช็คหน้าต่างสเตตัส 

อย่างที่คิดไว้จริงๆ <การแสดง> นั้นหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วย <จุมพิตของจูดาส> แทน

 

ผมตรวจสอบรายละเอียดของสกิลเกือบลืมหายใจ

 

 

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

[สกิล]

แร๊ง A 

สกิลสั่งใช้

 

หากเป้าหมายมีค่าความชอบน้อยกว่า 20 : ค่าไหวพริบของผู้เล่น  +10%, ค่าเสน่ห์ +10%

หากเป้าหมายมีค่าความชอบมากกว่า 20 และคุณโจมตีเป้ามาย :  ค่าความเป็นผู้นำเป้าหมาย -20%, ค่าอำนาจ -10%, ค่าสติปัญญา -20%, ค่าไหวพริบ -20%.

 

(※ สกิลนี้เป็นเวอชั่นอัพเกรดของ <การแสดง> เมื่อเปิดการใช้งาน จะส่งผลสกิล <การแสดง> ด้วย)

 

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

 

 

“อื้มม ถือว่าดีเลยนี่”

ผมจิบไวน์ขณะพยักหน้า

 

มันอาจจะดูอ่อนไปหน่อยสำหรับสกิลแร๊ง A แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย

สกิลการแสดงนั้นบรรยายแค่บรรทัดเดียวว่า : ‘เพิ่มโอกาสการโน้มน้าวเป้าหมาย’

ผ่านมานานเหลือเกินกว่าที่ผมจะได้รับค่าสแตทดีๆ และการที่สกิลนี้ส่งผลให้ค่าไหวพริบและค่าเสน่ห์ของผมเพิ่ม 10% มันดีจนผมอยากจะขอบคุณโลกใบนี้ 

เอาล่ะๆ การรู้จักซาบซึ้งเป็นเรื่องสำคัญ คนเราก็ต้องรู้จักการถ่อมตนไว้บ้าง

 

 

เสียงดนตรีดังก้องไปทั่วทั้งฮอล

 

วงออเคสตร้าที่เต็มไปด้วยดาร์คเอลฟ์เล่นเครื่องดนตรีอย่างช่ำชอง เพิ่มเติมให้ว่า ดาร์คเอลฟ์น่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักการดนตรีมากที่สุดในโลกของเอลฟ์ เพราะพวกสายเลือดแท้น่ะดูถูกว่า ดนตรีนั้นเป็น ‘งานศิลป์ห่วยๆ’ 

 

 

“เฮ้ย ทำไมแกมาซุกในมุมเหมือนไอ้ขี้แพ้ล่ะ?”

 

สักพักจอมมารก็เริ่มทยอยกันมาและบาร์บาทอสเองก็หนึ่งในพวกนั้น เธอเที่ยวกวาดตามองจอมมารตนอื่นก่อนจะเดินเข้ามาหาผมในงานโดยไม่รอช้า

ผมตอบรับเธออย่างเย็นชา

“ก็อย่างที่เธอเห็น ข้ากำลังเอนจอยกับงานเลี้ยงนี้อยู่”

 

“พูดมั่วซั่ว ชายที่ควรเป็นแขกผู้ทรงเกียรติในคืนนี้กลับมาอยู่ในมุมอย่างกับพวกสังคมทอดทิ้งเนี่ยนะ ยอดไปเลย”

บาร์บาทอสท้าวสะเอว

 

“ข้าบอกแกไปแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าแกยังมาทำตัวห่วยๆป่วยๆอยู่ มันส่งผลต่อภาพลักษณ์ของข้าด้วยน่ะ?”

 

“ฟุฟุ เธอเข้าใจผิดแล้วนา บาร์บาทอส ข้ากำลังนิ่งสงบอยู่ในความโดดเดี่ยว หากแต่ความโดดเดี่ยวที่ว่านั่นหาใช่ กะลาสีผู้หลงไปในทะเลไม่ ข้าน่ะเป็นกัปตันผู้เดียวดายที่กำลังสำรวจผืนทะเลด้วยเรือของ…….”

 

“หุบปาก ไม่งั้นข้าตัดลิ้นเจ้าทิ้งแน่”

ผมจึงเงียบทันที

 

บาร์บาทอสหยิบคุกกี้มากิน จนได้ผมยินเสียงเธอเคี้ยวคุกกี้ดังกรุบกรับ ผมเพิ่งโดนเธอบอกให้รู้จักรักษาภาพลักษณ์ของเธอ อยากจะพูดสวนอะไรไปสักคำ แต่ก็ต้องยอมเงียบไว้เพราะไม่อยากลิ้นขาด

 

ต่างจากชุดปกติประจำวันของเธอ มาวันนี้เธอสวมชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์

 

 

หากนึกถึงบาร์บาทอส ไม่ว่าใครก็คงนึกถึงชุดสีดำแดงก่อนเป็นอย่างแรก

 

เธอน่ะขึ้นชื่อมาเรื่องการแต่งกายเฉพาะชุดโทนสีดำแดง ไม่ว่าจะในสนามรบหรือในงานเลี้ยง แต่วันนี้มาแปลกที่เธอเลือกแต่งชุดขาวสนิททั้งตัวแบบนี้

เอาจริงๆมันก็เหมาะกับเธอดีอยู่หรอก ราวกับกำลังจ้องมองไข่มุกเม็ดงามประกายที่มีเคลือบด้วยหิมะ

ผมคงจะให้คะแนนเต็มเลยล่ะ หากนิสัยข้างในมันเป็นไปตามรูปลักษณ์ภายนอก

 

“ทำไมเธอไม่ใส่ชุดปกติเหมือนทุกที?”

 

“ข้าเลือกชุดที่เข้าคู่กับเจ้าไง เจ้าสมองน้อย”

บาร์บาทอสแย่งแก้วไวน์ไปจากมือผม แล้วกระดกไวน์อย่างรวดเร็ว

 

“เฮอะ แกน่ะมันเอาแต่ใส่ชุดสีดำ ดูมืดมนโทรมๆตลอด ข้าคิดไว้แล้วว่า วันนี้แกก็คงทำอย่างนั้นเหมือนกัน ข้าเลยตัดสินใจสวมชุดอะไรที่มันขาวๆให้มันเข้าคู่กับแก 

ว่าไงคำอธิบายนี้ดีพอสำหรับแกไหม?”

 

“โอ้ แหม แหม ตัวข้านี่ ช่างได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่ง”

ผมยื่นมือไปจับมือของเธอ

 

“โอ้ แฟรี่หิมะผู้งดงาม ได้โปรดประทานโอกาสให้เราได้เต้นรำด้วยกันสักเพลงจะได้ไหม?”

 

“นั่นคือ สาเหตุที่ข้ามาที่นี่แหละ เจ้าสุภาพบุรุษสุดงั่ง”

 

บาร์บาทอสหัวเราะออกมาก่อนจะวางมือซ้อนบนมือของผม มือของเธอนั้นเล็กกว่า

ผมค่อยๆแตะสัมผัสอย่างนุ่มนวลราวกับประคองแก้วชิ้นงาม

พวกเราไปที่กลางห้องจัดงานเลี้ยงและเริ่มเต้นรำ

 

 

“แกเต้นเก่งขึ้นนี่”

บาร์บาทอสหัวเราะหึ

“แกได้ไปฝึกซ้อมกับสาวที่ไหนมาก่อนสินะ?”

 

“มีเลดี้ผู้หนึ่งชอบหยอกเย้าข้าเรื่องที่เต้นไม่เป็น ข้าจึงพยายามฝึกเพื่อที่จะได้ไม่เหยียบเท้าใคร”

ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล บาร์บาทอสเองนี่แหละที่แซวผม

 

“หึ แกที่มันดีแต่เห่าไม่รู้จักกัดจริงๆ”

 

“ก่อนหน้านี้กามิกินเข้าหาข้า นางพยายามจะโน้มน้าวด้วยการถามว่าข้าต้องการอะไร”

บาร์บาทอสทำตาวิบวับอย่างสนอกสนใจ

 

“แล้วแกตอบมันไปว่ายังไง?”

 

“ข้าก็ตอบไปด้วยความสัตย์จริงว่า ข้าชอบเด็กสาวตัวเล็กๆ ดังนั้นคนอย่างนางที่ชอบใช้ไขมันส่วนเกินดึงดูดผู้อื่นจึงไม่ใช่รสนิยมของข้า”

 

“เคะเคะเคะ”

 

บาร์บาทอสหัวเราะร่วน ผมก็ตอแหลเห็นๆอยู่แล้วแหละ

ร่างกายทรงแบบกามิกินนี่แหละที่ใกล้เคียงกับรสนิยมที่ผมชอบ

ถึงอย่างไรเสียผมก็อยากให้บาร์บาทอสรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

 

“แกนี่มันงั่งจริงๆเล้ย รู้ตัวใช่มะ?”

 

“แล้วเพิ่งมาพูดอะไรตอนนี้ล่ะครับ?”

เราก็หยอกล้อกันเล่นขณะที่เต้นรำกันไปด้วย

 

 

 

* * *

 

“แหม ดูนั่นสิ นั่นคุณบาร์บาทอสกับดันทาเลี่ยนนี่”

 

“ได้ยินข่าวเล่าว่า พวกนั้นไม่ได้คบหากันแบบปกติสักเท่าไหร่ แต่เหมือนข่าวนั่นจะไม่จริงสินะ!”

 

จอมมารหญิงต่างกระซิบกระซาบกัน

ผู้หญิงรอบตัวกามิกินนั้นต่างไม่มีฝึกฝ่ายใด พวกนั้นเน้นการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในฐานะจอมมาร มากกว่าที่จะมากังวลเรื่องศัตรูทางการเมือง

ไม่มีอะไรทำให้พวกเธอตื่นเต้นได้มากเท่ากับการเม้ามอยเรื่องความรัก

 

“นั่นดูราวกับแฟรี่ตัวน้อยเต้นรำกับเอลฟ์เลย!”

 

“ข้าไม่รู้สิ คุณบาร์บาทอสน่ะงดงามอยู่แล้ว แต่คู่เต้นของเธอนี่…….”

 

“เหรอ ๆ แต่ข้าออกจะชอบคนแบบคู่ขาของนางนะ”

 

กามิกินเฝ้าดูบาร์บาทอสกับดันทาเลี่ยนเงียบๆ ทั้งคู่ต่างยกให้แก่กันและกัน

มันเป็นบรรยากาศที่ยากจะเข้าไปใกล้ทั้งคู่ ราวกับมีกำแพงกั้นกางขวางผู้อื่นไว้

 

มันอาจเป็นความเชื่อใจ ที่ทั้งสองต่างเชื่อใจกันและกัน

‘คู่ควรต่อการให้เชื่อใจ’

กามิกินดื่มไวน์แก้วนั้นที่หวานฉ่ำ

จอมมารหญิงชวนกามิกินคุย

 

 

“แล้วเธอล่ะ คุณกามิกิน? เมื่อครู่ข้าเห็นเธอไปคุยกับดันทาเลี่ยนด้วย”

 

“อืมมม”

 

กามิกินยิ้มสดใสเหมือนอย่างเคย เธอกำลังใช้ความคิดอยู่ว่า สมควรตอบกลับไปอย่างไรจึงจะดี?

สมควรไหมที่เธอจะสื่อเป็นนัยว่า เธอมีความสัมพันธ์สนิทแนบชิดกับดันทาเลี่ยน? ใช่แล้วล่ะ มันเข้าท่าดี

 

จอมมารหญิงนั้นเป็นศูนย์กลางของแวดวงสังคมชั้นสูงและแหล่งข่าวลือมากมาย

หากข่าวโคมลอยบอกว่า กามิกินกับดันทาเลี่ยนแอบมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน ข่าวนั้นคงสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายที่ราบเป็นแน่

 

“ก็ช่ายแหละน้า ออกจะน่าอายไปสักหน่อย แต่ข้าก็แอบสนใจเขาอยู่แหละ~?”

 

“แหม แหม จริงหรือคะ!?”

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่า เธอรู้สึกดีๆกับเขาเหรอ?”

 

จอมมารผู้หญิงต่างมาห้อมล้อมกามิกินราวกับไฮยีน่า

 

กามิกินนั้นพูดด้วยการคิดคำนวนถึงผลประโยชน์ทางการเมืองไว้ก่อนแล้ว

เธอไม่ลืมที่จะทำเป็นหน้าแดง เพื่อให้แน่ใจว่าได้แกล้งยิ้มเขินๆออกไป

 

เธอแอบเปรยตามองบาร์บาทอสและดันทาเลี่ยนอยู่ห่างๆ

 

 

 

 

*Kiss of Judas 

เป็นชื่อภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์ Scrovegni ในเมืองปาดัว ของอิตาลี ซึ่งแสดงถึงเหตุการณ์การทรยศต่อพระคริสต์ของจูดาส 1 ใน 12 อัครสาวกของพระเยซู 

โดยศิลปินอย่างจ็อตโต้ (Giotto) สถาปนิกและจิตรกรชาวอิตาลี ได้จำลองเหตุการณ์ที่จูดาสพาทหารไปที่สวนเกทเสมานี และชี้ตัวพระองค์ด้วยการเข้าไปจูบพระพักตร์ อันนำไปสู่การตรึงกางเขนและสิ้นพระชนม์ของพระเยซู 

จูบของจูดาสจึงเป็นจูบที่แสดงถึงความทรยศ และทำให้ภายหลังจูดาสเกิดความรู้สึกผิด จนตัดสินใจแขวนคอกับต้นไม้

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+