Dungeon Defense (WN) 243 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (1)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 243 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

ช่วงเวลาแห่งความสงบสุขก็มาถึง

ถ้าพูดให้ชัดกว่านี้ มีแค่ฝ่ายผมเท่านั้นแหละที่สงบสุขน่ะ

 

สงครามกลางเมืองยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วทั้งทวีป ฟรานเคีย,บริททานี่,ฮับบวร์ก,โพลิช-ลิทัวเนีย…….แทบไม่มีที่ไหนเลยที่ปลอดภัยจากเปลวเพลิงสงคราม

 

ผู้คนนับล้านต้องการจะอพยพหนีออกไป

 

มีแต่ความปรารถนาที่กลืนกินชีวิตผู้คนถึงกับยอมเดินทางมาเพื่อยืนยันข่าวลือที่บอกว่า ‘ได้ยินว่า มียูโทเปียอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆกับภูเขาดำ’

คงเป็นโชคดีด้วยนั่นแหละ ที่ดินแดนของผมนั้นมั่งคั่งพอที่จะต้อนรับผู้อพยพพวกนั้น

 

 

“ดินแดนแห่งนี้อยู่ใต้การปกครองของจอมมารนะ แกรับได้เหรอ?”

 

“ข้าได้ยินมาว่า ภาษีที่นี่ถูก แถมยังไม่มีการเกณฑ์ทหารด้วย”

หัวหน้าหมู่บ้านที่ท่าทางดูสกปรกขึ้นพูดต่อหน้าสมาชิกทั้งหมู่บ้าน

“ข้าได้ยินมาด้วยว่า ฝ่าบาทปกป้องชาวบ้านจากพวกมอนสเตอร์”

 

“นั่นเป็นเรื่องจริง”

 

“โอ้ ถ้าอย่างนั้น องค์เทพีเอย ได้โปรดเยียวยาจิตวิญญาณของลูกด้วย”

 

หัวหน้าหมู่บ้านคนนั้นคุกเข่าลงเพื่อจุมพิตที่เท้าของผู้อยู่เบื้องหลังสงครามดังกล่าวที่เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีป

“หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงแล้ว มันไม่สำคัญเลยว่า ฝ่าบาทนั้นเป็นจอมมาร โอ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ ชาวบ้าน 7 คนกำลังจะหิวตายได้เร่ร่อนมาอยู่ที่นี่นแล้ว ผมขอร้องท่านเถิด ได้โปรดรับผม ครอบครัวผม และชาวบ้านของผมไว้ด้วย!”

 

ผมรับพวกเขาไว้ด้วยความเมตตายิ่ง

ทั้งยังแบ่งสรรปันที่นาที่ไร่ให้พวกเขา พร้อมกับเก็บภาษี 30%

 

ภายในหนึ่งปี จากที่นาที่รกร้างก็กลายเป็นว่าทุกที่มีผู้จับจอง ผมจึงเพิ่มภาษีอีก 10% สำหรับดินแดนที่ไม่ได้เก็บเกี่ยว ภายในครึ่งปีก็มีคนมาอยู่จนเต็ม

 

จำนวนผู้ใต้การปกครองของผมเพิ่มขึ้นจากนับร้อยคนแตะไปถึง 2,000 คน

การทำการเกษตรนั้นดีเสมอในบริเวณรอบๆภูเขาดำ

 

ภูตวิญญาณมากมายนั้นมักไปมาระหว่างที่ดินกับผืนป่า จึงไม่ค่อยมีจะทำการถางที่เตรียมดินทั้งยังมีเมฆฝนตกชกที่บริเวณช่องเขา

แต่ถึงอย่างนั้นความจริงเรื่องที่มีภูตวิญญาณมาก นั่นก็หมายถึงว่า มีมานาอยู่มากด้วยเช่นกัน……ดังนั้นดินแดนแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยมอนสเตอร์มากมาย

 

มอนสเตอร์โผล่มาได้แทบจะตลอดเวลา มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารภในการกำจัดพวกมันเท่านั้นที่อยากจะอยู่ใกล้ในบริเวณภูเขาดำ

ผมคอยปกป้องพวกเขาจากมอนสเตอร์พวกนั้นแหละ

 

แถมอัตราภาษีที่นี่ก็ยังต่ำเป็นอย่างมาก ผมแทบไม่ได้เก็บภาษีพวกเขาเพิ่มด้วยซ้ำแม้พวกเขาจะใช้กังหันลมขึ้นมาท่ามกลางทุ่งข้าวสาลี

ผมไม่ได้เก็บภาษีเพิ่มแม้พวกเขาจะเปิดตลาด

ไม่มีปัญหาใดๆทั้งนั้นตราบใดที่เขายังปฏิบัติตามกฏหมายอยู่

ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นดินแดนอันแสนสุขสำหรับใครหลายๆคน

ตอนนี้ที่นาที่ไร่ก็แจกจ่ายแบ่งสรรกันไปจนหมดแล้ว พวกเราจึงไม่ต้องการรับผู้อพยพอีก

 

เวลาผ่านไป 2 ปี ดันเจี้ยนชั้นที่ 5 ในที่สุดก็เสร็จสิ้น

 

“ตอนนี้ก็ได้เวลาเปิดปราสาทจอมมารสำหรับเหล่านักผจญภัยแล้ว!”

 

ในที่สุดผมก็สามารถจัดการตามแผน  <สร้างเมืองนักผจญภัย> ได้เสียที

 

มนุษย์ที่ยังเข้ามาออกันแน่นรอบๆภูเขาดำ แต่คราวนี้หมายถึง มอนสเตอร์พวกนั้นโดนบังคับให้เข้ามาซ่อนตัวตามคำสั่งของผม

ผมเป็นจอมมารดังนั้นมอนสเตอร์พวกนั้นจึงไม่มีสิทธิ์บ่น

ผมรับมอนสเตอร์ทั้งหมดเข้ามาอยู่ในดันเจี้ยน

ดันเจี้ยนของผมนั้นมีมานาอยู่ไม่อั้น พวกมอนสเตอร์เองก็ดีใจอย่างมากที่ย้ายเข้ามาในดันเจี้ยน

 

ทีแรกนั้นมีแต่ก็อบลิน แต่ต่อมาก็มีมอนสเตอร์จำพวก มิโนทอร์,มนุษย์กิ้งก่า,คนแคระ……ต่อมาก็เริ่มมีมอนสเตอร์ที่คล้ายปีศาจค่อยๆย้ายเข้ามาอยู่มากยิ่งขึ้น

 

ผมให้พวกที่อ่อนแอไปอยู่ในชั้นแรก ขณะที่วางกำลังพวกแข็งแกร่งไว้ชั้นล่างลงมาตามลำดับ

เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วใครที่อยากเพิ่มเลเวลก็สามารถลงไปชั้นล่างๆได้

 

เอาล่ะ ปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนก็เลยกลายเป็นห้างสรรพสินค้ามอนสเตอร์ยังไงล่ะ

จะเรียกว่า เป็นคอนเส็ปใหม่ของดันเจี้ยนก็ได้นะ

 

โดยปกติแล้ว พวกมอนสเตอร์แข็งแกร่งและอ่อนแอจะปะปน ผสมกันไปในดันเจี้ยน

พวกที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษจะได้รับอนุญาตให้อยู่ใกล้กับจอมมารที่สุด เพราะคงไม่มีจอมมารตนไหนอยากจะให้มอนสเตอร์อ่อนแอมาอยู่ตรงปากทางเข้าห้อง

ก็แหงอยู่แล้วนี่นะ พวกเขาจะอยากให้นักผจญภัยมาใกล้แล้วเจอมอนสเตอร์อ่อนแอตรงหน้าประตูไปทำไมกันล่ะ?

 

การส่งมอนสเตอร์ที่สุดแกร่งไปกวาดล้างปาร์ตี้ตั้งแต่ที่พวกนักผจญภัยยังไม่คุ้นเคยกับดันเจี้ยนเป็น วิธีการมาตรฐาน

 

แต่ถึงอย่างนั้นเป้าหมายของผมนั้นก็ผิดกับจอมมารตนอื่น

 

“จอมมารกับนักผจญภัยนั้นหาได้เป็นศัตรูต่อกันอีกต่อไปไม่”

 

จะไปกวาดล้างฆ่าล้างอีกฝ่ายทำไมกันล่ะ? ก็นักผจญภัยสวมใส่ชุดอุปกรณ์ราคาแพงมาเชียวนะ

 

พวกนั้นไม่เชื่อใจใครด้วยซ้ำ แถมยังใช้ชีวิตเหมือนอย่างคนเร่ร่อน จะไปไหนมาไหนก็รอดได้ตามแต่ดวงชะตา

คุณจะบอกว่า เจ้าพวกนี้เป็นถุงทองเดินได้ก็ไม่ผิดนัก 

 

“พวกเราน่ะเป็น ‘คู่หูทางธุรกิจ’ กันต่างหากล่ะ”

 

นักผจญภัยเองก็ได้รับเนื้อ กระดูกที่เปี่ยมไปด้วยมานาจากการล่ามอนสเตอร์ในดันเจี้ยนของผม

ผมเองก็ได้รับอุปกรณ์และเงินทองตอนที่นักผจญภัยพวกนั้นตายระหว่างล่า

เห็นไหมล่ะ? นี่มันสถานการณ์วิน-วิน ด้วยกันทั้งสองฝ่ายชัดๆ?

 

พอปริมาณมานานั้นเข้มข้นมากในดันเจี้ยนของผม มอนสเตอร์ก็ให้กำเนิดลูกหลานชุมกันอย่างกับกระต่าย

นักผจญภัยพวกนั้นก็มีหน้าที่มาคอยคุมสัดส่วนประชากรแทนผม

แถมให้อีก ยังมีหลายกรณีที่มอนสเตอร์น่ะกลับแข็งแกร่งขึ้นจากการที่กินนักผจญภัย

ก็พวกมอนสเตอร์พวกนั้นนี่แหละที่ผมแต่งตั้งขึ้นให้เป็นราชองค์รักษ์ส่วนตัวของผม ผมล่ะยืนดีกับการมาของนักผจญภัยจริงๆ

 

 

“ไม่มีที่ดินให้เพาะปลูกแล้วอย่างนั้นรึ? ถ้าอย่างนั้นจงฉวยหอกแทบอีเต้อ กลายเป็นนักผจญภัยแล้วไปล่ามอนสเตอร์ซะ! 

ชั้นแรกน่ะมีก็อบลินอ่อนแอนมากมาย ใครๆก็รอดจากมันได้น่า”

 

พวกเก่งๆอย่างก็อบลินชาแมนนั้นเลื่อนระดับลงไปอยู่ชั้นที่ต่ำกว่า

ชั้นแรกนั้นมีแต่เพียงมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดอย่างก็อบลินและสไลม์

ต่อให้เป็นชาวนาชาวไร่ถ้าร่วมมือกันก็กำจัดพวกนั้นได้

 

หากพวกเจ้าอยากมีชีวิตรอด ก็จงลงดันเจี้ยน!

 

เหล่าผู้อพยพที่มายังดินแดนของผมก็เริ่มหยิบจับอาวุธขึ้นมาทีละคน 

คนไหนที่ประมาทก็ตายไป แต่ก็มีหลายต่อหลายคนที่เริ่มดำรงชีวิตอยู่กันได้

ซึ่งก็ใช้เวลาสักพักแหละกว่าพวกนั้นจะยอมลงดันเจี้ยน

 

ฟังเฟือนขนาดใหญ่ของเศรษฐกิจการค้าของเมืองค่อยๆหมุนไปตามจังหวะ

 

โดยเริ่มจากนักเวทย์ที่เดินทางมาจากทั่วทั้งทวีป รวมถึงโลกปีศาจเองก็มาเมื่อได้ยินข่าวนั้น

“โอ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ ช่างเป็นเกียรติในชีวิตของข้ายิ่งที่ได้มาเจอกับท่าน”

 

“ไม่ต้องมาเสียเวลากับการเสแสร้งแกล้งทำตามมารยาท ข้ารู้ดีว่า พวกนักเวทย์นั้นเป็นพวกชอบก่อความวุ่นวายทั้งที่มีมารยาทสมบัติผู้ดี”

นักเวทย์คนนั้นลูบหนวดตน

 

 

“อ่า เป็นไปตามชื่อเสียงเล่าลือเล่าอ้างที่ได้พูดถึงฝ่าบาทดันทาเลี่ยนอย่างกว้างขวาง

ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะขอพูดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน พวกเราที่มาจากหอคอยจอมเวทย์ลูซาเทีย(Lusatia Mage Tower)ปรารถนาที่จะมาตั้งสาขาในดินแดนของฝ่าบาท”

 

“หึหึ”

ผมจิบไวน์

 

 

“เป้าหมายของพวกเจ้าก็คือ การมาเก็บเกี่ยววัตถุดิบจากนักผจญภัยที่เข้ามาในปราสาทจอมมารของข้าใช่หรือไม่?”

 

“โอ้ ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่องยิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่ผู้น้อยนี้จะปิดซ่อนได้เลย? ท่านกล่าวถูกต้องแล้ว”

 

“นั่นก็เพื่องานวิจัยเวทย์มนตร์อย่างนั้นหรือ?”

นักเวทย์คนนั้นยิ้มสดใสราวกับเด็กน้อย

 

“ถูกต้องแล้วขอรับ! ทั้งเนื้อแลกระดูกจากมอนสเตอร์นั้นเปี่ยมไปด้วยมานา จึงเป็นวัตถุดิบอันมีค่ายิ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการเล่นแร่แปรธาตุและทักษะเวทย์มนตร์

พวกมอนสเตอร์ทั่วไปที่กินหญ้าในทุ่งนั้นเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ……!”

เขาทำตาอ้อนวอนขอร้องผม

“โอ้เอ๋ย ท่านตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ ข้าได้ยินมาว่า ท่านนั้นมีจิตเมตตาถึงขนาดที่อนุญาตให้มนุษย์ทั้งหลายย่างเท้าเข้ามาในเขตปราสาทของท่าน

ถึงอย่างไรเสีย ค่าใช้จ่ายที่ต้องขนถ่ายวัตถุดิบพวกนั้นไปยังเมืองอื่นก็ต้องกินราคาค่างวดสูงมาก

หากเป็นเช่นนี้จะดีไหม? ให้นักเวทย์อย่างพวกเรารับซื้อสินค้าเหล่านั้นเลยในทันที”

 

“ข้าอนุญาต”

ผมพยักหน้า

 

 

ผมเองนี่แหละที่ปล่อยข่าวออกไปให้ พวกนักเวทย์หอคอยตั้งแต่แรก ให้นักเวทย์ย้ายเข้ามาอยู่ในดินแดนของผมไม่เห็นจะแย่ตรงไหน

 

เอาล่ะ กรณีนี้มันผิดกับจอมมารสุดคริ้นจ์อย่างบาร์บาทอสที่เกลียดชังมนุษย์

 

“ถึงอย่างไรก็ดี ผู้มีอายุ  สถานที่แห่งนี้ปกครองโดยข้า ดันทาเลี่ยนผู้นี้ ผู้เดียวเท่านั้น

นักเวทย์อย่างเจ้าจะไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีอำนาจเหนืออื่นใดไปกว่าพลเมืองธรรมดา

หากเจ้าหวังจะวางตัวเป็นดั่งชนชั้นสูง จงเลิกคิดซะตั้งแต่บัดนี้”

 

“เรื่องนั้นมิต้องเป็นห่วงเลยฝ่าบาท”

นักเวทย์ผู้นั้นโค้งให้โดยไม่ลังเล

 

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ การค้นคว้าวิจัยเวทย์

เพื่อการนั้น ทั้งระดับ และสิทธิพิเศษอย่างยศฐานบรรดาศักดิ์ในทางโลก ไม่ใช่สิ่งสำคัญของพวกเราเลยแม้แต่น้อย”

 

“ข้าขอถามเจ้าอีกคำถาม ข้าเป็นจอมมาร เจ้าเป็นมนุษย์ การมาเป็นพลเมืองชาวบ้านของจอมมารมันไม่กวนใจเจ้าเลยรึ?”

 

“โอ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องทางโลกเช่นนั้นหาได้สำคัญใดไม่”

นักเวทย์ผู้นั้นหัวเราะออกมา

 

“อย่างนั้นก็ดี แต่เอาเถอะ ก็ยังมีนักเวทย์จากหอคอยอื่นนอกจากเจ้าตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่เช่นกัน”

 

“ชะ-เช่นนั้นเองหรือขอรับ? โฮ่ ข้าคิดว่า เราคงไม่อาจผูกขาดวัตถุดิบพวกนั้นได้แต่เพียงลำพัง…….อ่า ไม่สิ ข้าก็คิดไว้แล้วว่า น่าจะเป็นเช่นนี้”

สีหน้าของชายแก่ดูหม่นลง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็แช่มชื่นขึ้นยามที่ผมบอกข้อมูลดีๆเพิ่มให้

 

“เอ้อ มีนักเวทย์หอคอยจอมโลกปีศาจอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”

 

“โลกปีศาจ……? จะ-จริงหรือขอรับ!? จากโลกปีศาจเนี่ยนะครับ!?”

นักเวทย์ในโลกปีศาจนั้นเก่งยิ่งกว่านักเวทย์มนุษย์ เนื่องจากธรรมชาติการถือกำเนิดขึ้นมา ปีศาจนั้นเชี่ยวชาญในการควบคุมเวทย์มนตร์มากกว่า

 

ในแง่ของพัฒนาการเวทย์มนตร์ก็ด้วย ทำให้โลกปีศาจนั้นมีระดับทักษะทางเวทย์สูงกว่าบนผืนทวีป นักเวทย์ส่วนมากต่างรู้ดีว่า หากอยากจะเรียนเวทย์มนตร์ก็ต้องพยายามอัญเชิญปีศาจจากโลกเวทย์มนตร์มาสอน

 

แต่ถึงอย่างนั้นโอกาสที่จะอัญเชิญปีศาจที่รู้วิธีการใช้เวทย์มนตร์นั้นมีน้อย น้อยมากๆ และต่อให้อัญเชิญออกมาได้ก็ยากที่ปีศาจตนนั้นจะเป็นมิตรกับมนุษย์

 

 

สำหรับนักเวทย์มนุษย์แล้ว นักเวทย์เผ่าปีศาจเป็นดั่งพายหวานๆที่หล่นมาจากท้องฟ้า เป็นดั่งตัวตนที่น่านับถือ

 

“ถะ-ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเรายินดีจะย้ายมาที่นี่เลย! ได้โปรดอนุญาตให้พวกเราย้ายมาที่นี่ด้วยเถอะ! ไม่สำคัญแล้วว่า ภาษีจะเป็นยังไง เราก็จะจ่าย! ฝ่าบาทขอรับได้โปรดเมตตาด้วย!”

 

ผู้เป็นที่เคารพสูงสุดของพวกเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ทั้งหอคอยนักเวทย์ ไม่ใช่แค่เพียงตัวตนเดียว สิ่งนั้นทำเอา นักเวทย์มนุษย์ผู้นี้ถึงกับคลั่งไปเลย

 

ผมฉีกยิ้ม

 

“เก็บภาษี30% สำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายวัตถุดิบจากมอนสเตอร์ แล้วข้าจะเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการซื้อยาและอุปกรณ์ทุกชนิดของพวกเจ้าก่อนใคร”

 

“ได้ขอรับ! ไม่สิ ของพวกนั้นหาได้สลักสำคัญกับพวกเราไม่! เรามาทำสัญญากันตอนนี้เลยเถอะขอรับ!”

นักเวทย์เฒ่าผู้นั้นถึงกับหลงลืมมารยาท เผลอหายใจหอบหนักด้วยแรงปรารถนา

 

ดังนี้แล้ว นักเวทย์หอคอยทั้ง 12 แห่ง จึงมาอยู่ที่ดินแดนของผม นั่นเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ ของการเข้าร่วมกันวิจัยเวทย์มนตร์ระหว่างนักเวทย์ปีศาจกับนักเวทย์มนุษย์

 

มีทั้งหอคอยเวทย์ที่มีความชำนาญในการเล่นแร่แปรธาตุ มีทั้งที่ชำนาญในการสร้างโลหะ นักเวทย์พวกนั้นต่างแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องระบบเวทย์มนตร์กัน บ้างก็แอบพัฒนาตามลำพัง บ้างก็เป็นแรงผลักดันให้แก่กันและกัน

 

มีนักเวทย์หอคอยบางพวกถึงกับตะลึงไปเหมือนกันตอนที่ตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ที่ทำงานเดียวกัน

 

 

“พวกนั้นบอกว่า จะเกิดผลลัพธ์บางอย่างที่มีลักษณะจำเพาะ เมื่อเอาส่วนประกอบของเวทย์ขยายผล มาประกอบกันเป็นอาวุธ!”

 

“มันอาจมีวิธีใช้เวทย์มนตร์ที่รุนแรงกว่านี้โดยไม่ต้องใช้วงเวทย์ของเจ้า!”

 

“ไม่ต้องหวงวัตถุดิบ พวกเราทำเงินได้มากอยู่แล้ว พัฒนาต่อไปไม่ต้องอั้น!”

 

พวกนักเวทย์เริ่มวิจัยกันอย่างแข็งขัน

ทั้งอาวุธและตัวยาที่ถูกพัฒนาขึ้นผมเป็นผู้รับซื้อมันเอง

ผมมีเงินทุนมากเพียงพอที่จะซื้อสินค้าทุกชนิดของพวกเขา

แน่นอนล่ะ ความมั่งคั่งของผมใช่ว่าจะไม่จำกัดเสียเมื่อไหร่ ผมจึงใช้มันไปบ้างบางส่วน แต่มันก็ไม่ได้มากมายนักหรอก

 

ผมก็ขายต่ออุปกรณ์เวทย์มนตร์ที่ซื้อมา นั้นแล้วปล่อยขายให้กับพวกเขาทั้งในทวีปและในโลกปีศาจ

 

บริษัทเคียนคุสก้าเองก็รับเงินค่านายหน้าจำนวนมหาศาลในฐานะคนกลาง แต่ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ผมทำกำไรได้ก้อนใหญ่แล้ว

 

มอนสเตอร์กลายเป็นวัตถุดิบ

 

 

มอนสเตอร์กลายเป็นวัตถุดิบ

นักผจญภัยกลายเป็นผู้เก็บเกี่ยว

นักเวทย์กลายเป็นผู้แปรรูป

และบริษัทก็ขายสินค้า

 

 

ด้วย 4 ขั้นตอนที่ว่ามานี้ทำให้ผมทำกำไรได้มหาศาล อุปกรณ์เวทย์มนตร์อันแสนรุ่ยรวยหรูหรานั้นเป็นของที่ตลาดต้องการเสมอ อนาคตจึงสดใส

ตัวอย่างก็เช่น ยาที่จะช่วยยืดอายุผู้ดื่มเข้าได้เล็กน้อย ได้ขายกันในราคาอันแพงแสนแพงในโลกมนุษย์

 

กำไรก้อนโตจากดินแดนของผมนั้นดึงดูดให้ อิวาร์ ล็อดบรอค หัวหน้าของบริษัทเคียนคุสก้านั้นมาหาผมอย่างเร็วรี่

 

 

ผมเคยปฏิเสธอิวาร์ไปเมื่อครั้งที่เจอกันล่าสุด

 

ว่าง่ายๆ การทำกำไรครั้งนี้มันยิ่งใหญ่มากพอที่จะทำให้เขานั้นลืมความน่าอับอายก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น

 

“ฝ่าบาท ได้โปรดอนุญาตให้บริษัทเคียนคุสก้าของเราเป็นนายหน้าคนกลางเพื่อขายผลิตภัณฑ์จากหอคอยเวทย์มนตร์ด้วยเถิด”

 

 

“แต่เดิมแล้ว ข้ากับเจ้าก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกันอยู่แล้ว

หัวหน้าอิวาร์ ล็อดบรอค ข้าเองก็ยินดีที่จะรับฟังคำขอของเจ้านะ ที่ข้ามาได้ถึงจุดนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย ใช่ไหมล่ะ?”

 

สีหน้าของอิวาร์ดูสดใสขึ้นทันตาตอนที่ผมพูดเช่นนั้น

 

“แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังเลือกที่จะมาหาข้าด้วย ร่างกายตุ๊กตาปลอมๆนั่น ข้าแน่ใจแล้วนะว่า ข้าเคยบอกกับเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ข้าไม่มีทางไว้ใจเจ้าได้จนกว่า ข้าจะได้เจอกับร่างจริงของเจ้าน่ะ”

 

“อะไรนะขอรับ……?”

 

“พบข้าเป็นการส่วนตัวในร่างแวมไพร์ ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าจะไม่ตอบรับคำขอของเจ้า”

พอได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของอิวาร์กลับบูดบึ้ง

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด