Dungeon Defense (WN) 234 การสู้รบของจอมมาร (5)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 234 การสู้รบของจอมมาร (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

* * *

 

ผมอยู่ไม่สุขแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้

 

ผมเขย่าขา ขณะที่เท้าผมยังคงเคาะพื้นไม่หยุด มันเป็นพฤติกรรมที่นานๆครั้งผมจะแสดงออกมา แต่จะทำยังไงได้ล่ะ

ในเมื่อชะตากรรมของฝ่ายที่ราบนั้นแขวนอยู่บนการต่อสู้ครั้งนี้

 

ผมไม่หลับไม่นอนข้ามคืนนั่งรออยู่บนเก้าอี้และจดจ้องไปที่ลูกแก้วคริสตัลบนโต๊ะ รอการติดต่อกลับ

‘บาร์บาทอสจะมาแพ้ตอนนี้ไม่ได้’

 

ดินแดนใจกลางภาคเหนือของฮับบวร์กนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก

 

ดินแดนเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นดั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมมาร สถานที่ที่จอมมารส่วนมากต่างมีรกรากอยู่ที่นั่น……โดยห้อมล้อมไปด้วยภูเขาดำ

ปราสาทจอมมารของผมก็ด้วยเช่นกัน มันตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ในดินแดนที่รู้จักกันในชื่อ พาเกเกีย(Pagegiai)

ชื่อน่ะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก ปัญหาคือ พื้นที่แห่งนี้ตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก

 

ราชอาณาจักรทิวทันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ขณะที่ฮับบวร์กอยู่ทางใต้ ดินแดนนี้เปิดกว้างโดยสมบูรณ์สำหรับพวกมนุษย์ ฝ่ายของบาร์บาทอสนั้นอยู่ติดกับดินแดนของผม

 

หากจะมีใครสักคนเป็นศูนย์รวมความเกลียดชังอันเข้มข้นของผู้ปกครองฝ่ายมนุษย์……

ว่าง่ายๆ ผมคงจบสิ้นทันทีเลยล่ะ หากอลิซาเบธ นั้นคลั่งขึ้นมาแล้วส่งกองทัพมาบุกผม

ฝ่ายที่เป็นพันธมิตรกับผมนั้นก็จะคอยช่วยป้องกันกองกำลังเหล่านั้น ให้คิดดูอีกทีก่อนจะส่งกองกำลังมาบุก

 

ดังนั้นจึงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผมหาก อกาเรสหรือกามิกินได้ดินแดนแห่งนี้ไป ก็เห็นกันชัดๆอยู่ว่า พวกนั้นไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันกับผม

 

‘โอ้ แหม ข้าไม่สามารถจัดการกับกองทหารที่ชาติศัตรูส่งมาได้! ขอโทษด้วยน้า’

เจ้าพวกนั้นคงพูดอะไรแบบนี้โดยแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงการมาของกองทัพที่บุกเข้ามายังดันเจี้ยนของผม

แค่นึกภาพถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีอัศวินนับร้อยคนบุกเข้า ก็ทำเอาขนหัวลุกแล้ว

‘ผมอาจเสริมความแข็งแกร่งให้กับดันเจี้ยนได้ แต่มันก็ไม่อาจหยุดกองทัพได้’

บาร์บาทอสนั้นเป็นดั่งโล่ของผมจนกว่าดันเจี้ยนของผมนั้นจะสร้างเสร็จอย่างน้อย ไม่ 7 ชั้น ก็ต้อง 5 ชั้น

 

 

……การดึงสิตริออกมาใช้นั้นเป็นดั่งไพ่ใบสำคัญ ความแข็งแกร่งของสิตริเป็นที่รู้กันดีว่า เหนือกว่าพี่เบเลธ

โอกาสได้รับชัยชนะจึงเพิ่มขึ้นทันทีที่เธอมาเป็นกำลังเสริม แต่ก็แน่ล่ะ ก็ยังมีโอกาสแพ้อยู่ด้วยเช่นกัน

 

จะแพ้ หรือชนะนั้น ขึ้นกับสถานการณ์ ผมยอมวิ่งไปหากามิกิน คุกเข่า เลียนิ้วเท้าของเธอได้

ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ

 

ผมยินดีทำความสะอาดนิ้วเท้าให้เธอเป็นสิบเป็นร้อยครั้งก็ได้ หากมันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตในอนาคตได้

เอาจริงๆนะ ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากให้บาร์บาทอสแพ้เลย…….

 

(TTL : แผล่บๆนิ้วเท้างั้นเหรอ เทสดีนี่ พรี่ดัน ถถถ)

 

 

– ดันทาเลี่ยน

 

แสงสีฟ้าสะท้อนออกมาจากลูกแก้วคริสตัล นายพลเซปาร์ปรากฏกายอยู่ในลูกแก้ว ในที่สุดผมก็ได้รับการติดต่อกลับมาแล้ว!

 

– ดันทาเลี่ยน เจ้าอยู่ไหม?

 

“ครับ พี่เซปาร์! ผมกำลังรออยู่เลย”

 

แค่มองผมก็บอกได้เลยว่า นายพลเซปาร์น่ะกำลังเหนื่อยมากๆ

เขายังคงสวมเกราะอยู่ เป็นไปได้ว่า การรบเพิ่งจบลง

 

ผมรีบเข้าไปใกล้ๆกับลูกแก้วแล้วนั่งลงใกล้ๆ ผมประหม่าอยู่ลึกๆ ทำไมบาร์บาทอสถึงไม่ติดต่อผมด้วยตัวเอง?

 

บาร์บาทอสนั้นจะติดต่อผมด้วยตัวเองเสมอ ดูเหมือนเธอไม่ยอมให้คนอื่นติดต่อกับผมแทนเธอหากไม่มีเรื่องด่วน

 

นั่นก็แสดงว่า บาร์บาทอสอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถติดต่อกับผมเองไหว อาจบาดเจ็บอยู่ หายสาบสูญหรือพ่ายแพ้

……ถ้อยคำชวนสิ้นหวังผุดขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ

 

ผมถามอีกฝ่ายด้วยเสียงที่สั่นเครือ

 

“การรบ การรบเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

– อ้า พวกเราชนะ

 

พวกเราชนะ! บาร์บาทอสชนะ!

 

ผมถึงกับเอามือปิดหน้า ในอกเต้นตุบตับจนผมต้องถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ราวกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอด4วัน หายไปในคราวเดียว 

บาร์บาทอสชนะ!

 

 

“แล้วเราชนะขาดมากไหม? ตอนนี้บาร์บาทอสเป็นอย่างไรบ้าง? เธอได้รับบาดเจ็บอย่างถึงติดต่อข้าโดยตรงไม่ได้? แล้วอกาเรสโดนจับตัวไหม? เกิดอะไรขึ้นกับจอมมารที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดคนอื่น?”

 

– ดันทาเลี่ยน เจ้าร้อนใจมากเกินไปแล้ว

 

นายพลเซปาร์หัวเราะด้วยความยินดี

 

– ใจเย็นก่อน ข้าไม่สามารถตอบคำถามทั้งหมดของนายได้รวดเดียวนะ

 

 

“……ต้องขออภัยด้วย หลายวันมานี้ข้ากังวลมาก”

 

– กองทัพของพวกเราได้รับชัยชนะ ความจริงข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลในนายต้องรีบร้อนไปนัก การรบที่ชวนวิตกจบลงแล้ว 

ทำใจให้สงบก่อน หน้าที่ของนายน่ะ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ……เข้าใจที่ข้าจะบอกไหม?”

 

“อ่า เป็นอย่างที่ท่านพูดจริงๆ”

ผมพยักหน้า

 

ถูกแล้วล่ะ ผมเป็นผู้เจรจาเพื่อจัดการกับปัญหาความ ไม่ใช่นายพลผู้บัญชาการรบ

 

ผมสมควรจะสงบนิ่งยิ่งกว่าใครทั้งนั้น

โดยเฉพาะกับศัตรูที่เป็นดั่งงูพิษนับร้อยตัว แถมยังไร้เทียมทานอย่างจอมมารกามิกินด้วยแล้ว

 

“พี่เซปาร์ครับ โปรดเล่าถึงความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายก่อน”

สีหน้าของนายพลเซปาร์กลับจริงจังขึงขังขึ้นมา

 

– กองทัพฝ่ายเราที่มี 18,600 นาย พวกเราบาดเจ็บ 3,000  และตายไป 1,00 นาย ในการรบ

 

ในขณะที่ฝ่ายศัตรู……มีจำนวน 21,000 นาย พวกนั้นบาดเจ็บล้มตายประมาณ10,000 นาย

 

สีหน้าผมสดใสขึ้นทันที

ทหารทั้งหมด 21,000 นาย แต่บาดเจ็บล้มตายกันถึง 10,000 นาย นี่ไม่ใช่การชนะธรรมดา นี่ถือว่าเป็นชัยชนะอันท่วมท้นด้วยซ้ำ!

จะบอกว่า กองทัพของอกาเรสโดนกวาดล้างไปก็ยังได้เลย

ลมหายใจของผมหนักหอบ แต่ผมก็ต้องพยายามซ่อนความตื่นเต้นแล้วถามต่ออย่างใจเย็น

 

“อาการของผู้บัญชาการสูงสุดบาร์บาทอสเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

– ข้าเข้าใจถึงความไม่สบายใจของนายดี แต่วางใจได้ 

นายท่านนั้นเพียงแต่ใช้พลังเวทย์มากเกินไปขณะที่ปะทะกับอกาเรส

 

จึงเกิดอาการมานาไหลย้อนกลับขึ้น ดังนั้นนายท่านตอนนี้จึงกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่

 

“แปลว่า เธอไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”

 

– ถ้าพูดกันตามตรงก็ เธอมีกำลังเหลือเฟือเลยล่ะ เบเลธกับข้าต้องพยายามให้ไปนอนพักบนเตียงโดยเธอเอาแต่ตะโกนว่าจะไล่ตามอกาเรส 

 

โล่งใจแท้ ผมถึงกับถอนใจออกมา เหมือนคุณปู่ถอนใจด้วยความเป็นห่วงหลานสาว

ให้ตายเถอะ ได้ยินมาว่า ยิ่งถอนใจมากเท่าไหร่ยิ่งแก่ไวเท่านั้น

 

– โชคไม่ดีที่ พวกเราจับเป็นอกาเรสไว้ไม่ได้

 

เอาล่ะ ถึงจะไม่อาจสามารถจับเป็นอกาเรสได้ตามที แต่พวกเราก็สามารถจับเป็นพวกจอมมารที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้เป็นนักโทษ

 

จากที่นายพลเซปาร์อธิบายให้ฟัง อยู่ๆกองทัพสิตริก็โผล่มาจากด้านหลังในขณะที่ฝ่ายที่ราบกำลังตรึงกำลังศัตรูอยู่

 

ผลก็คือ พวกเขานั้นสามารถกวาดล้างทหารศัตรูได้ด้วยกลวิธีค้อนกับทั่ง

นายพลเซปาร์ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา

 

 

– ข้านั้นไม่เคยนึกฝันถึงวันที่เราจะได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายภูเขามาก่อน

ดันทาเลี่ยน, ฝ่ายที่ราบอย่างพวกเรานั้นถึงกับตกใจ นายนี่ช่างสรรหาเวทย์มนตร์ กลเม็ดเด็ดพรายมาแสดงให้พวกเราอึ้งอยู่เสมอ

แม้นายจะไม่ได้เข้าร่วมรบในครั้งนี้ แต่นายก็สร้างคุณประโยชน์ในการรบนี้ครั้งใหญ่เลยล่ะ

 

 

“ช่างน่าอายเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้ข้าจะรีบไปเจรจาต่อรองต่อดีไหม?”

 

– เอาเลย นายท่านนั้นให้การอนุญาตเรื่องนั้นมาแล้ว พยายามเต็มที่เพื่อล่าจิ้งจอกทะเลทรายให้ได้ล่ะ

 

จิ้งจอกทะเลทรายนั้นเป็นชื่อเล่นเรียก กามิกิน เธอนั้นมีผมบลอนด์สวยงาม แต่ก็ชั่วร้ายเหมือนจิ้งจอก 

ได้เวลาที่ผมจะไปล่าจิ้งจอกตัวนั้นแล้ว

 

ผมพยักหน้า

 

ตัวข้า ดันทาเลี่ยน อ่อนแอก่อนจะแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ผมกลับยิ่งทรงพลังเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อ่อนแอกว่า

 

ผมจะทรมานจนกว่าเธอจะร้องไห้ออกมา กามิกิน รับมือให้ดีเถอะ

ผมจะให้เธอจ่ายทั้งต้นทั้งดอก กับทุกสิ่งที่เธอทำมาจนถึงตอนนี้เลยล่ะ…….

 

 

* * *

 

 

กามิกินเป็นเจ้าของบ้านพักตากอากาศในเนฟเฮม ซึ่งนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนี้

เป็นดินแดนที่มีทั้งสวน พร้อมทั้งน้ำตกอยู่ตรงกลาง หมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ใจกลางดินแดน

 

สิ่งก่อสร้างอาคารต่างๆนั้นเล็กแต่สีสันสวยงาม ดูเหมือนจอมมารระดับสูงทั้งหลายต่างมีบ้านพักอย่างนี้ในเมืองใหญ่แห่งโลกปีศาจด้วยเช่นกัน

 

ผมเดินผ่านน้ำพุที่แสนงามพลางยิ้มและนึกถึง กามิกินที่คงทำหน้าอมทุกข์ขณะที่กำลังกบดานอยู่ในบ้านพักสุดสวยแห่งนี้

 

“เชิญทางนี้เลยค่ะ”

ผมเดินตามสาวใช้ไปอีกฝั่งหนึ่งของสวน

กิ่งและใบถูกเล็มดูแลเป็นอย่างดี

ิความงดงามที่จอมปลอมเต็มไปหมด

 

มันก็แสดงถึงตัวตนของกามิกินผู้หลอกลวงผู้อื่นด้วยรอยยิ้มมาตลอดชีวิตได้เป็นอย่างดี

ห่วยทั้งบุคลิกภาพ ห่วยทั้งรสนิยมจริงๆ ฮ่าฮ่า

 

หลังจากเดินผ่านเส้นทางดินในสวนมาสักพัก ผมก็มาถึงทุ่งโล่งเปิดที่ดูจะปกคลุมซ่อนไว้ด้วยใบไม้ กามิกินนั่งอยู่ในสวนด้านในนั้น

 

 

“มาตรงนี้สิ ดันทาเลี่ยน”

กามิกินต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม เธอยังคงใช้รอยยิ้มเหมือนอย่างเคย ยอดเยี่ยมเสียจริง

 

 

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีผู้ชายมาเยี่ยมเยือนสวนข้า”

 

“จนถึงตอนนี้พูดประโยคนั่นมากี่ครั้งแล้วล่ะ?”

 

“อืมม ก็เกือบ 200 แล้วมั้ง~?”

 

ผมก็เดาไว้แล้วล่ะ

ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ

 

“ดูสบายๆดีนะ ข้าคิดว่าเธอจะดูเครียดกว่านี้เสียอีก”

 

“ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่จริงๆข้ากังวลมากเลยน้า”

กามิกินหัวเราะออกมา รอยยิ้มของเธอนั้นเป็นดั่งหน้ากากพลาสติกแปะทาบบนใบหน้าจนไม่อาจลอกมันออกมาได้

ผมแอบอยากรู้ขึ้นมาว่า ผู้หญิงคนนี้จะแสดงสีหน้าเช่นไร ยามที่เธอไม่พอใจ

พอนึกถึงสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเธอด้วยความรู้สึกปวดร้าวและขุ่นเคือง มันก็ทำให้ผมรู้สึกอิ่มใจขึ้นมา

 

แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

 

“ตอนนี้มีแค่เราสองคน ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์”

 

“แหม ที่รัก นี่นายกำลังจะบอกว่า เรามีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันอย่างนั้นสินะ?”

 

“ใครจะไปรู้……? มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคำตอบในตอนนี้ต่างหาก”

 

ผมตั้งใจจบลงด้วยประโยคเปิด ปล่อยให้คิดไปเอง

 

กามิกินดูจะอารมณ์ดีขณะที่ควงแก้ว เธอสวมชุดผ้าที่เปิดเผยเนื้อตัวมากกว่าชุดตามปรกติ นี่มันชุดนอนหรือยังไงกัน? ทั้งน่องและส่วนโค้งเว้าเผยมาให้เห็นอย่างเด่นชัดจากการที่เสื้อผ้าปกคลุมไว้ไม่มิด แถมผ้าก็ยังบางอีกด้วยทำให้เผยให้เห็นผิวพรรณที่ขาวของกามิกิน

 

พระอาทิตย์ก็ขึ้นไปนานแล้ว จึงดูประหลาดที่เธอยังคงสวมชุดนอนอยู่ ถึงอย่างนั้นการสวมชุดแบบนี้เพื่อต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมดูจะไร้มารยาทมากเกินไป

 

เธออาจจะตั้งใจยั่วโมโหผมด้วยชุดแบบนี้…….หรืออาจเป็นการพยายามยั่วยวน นั่นคงเป็นเจตนาของเธอมากกว่า

 

พอมาเทียบดูจากอุปนิสัย บุคลิกของกามิกินแล้ว นี่เธอกำลังพยายามยั่วยวนผมอยู่สินะ? นี่เธอพยายามจะทำให้ผมหลงไหลในความงามของเธอ?

น่าสนใจดีนี่ มาดูกันดีกว่าว่า เธอมีความสามารถในการยั่วยวนมากแค่ไหนกัน

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าพูดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน ฝ่ายที่ราบของพวกเราจะไม่แบ่งที่ของพวกเราให้เธอเลยแม้แต่ผืนเดียว”

 

“โอ้ ? นี่นายตั้งใจมาเพื่อแสดงเจตนาอย่างนั้นเหรอ?”

 

“ข้าเตือนเธอชัด ตั้งแต่การพูดคุยครั้งที่แล้ว ไปแล้ว”

รอยยิ้มจางหายไปจากปากของผม

 

“เอาจริงๆ นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณกามิกินที่ได้ให้คำแนะนำเรื่อง การประนีประนอมที่แสนจะ ‘ยอดเยี่ยม’ 

ฝ่ายที่ราบของพวกเราชนะและกำลังจะทำแบบนั้นอยู่พอดี

แต่คุณอกาเรสและพวกจอมมารไม่ใฝ่ฝ่ายใด หมดสิทธิ์ในโอกาสนั้นแล้วล่ะ”

 

“ทำไมกันล่ะหืม? ก็ในเมื่อ การแพ้ชนะนั้นเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน”

กามิกินพูดพลางม้วนพันเปียข้างด้วยนิ้ว

 

“อกาเรสอาจจะแพ้ในวันนี้ แต่ใครจะล่วงรู้ได้ล่ะว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไร

อกาเรสเองก็มีกำลังมากพอที่จะเปลี่ยนกระแส นายเองก็คงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้สินะ”

 

“ความจริงเรื่องนั้น ข้าทราบดี คุณอกาเรสนั้นเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย 

ทั่วทั้งโลกปีศาจและทวีปมนุษย์ อาจไม่มีใครในยุคสมัยนี้ วันนี้ที่จะกล้าต่อกรกับเธอ”

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังคงพูดต่อ

“ดังนั้น ผมจึงยุ่งวุ่นวายกับการกำจัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งยังไงล่ะ”

 

“หา?”

 

“วันมะรืนนี้ เซอร์มาร์บาสจะนำกองทัพของฝ่ายเป็นกลางข้ามชายแดนฮับบวร์กมา”

 

“…….”

กามิกินถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วครู่

 

“อย่ามาโกหกกันเลย มาร์บาสน่ะ ไม่มีทางดำเนินการทางการทหารเพื่อมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องอำนาจ”

 

“เธอพูดมาก็ถูก

แต่ถึงอย่างไรก็ดี นี่เป็นความแตกแยกภายในโดยเกิดขึ้นระหว่าง ‘ฝ่าย’ 

หากพูดให้ชัดๆ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจากคุณอกาเรสเพียงผู้เดียว รวมถึงจอมมารทุกตนที่อยู่ฝ่ายเธอด้วย”

ผมยิ้มออกมา

 

“จากมุมมองของเซอร์มาร์บาส กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกำลังก่อปัญหาขึ้น

นี่เป็นยุคสมัยอันใกล้ของการที่ฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขานั้น ได้ร่วมมือกันหลังจากเป็นศัตรูกันมานานกว่าพันปี

 แต่ก็ดันมีไอ้กลุ่มที่ไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ พยายามแทรกแซงทำลายยุคสมัยที่กำลังจะเกิดขึ้น…….”

 

ผมคว้าแก้วไวน์มาจากมือของกามิกิน และจิบมันก่อนจะพูดต่อ

สิ่งที่ผมดื่มลงคอไปนั้นทั้งหวานและมีรสลุ่มลึก มันเป็นไวน์คุณภาพดี ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

 

“สิ่งนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจกับเขาแน่ๆ เจ้าลิงโง่ที่มาขัดขวางการสร้างพันธมิตรระหว่างฝ่ายนั้นช่างเป็นตัวตนที่น่ารำคาญยิ่ง

มันก็ปกติแล้วไม่ใช่หรือ ว่านี่แหละเป็นโอกาสอันดีในการเหยียบเจ้าพวกนั้นทิ้ง 

เธอไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือไง?”

 

แล้วดูสิ ผมเห็นอะไร?

ดวงตาสีแดงของกามิกินกลับเย็นชาขึ้นมาทันที

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Dungeon Defense (WN) 234 การสู้รบของจอมมาร (5)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 234 การสู้รบของจอมมาร (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

* * *

 

ผมอยู่ไม่สุขแม้จะนั่งอยู่บนเก้าอี้

 

ผมเขย่าขา ขณะที่เท้าผมยังคงเคาะพื้นไม่หยุด มันเป็นพฤติกรรมที่นานๆครั้งผมจะแสดงออกมา แต่จะทำยังไงได้ล่ะ

ในเมื่อชะตากรรมของฝ่ายที่ราบนั้นแขวนอยู่บนการต่อสู้ครั้งนี้

 

ผมไม่หลับไม่นอนข้ามคืนนั่งรออยู่บนเก้าอี้และจดจ้องไปที่ลูกแก้วคริสตัลบนโต๊ะ รอการติดต่อกลับ

‘บาร์บาทอสจะมาแพ้ตอนนี้ไม่ได้’

 

ดินแดนใจกลางภาคเหนือของฮับบวร์กนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก

 

ดินแดนเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นดั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมมาร สถานที่ที่จอมมารส่วนมากต่างมีรกรากอยู่ที่นั่น……โดยห้อมล้อมไปด้วยภูเขาดำ

ปราสาทจอมมารของผมก็ด้วยเช่นกัน มันตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ในดินแดนที่รู้จักกันในชื่อ พาเกเกีย(Pagegiai)

ชื่อน่ะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก ปัญหาคือ พื้นที่แห่งนี้ตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก

 

ราชอาณาจักรทิวทันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ขณะที่ฮับบวร์กอยู่ทางใต้ ดินแดนนี้เปิดกว้างโดยสมบูรณ์สำหรับพวกมนุษย์ ฝ่ายของบาร์บาทอสนั้นอยู่ติดกับดินแดนของผม

 

หากจะมีใครสักคนเป็นศูนย์รวมความเกลียดชังอันเข้มข้นของผู้ปกครองฝ่ายมนุษย์……

ว่าง่ายๆ ผมคงจบสิ้นทันทีเลยล่ะ หากอลิซาเบธ นั้นคลั่งขึ้นมาแล้วส่งกองทัพมาบุกผม

ฝ่ายที่เป็นพันธมิตรกับผมนั้นก็จะคอยช่วยป้องกันกองกำลังเหล่านั้น ให้คิดดูอีกทีก่อนจะส่งกองกำลังมาบุก

 

ดังนั้นจึงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผมหาก อกาเรสหรือกามิกินได้ดินแดนแห่งนี้ไป ก็เห็นกันชัดๆอยู่ว่า พวกนั้นไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันกับผม

 

‘โอ้ แหม ข้าไม่สามารถจัดการกับกองทหารที่ชาติศัตรูส่งมาได้! ขอโทษด้วยน้า’

เจ้าพวกนั้นคงพูดอะไรแบบนี้โดยแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงการมาของกองทัพที่บุกเข้ามายังดันเจี้ยนของผม

แค่นึกภาพถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีอัศวินนับร้อยคนบุกเข้า ก็ทำเอาขนหัวลุกแล้ว

‘ผมอาจเสริมความแข็งแกร่งให้กับดันเจี้ยนได้ แต่มันก็ไม่อาจหยุดกองทัพได้’

บาร์บาทอสนั้นเป็นดั่งโล่ของผมจนกว่าดันเจี้ยนของผมนั้นจะสร้างเสร็จอย่างน้อย ไม่ 7 ชั้น ก็ต้อง 5 ชั้น

 

 

……การดึงสิตริออกมาใช้นั้นเป็นดั่งไพ่ใบสำคัญ ความแข็งแกร่งของสิตริเป็นที่รู้กันดีว่า เหนือกว่าพี่เบเลธ

โอกาสได้รับชัยชนะจึงเพิ่มขึ้นทันทีที่เธอมาเป็นกำลังเสริม แต่ก็แน่ล่ะ ก็ยังมีโอกาสแพ้อยู่ด้วยเช่นกัน

 

จะแพ้ หรือชนะนั้น ขึ้นกับสถานการณ์ ผมยอมวิ่งไปหากามิกิน คุกเข่า เลียนิ้วเท้าของเธอได้

ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ

 

ผมยินดีทำความสะอาดนิ้วเท้าให้เธอเป็นสิบเป็นร้อยครั้งก็ได้ หากมันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตในอนาคตได้

เอาจริงๆนะ ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากให้บาร์บาทอสแพ้เลย…….

 

(TTL : แผล่บๆนิ้วเท้างั้นเหรอ เทสดีนี่ พรี่ดัน ถถถ)

 

 

– ดันทาเลี่ยน

 

แสงสีฟ้าสะท้อนออกมาจากลูกแก้วคริสตัล นายพลเซปาร์ปรากฏกายอยู่ในลูกแก้ว ในที่สุดผมก็ได้รับการติดต่อกลับมาแล้ว!

 

– ดันทาเลี่ยน เจ้าอยู่ไหม?

 

“ครับ พี่เซปาร์! ผมกำลังรออยู่เลย”

 

แค่มองผมก็บอกได้เลยว่า นายพลเซปาร์น่ะกำลังเหนื่อยมากๆ

เขายังคงสวมเกราะอยู่ เป็นไปได้ว่า การรบเพิ่งจบลง

 

ผมรีบเข้าไปใกล้ๆกับลูกแก้วแล้วนั่งลงใกล้ๆ ผมประหม่าอยู่ลึกๆ ทำไมบาร์บาทอสถึงไม่ติดต่อผมด้วยตัวเอง?

 

บาร์บาทอสนั้นจะติดต่อผมด้วยตัวเองเสมอ ดูเหมือนเธอไม่ยอมให้คนอื่นติดต่อกับผมแทนเธอหากไม่มีเรื่องด่วน

 

นั่นก็แสดงว่า บาร์บาทอสอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถติดต่อกับผมเองไหว อาจบาดเจ็บอยู่ หายสาบสูญหรือพ่ายแพ้

……ถ้อยคำชวนสิ้นหวังผุดขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ

 

ผมถามอีกฝ่ายด้วยเสียงที่สั่นเครือ

 

“การรบ การรบเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

– อ้า พวกเราชนะ

 

พวกเราชนะ! บาร์บาทอสชนะ!

 

ผมถึงกับเอามือปิดหน้า ในอกเต้นตุบตับจนผมต้องถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ราวกับความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาตลอด4วัน หายไปในคราวเดียว 

บาร์บาทอสชนะ!

 

 

“แล้วเราชนะขาดมากไหม? ตอนนี้บาร์บาทอสเป็นอย่างไรบ้าง? เธอได้รับบาดเจ็บอย่างถึงติดต่อข้าโดยตรงไม่ได้? แล้วอกาเรสโดนจับตัวไหม? เกิดอะไรขึ้นกับจอมมารที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดคนอื่น?”

 

– ดันทาเลี่ยน เจ้าร้อนใจมากเกินไปแล้ว

 

นายพลเซปาร์หัวเราะด้วยความยินดี

 

– ใจเย็นก่อน ข้าไม่สามารถตอบคำถามทั้งหมดของนายได้รวดเดียวนะ

 

 

“……ต้องขออภัยด้วย หลายวันมานี้ข้ากังวลมาก”

 

– กองทัพของพวกเราได้รับชัยชนะ ความจริงข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลในนายต้องรีบร้อนไปนัก การรบที่ชวนวิตกจบลงแล้ว 

ทำใจให้สงบก่อน หน้าที่ของนายน่ะ ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ……เข้าใจที่ข้าจะบอกไหม?”

 

“อ่า เป็นอย่างที่ท่านพูดจริงๆ”

ผมพยักหน้า

 

ถูกแล้วล่ะ ผมเป็นผู้เจรจาเพื่อจัดการกับปัญหาความ ไม่ใช่นายพลผู้บัญชาการรบ

 

ผมสมควรจะสงบนิ่งยิ่งกว่าใครทั้งนั้น

โดยเฉพาะกับศัตรูที่เป็นดั่งงูพิษนับร้อยตัว แถมยังไร้เทียมทานอย่างจอมมารกามิกินด้วยแล้ว

 

“พี่เซปาร์ครับ โปรดเล่าถึงความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายก่อน”

สีหน้าของนายพลเซปาร์กลับจริงจังขึงขังขึ้นมา

 

– กองทัพฝ่ายเราที่มี 18,600 นาย พวกเราบาดเจ็บ 3,000  และตายไป 1,00 นาย ในการรบ

 

ในขณะที่ฝ่ายศัตรู……มีจำนวน 21,000 นาย พวกนั้นบาดเจ็บล้มตายประมาณ10,000 นาย

 

สีหน้าผมสดใสขึ้นทันที

ทหารทั้งหมด 21,000 นาย แต่บาดเจ็บล้มตายกันถึง 10,000 นาย นี่ไม่ใช่การชนะธรรมดา นี่ถือว่าเป็นชัยชนะอันท่วมท้นด้วยซ้ำ!

จะบอกว่า กองทัพของอกาเรสโดนกวาดล้างไปก็ยังได้เลย

ลมหายใจของผมหนักหอบ แต่ผมก็ต้องพยายามซ่อนความตื่นเต้นแล้วถามต่ออย่างใจเย็น

 

“อาการของผู้บัญชาการสูงสุดบาร์บาทอสเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

– ข้าเข้าใจถึงความไม่สบายใจของนายดี แต่วางใจได้ 

นายท่านนั้นเพียงแต่ใช้พลังเวทย์มากเกินไปขณะที่ปะทะกับอกาเรส

 

จึงเกิดอาการมานาไหลย้อนกลับขึ้น ดังนั้นนายท่านตอนนี้จึงกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่

 

“แปลว่า เธอไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”

 

– ถ้าพูดกันตามตรงก็ เธอมีกำลังเหลือเฟือเลยล่ะ เบเลธกับข้าต้องพยายามให้ไปนอนพักบนเตียงโดยเธอเอาแต่ตะโกนว่าจะไล่ตามอกาเรส 

 

โล่งใจแท้ ผมถึงกับถอนใจออกมา เหมือนคุณปู่ถอนใจด้วยความเป็นห่วงหลานสาว

ให้ตายเถอะ ได้ยินมาว่า ยิ่งถอนใจมากเท่าไหร่ยิ่งแก่ไวเท่านั้น

 

– โชคไม่ดีที่ พวกเราจับเป็นอกาเรสไว้ไม่ได้

 

เอาล่ะ ถึงจะไม่อาจสามารถจับเป็นอกาเรสได้ตามที แต่พวกเราก็สามารถจับเป็นพวกจอมมารที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้เป็นนักโทษ

 

จากที่นายพลเซปาร์อธิบายให้ฟัง อยู่ๆกองทัพสิตริก็โผล่มาจากด้านหลังในขณะที่ฝ่ายที่ราบกำลังตรึงกำลังศัตรูอยู่

 

ผลก็คือ พวกเขานั้นสามารถกวาดล้างทหารศัตรูได้ด้วยกลวิธีค้อนกับทั่ง

นายพลเซปาร์ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา

 

 

– ข้านั้นไม่เคยนึกฝันถึงวันที่เราจะได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายภูเขามาก่อน

ดันทาเลี่ยน, ฝ่ายที่ราบอย่างพวกเรานั้นถึงกับตกใจ นายนี่ช่างสรรหาเวทย์มนตร์ กลเม็ดเด็ดพรายมาแสดงให้พวกเราอึ้งอยู่เสมอ

แม้นายจะไม่ได้เข้าร่วมรบในครั้งนี้ แต่นายก็สร้างคุณประโยชน์ในการรบนี้ครั้งใหญ่เลยล่ะ

 

 

“ช่างน่าอายเหลือเกิน ดังนั้นวันนี้ข้าจะรีบไปเจรจาต่อรองต่อดีไหม?”

 

– เอาเลย นายท่านนั้นให้การอนุญาตเรื่องนั้นมาแล้ว พยายามเต็มที่เพื่อล่าจิ้งจอกทะเลทรายให้ได้ล่ะ

 

จิ้งจอกทะเลทรายนั้นเป็นชื่อเล่นเรียก กามิกิน เธอนั้นมีผมบลอนด์สวยงาม แต่ก็ชั่วร้ายเหมือนจิ้งจอก 

ได้เวลาที่ผมจะไปล่าจิ้งจอกตัวนั้นแล้ว

 

ผมพยักหน้า

 

ตัวข้า ดันทาเลี่ยน อ่อนแอก่อนจะแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ผมกลับยิ่งทรงพลังเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อ่อนแอกว่า

 

ผมจะทรมานจนกว่าเธอจะร้องไห้ออกมา กามิกิน รับมือให้ดีเถอะ

ผมจะให้เธอจ่ายทั้งต้นทั้งดอก กับทุกสิ่งที่เธอทำมาจนถึงตอนนี้เลยล่ะ…….

 

 

* * *

 

 

กามิกินเป็นเจ้าของบ้านพักตากอากาศในเนฟเฮม ซึ่งนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนี้

เป็นดินแดนที่มีทั้งสวน พร้อมทั้งน้ำตกอยู่ตรงกลาง หมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ใจกลางดินแดน

 

สิ่งก่อสร้างอาคารต่างๆนั้นเล็กแต่สีสันสวยงาม ดูเหมือนจอมมารระดับสูงทั้งหลายต่างมีบ้านพักอย่างนี้ในเมืองใหญ่แห่งโลกปีศาจด้วยเช่นกัน

 

ผมเดินผ่านน้ำพุที่แสนงามพลางยิ้มและนึกถึง กามิกินที่คงทำหน้าอมทุกข์ขณะที่กำลังกบดานอยู่ในบ้านพักสุดสวยแห่งนี้

 

“เชิญทางนี้เลยค่ะ”

ผมเดินตามสาวใช้ไปอีกฝั่งหนึ่งของสวน

กิ่งและใบถูกเล็มดูแลเป็นอย่างดี

ิความงดงามที่จอมปลอมเต็มไปหมด

 

มันก็แสดงถึงตัวตนของกามิกินผู้หลอกลวงผู้อื่นด้วยรอยยิ้มมาตลอดชีวิตได้เป็นอย่างดี

ห่วยทั้งบุคลิกภาพ ห่วยทั้งรสนิยมจริงๆ ฮ่าฮ่า

 

หลังจากเดินผ่านเส้นทางดินในสวนมาสักพัก ผมก็มาถึงทุ่งโล่งเปิดที่ดูจะปกคลุมซ่อนไว้ด้วยใบไม้ กามิกินนั่งอยู่ในสวนด้านในนั้น

 

 

“มาตรงนี้สิ ดันทาเลี่ยน”

กามิกินต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม เธอยังคงใช้รอยยิ้มเหมือนอย่างเคย ยอดเยี่ยมเสียจริง

 

 

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีผู้ชายมาเยี่ยมเยือนสวนข้า”

 

“จนถึงตอนนี้พูดประโยคนั่นมากี่ครั้งแล้วล่ะ?”

 

“อืมม ก็เกือบ 200 แล้วมั้ง~?”

 

ผมก็เดาไว้แล้วล่ะ

ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับเธอ

 

“ดูสบายๆดีนะ ข้าคิดว่าเธอจะดูเครียดกว่านี้เสียอีก”

 

“ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่จริงๆข้ากังวลมากเลยน้า”

กามิกินหัวเราะออกมา รอยยิ้มของเธอนั้นเป็นดั่งหน้ากากพลาสติกแปะทาบบนใบหน้าจนไม่อาจลอกมันออกมาได้

ผมแอบอยากรู้ขึ้นมาว่า ผู้หญิงคนนี้จะแสดงสีหน้าเช่นไร ยามที่เธอไม่พอใจ

พอนึกถึงสีหน้าที่บิดเบี้ยวของเธอด้วยความรู้สึกปวดร้าวและขุ่นเคือง มันก็ทำให้ผมรู้สึกอิ่มใจขึ้นมา

 

แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

 

“ตอนนี้มีแค่เราสองคน ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์”

 

“แหม ที่รัก นี่นายกำลังจะบอกว่า เรามีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันอย่างนั้นสินะ?”

 

“ใครจะไปรู้……? มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคำตอบในตอนนี้ต่างหาก”

 

ผมตั้งใจจบลงด้วยประโยคเปิด ปล่อยให้คิดไปเอง

 

กามิกินดูจะอารมณ์ดีขณะที่ควงแก้ว เธอสวมชุดผ้าที่เปิดเผยเนื้อตัวมากกว่าชุดตามปรกติ นี่มันชุดนอนหรือยังไงกัน? ทั้งน่องและส่วนโค้งเว้าเผยมาให้เห็นอย่างเด่นชัดจากการที่เสื้อผ้าปกคลุมไว้ไม่มิด แถมผ้าก็ยังบางอีกด้วยทำให้เผยให้เห็นผิวพรรณที่ขาวของกามิกิน

 

พระอาทิตย์ก็ขึ้นไปนานแล้ว จึงดูประหลาดที่เธอยังคงสวมชุดนอนอยู่ ถึงอย่างนั้นการสวมชุดแบบนี้เพื่อต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมดูจะไร้มารยาทมากเกินไป

 

เธออาจจะตั้งใจยั่วโมโหผมด้วยชุดแบบนี้…….หรืออาจเป็นการพยายามยั่วยวน นั่นคงเป็นเจตนาของเธอมากกว่า

 

พอมาเทียบดูจากอุปนิสัย บุคลิกของกามิกินแล้ว นี่เธอกำลังพยายามยั่วยวนผมอยู่สินะ? นี่เธอพยายามจะทำให้ผมหลงไหลในความงามของเธอ?

น่าสนใจดีนี่ มาดูกันดีกว่าว่า เธอมีความสามารถในการยั่วยวนมากแค่ไหนกัน

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าพูดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน ฝ่ายที่ราบของพวกเราจะไม่แบ่งที่ของพวกเราให้เธอเลยแม้แต่ผืนเดียว”

 

“โอ้ ? นี่นายตั้งใจมาเพื่อแสดงเจตนาอย่างนั้นเหรอ?”

 

“ข้าเตือนเธอชัด ตั้งแต่การพูดคุยครั้งที่แล้ว ไปแล้ว”

รอยยิ้มจางหายไปจากปากของผม

 

“เอาจริงๆ นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณกามิกินที่ได้ให้คำแนะนำเรื่อง การประนีประนอมที่แสนจะ ‘ยอดเยี่ยม’ 

ฝ่ายที่ราบของพวกเราชนะและกำลังจะทำแบบนั้นอยู่พอดี

แต่คุณอกาเรสและพวกจอมมารไม่ใฝ่ฝ่ายใด หมดสิทธิ์ในโอกาสนั้นแล้วล่ะ”

 

“ทำไมกันล่ะหืม? ก็ในเมื่อ การแพ้ชนะนั้นเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน”

กามิกินพูดพลางม้วนพันเปียข้างด้วยนิ้ว

 

“อกาเรสอาจจะแพ้ในวันนี้ แต่ใครจะล่วงรู้ได้ล่ะว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไร

อกาเรสเองก็มีกำลังมากพอที่จะเปลี่ยนกระแส นายเองก็คงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้สินะ”

 

“ความจริงเรื่องนั้น ข้าทราบดี คุณอกาเรสนั้นเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย 

ทั่วทั้งโลกปีศาจและทวีปมนุษย์ อาจไม่มีใครในยุคสมัยนี้ วันนี้ที่จะกล้าต่อกรกับเธอ”

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมยังคงพูดต่อ

“ดังนั้น ผมจึงยุ่งวุ่นวายกับการกำจัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งยังไงล่ะ”

 

“หา?”

 

“วันมะรืนนี้ เซอร์มาร์บาสจะนำกองทัพของฝ่ายเป็นกลางข้ามชายแดนฮับบวร์กมา”

 

“…….”

กามิกินถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วครู่

 

“อย่ามาโกหกกันเลย มาร์บาสน่ะ ไม่มีทางดำเนินการทางการทหารเพื่อมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องอำนาจ”

 

“เธอพูดมาก็ถูก

แต่ถึงอย่างไรก็ดี นี่เป็นความแตกแยกภายในโดยเกิดขึ้นระหว่าง ‘ฝ่าย’ 

หากพูดให้ชัดๆ สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจากคุณอกาเรสเพียงผู้เดียว รวมถึงจอมมารทุกตนที่อยู่ฝ่ายเธอด้วย”

ผมยิ้มออกมา

 

“จากมุมมองของเซอร์มาร์บาส กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกำลังก่อปัญหาขึ้น

นี่เป็นยุคสมัยอันใกล้ของการที่ฝ่ายที่ราบและฝ่ายภูเขานั้น ได้ร่วมมือกันหลังจากเป็นศัตรูกันมานานกว่าพันปี

 แต่ก็ดันมีไอ้กลุ่มที่ไม่รู้จักอ่านบรรยากาศ พยายามแทรกแซงทำลายยุคสมัยที่กำลังจะเกิดขึ้น…….”

 

ผมคว้าแก้วไวน์มาจากมือของกามิกิน และจิบมันก่อนจะพูดต่อ

สิ่งที่ผมดื่มลงคอไปนั้นทั้งหวานและมีรสลุ่มลึก มันเป็นไวน์คุณภาพดี ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

 

“สิ่งนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจกับเขาแน่ๆ เจ้าลิงโง่ที่มาขัดขวางการสร้างพันธมิตรระหว่างฝ่ายนั้นช่างเป็นตัวตนที่น่ารำคาญยิ่ง

มันก็ปกติแล้วไม่ใช่หรือ ว่านี่แหละเป็นโอกาสอันดีในการเหยียบเจ้าพวกนั้นทิ้ง 

เธอไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือไง?”

 

แล้วดูสิ ผมเห็นอะไร?

ดวงตาสีแดงของกามิกินกลับเย็นชาขึ้นมาทันที

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+