Dungeon Defense (WN) 245 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (3)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 245 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

“เอ่อ นี่ คือ ทุกคน คือ ไปล่าจอมมาร กับผม……!”

เด็กหนุ่มถึงกับงุนงงจนต้องพูดออกมาอีกครั้ง

 

ณ ตอนนั้นเองที่ พนักงานกิลด์ผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารแอบมาชนเข้ากับเด็กหนุ่มจากด้านหลัง

เด็กคนนั้นร้องออกมาอย่างน่าสงสารขณะที่โดนกระแทกจากด้านหลังโดยไม่คาดคิดมาก่อน จนล้มลงไป

 

“โอ้ แหม ขอโทษด้วยนะจ๊ะ! ฉันลืมมองข้างหน้าพอดี”

เด็กหนุ่มกลับเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก่อน เขานั้นมองกลับไปที่พนักงานหญิงคนนั้นทั้งที่ยังไม่คืนสติกลับมาดี

 

พนักงานหญิงยื่นแขนออกไปดึงตัวเด็กหนุ่มผู้เหม่อลอยขึ้นมาแต่พอยื่นมือไปคว้าเข้าเธอก็กลับดึงกระชาก ทำให้เขาเสียสมดุลแล้วล้มลง

ตุ่บ นักผจญภัยทั้งหลายต่างมองเขาอยู่ห่างๆและหัวเราะคิกคัก ขณะที่เห็นเด็กหนุ่มล้มลงอีกครั้ง

 

“แหมๆ นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย? ฉันที่เป็นผู้หญิงอ่อนแอแท้ๆ”

สาวเสิร์ฟคนนั้นเหลือบมองเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม

“แต่นายคนที่อ้างตัวว่าเป็นอัศวินน่ะ ฉันสนับสนุนนายนะ ถ้าหากนายกำจัดจอมมารได้เนี่ย ฉันก็จะกลายเป็นผู้หญิงที่ทำให้ฮีโร่คนนั้นล้มได้เชียวล่ะ ถูกไหม?”

 

นักผจญภัยรอบข้างต่างหัวเราะขึ้นมา เห็นกันชัดๆเลยว่า พวกเขาหัวเราะเยาะเด็กหนุ่ม

 

เด็กหนุ่มที่หน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บนั้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ

 

“ทำไมคุณต้องทำอะไรไร้มารยาทแบบนั้นด้วย……!”

 

“เธอน่ะเป็นคนทำตัวไร้มารยาทก่อนเองนะ พ่อสุภาพบุรุษตัวน้อยจ๋า ตั้งใจฟังให้ดีนะ”

สาวเสิร์ฟพูดต่อ

“ที่นี่น่ะไม่ใช่สนามเด็กเล่นสำหรับ หนุ่มน้อยที่อยากเป็นอัศวิน แล้วมาใช้ที่นี่เป็นที่เรียนรู้หรอก เข้าใจไหม?

ที่นี่น่ะเป็นที่ทำงานของพวกเรา สถานที่ที่เราใช้ชีวิต ไม่เข้าใจอีกหรือ? 

ต่อให้โลกใบนี้มันพังทลายยังไง นายก็ไม่ควรจะมาพยายามทำลายจานอาหารของพวกเรา นั่นเป็นมารยาทพื้นฐานที่ควรรู้กันอยู่แล้ว”

 

“พวกแกทำเหมือนกับว่า จอมมารนั่นทำให้พวกเราอยู่รอดได้อย่างนั้นแหละ!”

เด็กหนุ่มลุกขึ้น พร้อมตะโกนและชี้นิ้วใส่

 

“การหาทางรักษาวิถีชิวิตเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังมีอะไรในโลกที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก! กำจัดจอมมารที่กำลังทำทารุณต่อทวีปนี้

นั่นต่างหากที่เป็นภารกิจที่สำคัญในฐานะมนุษยชาติ!”

 

“หนูจ๋า ไม่มีใครสนใจจริยธรรมความเชื่อที่เธอมีหรอกนะ ต่อให้เธอจะตายตกลงไปตอนนี้ก็ตาม โลกมันก็หมุนได้ด้วยการที่มีคนอื่นมาแทนที่เธออยู่ดี”

สาวเสิร์ฟจับนิ้วมือของเด็กหนุ่มแน่น

 

“นักผจญภัยนับพันคน สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นี่ก็ต้องขอบคุณการมีอยู่ของปราสาทจอมมาร แค่ในเมืองนี้ก็มีมนุษย์นับพันคนแล้วที่คิดอย่างนั้น

หากเธอฆ่าจอมมารด้วยความยุติธรรมอันสูงส่ง พวกเราก็ตกงานไร้อาชีพ ━แล้วเธอรับผิดชอบชีวิตนับพันพวกนั้นไหวเหรอ?”

 

“…….”

เด็กหนุ่มไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

 

“พวกเราก็ย่อมต้องหัวเราะเยาะใครบางคนที่ไม่แม้แต่จะสามารถดูแลตัวเองได้ กลับมาอ้างว่า จะแบกรับภาระของคนนับพัน”

พนักงานหญิงผู้มีผมสีส้มน่ารักผู้นั้นพ่นลมหึ

“หากเธอไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำงาน ก็ไสหัวออกไปเถอะ เจ้าหนูปวกเปียกเอ๊ย ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ ที่นี่น่ะงานยุ่งตลอด 

หากจะมายืนเหม่อแบบนี้ ฉันก็ต้องชนเข้าโดยไม่ตั้งใจอยู่แล้ว”

เด็กหนุ่มไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป จึงเดินออกจากกิลด์ไป

 

นักผจญภัยคนอื่นหัวเราะเยาะซ้ำอีกครั้งขณะที่เห็นเด็กหนุ่มเดินออกไปอย่างรีบร้อน พวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับผู้เยาว์คนนั้น มันก็แค่เป็นอะไรที่น่าสนใจที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้นในแต่ละวันที่น่าเบื่อหน่าย

 

พวกเขาออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีอะไรให้หัวเราะเพราะชีวิตนั้นมันยากลำบาก นักผจญภัยส่วนมากก็เป็นแบบนั้นด้วยกันท้งนั้น 

ความกังวลที่จะต้องตายเมื่อไหร่ก็ได้นั้นทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างจริงจัง แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่า นักผจญภัยนั้นจะต้องมีทั้งชีวิตที่สดใสรื่นเริงและชีวิตที่ซีเรียสจริงจังไปพร้อมๆกันด้วย?

 

“เธอนี่ใจดีกับเด็กใหม่เสมอเลยนะ,ฟลัวร์”

นักผจญภัยคนหนึ่งพูดขึ้นขณะที่ดื่มเบียร์บาเล่

 

“ข้าก็บอกหลายครั้งแล้วว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ให้มันไปโดนเอง! 

พวกโง่นั่นก็สมควรมีอนาคตมืดมนอยู่แล้ว พวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองกำลังจะช่วยใคร ไร้สาระ ไร้จุดหมายจริงๆ”

 

หลายต่อหลายคนเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

หญิงสาววางมือเท้าสะโพกตนและถอนใจออกมา

 

 

“เลิกบ่นเป็นคนแก่ได้แล้วน่า คิดว่าโลกจะเป็นไปตามที่ใจนายอยากหรือไง? 

ที่ฉันพูดแบบนั้นเพราะอดรนทนไม่ไหวหรอก เลิกสอดปากมายุ่งเรื่องคนอื่นได้แล้วตาแก่”

 

“สาวกิลด์พวกเรานี่มีแต่พวกปากคอเราะร้ายทั้งนั้น”

นักผจญภัยยกแก้วเบียร์ขึ้น

“คึ ข้าล่ะสงสัยนัก ฟลัวร์ ทำไมเธอถึงมักใจดีกับพวกหน้าละอ่อนพวกนั้นกัน? ถึงจะบอกว่า เพราะทนไม่ไหวก็เถอะ แต่ดูก็รู้ว่าโกหก 

พอมาคิดดูแล้ว ปกติเธอน่ะไม่จุ้นจ้านกับคนอื่นเขาอย่างนี้นี่นา”

 

“…….”

สาวน้อยผู้นั้นเงียบ

 

“ฉันมีความสุขกว่าน่ะ หากไม่มีใครตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปราสาทจอมมารแห่งนั้น…….”

นักผจญภัยต่างพยักหน้าเห็นด้วย

 

ก็เป็นเรื่องเล่าที่ได้ยินกันทั่วไป คนสำคัญในชีวิตของเธอต้องตายในปราสาทจอมมาร

อาจจะเป็นพ่อแม่ คนรัก หรืออาจเป็นพี่น้อง มันเป็นเรื่องที่พบเจอได้มากมายในโลกใบนี้ เหล่านักผจญภัยจึงไม่ได้แสดงความอยากรู้อยากเห็นเท่าใดนัก

 

อย่าถามในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อยากตอบ

 

นั่นเป็นกฏที่ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตหากอยากจะอยู่รอดได้ในวงการนี้ให้นานที่สุด

นักผจญภัยสำนึกถึงเรื่องนั้นกับตัวเองแล้วก็กระดกเบียร์ต่อ

‘พอมาคิดๆดูแล้ว พ่อของนางก็เป็นนักผจญภัยมีชื่อนี่นะ’

เห็นว่า เป็นนักผจญภัยแร๊งสีแดง

 

เป็นพ่อที่น่าภาคภูมิใจอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถเลี้ยงลูกด้วย ทั้งยังประสบความสำเร็จในฐานะนักผจญภัยเพื่อช่วยกอบกู้โลกใบนี้

ฟลัวร์นั้นเคยทำงานอยู่ในเมืองข้างๆก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยเส้นสายของพ่อเธอ

 

 

‘ข้าไม่เคยได้ยินว่า นักผจญภัยระดับแดงจะตายในปราสาทจอมมารดันทาเลี่ยนมาก่อนเลย…….’

นักผจญภัยคนนั้นสงสัยแต่ก็หยุดคิดเพียงเท่านั้น

‘เอาล่ะ ช่างมันเถอะ’

นักผจญภัยผู้นั้นเป็นหน้าเก่าที่เป็นนักผจญภัยมากว่า 7 ปี แล้ว เขารู้ดีกว่าใครว่า ทางที่ดีไม่ควรใส่ใจเรื่องคนอื่นให้มันมากมายนัก

 

ัยังไงก็เอาเถอะ ผู้หญิงน่ะยิ่งมีความลับเยอะก็ยิ่งมีเสน่ห์มาก  …….

 

 

 

* * *

 

เด็กหนุ่มที่โดนขับออกมาจากกิลด์ต้องไปนอนข้างถนนในคืนนั้น

เขาไม่มีเงินเลย

“……อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่หนาว”

 

เด็กหนุ่มพาตัวเองไปซุกตัวอยู่ในอาคารร้าง

 

เขากังวลว่าร่างกายตัวเองจะป่วยไข้เพราะลมหนาว แต่เขาเองก็กังวลกับพวกโจรด้วยเช่นกัน โจรอาจย่างกรายเข้ามาใกล้ตอนนี้เขาแอบงีบหลับอยู่ เขาจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมสู้เสมอ

 

“ฮ่าาา”

เขาถอนใจออกมาเอง

 

ก่อนหน้านี้เขาไปเช็คราคาค่าที่พักมาก่อน และก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้

เขานั้นไม่มีเงินมากพอที่จะพักในโรงแรม เขาไม่มีเงินแม้กระทั่งจะขอเช่ายืมคอกม้าของครอบครัวไหน

หากเขายอมก้มหัวขอร้องอย่างไม่อาย เขาอาจจะได้พักฟรีๆสักคืน ผู้คนในเมืองนี้ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น

ถึงอย่างไรก็ดีความละอายที่ว่านั่นกวนใจเขา ชีวิตของเด็กหนุ่มมาจนถึงวันนี้เขาไม่เคยแสดงท่าทีหรืออาการขอร้องมาก่อน…….

โชคที่มีมาตลอดชีวิตตอนนี้เหลือเพียง เหรียญเงินเหรียญเดียว เขาซื้อขนมปัง4 ชิ้น ก่อนหมดตัว ไม่เหลือเงิน

เป็นที่แน่นอนว่า เขาอาจทนได้สักวันสองวัน แต่หลังจากนั้นล่ะ……?

“ไม่ ข้าไม่ควรอ่อนแออย่างนั้น”

เด็กหนุ่มผลักดันตัวเองขึ้นมา

“นี่แกทำอะไรอยู่น่ะ เฟรเดอริค สกิลเลอร์!? 

ความมุ่งมั่นของแกมันอ่อนขนาดนั้นเชียวหรือ โลกน่ะมันโหดร้ายไม่ต่างจากภูเขาเลยด้วยซ้ำ และผู้ที่พิชิตมันได้ก็จะกลายเป็นฮีโร่ ถูกไหม!?”

เด็กหนุ่มใช้คำพูดปลุกลอบกำลังใจตัวเองที่เรียนมาจากชั้นเรียน ขณะที่จ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน

นั่นเป็นท้องฟ้าผืนเดียวกันกับที่เขายังคงอยู่ในอคาเดมี่และมีฝันอันยิ่งใหญ่

เด็กหนุ่มพยายามค้นหาความหมายของเจ้าสิ่งนี้

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครร่วงหล่นลงมา ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นชนชั้นสูงหรือข้าทาส จะใช้ชีวิตเป็นอัศวินหรือนักผจญภัย ต่างมีเส้นทางเดียวที่ผู้คนสมควรเลือกเดินนั่นคือ เส้นทางแห่งความเที่ยงธรรม

 

มันไม่สำคัญว่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน สถานะปัจจุบันของเขาอาจจะเละเทะซอมซ่อ ไม่ใช่แค่นั้นเขายังต้องนอนตามริมทางสกปรก มันไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก…….

 

 

ในวันต่อมา

 

“มีใครกล้าหาญพอที่จะไปปราบข้ารับใช้จอมมารกับข้าไหม!?”

เด็กหนุ่มกลับไปที่กิลด์ฮอลพร้อมกับตะโกนเสียงดัง

 

เขารับรู้ได้ราวกับเทพีอาร์เทมีสกำลังมอบความเชื่อมั่นให้แก่เขาหลังคืนนั้น คราวนี้เขาเปลี่ยนจากกำจัดจอมมารกลายเป็นกำจัดข้ารับใช้จอมมารแทน

 

“…….”

พนักงานหญิงคนนั้นมองไปยังเด็กหนุ่ม

 

เธอไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเธอนั้นชาชืดหากเทียบกับเมื่อวาน เธอไม่สนใจเด็กหนุ่มและยังคงเสิร์ฟเบียร์บาร์เล่ให้กับนักผจญภัยต่อไป นักผจญภัยกลุ่มเดิมที่อยู่ด้วยเมื่อวานก็ได้แต่พ่นลมหึออกจมูกขณะรับเบียร์มา

“เห็นไหม เป็นอย่างที่ข้าพูดไหมล่ะ? มันสำนึกที่ไหน”

 

“พูดอะไรโง่ๆอีกคำ ฉันจะกระทืบหำนายให้หักครึ่งเอง”

 

“ฮึก!”

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะไม่มีใครตอบรับเสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม

วันนี้เด็กหนุ่มคนนั้นได้แต่กลับไปที่ซอยเดิมโดยที่ไม่ได้อะไรกลับไป

 

วันต่อมา

 

“มีผู้กล้าที่อยากไปฆ่ามอนสเตอร์ชั่วร้ายกับข้าไหม!?”

เด็กหนุ่มยังคงมั่นใจ แม้สีหน้าจะซีดลงกว่าทุกที นักผจญภัยคนอื่นต่างคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้วจึงไม่แม้แต่จะหันมาสนใจเขา

 

อันที่จริงพวกเขาพนันกันด้วยซ้ำว่า เด็กหนุ่มนี่จะทนไปได้นานสักแค่ไหนกัน

 

วันต่อมา, วันต่อๆมา, และวันต่อๆมา…….

ผ่านไปสี่วัน

เด็กหนุ่มยังคงท้องกิ่วด้วยความหิว

 

“…….”

เขาหิวเป็นอย่างมาก

ร่างทั้งร่างของเขานั้นอ่อนล้าหลังจากเดินทางไปกลับที่นี่ แถมความหิวยังพุ่งถึงขีดสูงสุดจนยากที่อัศวินในอนาคตอย่างเขาจะทนไหว

 

นับเป็นโชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์

 

ผู้คนทั้งหลายจะได้รับซุปใหม่ข้นๆในทุกวันจันทร์ ดังนั้น ซุปที่แสนจะเย็นชืดและจางลงในทุกวัน วันอาทิตย์จึงเป็นวันที่น้ำซุปนั้นจืดชืดที่สุด

 

ขอทานมักจะมาขอซุปในวันจันทร์ แต่ในวันอาทิตย์จะได้ซุปแน่ๆคนละหนึ่งชาม

 

“ข้าขอซุปสักชามได้ไหม……?”

เด็กหนุ่มใช้วันทั้งวันไปยังหมู่บ้าน 6 แห่งไม่ซ้ำ

 

เหตุผลนั้นง่ายมาก เขากลัวจะอับอายยามที่ต้องขอทานในหมู่บ้านเดิมซ้ำ ดูผู้คนจะรำคาญจึงจำใจมอบซุปอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“ทำไมเด็กเดี๋ยวนี้มีแขนมีขาครบกลับมาทำเรื่องแบบนี้กันนะ……เฮ่อ ”

โดยปกติแล้วซุปจืดๆนั้นมีไว้สำหรับคนบางพวก ทุกหมู่บ้านต่างมีเด็กกำพร้า แต่หากไม่มีเด็กกำพร้าในหมู่บ้านก็จะมีพวกเด็กกำพร้าตามถนน ‘วันอาทิตย์ที่แสนสุข’จึงมีไว้สำหรับเหล่าเด็กกำพร้าพวกนั้น

 

ดังนั้นพวกเขาจึงประหลาดใจที่เห็นเด็กหนุ่มที่ยังร่างกายแข็งแกรงดีแต่มาซุป โดยเห็นกันชัดๆแล้วว่า เจ้าหนุ่มนี่ไม่ใช่ลูกกำพร้า

เด็กหนุ่มไม่อาจทนความอับอายได้อีกต่อไป

แม้เขาจะหาพรรคพวกไม่ได้ แต่เขาก็เข้าไปในปราสาทจอมมารด้วยตัวเอง

มีก็อบลินเข้ามาโจมตีทำร้ายเด็กหนุ่ม มอนสเตอร์ที่ดุร้ายนั่นเขารู้ว่าเป็นมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดแล้วในหมู่มอนสเตอร์ด้วยกัน

แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็เกือบเสียแขนไปข้างหนึ่งขณะที่จัดการกับก็อบลินสองตัว

“ฮ่าา ฮึกกก……ฟู่วว”

สิ่งที่เรียนมา กับความเป็นจริงนั้นต่างกันลิบ

หากการรับมือกับก็อบลินสองตัวยังยากขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้นหากเป็นก็อบลินสามตัวล่ะ?

คลื่นความหวาดผวาสาดซัดใส่เขา ปราสาทจอมมารไม่ใช่ที่ที่ควรไปเดินเล่นตามลำพัง เด็กหนุ่มลากศพก็อบลินตัวหนึ่งขึ้นหลังแล้วรีบกลับไป

 

เขาไม่เคยเรียนรู้การชำแหละมอนสเตอร์มาก่อน เขาจึงหอบศพก็อบลินขึ้นหลังมาก่อนจะหนีไป

 

เด็กหนุ่มเอาศพหนึ่งให้กับคนชำแหละ และได้เงินมาหนึ่งเหรียญเงิน

เขาถึงกับสบถออกมา แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่รู้ราคาจริงของมัน เขาจึงซื้อขนมปังแถวหนึ่ง ชีสก้อนหนึ่งและซุปด้วยเงินหนึ่งเหรียญ

 

อาหารนั้นอร่อยเสียจนเขาน้ำตาไหลออกมา

 

วันต่อมา

 

เด็กหนุ่มกลับไปที่กิลด์ฮอลและพูดอย่างระวัง

“ข้าคิด 1 เหรียญเงิน ต่อก็อบลินหนึ่งตัว 1 เหรียญเงินต่อก็อบลินหนึ่งตัว……!”

เสียงของเขาอาจจะแปลกไปเล็กน้อย แต่มันก็ถูกกลืนไปท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายในอาคารนั่น

 

“มีใครอยากจะจับก็อบลินไหม? 2  เหรียญเงินต่อก็อบลินหนึ่งตัว ข้ารู้วิธีชำแหละมันด้วยนะ”

 

“ข้าก็บอกแกแล้วไงวะ ว่าคนละหนึ่งโกลด์น่ะมันบ้าไปแล้ว!”

 

“เฮ้ย นี่ข้าพบว่าหอคอยนักเวทย์น่ะไม่ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจน่ะ แม่งก็เชื่อไม่ได้ทั้งคู่เลยว่ะ!”

 

เหมือนดังเช่นทุกวัน ผู้คนต่างหากงานทำเหมือนทุกที

พนักงานหญิงถึงกับยิ้มออกมาขณะที่มองเด็กหนุ่มอยู่ห่างๆ

 

“ตอนนี้เขารู้จักการพูดดีๆแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

คำส่งท้ายนักเขียน

คงจะพอมีคนจำได้บ้างแหละว่า ฟลัวร์ คือ เด็กสาวคนที่ ‘นักผจญภัยตาเดียว’ หัวโล้น ฟาเบียน หลงรัก

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด