Dungeon Defense (WN) 240 การเมืองและเล่ห์กล (2)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 240 การเมืองและเล่ห์กล (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ผมโยนกระเป๋าสัมภาระไปที่มุมหนึ่งของห้อง กระเป๋าที่เต็มไปด้วยโพชั่นและเครื่องเขียนส่งเสียงดังตุ่บบนเตียง

 

 

“วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน!”

ผมกระโดดตามกระเป๋าไป แล้วก็เริ่มทำท่าขยับแขนขาเหมือนกำลังว่ายน้ำ เตียงที่เย็นกำลังดูดซับความอบอุ่นจากร่างกายผม

 

“ดูไม่งามเลยค่ะ ฝ่าบาท”

 

ลาพิสช่วยผมจัดกระเป๋าสัมภาระ เธอเชี่ยวชาญในการจัดข้าวของที่ไม่เป็นระเบียบโดยวางมันเข้าที่เข้าทางในตำแหน่งต่างๆของห้อง

เธอรู้เป็นอย่างดีว่า อะไรควรจะอยู่ที่ไหน

 

ผมพูดพลางว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์อยู่บนเตียง

 

“เธอน่ะทำให้ข้านึกถึงพี่สาวทุกครั้งเลยน้า ลาพิส~”

 

“ค่ะ แล้วท่านดันทาเลี่ยนเองก็เป็นเหมือนน้องชายที่ต้องการการดูแลอย่างมากเลยค่ะ”

 

“พูดอีกอย่างก็คือ ข้าน่ะเป็นศูนย์รวมของความน่ารักน่าเอ็นดูไปเลยใช่ไหมล่ะ ? ข้ารู้นะ”

 

ลาพิสถึงกับถอนใจออกมา เมื่อเห็นดังนั้นผมก็อดขำไม่ได้

ผมทอดตัวกางแขนกางขาอยู่บนเตียง

 

 

“ฮ่าชชชชช”

 

มีโคมไฟแชนเดอร์เลียสุดหรูแขวนอยู่บนเพดาน

ของหรูหราพวกนี้เมื่อไม่มีเดือนก่อนมันยังไม่มีด้วยซ้ำไป

 

แต่ถึงอย่างนั้น ลาพิสก็ได้จัดการบริหารการเงินจนเปลี่ยนโชคดีต่างๆที่ผมได้มาให้กลายเป็นดั่งมหาสมุทรที่ไม่มีวันเหือดแห้ง

 

ขณะที่มองแสงไฟจากโคม ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า ในที่สุดทุกอย่างก็เริ่มลงตัว

 

ผมที่อยู่ๆก็ตายไปอย่างไร้เหตุผลด้วยอุบัติเหตุ แล้วตกมาสู่โลกประหลาดแห่งนี้……จบลงด้วยสถานการณ์ที่น่าขัน ผมนั้นก็ดิ้นรนสุดแรงสุดกำลัง ผมผลักดันตัวเองมาได้ไกลถึงขนาดนี้ ผมถึงกับยอมรับกับตัวเองได้ตรงๆเลยว่า ผมทำได้ดีมาก

 

 

“…….”

ขณะที่ทอดตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆผมก็หลับตาลง

ความฝันก็แวะเยือนมาหาที่หน้าประตู

 

ในฝันนั้นมีแม่ของผมด้วย เธอมักจะเป็นกังวลเรื่องลูกชายตัวเอง บางครั้งอยู่ๆก็หัวเราะออกมา ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอก

มีลาพิส,ลอร่า,บาร์บาทอส,ไพมอน รวมถึงอลิซาเบธ นั่งในห้องนั่งเล่นด้วยกันแล้ว ต่างร่วมหัวเราะไปด้วยกัน

 

แสงอาทิตย์ที่สาดฉายห่อตัวพวกเขาไว้ ช่างเป็นภาพที่น่าตลกเหลือเกิน มันชวนขันเสียจนผมต้องหัวเราะออกมา

ในความฝันนั้นผมแบ่งร่างเป็นคนสองคน

 

ร่างหนึ่งของผมนั้นอยู่ในม่านแสงแล้วหัวเราะร่วมกันกับพวกเขา เสียงหัวเราะอันศักดิ์สิทธิ์นั้นตลบอบอวนล้อมรอบพวกเขาไว้

 

ในขณะที่ อีกร่างหนึ่งของผม

มันเป็นโลกที่แยกจากม่านหมอกพวกนั้น โดยสิ้นเชิงมันสว่างและเห็นสิ่งต่างๆได้ชัด

มันมีแต่กำแพงสีขาวอยู่ล้อมรอบตัวผม ราวกับว่าอากาศหยุดไหล มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยจิตเวช

 

ยังมีคนอื่นๆอยู่ด้วยเช่นกัน พวกเขานั่งอยู่บนเก้าอี้สีทึมตุ่น 

แจ็ค,รีฟ,ฮอร์ค ……เจ้าพวกนั้นนั่งบนเก้าอี้แล้วจ้องมองผม

 

อย่างเงียบๆ

 

พวกเขาไม่พูดอะไรเลย ขณะที่จ้องมองผม

 

 

ผมฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้นนับครั้งไม่ถ้วน รูปแบบการฝันนั้นยังคงเป็นเช่นเดิม

 

แรกเริ่มเดิมที ผมพยายามหาวิธีที่พูดคุยกับพวกนั้น แต่ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา พวกเขาเงียบกริบอย่างกับศพ ผมเลยยอมแพ้ไปแล้วก็นั่งเงียบไม่ต่างจากพวกเขา

 

แล้วไม่นานนักผมก็ตื่นขึ้นมา

“…….”

หน้าผากผมเย็นเฉียบ

 

ให้ตายเถอะ รู้สึกแย่ชิบหาย

 

ผมดันตัวเองขึ้นมาครึ่งร่างแล้วรีบควานหากระเป๋าเล็ก ผมหามันไม่เจอ

 

ผมหายาตัวเองไม่เจอ นี่ผมเอาเสื้อโค๊ทไปไว้ไหนกัน? ผมเกาหัวด้วยมือข้างหนึ่งขณะที่บ่นออกมาด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน

 

“แม่งเอ๊ย ลาพิส? ลาพิส โทษทีนะ ช่วยเอาเสื้อโค๊ทให้ข้าหน่อย?”

 

“……ท่านหลับไปแค่ 20 นาทีเองนะคะ”

ลาพิสนั่งอยู่ใกล้กับโต๊ะทำงาน

 

“นอนอีกสักหน่อยไหมคะ?”

 

“ข้านอนแค่นั้นก็พอแล้ว เจ้าก็รู้ว่า จอมมารไม่ได้ต้องการการนอนมากมายอะไรขนาดนั้น ตอนนี้เอาเสื้อโค๊ทมาให้ข้า”

 

“ท่านดันทาเลี่ยนคะ”

ลาพิสพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์

“ช่วงนี้ท่านเริ่มใช้ยาบ่อยขึ้น ท่านเริ่มดื่มไวน์ถี่ขึ้น

แล้วเร็วๆนี้ท่านคงไม่ได้ใช้ยาตัวอื่น พวกยากระตุ้นทางเพศด้วยหรือคะ? 

ดิฉันได้ยินจากคุณเจเรมิว่า คุณเริ่มบอกให้เธอสร้างยาพวกนั้นถี่ขึ้น”

 

“โอเค โอเค ข้าขอโทษ”

ผมตอบกลับไปอย่างกังวล ร่างทั้งร่างของผมเริ่มไม่สบายตัวนัก

 

 

ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเริ่มโมโหขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

 

ถึงอย่างไรก็ดี การที่ผมจะมาโมโหใส่ลาพิสนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่อาจให้อภัยตัวเองได้

ลาพิสเป็นบุคคลเดียวที่ช่วยผมปีนจากจุดต่ำสุดมาได้ไกลขนาดนี้ หากไม่มีเธอ ผมก็ไม่มีทางทำอะไรได้ถึงขนาดนี้หรอก

 

เธอนั้นเป็นคนพิเศษ ที่แม้จะไม่เคยปรากฏตัวใน <Dungeon Attack> แต่สำหรับผมเธอเป็นบุคคลที่ผมรักและทนุถนอมมากที่สุด ผมไม่อาจโกรธเธอได้ลง

 

แม่งเอ๊ย! ให้ตายเหอะ ผมพูดจริงนะ ไม่มีทางที่ผมจะโกรธลาพิส

 

ผมพยายามอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้น้ำเสียงตัวเองแสดงความโกรธออกมา ผมประคองสติให้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“ไว้ข้าจะฟังเจ้าบ่นทีหลังนะ ได้ไหม? ลาพิส ส่งเสื้อโค๊ทของข้ามาก่อน”

 

“……ท่านดันทาเลี่ยนคะ”

“เจ้าก็รู้นี่ว่า มันแย่แค่ตอนที่้ข้าเพิ่งตื่นนอนเท่านั้น…….ถูกไหม? 

พอข้าได้สักฟืด เดี๋ยวข้าก็ดีขึ้น ข้าจะกลับไปเป็นปรกติ หลังจากแค่สูดมันเพียงฟืดเดียว…….ยาที่ว่านั่นน่ะให้ผลการรักษานะ ตราบใดที่ยังใช้มันอย่างเหมาะสม ดังนั้นไม่เป็นไรหรอก”

 

ให้ตายเหอะ อาการปวดจนหัวแทบแยกนี่

 

ผมคิดว่า มันเป็นเพราะอาการคลุ้มคลั่งสลับซึมเศร้าก่อนหน้า(manic depression)

 

ถึงจะถามหาหมอที่เก่งกาจในโลกปีศาจ ก็ยังยากที่จะหาคนที่ชำนาญในเรื่อง อาการคลุ้มคลั่งสลับซึมเศร้า

มันเป็นอาการป่วยที่แปรปรวนมากจนเกินไป จนหมอหาสาเหตุไม่เจอและยอมแพ้

 

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อาการของผมก็ยิ่งหนักขึ้น

 

ทีแรกผมแก้อาการนั้นด้วยการดื่มเหล้าดื่มไวน์ พอผมดื่มไวน์ดีๆ หลังจากมีเซ็กส์ หัวผมก็ไม่ปวด และอารมณ์ก็ไม่แปรปรวนรวดเร็วทุกครั้งที่ผมทำกับลอร่า

 

 

หลังจากผมสูดฝิ่นเข้าไปที่แรงขึ้นกว่าบุหรี่ ……. 

มาตอนนี้ผมก็เริ่มใช้ยาบ้างเป็นครั้งคราว ผมไม่ได้เที่ยวแบกยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศ 13 ขวดแบบไม่มีเหตุผลหรอกน่า

 

โอ้ย นี่แม่งระยำชิบ

 

“ขอโทษนะ ลาพิส ……แต่ช่วยรีบ…….”

 

อาการปวดหัวของผมจางหายไปหลังจากที่ผมดื่มยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศแล้วมีเซ็กส์ แต่นั่นก็เป็นเหมือนก้าวสุดท้าย

ชีวิตผมจะจบลงทันทีเมื่อผมเสพติดยา ผมไม่มีทางใช้ของเลวๆพรรค์นี้กับลอร่า…….

 

 

ผมจะใช้มันก็กับคนอย่างบาร์บาทอสที่แม่งบ้าอยู่แล้ว หรือไม่ก็กะหรี่ไร้ยางอาย

แต่ถึงอย่างไรก็ดีจะให้ผมอยู่กับบาร์บาทอสหรือกะหรี่ตลอดเวลามันทำไม่ได้ ดังนั้นบางครั้ง

ผมจึงทำกับเจเรมิ…….

 

 

“นี่ค่ะ”

ลาพิสอยู่ข้างๆผมโดยที่ผมไม่ทันจะรู้ตัว ผมเชิดหัวขึ้นมองเห็นลาพิสถือไปป์ไว้ในมือเธอ

สมุนไพรแห้งที่ตอนนี้อยู่ในไปป์ เธอใส่สมุนไพรบรรเทาอาการปวดหัวลงไป

 

“ขอบใจมาก”

ผมรีบรับไปป์มาจากเธอ แล้วลาพิสก็ใช้เวทย์มนตร์จุดไฟ

 

ผมยัดส่วนปลายเข้าปากแล้วสูดเข้าไปเต็มปอด อาการปวดหัวค่อยๆจางคลายลงคล้ายกับคลื่นที่ซัดเข้าชายฝั่งอย่างแผ่วเบา 

ความกดดันและความวิตกกังวลที่ถ่วงหนักบนร่างของผม สลายไปจนหมด

 

 

“…….”

 

“…….”

ผมพ่นควันเงียบๆ

 

 

อาการปวดหัวของผมรุ่นแรงหนักมากในทันทีหลังตื่นนอน ผมมักฝันประหลาดๆและเจ้าฝันนั่นก็ทำลายอารมณ์ผม

หากมีใครมากวนอารมณ์ผมในขณะนั้น ผมจะคุมตัวเองไม่ได้

 

ตัวอย่างที่ดีก็ตอนที่เดซี่ลอบสังหารผมไม่สำเร็จ

ใครก็ตามที่มาหาเรื่องดันทาเลี้ยนตัวน้อยต้องโดนจัดหนัก

 

อืมมม ดูเหมือนสภาพทางจิตของผมเริ่มคงที่พอที่ผมจะหยอกล้อเล่นได้แล้ว

ผมหันหน้าไปลาพิสที่กำลังมองจ้องผมอยู่

เธอนั้นยังคงไม่แสดงสีหน้าเหมือนเช่นเคย แต่ผมบอกได้เลยว่า เธอกำลังเป็นห่วงอย่างมาก 

 

ผมจึงพูดขึ้นมาอย่างเริงร่า

 

“ไม่ต้องห่วงไปเลยน่า ปัญหาส่วนมากตอนนี้ก็แก้ไขได้หมดแล้ว เห็นไหม?”

 

“แต่…….”

 

“ไม่ว่าจะกองทัพมนุษย์หรือกองทัพจอมมาร พวกนั้นพ่ายแพ้กันหมดแล้ว

พวกนั้นน่ะจะต้องทุ่มเททรัพยากรที่มีทั้งหมดเพื่อสร้างกองกำลัง ยังไงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งทศวรรษ

ภัยร้ายคุกคามใกล้ๆในย่านเขตปราสาทจอมมารของข้า ก็ถูกจัดการไปแล้ว

แถมข้ายังได้รับการสนับสนุน และการหนุนหลังจากทั้งฝ่ายที่ราบ,ฝ่ายภูเขา แม้แต่ฝ่ายเป็นกลางเองก็ด้วย”

 

องค์หญิงจักรวรรดิอลิซาเบธกลายเป็นนกไร้ปีกไปเมื่อฮีโร่สองพี่น้องโดนผมคุมตัวไว้ ผมกำจัดตัวแปรความเป็นไปได้อื่นๆทุกทาง

 

“ภัยคุกคามทั้งหมดโดนถอนออกแล้ว ลาพิส

ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมทั้งหมดเป็นไปได้ก็ด้วยความช่วยเหลือจากเธอ ระหว่างทางอาจจะเละเทะไปสักหน่อย แต่ทุกอย่างบนโลกน่ะมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น”

 

“……ดิฉันเข้าใจค่ะ”

ลาพิสผงกหัวเบาๆ

“เป็นอย่างที่ท่านดันทาเลี่ยนพูดแหละค่ะ ภัยคุกคามส่วนมากถูกจัดการไปแล้ว”

 

“ใช่ไหมล่ะ?”

ผมหัวเราะออกมาจากใจ

 

“พวกเราทำเงินได้มากมายเลยล่ะ มาตอนนี้ พวกเราก็แค่เอนจอยกับชีวิตแสนสุขสบายไปอีกสักทศวรรษ หรือศตวรรษ(100ปี)”

 

อาการปวดหัวและฝันร้ายของผมก็คงจะจางคลายไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดที่เวลาเยียวยาไม่ได้…….ผมยังคงดูดไปป์ต่อไปขณะที่มองไปที่โคมไฟแชนเดอร์เลีย

 

* * *

 

 

หลังจากที่พูดคุยกันในการประชุมครั้งที่ผ่านๆมา กฏหมายใหม่ก็ประกาศใช้ในดินแดนของผม

ปัญหาก็คือ ผู้คนของผมนั้นไม่คุ้นเคยกับมัน

 

 

ที่ผ่านมาพวกนั้นแก้ปัญหากันด้วยกฏจารีตมาโดยตลอด 

ดังนั้นไม่มีทางหรอกที่พวกนั้นอยู่ๆจะยอมรับกฏหมายใหม่เพียงเพราะการประกาศ

 

ดูเหมือนพวกนั้นยังตะขิดตะขวงใจที่จะใช้มัน

 

“พวกนั้นจะไม่รวมตัวกันต่อต้านระบบกฏหมายใหม่ใช่ไหม?”

 

“ไม่ครับ ปัญหามันเป็นเรื่องความคุ้นชินน่ะ นายท่าน”

พาร์ซิพูดขึ้น

 

 

พาร์ซินั้นได้รับหน้าที่ตัวแทนของลอร์ดไปโดยสมบูรณ์

อาจจะดูโทรมไปสักหน่อย แต่พวกเราก็สร้างที่ทำการด้วยอิฐบนภูเขาพาลาทิโน่ และใช้เป็นสำนักงานส่วนกลาง

 

และแน่นอน พาร์ซิเป็นหัวหน้าฝ่ายเพียงคนเดียวที่นั่น

 

“มันเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ในเมื่อมีอะไรเก่าๆอยู่ในวิถีชีวิตพวกเขา”

 

“ชิ แกนี่ก็ยังเด็กอยู่ดี พาร์ซิเอ๋ย หากไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิต ไอ้ความพยายามในการปฏิรูปที่ทำมาก็สูญเปล่า หากต้องการจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปเลย”

พาร์ซิยักไหล่

 

“แล้วจะให้ผมทำยังไง ถ้าพวกนั้นบอกว่า เขาไม่ยอมทำตามกฏหมายใหม่เพียงเพราะเขาลืม? จะให้ผมปรับเขาไหม?”

 

“บังคับให้ผู้คนยอมรับกฏหมายใหม่ เป็นนโยบายที่ห่วยแตกที่สุด แต่หากมันเริ่มด้วยการบังคับขู่เข็ญ ผู้คนก็จะยังคงต่อต้านมันอยู่ดี เจ้าต้องให้พวกนั้นทำโดยความสมัครใจ”

ผมหันไปมองเดซี่ เด็กสาวที่นั่งฟังบทสนทนาอย่างเงียบๆ

 

“เดซี่ มีไอเดียดีๆอะไรไหม?”

เดซี่นั้นคอยติดตามพาร์ซี่เสมอและคอยเรียนรู้ ถึงความสำคัญและรายละเอียดยิบย่อยในหมู่บ้าน

 

ผมมอบฐานะสาวใช้ส่วนตัวให้กับเธอ  เธอยังคงเด็กเกินกว่าจะเรียนรู้การบริหารจัดการ แต่ผมไม่ตั้งใจที่จะผ่อนปรนให้กับคนอย่างเดซี่

 

บางคนก็พูดกันว่า ลูกสิงโตจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อผลักมันลงผา

แต่เดซี่ไม่ใช่ลูกสิงโต นางเป็นลูกไดโนเสาร์ต่างหาก ดังนั้นผมจึงผลักเธอลงผาแล้วทุ่มหินใส่ด้วย

 

เดซี่ตอบอย่างสงบนิ่ง

“ดีที่สุด หากจะรอไปก่อน”

 

“รออย่างนั้นเรอะ? เพื่ออะไรกัน?”

 

“จนกระทั่งประชาชนของท่านทำผิดพลาดครั้งใหญ่

พอมีบุคคลละเมิดกฏหมายชัดเจน ตอนนั้นเองที่เราสามารถใช้คนๆนั้นเป็นตัวอย่างแล้วประหาร การลงโทษนั้นจะเป็นการตักเตือนคนอื่นๆ”

 

เธอให้คำตอบที่น่าฟัง

 

ตามทฤษฏีแล้วไม่มีอะไรมีประสิทธิภาพยิ่งไปกว่าการที่แสดงตัวอย่างให้คนอื่นๆเห็น

มันฟังดูเป็นไอเดียที่ดีมากเสียจน พาร์ซินั้นถึงกับลูบหนวดพยักหน้าเห็นด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็พ่นลมออกจมูก

 

 

 

“โง่ชิบหาย แกนี่มันฉลาดแต่ในตำรา วิธีการแก้ปัญหาของเธอนี่มันไร้สมอง

อะไรนะ ประหารมันงั้นเหรอ? ไอ้ที่ไปเดินตามต้อยๆพาร์ซิมาหลายวันที่ได้เรียนอะไรมาบ้าง? พวกชาวบ้านนี้ชีวิตมีค่าน้อยกว่าแมลงวันสำหรับเธออีกรึไงกัน?”

 

เดซี่ถึงกับหยุดพูด

“เกิดอะไรขึ้นกับแม่หนูที่กล้าเดินออกมาข้างหน้าด้วยสองเท้า แล้วขอร้องให้ข้าไว้ชีวิตคนในหมู่บ้านล่ะ?

นี่เจ้าไม่ห่วงใยพวกเขาเพียงเพราะเขาไม่ได้มาจากหมู่บ้านเดียวกันอย่างนั้นรึ?

นังหน้าไหว้หลังหลอกเอ๊ย นี่ไม่รู้จักละอายบ้างหรือยังไงวะตอนที่เสนอหน้าไปให้พี่ชายแกเห็นน่ะ?”

 

“……หนูเชื่อว่า ท่านพ่อน่าจะชอบวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเหนืออื่นใด”

 

“เฮอะ แกมันหลงผิดไปเอง”

ผมเยาะหยัน

“ข้าก็บอกชัดอยู่ว่า เราจะไม่ใช้ความรุนแรง ข้าว่าคงมีสไลม์เหลืออยู่ในร่างกายแก้นั่นแหละแถมมันยังออกมาอุดรูหูแกด้วย 

ข้าเข้าใจแล้ว การประหารใครสักคนเป็นการเตือนนี่สำหรับแกมันไม่ใช่วิธีการที่รุนแรงสินะ”

 

“…….”

 

“โอ้ แม่คนฉลาดผู้หยั่งรู้มาอยู่กับพวกเราตรงนี้แล้ว! 

ข้าช่างได้รับเกียรติยิ่งนักที่ได้เด็กสาวแสนฉลาดมาเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า”

 

 

เด็กสาวกัดริมฝีปาก

พาร์ซิพูดกับผมแบบลังเล

 

 

“ท่านไม่โหดกับเด็กน้อยไปหน่อยเหรอครับ? ยังไงเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่นะ”

 

“พาร์ซิ เรื่องการดูแลลูกสาวของข้า ข้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง”

 

“ถ้าท่านว่าอย่างนั้น ก็เอาล่ะ ข้าไม่เกี่ยว…….”

พาร์ซิตีปากตัวเอง

เขาไม่คิดจะแทรกแซงเรื่องนี้อีกต่อไป แม้เขาจะดูหน้าตาท่าทางเป็นแบบนั้นแต่เขาก็รู้ดีว่า เมื่อไหร่ควรหยุด

“แล้ว นายท่านมีแผนการอื่นไหม?”

 

“ง่ายมาก เตรียมหินก้อนใหญ่ไว้ 3 ก้อน”

 

“ทำไมเป็นหินล่ะ? ท่านจะเอาหินไปใช้อะไร?”

พาร์ซิเอียงคอ

ผมแตะบ่าเขา

 

“จับตาดูให้ดีเถอะ เจ้าอาจจะคุ้นเคยกับงานในสวนในไร่ดี แต่ด้านนี้เป็นสิ่งที่ข้าถนัด ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่า การเมืองมันเป็นเช่นไร”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด