Dungeon Defense (WN) 228 คำทำนายของแม่มด (7)
หลังจากพวกเราเต้นรำกันเสร็จ ทุกคนต่างปรบมือให้จากทุกแห่งทั่วห้องจัดงานเลี้ยง
จากตำแหน่งที่ปรบมือให้นั้นบ่งบอกได้ถึงที่มาและแสดงเห็นเด่นชัดถึงองค์ประกอบของฐานอำนาจในกองทัพจอมมารว่าเป็นอย่างไรบ้าง
กลุ่มที่ตั้งใจปรบมือให้กับพวกเรานั่นก็คือ ฝ่ายที่ราบ
กว่าครึ่งหนึ่งเป็นการแสดงความรักและนับถือให้กับบาร์บาทอส ในขณะอีกครึ่งหนึ่งก็สรรเสริญการถือกำเนิดขึ้นของที่ปรึกษาผู้ยิ่งใหญ่ของฝ่าย
แต่ถึงอย่างนั้น เบเลธกับเซปาร์ก็ดูไม่พออกพอใจนัก กับการที่ตำแหน่งคู่รักของบาร์บาทอสโดนเอาไปแล้ว
“เฮอะ! ข้านี่แหละที่เป็นคนคอยอารักขาท่านตอนน้องเราไม่อยู่”
“หรือนายท่านชอบนักวางแผนมากกว่านักรบอย่างนั้นรึ……!?”
จอมมารสองคนที่แข่งแก่งแย่งตำแหน่งคนรักกันมาหลายศตวรรษ สุดท้ายก็น้ำตาเป็นสายเลือดทั้งคู่ น่าสมเพชชะมัด
ต่อไปก็ฝ่าย เป็นกลาง
เป็นกลุ่มเล็กๆที่มีแต่คนมีเหตุผลอยู่กัน อย่างเช่น จอมมารลำดับ 5 อย่างมาร์บาส ที่รับรู้ตัวผม ดันทาเลี่ยน ในฐานะผู้ที่รู้ทันความคิดกัน
สำหรับพวกเขาแล้ว ดันทาเลี่ยนเป็นดั่งกุหลาบที่เบ่งบานขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อท่ามกลางฝ่ายที่ราบที่เต็มไปด้วยไอ้งั่งที่ไม่รู้ห่าอะไรเลย นั่นคือ การรับรู้การมีอยู่ในตัวผมของพวกเขา
“ในราตรีวัลเพอกีสนั้น เขายกโทษให้ไพมอน…….”
“เขายังอดกลั้นกับฝ่ายภูเขาได้แม้ในช่วงสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทรา เขาน่ะเป็นคนที่คุยรู้เรื่อง”
สำหรับฝ่ายเป็นกลางแล้ว สิ่งที่พวกเขาให้ค่าคือ การรู้จักอดทนข่มกลั้นและความสมดุล ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นนักการเมืองผู้รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แต่ขณะเดียวกันก็มิได้ทำอะไรเกินเลยจนล้ำเส้น
นั่นเป็นภาพลักษณ์ในอุดมคติของนักการเมือง
คนอย่างไพมอนที่ต้องการเรียกร้องถึงผลประโยชน์ของทุกคนทุกฝ่ายแทนจะเรียกร้องเฉพาะผลประโยชน์ฝ่ายตัวเอง คนแบบนี้มันอันตราย
หากพวกนั้นอยากเสนออะไรให้ คนแบบไพมอนก็จะปฏิเสธที่จะเจรจาด้วยเนื่องจากมีเหตุผลและอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป
แต่ไอ้พวกที่อาละวาดไปทั่วจนล้ำเส้นอย่างไม่คิดก็เป็นอันตรายไม่ต่างกัน
ในขณะที่ ดันทาเลี่ยนนั้นทั้งรู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตัวเองและยังพร้อมเจรจาด้วย ว่าง่ายๆ เขาน่ะเป็นคนที่คุยรู้เรื่อง
จอมมารที่เจรจาต่อรองได้เป็นดั่งของล้ำค่าท่ามกลางหมู่กองกำลังจอมมารที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยจิตเวช
ผู้คนในฝ่ายเป็นกลางจึงหวังว่า ดันทาเลี่ยนนั้นจะยังอยู่ฝ่ายที่ราบเพื่อคอยกุมบังเหียนควบคุมพวกนั้นไว้
และฝ่ายสุดท้าย ฝ่ายภูเขา
พวกนั้นต่างอยู่ในงานเลี้ยงอย่างไม่สบายใจนัก ราวกับไม่มีอารมณ์ที่จะปรบมือ
จอมมารฝ่ายภูเขาต่างกระซิบกันด้วยชื่อที่สื่อถึงบาร์บาทอสและดันทาเลี่ยน
“อีบ้ากับไอ้พิการ เหมาะสมกันดีนี่?”
“คนนึงสาดเลือดใต้แสงอาทิตย์ อีกคนก็ดูดเลือดชาวบ้านใต้แสงจันทร์ ฝ่ายที่ราบนี่มีผู้นำและที่ปรึกษาที่น่าประทับใจเสียจริง”
มีแต่สิตริเท่านั้นที่ดูกระสับกระส่าย เธอหันมองไปมองมาระหว่างลูกน้องฝ่ายตัวเองกับดันทาเลี่ยน
‘ก็ดันทาเลี่ยนไม่ใช่หรือที่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพี่สาวไพมอนไว้น่ะ?’
เธอนั้นไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้โดยสิ้นเชิง
ณ ตอนนั้นเป็นฝ่ายภูเขาเองที่โจมตีก่อน ไม่ใช่ฝ่ายที่ราบ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรหากฝ่ายภูเขาจะแตกยับเป็นเสี่ยงๆเพื่อรับผิดชอบต่อเรื่องนี้
‘พวกเราก็ควรแสดงความยินดีกับเขาไม่ใช่หรือ? ’
ก็ถ้าดันทาเลี่ยนไม่ได้ตัดสินใจปรานีพวกเราแล้วล่ะก็ มีหวังฝ่ายภูเขาเราต้องถูกสั่งยุบแน่ๆ
นั่นเป็นสิ่งที่สิตริเชื่อ
ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพรรคพวกในฝ่ายถึงได้จงเกลียดจงชังและดูถูกบุคคลที่สมควรที่จะแสดงความขอบคุณอย่างนั้นด้วย…….
เสียงปรบมือหยุดลง
ดันทาเลี่ยนนั้นโค้งให้ทุกคนด้วยความเคารพก่อนจะเดินออกไปที่อื่น เขานั้นเดินไปยังสถานที่ที่ฝ่ายเป็นกลางรวมกลุ่มกัน
จอมมารหลายคนต่างสงสัยว่า สมาชิกจากฝ่ายที่ราบจะไปหาฝ่ายเป็นกลางทำไมกัน
“ขอโอกาสเต้นรำกับข้าได้ไหม?”
ดันทาเลี่ยนนั้นได้เชื้อเชิญจอมมารจากฝ่ายเป็นกลางไปเต้นรำด้วยกัน จอมมารตรอื่นถึงกับอ้าปากค้าง การที่จะตกใจอย่างนั้นถือเป็นเรื่องสมควร เนื่องจากบุคคลที่ดันทาเลี่ยนเชื้อเชิญนั้น เป็นหัวหน้าฝ่ายเป็นกลาง จอมมารลำดับ 5 มาร์บาส
จอมมารมาร์บาสที่เป็นผู้ชาย ดันทาเลี่ยนเลือกที่จะขอเต้นรำกับเขา!
“นี่หมอนั่นคิดจะทำอะไรกันน่ะ?”
“เขาบ้าไปแล้วอย่างนั้นรึ?”
“ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ…….”
จอมมารหลายต่อหลายคนต่างถึงกับตกใจ
ถึงแม้โลกปีศาจจะยอมผ่อนปรนให้กับรักร่วมเพศ แต่คู่ขาชาย-ชายกลับไม่อนุญาตให้มาในงานเลี้ยงสำหรับจอมมาร
ไม่สิ ต่อให้อนุญาตก็ตามที แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดันทาเลี่ยน จอมมารระดับ 71 สมควรจะทำ!
มาร์บามองดันทาเลี่ยนด้วยไม่แน่ใจในเจตนา
“ฮื่อ”
จอมมารสองคนต่างสื่อสารกันด้วยสายตา
มาร์บาสลูบหนวดสองครั้งก่อนที่จะหัวเราะออกมา
“แน่นอน พอมาคิดว่า ตัวข้านี้จะถูกเลือกต่อจากดอกไม้ดอกงามเช่นบาร์บาทอส ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง”
“ฮ่าฮ่า ถ้าไม่ติดว่า บาร์บาทอสนั้นเป็นเพื่อนคนสนิทของข้า ข้าก็จะชวนท่านก่อนเป็นคนแรกเลย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นเกียรตินัก”
มาร์บาสวางมือบนมือดันทาเลี่ยน
จอมมารสาวๆต่างตื่นเต้นขึ้นทันทีขณะที่เฝ้ามองจอมมารชายสองคนเดินเคียงคู่กัน
“โอ้ พระเจ้า! ดูนั่นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านมาร์บาสเต้นรำ!”
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่า ท่านมาร์บาสน่ะเป็นคนรักของดันทาเลี่ยน!?”
“อ๊ายยย! อย่างแซ่บเลยอะ!”
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่มีหัวข้อในการซุบซิบไหนจะน่าสนใจไปกว่าเรื่องโฮโมเซ็กช่วลในหมู่ผู้หญิงอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่สุดสำอางและเป็นที่นิยมอย่างมาร์บาส
ดวงตาของจอมมารหญิงทั้งหลายต่างลุกเป็นไฟเมื่อคุยกันในหัวข้อที่ว่า ‘ระหว่างมาร์บาสกับดันทาเลี่ยน ใครเป็นรุกกันแน่’
สำหรับคนที่ดูจะสนุกกับเรื่องนี้ที่สุดเห็นทีจะเป็นบาร์บาทอส
เธอถึงกับกุมท้องหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เบเลธเองก็ชี้ไปที่จอมมารสองคนแล้วก็หัวเราะลั่น
“โว้วว! เจ๋งดีว่ะ! เอาเลยๆ! เต้นกันต่อไป!”
“แกนี่แม่ง เต้นนำห่วยชะมัด!”
ความเงียบงันจางหายไปจากงานเลี้ยง
จอมมารหญิงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ราบหรือฝ่ายภูเขาต่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
บ้างก็มองด้วยความสนอกสนใจ บ้างก็มองด้วยความขยะแขยง
กามิกินถึงกับอยู่ไม่สุข
ด้วยเหตุนี้การพยายามสร้างข่าวลือของเธอจึงเปล่าประโยชน์ ข่าวลือที่ว่าด้วยเรื่องมาร์บาสกับดันทาเลี่ยนมีความสัมพันธ์ลับๆแบบไหนกัน ดึงความสนใจไปจาก ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างกามิกินกับดันทาเลี่ยนได้อย่างท่วมท้น
สังคมจอมมารเอาแต่พูดถึงเรื่องของสองจอมมารชายอยู่สักพักใหญ่ ทำให้ข่าวลือที่กามิกินพยายามจะปล่อยกลับหายวับไปก่อนที่จะได้แพร่ออกไปด้วยซ้ำ…….
* * *
คืนแรกจบลงด้วยงานเลี้ยง
ส่วนการเจรจาเกิดขึ้นในคืนที่สองแต่ถึงอย่างนั้น พวกนั้นก็ยังคงวุ่นอยู่กับการเม้ามอยเรื่องของผมกับมาร์บาส
“ฝ่ายเป็นกลางน่ะให้การสนับสนุนดันทาเลี่ยน”
“มีความเป็นไปได้ที่พวกนั้นวางแผนเข้ากับฝ่ายที่ราบในการเจรจาที่จะถึงนี้”
ข่าวลือแพร่ไปทั่ว มีทั้งคนที่บอกว่า มาร์บาสไม่ใช่คนรักของผม และที่แสดงให้เห็นกันในงานเลี้ยงนั้นก็เพื่อที่จะบอกทุกคนว่า เขาน่ะค่อนข้างจะพอใจกับฝ่ายที่ราบ
แม้มันจะเป็นการคาดเดาแบบหว่านแห แต่ผู้คนโดยมากก็ยอมรับความเห็นนี้
มันดูสมเหตุสมผลกว่าที่จะบอกว่า จู่ๆมาร์บาสก็มารักมาชอบดันทาเลี่ยน ทั้งที่ตลอดชีวิตเขาไม่เคยมีคู่รักแม้แต่คนเดียว…….
เอาล่ะๆ นั่นแหละนะ ผมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเอง
ท่านมาร์บาสเนี่ยเป็นหนี้ผมหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นผมจึงบีบให้เขาใช้หนี้คืนผม
ถึงจะไม่ได้คุยเตี๊ยมกันล่วงหน้า แต่พวกเราก็เห็นพ้องต้องกัน
เขาน่ะรู้ได้ทันทีเลยว่า ผมต้องการอะไรมากที่สุด
อย่างที่คิดไว้จริงๆ ชายแก่คนนี้เป็นผู้มีทักษะการเมืองอย่างที่หาใครเปรียบยาก
เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ถือว่าการเจรจาต่อรอง ผมเปิดงานมาอย่างดี
บาอัลนั้นนั่งที่เก้าอี้ผู้ไกล่เลี่ย และไม่พูดอะไร
ก็อย่างที่บาร์บาทอสบอกนั่นแหละ ดูเหมือนบาอัลจะไม่คิดทำอะไรทั้งนั้นนอกจากการจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้พวกเราพูดคุยเจรจากันเอง
กามิกินเดินออกมาในฐานะตัวแทนของอีกฝ่าย ขณะที่ผมก็ออกมาเป็นตัวแทนของอีกฝ่าย
เอาจริงๆนะ แค่บาอัลนั่งอยู่ใกล้ๆบรรยากาศมันก็หนักหน่วงอึดอัดเหลือเกิน
บาอัลนั้นให้ความรู้สึกหนักอึ้งจนคนที่อยู่ในงาน ไม่อาจพูดพล่อยๆไม่คิดได้
นั่นมันใช้พลังแห่งประสบการณ์หรือเปล่านะ?
“ไม่ใช่แค่ฝ่ายที่ราบ เพียงฝ่ายเดียวที่มีส่วนในการพิชิตฮับบวร์กน้า”
กามิกินเริ่มพูดขึ้นมาก่อน
“เรื่องนั้นจริงๆแล้วมันเกิดขึ้นได้เพราะทหารทุกภาคส่วนต่างร่วมมือกัน
มันจะเป็นปัญหาสุดๆเลยล่ะ หากฝ่ายของนายน่ะ อยู่ๆจะมาอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้สำเร็จราชการของฮับบวร์กแล้วฮุบกลืนไปเสียหมดเลย~”
“เธอกำลังจะบอกว่า พวกเราสมควรคิดคำนวนดูว่า ใครเป็นผู้เสียสละมากที่สุดในสงครามครั้งนี้รึ?”
ผมแย้งไปอย่างใจเย็น
“ก็เป็นฝ่ายที่ราบของพวกเรานี่แหละที่เผชิญหน้ากับกองกำลังหลักของฮับบวร์ก
ก็เป็นฝ่ายที่ราบของพวกเรานี่แหละ ที่ไหวตัวทันแผนของไพมอนแล้วบดขยี้มันทิ้งก่อน
ดังนั้นก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมอยู่แล้วที่ดินแดนของฮับบวร์กนั้นสมควรยกให้ฝ่ายที่ราบ
แต่ก็แน่ว่า ข้าไม่ได้บอกว่า กองทัพภาคอื่นไม่สมควรได้รับรางวัลเลย”
“หืมมมมม~?”
“ข้าวของ สินค้าต่างๆที่อยู่ในเมืองฮับบวร์กย่อมต้องมอบให้กับกองทัพภาคอื่นเพื่อชดเชย
ข้าสัญญาว่า ข้าจะมอบรางวัลที่น่าพอใจให้”
กามิกินส่ายหัว
“ทำแบบนั้นมันวุ่นวายเปล่าๆน้า นายคิดหรือว่าพวกเราทำแบบนั้นไปเพราะเราไม่มีเงินไม่มีทองน่ะ?
สิ่งสำคัญคือ การมีที่ดินของตัวเองบนทวีปต่างหาก
ข้าจะพูดตรงๆแล้วนะ การที่ฝ่ายที่ราบจะพยายามมาทำตัวเป็นฮีโร่แห่งโลกปีศาจนี่ออกจะน่าขยะแขยงเกินไปหน่อย”
“แล้ว เธอต้องการอะไร?”
“ฝ่ายที่ราบเอาไป 5 ส่วนอกาเรสกับข้า เอาคนละ 2.5 เป็นยังไงล่ะ? ข้าว่า การแบ่งกันแบบนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว”
ผมส่ายหัว
“ฝ่ายที่ราบ 8 ส่วนคุณกามิกิน กับคุณอกาเรสก็ คนละ 1 ”
“อืมมมมม”
กามิกินส่งเสียงครางในลำคอออกมายาวๆ จอมมารที่เฝ้าดูอยู่เริ่มซุบซิบกัน
กามิกินยังคงยิ้มอย่างสุภาพขณะที่กระซิบบอกผม
“ฝ่ายที่ราบอยากได้สงครามเหรอ?”
“ข้าจะขอพูดโดยไม่เสียเวลาท้าวความใดๆ
ใครกันที่เป็นผู้สูญเสียไปมากที่สุดในสงครามที่ผ่านมา?
คุณอกาเรสและคุณกามิกิน อาจมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ นำกองทัพภาค แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พวกคุณทั้งคู่น่ะหลีกเลี่ยงการเข้าปะทะ เผชิญหน้ากับพวกมนุษย์”
ผมจงใจจะพูดดังๆออกมาให้ทุกคนได้ยินกัน
“ใครกันที่ยึดป้อมปราการเมืองเครม(Krem) ? ก็ฝ่ายที่ราบ
แล้วใครกันที่ไล่ล่าผู้รอดชีวิตจากกองทหารฮับบวร์กไปจนเมืองหลวงวินโบโดน่าล่มสลาย? ก็ฝ่ายที่ราบอีกเช่นกัน
คุณกามิกิน เธอน่ะเลือกที่จะหนีไปทั้งที่พวกแตกทัพของฮับบวร์กอยู่ตรงหน้าเธอแล้วแท้ๆ”
“นั่นน่ะมันเป็นการถอยเชิงกลยุทธของอีกฝ่าย”
กามิกินยังคงรักษาหน้ายิ้มไว้ขณะที่ตอบเต็มปาก
“บาร์บาทอสเสียกองทหารไปขณะที่ไล่ตามพวกนั้น
ข้าน่ะนะ ไม่โง่ขนาดที่จะยอมเสียทหารตัวเองไปเพื่อการสู้รบไร้ประโยชน์แบบนั้นหรอก”
“การต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ อย่างนั้นรึ……?”
ผมยิ้มชั่วร้าย
“การโค่นล้มพวกมนุษย์แล้วสร้างโลกสำหรับเผ่าปีศาจขึ้นมาบนทวีปนั้นย่อมต้องมีการสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา หากแต่การเสียสละของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย
การเสียสละของพวกเขาเป็นสิ่งจำเป็น การเสียสละของพวกเขาทำให้พวกเราสามารถยึดที่ดินทางเหนือของฮับบวร์กได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่อยู่ๆใครสักคนจะมาปฏิเสธการเสียสละของพวกเขาแล้วพยายามไปฮุบเอาที่ดินของผู้เสียสละนี่…….ออกจะเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมเสียจนข้าเองยังอึ้งเลยล่ะ”
“…….”
นั่นเป็นการพูดเพื่อยั่วโมโห มีเสียงบ่นพึมพัมดังขึ้นมาเรื่อยๆ พวกนั้นคงคิดว่า ผมพูดเกินไปล่ะมั้ง?
โอ้ ใช่เลย ผมพูดเกินไป
แต่ไม่ใช่ในฐานะจอมมารคนหนึ่ง
ผมมาอยู่ที่นี่ เวลานี้เพื่อเป็นตัวแทนของฝ่ายที่ราบทั้งผอง
ผมคือ ฝ่ายที่ราบ
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากามิกิน ผมไม่อาจยอมแพ้ได้
“ทุกคนนั้นต่างเข้าใจผิดและคิดว่า การเจรจานั้นเป็นการแย่งชิงอำนาจกัน แต่กรณีนี้มันไม่ใช่เลย
สิ่งที่ฝ่ายที่ราบพยายามปกป้องไว้ด้วยทุกอย่างที่มีคือ ความถูกต้องชอบธรรม ขณะที่คนอื่นเอาแต่ทุ่มเถียงเพื่อแย่งผลประโยชน์กัน”
“เห นายไม่คิดว่านี่ออกจะแรงเกินไปหน่อยเหรอ~?”
“มันไม่แรงเกินไป”
ผมตอบอย่างหนักแน่น
“แล้วหันมาดูฝ่ายเป็นกลางดูบ้าง ฝ่ายเป็นกลางนั้นกลับถอยทัพ โดยไม่ยอมไล่ตามพวกนั้น
แถมฝ่ายเป็นกลางเองก็ยังไม่ยอมเฝ้าประจำอยู่ที่ฮับบวร์กแล้วก็ยังจะมาหาทางฮุบที่เป็นของตัวเองแทนที่จะบุกเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียอีก
ช่างเป็นความเชื่อมั่นที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
ผมยิ้มเยาะ
“สิ่งที่อยู่ในหัวของคุณกามิกินและคุณอกาเรสที่แสดงออกมานี่ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน ภารกิจหน้าที่ที่คุณต้องจัดการนั้นเป็นที่อื่นมิใช่ฮับบวร์ก
แล้วทำไมกลับมาอยู่กันที่นี่กันได้ล่ะ? ไม่อยากจะสู้ไม่อยากเสียคนไปเลยอย่างนั้นหรือ?
ข้าไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่า บุคคลผู้ที่ไม่สู้ไม่เสียเลือดเสียเนื้อจะมีสิทธิ์ได้รับปันดินแดนด้วย……แถมยังไม่รู้มาก่อนด้วยว่า การเป็นจอมมารนี่มันช่างง่ายโง่เสียเหลือเกิน”
สุดท้ายแล้วการเจรจาในวันนั้นก็จบลง
ทั้งผมและกามิกินต่างฝ่ายต่างปฏิเสธที่จะถอยให้
เป็นไปได้ว่าจะจบลงที่การโหวตระหว่างเหล่าจอมมารพร้อมกับขั้นตอนการเจรจาไปด้วย
หากมันเป็นอย่างนั้นจริงผมจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ ไม่ใช่กามิกิน
ผมวางแผนที่จะลากการเจรจาให้ยาวขึ้นอีก จุดที่ผมรับได้คือการที่ ฝ่ายที่ราบได้ 7 ส่วน กามิกินและอกาเรสได้ไปคนละ 1.5 ส่วน
ในวันต่อมาบาร์บาทอสเข้ามาในห้องผมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ผมจึงรู้แล้วว่า มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
“อีอกาเรสแม่งบุกตอนที่พวกเราไม่อยู่บ้าน”
“อะไรนะ?”
บาร์บาทอสขึ้นมาตะโกนด้วยความโมโห
“นังนั่นมันแอบย่องเข้ามาฆ่าล้าง ปล้นบ้านเราตอนพวกเราออกมา อีชั่วนั่น!”
Ο
Comments
Dungeon Defense (WN) 228 คำทำนายของแม่มด (7)
หลังจากพวกเราเต้นรำกันเสร็จ ทุกคนต่างปรบมือให้จากทุกแห่งทั่วห้องจัดงานเลี้ยง
จากตำแหน่งที่ปรบมือให้นั้นบ่งบอกได้ถึงที่มาและแสดงเห็นเด่นชัดถึงองค์ประกอบของฐานอำนาจในกองทัพจอมมารว่าเป็นอย่างไรบ้าง
กลุ่มที่ตั้งใจปรบมือให้กับพวกเรานั่นก็คือ ฝ่ายที่ราบ
กว่าครึ่งหนึ่งเป็นการแสดงความรักและนับถือให้กับบาร์บาทอส ในขณะอีกครึ่งหนึ่งก็สรรเสริญการถือกำเนิดขึ้นของที่ปรึกษาผู้ยิ่งใหญ่ของฝ่าย
แต่ถึงอย่างนั้น เบเลธกับเซปาร์ก็ดูไม่พออกพอใจนัก กับการที่ตำแหน่งคู่รักของบาร์บาทอสโดนเอาไปแล้ว
“เฮอะ! ข้านี่แหละที่เป็นคนคอยอารักขาท่านตอนน้องเราไม่อยู่”
“หรือนายท่านชอบนักวางแผนมากกว่านักรบอย่างนั้นรึ……!?”
จอมมารสองคนที่แข่งแก่งแย่งตำแหน่งคนรักกันมาหลายศตวรรษ สุดท้ายก็น้ำตาเป็นสายเลือดทั้งคู่ น่าสมเพชชะมัด
ต่อไปก็ฝ่าย เป็นกลาง
เป็นกลุ่มเล็กๆที่มีแต่คนมีเหตุผลอยู่กัน อย่างเช่น จอมมารลำดับ 5 อย่างมาร์บาส ที่รับรู้ตัวผม ดันทาเลี่ยน ในฐานะผู้ที่รู้ทันความคิดกัน
สำหรับพวกเขาแล้ว ดันทาเลี่ยนเป็นดั่งกุหลาบที่เบ่งบานขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อท่ามกลางฝ่ายที่ราบที่เต็มไปด้วยไอ้งั่งที่ไม่รู้ห่าอะไรเลย นั่นคือ การรับรู้การมีอยู่ในตัวผมของพวกเขา
“ในราตรีวัลเพอกีสนั้น เขายกโทษให้ไพมอน…….”
“เขายังอดกลั้นกับฝ่ายภูเขาได้แม้ในช่วงสงครามพันธมิตรเสี้ยวจันทรา เขาน่ะเป็นคนที่คุยรู้เรื่อง”
สำหรับฝ่ายเป็นกลางแล้ว สิ่งที่พวกเขาให้ค่าคือ การรู้จักอดทนข่มกลั้นและความสมดุล ดันทาเลี่ยนนั้นเป็นนักการเมืองผู้รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แต่ขณะเดียวกันก็มิได้ทำอะไรเกินเลยจนล้ำเส้น
นั่นเป็นภาพลักษณ์ในอุดมคติของนักการเมือง
คนอย่างไพมอนที่ต้องการเรียกร้องถึงผลประโยชน์ของทุกคนทุกฝ่ายแทนจะเรียกร้องเฉพาะผลประโยชน์ฝ่ายตัวเอง คนแบบนี้มันอันตราย
หากพวกนั้นอยากเสนออะไรให้ คนแบบไพมอนก็จะปฏิเสธที่จะเจรจาด้วยเนื่องจากมีเหตุผลและอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป
แต่ไอ้พวกที่อาละวาดไปทั่วจนล้ำเส้นอย่างไม่คิดก็เป็นอันตรายไม่ต่างกัน
ในขณะที่ ดันทาเลี่ยนนั้นทั้งรู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตัวเองและยังพร้อมเจรจาด้วย ว่าง่ายๆ เขาน่ะเป็นคนที่คุยรู้เรื่อง
จอมมารที่เจรจาต่อรองได้เป็นดั่งของล้ำค่าท่ามกลางหมู่กองกำลังจอมมารที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยจิตเวช
ผู้คนในฝ่ายเป็นกลางจึงหวังว่า ดันทาเลี่ยนนั้นจะยังอยู่ฝ่ายที่ราบเพื่อคอยกุมบังเหียนควบคุมพวกนั้นไว้
และฝ่ายสุดท้าย ฝ่ายภูเขา
พวกนั้นต่างอยู่ในงานเลี้ยงอย่างไม่สบายใจนัก ราวกับไม่มีอารมณ์ที่จะปรบมือ
จอมมารฝ่ายภูเขาต่างกระซิบกันด้วยชื่อที่สื่อถึงบาร์บาทอสและดันทาเลี่ยน
“อีบ้ากับไอ้พิการ เหมาะสมกันดีนี่?”
“คนนึงสาดเลือดใต้แสงอาทิตย์ อีกคนก็ดูดเลือดชาวบ้านใต้แสงจันทร์ ฝ่ายที่ราบนี่มีผู้นำและที่ปรึกษาที่น่าประทับใจเสียจริง”
มีแต่สิตริเท่านั้นที่ดูกระสับกระส่าย เธอหันมองไปมองมาระหว่างลูกน้องฝ่ายตัวเองกับดันทาเลี่ยน
‘ก็ดันทาเลี่ยนไม่ใช่หรือที่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพี่สาวไพมอนไว้น่ะ?’
เธอนั้นไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้โดยสิ้นเชิง
ณ ตอนนั้นเป็นฝ่ายภูเขาเองที่โจมตีก่อน ไม่ใช่ฝ่ายที่ราบ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรหากฝ่ายภูเขาจะแตกยับเป็นเสี่ยงๆเพื่อรับผิดชอบต่อเรื่องนี้
‘พวกเราก็ควรแสดงความยินดีกับเขาไม่ใช่หรือ? ’
ก็ถ้าดันทาเลี่ยนไม่ได้ตัดสินใจปรานีพวกเราแล้วล่ะก็ มีหวังฝ่ายภูเขาเราต้องถูกสั่งยุบแน่ๆ
นั่นเป็นสิ่งที่สิตริเชื่อ
ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพรรคพวกในฝ่ายถึงได้จงเกลียดจงชังและดูถูกบุคคลที่สมควรที่จะแสดงความขอบคุณอย่างนั้นด้วย…….
เสียงปรบมือหยุดลง
ดันทาเลี่ยนนั้นโค้งให้ทุกคนด้วยความเคารพก่อนจะเดินออกไปที่อื่น เขานั้นเดินไปยังสถานที่ที่ฝ่ายเป็นกลางรวมกลุ่มกัน
จอมมารหลายคนต่างสงสัยว่า สมาชิกจากฝ่ายที่ราบจะไปหาฝ่ายเป็นกลางทำไมกัน
“ขอโอกาสเต้นรำกับข้าได้ไหม?”
ดันทาเลี่ยนนั้นได้เชื้อเชิญจอมมารจากฝ่ายเป็นกลางไปเต้นรำด้วยกัน จอมมารตรอื่นถึงกับอ้าปากค้าง การที่จะตกใจอย่างนั้นถือเป็นเรื่องสมควร เนื่องจากบุคคลที่ดันทาเลี่ยนเชื้อเชิญนั้น เป็นหัวหน้าฝ่ายเป็นกลาง จอมมารลำดับ 5 มาร์บาส
จอมมารมาร์บาสที่เป็นผู้ชาย ดันทาเลี่ยนเลือกที่จะขอเต้นรำกับเขา!
“นี่หมอนั่นคิดจะทำอะไรกันน่ะ?”
“เขาบ้าไปแล้วอย่างนั้นรึ?”
“ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ…….”
จอมมารหลายต่อหลายคนต่างถึงกับตกใจ
ถึงแม้โลกปีศาจจะยอมผ่อนปรนให้กับรักร่วมเพศ แต่คู่ขาชาย-ชายกลับไม่อนุญาตให้มาในงานเลี้ยงสำหรับจอมมาร
ไม่สิ ต่อให้อนุญาตก็ตามที แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ดันทาเลี่ยน จอมมารระดับ 71 สมควรจะทำ!
มาร์บามองดันทาเลี่ยนด้วยไม่แน่ใจในเจตนา
“ฮื่อ”
จอมมารสองคนต่างสื่อสารกันด้วยสายตา
มาร์บาสลูบหนวดสองครั้งก่อนที่จะหัวเราะออกมา
“แน่นอน พอมาคิดว่า ตัวข้านี้จะถูกเลือกต่อจากดอกไม้ดอกงามเช่นบาร์บาทอส ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูง”
“ฮ่าฮ่า ถ้าไม่ติดว่า บาร์บาทอสนั้นเป็นเพื่อนคนสนิทของข้า ข้าก็จะชวนท่านก่อนเป็นคนแรกเลย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นเกียรตินัก”
มาร์บาสวางมือบนมือดันทาเลี่ยน
จอมมารสาวๆต่างตื่นเต้นขึ้นทันทีขณะที่เฝ้ามองจอมมารชายสองคนเดินเคียงคู่กัน
“โอ้ พระเจ้า! ดูนั่นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านมาร์บาสเต้นรำ!”
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่า ท่านมาร์บาสน่ะเป็นคนรักของดันทาเลี่ยน!?”
“อ๊ายยย! อย่างแซ่บเลยอะ!”
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่มีหัวข้อในการซุบซิบไหนจะน่าสนใจไปกว่าเรื่องโฮโมเซ็กช่วลในหมู่ผู้หญิงอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่สุดสำอางและเป็นที่นิยมอย่างมาร์บาส
ดวงตาของจอมมารหญิงทั้งหลายต่างลุกเป็นไฟเมื่อคุยกันในหัวข้อที่ว่า ‘ระหว่างมาร์บาสกับดันทาเลี่ยน ใครเป็นรุกกันแน่’
สำหรับคนที่ดูจะสนุกกับเรื่องนี้ที่สุดเห็นทีจะเป็นบาร์บาทอส
เธอถึงกับกุมท้องหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เบเลธเองก็ชี้ไปที่จอมมารสองคนแล้วก็หัวเราะลั่น
“โว้วว! เจ๋งดีว่ะ! เอาเลยๆ! เต้นกันต่อไป!”
“แกนี่แม่ง เต้นนำห่วยชะมัด!”
ความเงียบงันจางหายไปจากงานเลี้ยง
จอมมารหญิงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ราบหรือฝ่ายภูเขาต่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
บ้างก็มองด้วยความสนอกสนใจ บ้างก็มองด้วยความขยะแขยง
กามิกินถึงกับอยู่ไม่สุข
ด้วยเหตุนี้การพยายามสร้างข่าวลือของเธอจึงเปล่าประโยชน์ ข่าวลือที่ว่าด้วยเรื่องมาร์บาสกับดันทาเลี่ยนมีความสัมพันธ์ลับๆแบบไหนกัน ดึงความสนใจไปจาก ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างกามิกินกับดันทาเลี่ยนได้อย่างท่วมท้น
สังคมจอมมารเอาแต่พูดถึงเรื่องของสองจอมมารชายอยู่สักพักใหญ่ ทำให้ข่าวลือที่กามิกินพยายามจะปล่อยกลับหายวับไปก่อนที่จะได้แพร่ออกไปด้วยซ้ำ…….
* * *
คืนแรกจบลงด้วยงานเลี้ยง
ส่วนการเจรจาเกิดขึ้นในคืนที่สองแต่ถึงอย่างนั้น พวกนั้นก็ยังคงวุ่นอยู่กับการเม้ามอยเรื่องของผมกับมาร์บาส
“ฝ่ายเป็นกลางน่ะให้การสนับสนุนดันทาเลี่ยน”
“มีความเป็นไปได้ที่พวกนั้นวางแผนเข้ากับฝ่ายที่ราบในการเจรจาที่จะถึงนี้”
ข่าวลือแพร่ไปทั่ว มีทั้งคนที่บอกว่า มาร์บาสไม่ใช่คนรักของผม และที่แสดงให้เห็นกันในงานเลี้ยงนั้นก็เพื่อที่จะบอกทุกคนว่า เขาน่ะค่อนข้างจะพอใจกับฝ่ายที่ราบ
แม้มันจะเป็นการคาดเดาแบบหว่านแห แต่ผู้คนโดยมากก็ยอมรับความเห็นนี้
มันดูสมเหตุสมผลกว่าที่จะบอกว่า จู่ๆมาร์บาสก็มารักมาชอบดันทาเลี่ยน ทั้งที่ตลอดชีวิตเขาไม่เคยมีคู่รักแม้แต่คนเดียว…….
เอาล่ะๆ นั่นแหละนะ ผมตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเอง
ท่านมาร์บาสเนี่ยเป็นหนี้ผมหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นผมจึงบีบให้เขาใช้หนี้คืนผม
ถึงจะไม่ได้คุยเตี๊ยมกันล่วงหน้า แต่พวกเราก็เห็นพ้องต้องกัน
เขาน่ะรู้ได้ทันทีเลยว่า ผมต้องการอะไรมากที่สุด
อย่างที่คิดไว้จริงๆ ชายแก่คนนี้เป็นผู้มีทักษะการเมืองอย่างที่หาใครเปรียบยาก
เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ถือว่าการเจรจาต่อรอง ผมเปิดงานมาอย่างดี
บาอัลนั้นนั่งที่เก้าอี้ผู้ไกล่เลี่ย และไม่พูดอะไร
ก็อย่างที่บาร์บาทอสบอกนั่นแหละ ดูเหมือนบาอัลจะไม่คิดทำอะไรทั้งนั้นนอกจากการจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้พวกเราพูดคุยเจรจากันเอง
กามิกินเดินออกมาในฐานะตัวแทนของอีกฝ่าย ขณะที่ผมก็ออกมาเป็นตัวแทนของอีกฝ่าย
เอาจริงๆนะ แค่บาอัลนั่งอยู่ใกล้ๆบรรยากาศมันก็หนักหน่วงอึดอัดเหลือเกิน
บาอัลนั้นให้ความรู้สึกหนักอึ้งจนคนที่อยู่ในงาน ไม่อาจพูดพล่อยๆไม่คิดได้
นั่นมันใช้พลังแห่งประสบการณ์หรือเปล่านะ?
“ไม่ใช่แค่ฝ่ายที่ราบ เพียงฝ่ายเดียวที่มีส่วนในการพิชิตฮับบวร์กน้า”
กามิกินเริ่มพูดขึ้นมาก่อน
“เรื่องนั้นจริงๆแล้วมันเกิดขึ้นได้เพราะทหารทุกภาคส่วนต่างร่วมมือกัน
มันจะเป็นปัญหาสุดๆเลยล่ะ หากฝ่ายของนายน่ะ อยู่ๆจะมาอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้สำเร็จราชการของฮับบวร์กแล้วฮุบกลืนไปเสียหมดเลย~”
“เธอกำลังจะบอกว่า พวกเราสมควรคิดคำนวนดูว่า ใครเป็นผู้เสียสละมากที่สุดในสงครามครั้งนี้รึ?”
ผมแย้งไปอย่างใจเย็น
“ก็เป็นฝ่ายที่ราบของพวกเรานี่แหละที่เผชิญหน้ากับกองกำลังหลักของฮับบวร์ก
ก็เป็นฝ่ายที่ราบของพวกเรานี่แหละ ที่ไหวตัวทันแผนของไพมอนแล้วบดขยี้มันทิ้งก่อน
ดังนั้นก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมอยู่แล้วที่ดินแดนของฮับบวร์กนั้นสมควรยกให้ฝ่ายที่ราบ
แต่ก็แน่ว่า ข้าไม่ได้บอกว่า กองทัพภาคอื่นไม่สมควรได้รับรางวัลเลย”
“หืมมมมม~?”
“ข้าวของ สินค้าต่างๆที่อยู่ในเมืองฮับบวร์กย่อมต้องมอบให้กับกองทัพภาคอื่นเพื่อชดเชย
ข้าสัญญาว่า ข้าจะมอบรางวัลที่น่าพอใจให้”
กามิกินส่ายหัว
“ทำแบบนั้นมันวุ่นวายเปล่าๆน้า นายคิดหรือว่าพวกเราทำแบบนั้นไปเพราะเราไม่มีเงินไม่มีทองน่ะ?
สิ่งสำคัญคือ การมีที่ดินของตัวเองบนทวีปต่างหาก
ข้าจะพูดตรงๆแล้วนะ การที่ฝ่ายที่ราบจะพยายามมาทำตัวเป็นฮีโร่แห่งโลกปีศาจนี่ออกจะน่าขยะแขยงเกินไปหน่อย”
“แล้ว เธอต้องการอะไร?”
“ฝ่ายที่ราบเอาไป 5 ส่วนอกาเรสกับข้า เอาคนละ 2.5 เป็นยังไงล่ะ? ข้าว่า การแบ่งกันแบบนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว”
ผมส่ายหัว
“ฝ่ายที่ราบ 8 ส่วนคุณกามิกิน กับคุณอกาเรสก็ คนละ 1 ”
“อืมมมมม”
กามิกินส่งเสียงครางในลำคอออกมายาวๆ จอมมารที่เฝ้าดูอยู่เริ่มซุบซิบกัน
กามิกินยังคงยิ้มอย่างสุภาพขณะที่กระซิบบอกผม
“ฝ่ายที่ราบอยากได้สงครามเหรอ?”
“ข้าจะขอพูดโดยไม่เสียเวลาท้าวความใดๆ
ใครกันที่เป็นผู้สูญเสียไปมากที่สุดในสงครามที่ผ่านมา?
คุณอกาเรสและคุณกามิกิน อาจมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ นำกองทัพภาค แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า พวกคุณทั้งคู่น่ะหลีกเลี่ยงการเข้าปะทะ เผชิญหน้ากับพวกมนุษย์”
ผมจงใจจะพูดดังๆออกมาให้ทุกคนได้ยินกัน
“ใครกันที่ยึดป้อมปราการเมืองเครม(Krem) ? ก็ฝ่ายที่ราบ
แล้วใครกันที่ไล่ล่าผู้รอดชีวิตจากกองทหารฮับบวร์กไปจนเมืองหลวงวินโบโดน่าล่มสลาย? ก็ฝ่ายที่ราบอีกเช่นกัน
คุณกามิกิน เธอน่ะเลือกที่จะหนีไปทั้งที่พวกแตกทัพของฮับบวร์กอยู่ตรงหน้าเธอแล้วแท้ๆ”
“นั่นน่ะมันเป็นการถอยเชิงกลยุทธของอีกฝ่าย”
กามิกินยังคงรักษาหน้ายิ้มไว้ขณะที่ตอบเต็มปาก
“บาร์บาทอสเสียกองทหารไปขณะที่ไล่ตามพวกนั้น
ข้าน่ะนะ ไม่โง่ขนาดที่จะยอมเสียทหารตัวเองไปเพื่อการสู้รบไร้ประโยชน์แบบนั้นหรอก”
“การต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ อย่างนั้นรึ……?”
ผมยิ้มชั่วร้าย
“การโค่นล้มพวกมนุษย์แล้วสร้างโลกสำหรับเผ่าปีศาจขึ้นมาบนทวีปนั้นย่อมต้องมีการสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดา หากแต่การเสียสละของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ไร้ประโยชน์เลย
การเสียสละของพวกเขาเป็นสิ่งจำเป็น การเสียสละของพวกเขาทำให้พวกเราสามารถยึดที่ดินทางเหนือของฮับบวร์กได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่อยู่ๆใครสักคนจะมาปฏิเสธการเสียสละของพวกเขาแล้วพยายามไปฮุบเอาที่ดินของผู้เสียสละนี่…….ออกจะเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมเสียจนข้าเองยังอึ้งเลยล่ะ”
“…….”
นั่นเป็นการพูดเพื่อยั่วโมโห มีเสียงบ่นพึมพัมดังขึ้นมาเรื่อยๆ พวกนั้นคงคิดว่า ผมพูดเกินไปล่ะมั้ง?
โอ้ ใช่เลย ผมพูดเกินไป
แต่ไม่ใช่ในฐานะจอมมารคนหนึ่ง
ผมมาอยู่ที่นี่ เวลานี้เพื่อเป็นตัวแทนของฝ่ายที่ราบทั้งผอง
ผมคือ ฝ่ายที่ราบ
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ากามิกิน ผมไม่อาจยอมแพ้ได้
“ทุกคนนั้นต่างเข้าใจผิดและคิดว่า การเจรจานั้นเป็นการแย่งชิงอำนาจกัน แต่กรณีนี้มันไม่ใช่เลย
สิ่งที่ฝ่ายที่ราบพยายามปกป้องไว้ด้วยทุกอย่างที่มีคือ ความถูกต้องชอบธรรม ขณะที่คนอื่นเอาแต่ทุ่มเถียงเพื่อแย่งผลประโยชน์กัน”
“เห นายไม่คิดว่านี่ออกจะแรงเกินไปหน่อยเหรอ~?”
“มันไม่แรงเกินไป”
ผมตอบอย่างหนักแน่น
“แล้วหันมาดูฝ่ายเป็นกลางดูบ้าง ฝ่ายเป็นกลางนั้นกลับถอยทัพ โดยไม่ยอมไล่ตามพวกนั้น
แถมฝ่ายเป็นกลางเองก็ยังไม่ยอมเฝ้าประจำอยู่ที่ฮับบวร์กแล้วก็ยังจะมาหาทางฮุบที่เป็นของตัวเองแทนที่จะบุกเครือจักรภพโพลิช-ลิทัวร์เนียอีก
ช่างเป็นความเชื่อมั่นที่ยอดเยี่ยมเสียจริง”
ผมยิ้มเยาะ
“สิ่งที่อยู่ในหัวของคุณกามิกินและคุณอกาเรสที่แสดงออกมานี่ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน ภารกิจหน้าที่ที่คุณต้องจัดการนั้นเป็นที่อื่นมิใช่ฮับบวร์ก
แล้วทำไมกลับมาอยู่กันที่นี่กันได้ล่ะ? ไม่อยากจะสู้ไม่อยากเสียคนไปเลยอย่างนั้นหรือ?
ข้าไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่า บุคคลผู้ที่ไม่สู้ไม่เสียเลือดเสียเนื้อจะมีสิทธิ์ได้รับปันดินแดนด้วย……แถมยังไม่รู้มาก่อนด้วยว่า การเป็นจอมมารนี่มันช่างง่ายโง่เสียเหลือเกิน”
สุดท้ายแล้วการเจรจาในวันนั้นก็จบลง
ทั้งผมและกามิกินต่างฝ่ายต่างปฏิเสธที่จะถอยให้
เป็นไปได้ว่าจะจบลงที่การโหวตระหว่างเหล่าจอมมารพร้อมกับขั้นตอนการเจรจาไปด้วย
หากมันเป็นอย่างนั้นจริงผมจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ ไม่ใช่กามิกิน
ผมวางแผนที่จะลากการเจรจาให้ยาวขึ้นอีก จุดที่ผมรับได้คือการที่ ฝ่ายที่ราบได้ 7 ส่วน กามิกินและอกาเรสได้ไปคนละ 1.5 ส่วน
ในวันต่อมาบาร์บาทอสเข้ามาในห้องผมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ผมจึงรู้แล้วว่า มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
“อีอกาเรสแม่งบุกตอนที่พวกเราไม่อยู่บ้าน”
“อะไรนะ?”
บาร์บาทอสขึ้นมาตะโกนด้วยความโมโห
“นังนั่นมันแอบย่องเข้ามาฆ่าล้าง ปล้นบ้านเราตอนพวกเราออกมา อีชั่วนั่น!”
Ο
Comments