Dungeon Defense (WN) 241 การเมืองและเล่ห์กล (3)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 241 การเมืองและเล่ห์กล (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

* * *

 

 

ในวันต่อมา มีหินขนาดเท่ากับเด็กเล็กอยู่บนยอดเขาสูงสุดของภูเขาพาลาทิโน่

 

หินก้อนนั้นกลับประหลาดตรงที่มีผ้าไหมผืนงามห่อไว้ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างมองหินก้อนนั้นด้วยเหตุนั้นเอง

บางคนก็เฝ้าสังเกตหินก้อนนั้นดูอย่างระวังเพราะคิดว่าหินก้อนนี้อาจเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรบางอย่าง

 

แต่ไม่ว่าจะมองดูอย่างไร หินก้อนนั้นก็เป็นแค่หินธรรมดาๆก้อนหนึ่ง

ทุกคนจึงได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย

 

 

“ทำไมเจ้าของแบบนี้มันถึงมาอยู่ตรงศูนย์ประชุมใหญ่ได้ล่ะ?”

 

“อาจมีใครมาวางแกล้งไว้ขำๆล่ะม้าง? เฮ่อ ให้ตายเถอะเด็กเดี๋ยวนี้นี่นะ”

 

 

“คิดว่าใครมันจะกล้าเอาผ้าไหมราคาแพงมาวางไว้เพื่อแกล้งเล่นอย่างนั้นรึไง? อย่ามาทำเป็นล้อเล่นกับคนรุ่นใหม่เพราะตัวเองมีรอยย่นบนหน้าไปหน่อยเลย ตาแก่”

ศูนย์ประชุมใหญ่ที่ว่านั่นหมายถึง ศาลาว่าความที่ดันทาเลี่ยนสั่งให้สร้างขึ้นมา

 

จอมมารดันทาเลี่ยนเรียกสิ่งนั้นว่า ศาลาว่าความ แต่ชาวบ้านยังคงติดปากเรียกว่า ศูนย์ประชุมใหญ่ เพราะมักเป็นสถานที่ที่พวกเขามารวมตัวกันทั้งเรื่องสำคัญและเรื่องไม่สำคัญ

และเพื่อที่จะแยกแยะสถานที่ที่ชาวบ้านเคยสร้างไว้แต่เดิม จึงเรียกที่เคยสร้างกันเองมาก่อนเพื่อพิจารณาคดีว่า ‘บ้านใหญ่’

 

“มีคำสั่งเขียนอยู่บนผ้าไหมด้วย”

มีน้อยคนนักที่จะรู้หนังสือ ซึ่งโดยมากคนพวกนั้นเกิดในบ้านตระกูลของเจ้าของที่

พวกนั้นสังเกตเห็นว่า มีข้อความบางอย่างเขียนอยู่บนผ้าไหม

 

“บนนี้เขียนไว้ว่า ให้ย้ายก้อนหินนี่ไปไว้ที่ตีนเขา”

 

“หา? แล้วจะเขียนคำสั่งอะไรแบบนั้นไปทำไมกัน??”

 

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ…….”

ชายคนที่อ่านอยู่ถึงกับขมวดคิ้วจนถึงวรรคสุดท้าย

“แต่มันเขียนไว้ว่า ถ้ายกหินไปจะได้รับเงิน 100 โกลด์นะ”

 

“100 โกลด์?”

 

ทุกคนต่างเงียบลงชั่วครู่พลางมองหน้ากันไปกันมา

แล้วค่อยระเบิดหัวเราะออกมา

 

“โอ้ย อย่างที่คิดไว้เลย นี่มันแค่แกล้งแหย่กันเล่น ข้าก็บอกแกแล้วเห็นไหม?”

 

“ถ้าเผลอทำเข้านี่ต้องโดนหัวเราะเยาะใส่แหงๆเลย รู้ๆกันอยู่ว่ะ”

 

“ไปเหอะ”

 

พวกเขาต่างคิดว่า คนที่เขียนข้อความพวกนั้นลงบนผ้าไหมคงจะหัวเราะเยาะเขาแน่ๆหากมีใครเอาหินก้อนนี้ลงไปที่ตีนเขาเข้าจริงๆ

พวกเขาจึงคิดว่า สู้ถนอมแรงตัวเองไว้แล้วทำเหมือนกับว่า มันเป็นเรื่องตลกๆขำๆยังดีเสียกว่า

 

ผู้คนที่เข้าไปในหอประชุมใหญ่ก็ยังคงเมินเฉยต่อเจ้าหินก้อนนั้น

พอพวกเขาออกมาหลังประชุมเสร็จ หินก้อนเดิมก็ยังคงอยู่ที่ตรงทางเข้า

 

“แล้วไอ้งั่นที่หันมาขวางทางเข้าสิ่งก่อสร้างของฝ่าบาทกันวะ!?”

ชาวบ้านต่างด่าทอหินก้อนนั้น

 

 

“เฮ้ย ตาแก่ แกยังไม่เอาไอ้ก้อนหินนี่ออกไปอีกเหรอ จะเอาหินทิ้งไว้ที่ทำไมกัน?”

 

“อย่ามาเรียกข้าว่าตาแก่สิ แกต่างหากตาแก่ มาเรียกคนอายุ 17ปี ว่าตาแก่มันได้ที่ไหนกัน?”

พาร์ซิเดินออกมาจากหอประชุมใหญ่ตามหลังพวกเขา 

เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หัวเราะ

 

 

“ก็ถ้าแกได้ตำแหน่งสูงรองลงจากฝ่าบาท ไม่สำคัญแล้วว่าแกอายุเท่าไหร่ แกก็กลายเป็นตาแก่ไปแล้ว

 

ถึงแกจะบอกว่า ตัวเองอายุ 17 แต่หนังหน้าแกไม่ได้บอกว่าอย่างนั้นเลยว่ะ แกอยู่มานานมากเลยล่ะเจ้าเด็กแก่กว่าวัย”

 

“เลิกยุ่งเหอะน่า สิ้นปีนี้ข้าต้องหาเจ้าสาวมาแต่งงานให้ได้”

 

ชาวบ้านกลับยิ่งหัวเราะดังขึ้น

 

“เออ แกคงจะทำได้หรอก คนอย่างแกที่หน้าตาอย่างกับลูกหมีคงจะได้แต่งงานหรอก”

 

“เออ ไม่ต้องยุ่งน่า!”

พาร์ซิคำรามขึ้นมา

 

ถึงพาร์ซิจะกลายเป็นหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความสามารถแล้ว แต่จริงๆเขาก็ยังเป็นแค่เจ้าหนุ่มที่น่าแกล้งอยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้นใครๆต่างก็รู้ดีว่า ผู้หญิงที่พาร์ซิหลงรักนั้นเป็นใคร และโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน่าสิ้นหวังขนาดไหน

 

พาร์ซินั้นตกหลุมรักภริยาของฝ่าบาทจอมมาร

ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่ มันเป็นรักแรกพบ

 

เมื่อพิจารณาดูทั้งรูปลักษณ์และสถานะ มันเป็นความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้

 

เด็กสาวผู้มีผมบลอนด์และงดงามทั้งยังเป็นผู้ออกกฏหมายบังคับใช้ใหม่ในดินแดนนี้

เห็นๆกันอยู่ว่า เธอไม่เหมาะกับการเป็นภรรยาชาวนาที่รู้จักแต่การไถทุ่งทำฟาร์ม

หลายคนเลยกระซิบกระซาบกันลับหลังราวกับไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองกำลังหัวเราะเยาะเรื่องนี้อยู่

 

“ไอ้หนุ่มนี่มันโง่ชิบ คิดว่า จะมีสาวไหนกล้ามาแลในเมื่อหมอนี่มันทุ่มเทใจทั้งหมดไปให้สาวงามเช่นนั้นไปแล้วกันล่ะ?”

 

 

“เหอะเหอะ ไม่ใช่แค่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เจ้านี่มันยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากฝ่าบาทด้วย จะเอาสาวคนไหนมาเป็นเมียก็ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ายอมลดมาตรฐานตัวเองลงสักหน่อย เจ้าโง่นี่มันไม่รู้จักใช้โชคดีของตัวเองเสียบ้างเล้ย…….”

ชาวบ้านต่างถอนใจ ว่าไอ้หมอนี่มันงั่ง

 

 

“เมียข้ายังบอกเลยว่า นางน่ะเคยเห็นฝ่าบาทกับหญิงผมบลอนด์ไปตั้มกันในทุ่งข้าวสาลีสักพัก! ไม่มีใครจะแน่นแฟ้นเท่าคู่นั้นอีกแล้ว เจ้าหมอนี่ก็เลยแห้วสนิท”

 

“ข้าเคยได้ยินข่าวลือมา แต่ไม่คิดว่าเป็นจริงนะเนี่ย”

 

“อ่า เรื่องจริงว่ะ ข้าก็เห็นด้วยตาตัวเอง ฝ่าบาทนี่ก็ผู้ชายคนนึงนี่แหละ!”

พวกนั้นหัวเราะเสียงแหลม ถึงกับเดิมพันกันด้วยว่า พาร์ซิจะได้แต่งงานในช่วงเวลา 5 หรือ 7 ปีกันแน่

 

พาร์ซิ ผู้เป็นดั่งตัวแทนของลอร์ด ชายผู้มีความสามารถเหนือกว่าคนในวัยเดียวกัน ไร้ความหวังโดยสิ้นเชิง…….

 

 

“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ พาร์ซิ เอาหินขี้เหร่นี่ออกไปได้ไหม ทำไมถึงมีเจ้านี่อยู่หน้าหอประชุมใหญ่ได้ล่ะ? ถ้าอยากย้ายลงไปล่ะก็ พวกเรายินดีช่วยนะ”

“ข้าไม่แน่ใจว่า ไอ้เพี้ยนอย่างพวกแกคิดอะไรอยู่นะ แต่”

พาร์ซิยักไหล่

“นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ล้อกันเล่น หินก้อนนี้วางไว้ที่นี่ตามคำสั่งของฝ่าบาท”

 

“เอ๋?”

คนอื่นถึงกับขมวดคิ้ว

 

“ฝ่าบาทคิดอะไรอยู่เนี่ย……?”

 

“แกคิดว่า ข้าจะไปเข้าใจทุกอย่างที่ฝ่าบาทคิดหรือยังไงกัน?”

พาร์ซิบ่นออกมา

 

“ท่านบอกให้ข้าวางตรงนี้ ข้าก็วาง แค่นั้น

แม่งเอ๊ย ตอนที่ยกหินมาวางนี่ข้าคิดว่า หลังจะหักเอาด้วยซ้ำ”

 

“แกควรจะถนอมหลังไว้ดีๆก่อนจะไม่มีโอกาสได้ใช้นะ คึคึ”

 

“ไอ้ห่านี่ คิดว่าแก่แล้วจะแหย่ข้าเล่นได้เรอะ?”

 

“มันไม่มีอะไรสนุกกว่านี้แล้วล่ะ”

บางคนเริ่มครุ่นคิด ขณะที่บางคนก็ยังหัวเราะกันอยู่

 

จากมุมมองของชาวบ้านจอมมารดันทาเลี่ยนอาจไม่ใช่ลอร์ดผู้ทรงคุณธรรม แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นลอร์ดที่ฉลาดคนหนึ่ง

 

แม้จะมีด้านประหลาดๆอย่างเช่นชอบไปทำเรื่องน่าอายกับคนรักในทุ่งข้าวสาลี หรือแม้แต่ทำงานในไร่แม้ว่าตนจะเป็นลอร์ด

 

แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อถึงเวลาบริหารจัดการที่ดิน เขาก็มีทั้งวินัยและยึดหลักคุณธรรม

 

วินัยนั้นหมายถึง เขาไม่เคยต้องพูดอะไรซ้ำสองในสิ่งที่บอกกับชาวบ้าน

และหลักคุณธรรมนั้นหมายถึง ความยืดหยุ่นต่อกฏเกณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเวลาและสถานที่

 

ตัวอย่างก็เช่น ดันทาเลี่ยนยังคงรักษาสัญญาที่เขาบอกว่า จะไม่เรียกเก็บภาษีจากพวกชาวบ้าน

ทั้งที่ชาวบ้านต่างเตรียมใจยอมรับไว้แล้ว แม้เขาจะเก็บภาษีหนักๆก็ตาม

ส่วนมากที่อยู่ที่นี่จะเป็นลูกชายลูกสาวของผู้ที่หนีมาจากดินแดนอื่น พวกนี้รู้จักผู้ปกครองที่กดขี่เป็นอย่างดี

 

ในยุคสมัยนี้ความเป็นทรราชย์ผู้กดขี่มิใช่ปัญหา ทว่าหากแต่เป็นเรื่องความมากน้อยต่างหากล่ะ

 

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีความรับรู้สลักในหัวใจว่าดันทาเลี่ยนเป็นลอร์ดที่ดีคนหนึ่ง

ลอร์ดของพวกเราไม่โกหกหรอก หากเขาพูดว่าอะไร เขาก็จะทำเช่นนั้นจริงๆ นี่คือ สิ่งที่พวกเขาเชื่อจากใจ

 

‘หรือว่าท่านลอร์ดจะ…….’

 

‘ใช่เลย เขาคงวางแผนอะไรสักอย่างอยู่แน่’

 

ชาวบ้านผู้เฒ่าต่างสื่อสารกันด้วยสายตา

 

พวกเขาพยักหน้า ฝ่าบาทอาจวางแผนอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งนั่นเพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

พวกเขาเชื่อว่า การคิดคำนวนเจตนาความมุ่งหมายของลอร์ดนั้นถือเป็นการอวดดี อันที่จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้อยู่ดี

 

ผิดกับผู้เฒ่าทั้งหลายที่ถอยหลังออกไปสองก้าว พวกคนหนุ่มต่างก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 

“ถ้าฝ่าบาทยืนยันเรื่องนั้นเอง มันก็อีกเรื่องล่ะนะ”

คนหนุ่มที่ชื่อว่า แยมเมอร์ เป็นลูกชายคนที่สองของเจ้าของที่

ก็เหมือนลูกชายคนที่สองคนอื่นๆของยุคนี้ แยมเมอร์นั้นไม่ได้รับมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่

แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขากลับกลายเป็นผู้เช่าที่ดินของดันทาเลี่ยนโดยแลกกับจ่ายภาษี 30%แทน

‘ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณฝ่าบาท’

คนหนุ่มผู้นั้นสำนึกบุญคุณดันทาเลี่ยนที่มอบโอกาสอันดีงามเช่นนี้ให้กับลูกชายคนที่สองเช่นเขา

เขาคิดเช่นนั้นเสมอ ดังนั้นหากฝ่าบาทจอมมารมอบหมายคำสั่งอะไร เขาก็ยินดีที่จะทำมัน แม้มันจะดูเหมือนเป็นเรื่องตลกขำขันก็ตามที

 

“ถอยออกไปซะ ข้าทำเอง”

 

“หืม เอาจริงดิ? ไม่หรอกน่า ไม่มีทางที่ท่านจะให้ 100ิ โกลด์สำหรับการเคลื่อนย้ายหินก้อนเดียวหรอก”

 

คนที่เหลือที่ต่างไม่เข้าสถานการณ์จึงยังคงส่ายหน้า

 

แม้แยมเมอร์จะไม่เชื่อว่าตัวจะได้รับเงิน 100 โกลด์แต่เขาก็เชื่อว่า ตนสมควรทำตามคำสั่งของฝ่าบาท

 

“หากฝ่าบาทเป็นคนให้คำสั่งนี้จริงๆ หรือข้าสงสัยว่ามันเป็นเรื่องโกหกก็ตาม

ถึงอย่างไรเสีย ท่านก็อาจจะมอบผ้าไหมที่วางบนหินก้อนนี้ให้ข้าก็เป็นได้ แค่นั้นก็ถือเป็นกำไรสำหรับข้าแล้ว”

 

“เอาล่ะ เรื่องนั้นเจ้าก็พูดถูกแหละ…….”

 

“แค่ผ้าไหมผืนเดียวก็ถือว่า ดีพอแล้วล่ะ”

คนอื่นต่างพยักหน้า

ตอนนี้ก็มีผู้คนต่างจ้องมองไปที่หินด้วยแววตาละโมบ นั่นเป็นเพราะผ้าไหมเพียงอย่างเดียวนั้นก็ถือว่า มีค่ามีราคามาก

อย่างไรเสีย มาก่อนได้ก่อน ดังนั้น คนอื่นจึงได้แต่เม้มริมฝีปากยามที่แยมเมอร์ออกตัวมาก่อน

 

“ฮึบบบบ เอ้าไป!”

ทุกคนต่างเฝ้าดูแยมเมอร์ใช้แรงใช้กำลังกายทั้งหมดแบกก้อนหิน เห็นได้ชัดว่ามันหนัก

 

 

“อั่ก……! พาร์ซิ ตรงไหนของตีนเขากันล่ะที่บอกว่า โอเคน่ะ?”

 

“ท่านไม่ได้บอกแน่ชัดเรื่องสถานที่ ถ้างั้นแกไปวางตรงไหนของตีนเขาก็ได้”

 

“เอาล่ะ! แยมเมอร์ผู้ไร้เทียมต้านไปแล้วววว!”

แยมเมอร์เดินลงเข้าพร้อมกับแบกหินก้อนใหญ่ไปด้วย

 

 

คนอื่นเฝ้าติดตามแยมเมอร์ลงเขาไปด้วยความสนอกสนใจ

ชาวบ้านบางกลุ่มก็กลับไปยังหมู่บ้านหลังจากที่จบสิ้นการประชุม พวกนั้นเดินกลับไปพลางคิดอยู่ว่า ฝ่าบาทจอมมารกำลังวางแผนอะไรอยู่

 

แขนขาของแยมเมอร์ถึงกับสั่นเทาจนยากที่จะเดินได้

 

“คนทำงานในไร่ในสวนจะมาอ่อนแอแบบนี้ได้ยังไง!?”

 

“โว้ว! ช้าลงแล้วเห็นไหม! ไร้เทียมทานบ้านเอ็งสิ!”

 

คนที่เฝ้าดูอย่างตื่นเต้นเริ่มพูดล้อเลียน

เส้นเลือดผุดขึ้นที่หน้าผากของแยมเมอร์ ใบหน้าของเขาแดงเถือกด้วยน้ำหนักของก้อนหิน

เขาไม่เวลาว่างพอมาสนใจกับคำพูดวิจารณ์ล้อเลียนพวกนั้น

 

 

“เฮ่อออ แฮ่ก! พระเจ้าาา ร่างกายข้า!”

 

สี่นาทีต่อมา แยมเมอร์ก็มาถึง ตีนเขา

 

หินก้อนใหญ่ส่งเสียงดังตุบขณะที่เขาหย่อนมันลงพื้นดิน แยมเมอร์นั้นนอนราบไปกับพื้นใกล้ๆนั้น

 

“ไอ้หินบ้านี่หนักชะมัด!”

 

“ดูไอ้หมอนั่นดิน ถึงกับล้มพับไปเลยหลังแบกหินก้อนเล็กนั่น”

 

“เขาอาจจะอยากโชว์พละกำลังให้กับเมียหรือคนรักดูก็ได้มั้ง”

คนอื่นต่างก็แซวและหัวเราะเสียงดังกัน

 

 

แล้วเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสาธารณะ อย่างสมาชิกในกลุ่มมือสังหารของเจเรมิ ก็ได้ตามหลังเจเรมิมาด้วย

ทั้งกลุ่มนั้นเข้ามาร่วมอยู่ในฝูงชน หลังจากเฝ้าดูทุกอย่างบนที่ทำการจากยอดเขา

คนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนั้นไม่ใช่คนที่สมควรจะหยอกล้อเล่นด้วยได้ ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกกดดัน นี่จะมีอะไรเกิดขึ้นกันนะ?

 

เหล่าเอลฟ์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ได้นำกล่องขนาดใหญ่มา

 

“ใครเป็นคนขยับหิน?”

 

“ขะ-ข้าเอง”

แยมเมอร์รีบยืนขึ้น

 

หนึ่งในเหล่าเจ้าหน้าที่จึงตะโกน

“ทุกคนจงฟัง! ข้าได้รับคำสั่งจากในนามของท่านดันทาเลี่ยน ตอนนี้ข้าจะมอบเงิน 100 โกลด์ให้กับคนผู้นี้ตามที่ได้สัญญาไว้”

 

“อั่ก หาา อะไรนะ……?”

“นี่คือ รางวัลที่มอบจากฝ่าบาทจอมมาร จงรับไปด้วยความนอบน้อม”

ดวงตาของแยมเมอร์กลับล่องลอยขึ้นมาทันที

 

เขายกฝ่ามือที่บวมใหญ่อันเนื่องมาจากขนย้ายหิน

เจ้าหน้าที่ต่างส่งกล่องให้กับมือเขาด้วยความเคารพ

 

กล่องหีบใบนั้นใหญ่เท่าอกของเขา ผู้คนที่มารวมตัวกันรู้ดีว่า แค่ขายกล่องนั้นก็ได้เงินมาหลายโกลด์แล้ว

 

“ดังนั้น ถ้าพวกท่านพูดอย่างนี้ แสดงว่า……นี่คือ ”

 

อึก 

 

เสียงกลืนน้ำลายของแยมเมอร์ได้ยินกันทั่ว เขาเปิดกล่องออกมาอย่างใจกล้า

 

มีกองทองทับพูนซ้อนอยู่ในกล่องหีบนั้น

“อู่โหววว!?”

แยมเมอร์เผลออุทานออกมาโดยมิได้ตั้งใจ นี่เป็นความจริงหรือนี่ ไม่ใช่ฝันไปใช้ไหม?

ชาวบ้านคนอื่นต่างร้องออกมาพร้อมเพรียงกัน แม้แต่ผู้เฒ่าที่เคยรักษาท่าทางสงบเพื่อเฝ้ารอดูว่าจะเกิดอะไรก็ยังถึงกับเผลอร้องออกมาด้วย

มันคือ ทอง เหรียญทองที่ชาวนาบ้านนอกแทบไม่เคยได้เห็นมากองกันอยู่ตรงหน้าพวกเขา!

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด