Dungeon Defense (WN) 250 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (8)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 250 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (8) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

การหลอกกามิกิน มิได้เป็นอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากสิ่งที่จำต้องกระทำ

อันที่จริงมันก็ไม่ได้น่าประทับใจอะไรนักหรอก ผมก็แค่มอบบทเรียนให้กับนักเดทผู้เชี่ยวชาญแค่นั้นแหละ

 

การที่ได้เห็นผมคว้านไส้ตัวเอง อาจเป็นปมฝังใจสำหรับเธอ ทั้งเลือด เศษแก้วบนพื้น รวมถึงเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวด…….

 

ต่อจากนี้เธอจะไม่พยายามครอบงำคู่ขาของเธออีกในอนาคตเพราะประสบการณ์กระทบกระเทือนทางใจครั้งนี้

เมื่อเป็นดังนี้แล้วผมจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์ครั้งใหญ่ในฐานะคู่ขาของกามิกิน 

 

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า การทำตัวดีเกินไปบางทีก็เป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายใจ แต่การใส แต่การหันมามองที่ผมนั้นมีแต่เรื่องดีๆอย่างเดียว

 

(TTL : เบิ้ดคำสิว่าว! [หมดคำจะพูด] )

 

“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?”

ตอนที่เห็นผมตื่นขึ้นมา กามิกินทำเหมือนอย่างเคย หากดูเผินๆก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

หรือผมควรจะบอกว่า เป็นอย่างที่คาดไว้แล้วดีนะ? สภาพจิตของเธอนั้นไม่เสถียรเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ปิดซ่อนมันได้เป็นอย่างดี 

 

ผมจึงทำตัวเหมือนปรกติ

 

“อั่ก……!”

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใบหน้าของผมบิดด้วยความเจ็บปวดและเผลอจับไปที่ท้องด้วยความเจ็บปวดขณะกำลังกินซุป

กามิกินทำช้อนเงินหล่นด้วยความตกใจ ใบหน้าของเธอซีดลงทันที

 

“ไม่มีอะไรหรอก”

 

ผมยิ้มอย่างอึดอัด ซึ่งนั่นดูออกได้ง่ายว่า ผมกำลังฝืนยิ้ม

 

“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ คุณกามิกิน”

 

ช่าย อย่างนั้นแหละ

 

กามิกินน่ะไม่สามารถใส่หน้ากากได้ตลอดทั้งวี่ทั้งวันหรอก หน้ากากปลอมๆที่เธอสร้างขึ้นอย่างยากเย็นพังทลายลงด้วยแรงอันน้อยนิด

 

ตอนมื้อเที่ยงนั้น กลับไม่มีมีดวางอยู่บนโต๊ะอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่มีเครื่องเงินอื่นอยู่ครบ

 

น่าสนใจดีจริงๆ ดูเหมือนเจ้าวัตถุที่ดูคล้ายมีดจะคอยย้ำเตือนบาดแผลในใจของเธอไปเสียแล้ว

 

ถ้าเป็นแบบนี้ เธอคงจะยากเข้าสู่สงครามในอนาคตเป็นแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า

 

 

 

ผมบอกเรื่องนี้กับบาร์บาทอสในภายหลัง

 

บาร์บาทอสน่ะเป็นคนที่เข้าใจอุปนิสัยของผมเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ปิดซ่อน บาร์บาทอสเป็นพวกที่เกลียดชังมนุษย์ขนาดที่ว่า มักจะพูดอยู่บ่อยครั้งว่า ให้ลูกหลานพวกมันฆ่าพ่อแม่มันทิ้งซะ 

 

เอาเถอะ ในบางแง่เราก็เป็นผู้ใหญ่พอๆกันนั่นแหละ

 

“ชิ ”

บาร์บาทอสในลูกแก้วคริสตัลเดาะลิ้น

“ใครจะไปคิดล่ะ ว่าจะมีวันที่ข้ารู้สึกสงสารกามิกินขึ้นมา  ชีวิตมันไม่แน่นอนชะมัด”

 

“ใช่ไหมล่ะ? แม้นางจะมีชีวิตอยู่มานาน แต่กลับไม่เคยมีความสัมพันธ์ปกติดีๆกับใครเขามาก่อนเลย? เหอะๆ”

 

“……เออ ช่าย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้ารู้สึกเห็นใจหรอก”

บาร์บาทอสดึงไปป์ออกมาดูด

 

“ข้าถามแกอย่างดิ ไม่รู้สึกแย่ที่ไปหลอกกามิกินบ้างรึ?”

 

“อื๋ม? ทำไมต้องรู้สึกผิดล่ะ? มันเป็นความผิด ของคนที่โดนหลอกเองต่างหาก”

 

“…….”

ตอนนั้นเอง ที่ใบหน้าของบาร์บาทอสกลับปรากฏรอยย่นขึ้นมาเยอะมาก ซึ่งผมไม่สามารถนิยามความหมายของมันด้วยถ้อยคำใดๆได้

 

 

ผมออกจะซื่อตรงจริงใจขนาดนี้ จำนวนมนุษย์ที่กามิกินฆ่าล้างไปอย่างไม่ใส่ใจเนี่ยน่าจะเกิน หมื่นคนด้วยซ้ำ 

 

แล้วมันผิดตรงไหนที่จะมอบประสบการณ์เจ็บปวดเล็กๆน้อยๆให้กับนางร้ายแบบนั้นล่ะ?

 

คนที่โดนหลอก ต่างหากที่ผิด

 

 

* * *

 

 

สำนักงานใหญ่บริษัทเคียนคุสก้า

 

อาคารแห่งนี้มักคาคั่งไปด้วยลูกค้ามากมาย ในฐานะที่ไม่มีสินค้าใดที่บริษัทจะจัดหามาไม่ได้ ไม่ว่าจะมาจากโลกปีศาจหรือทวีปมนุษย์ พวกพนักงานต่างยินดีต้อนรับลูกค้าทุกประเภทไม่ต่างกัน

 

พ่อค้าตัวน้อยๆต่างโมโหโทโสขณะที่พยายามจะต่อรองราคากับพนักงานในบริษัท

 

ทางเข้าที่ทำด้วยหินอ่อนในสไตล์ของสาธารณรัฐโบราณ นอกจากจะสูงชะลูดแล้ว ยังตกแต่งภายในด้วยกอธิคสไตล์ทำให้ดูเหมือนเพิ่งสร้างขึ้นมาไม่นาน

 

สมชื่อสมราคากับที่กล่าวอวดอ้างว่า เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกปีศาจ

สถานที่แห่งนี้นี่เองที่เป็นเป้าหมายในการมาเยี่ยมเยือนเนฟเฮม เพื่อพบกับอิวาร์ ล็อดบรอคและได้เห็นร่างจริงของเธอ

 

แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เกิดปัญหาอย่างหนึ่ง

การมาถึงที่นี่มันง่ายมากแค่เพียงเดินออกมาจากบ้านพักของกามิกิน แต่ผมกลับไม่แน่ใจว่า จะมาพบอิวาร์ ล็อดบรอคได้ยังไงกัน

คือ ผมลืมเอาลูกแก้วเวทย์มนตร์ที่ผมใช้เพื่อติดต่อโดยตรงกับอิวาร์ มาจากปราสาทจอมมารของผมน่ะสิ

 

 

“อ้าาา ไม่อยากจะกลับไปปราสาทหลังจากมาไกลขนาดนี้แล้วด้วยสิ…….”

ผมเจอปัญหาเข้าแล้วล่ะ

 

มันจะดีมากเลยนะ หากมีโต๊ะรับลูกค้าที่ว่างอยู่บ้าง แต่ที่ผมเห็นคือ หมู่มวลพ่อค้ามากมายออกันอยู่เต็ม

ผมไม่คุ้นเคยเท่าไหร่กับอาคารรูปแบบนี้ คุณคงคิดว่ามันงี่เง่ามากสินะ ที่ผมไม่คุ้นเคยกับสำนักงานใหญ่ของบริษัททั้งที่ผมแลกเปลี่ยนสินค้ามานับร้อยครั้งแล้ว

 

ผมไม่รู้จะทำอะไรจริงๆก็เลยตัดสินใจถามพนักงานที่นี่

 

“เฮ้ นี่ นายน่ะ ขอถามหน่อยสิ ข้าจะไปพบ อิวาร์ ล็อดบรอคได้ยังไง?”

 

“อะไรนะ?”

พนักงานคนนั้นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ

 

 

“……เฮ่อ เจ้าหมอนี่มันสติไม่ดีสินะ?”

เขาพ่นลมหึออกจมูกก่อนจะหันไปทำงานตัวเองต่อ

 

 

เอาล่ะ ผมก็ไม่ได้ขัดข้องใจอะไรนะ เขาคงไม่รู้จริงๆแหละว่าผมเป็นจอมมาร หากเทียบกับบาร์บาทอสและไพมอน ใบหน้าผมไม่ได้ออกสู่สาธารณะสักเท่าไหร่เลย 

 ‘ไอ้หมอนี่แหละ ที่ไปเที่ยวควงจอมมารหญิงมากหน้าหลายตา’ 

นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนมากรู้เกี่ยวกับผม

 

ผมไม่ปล่อยให้มันกวนใจ ก็เลยไปถามคนต่อไป

 

“เธอตรงนั้นน่ะ ข้าไม่ค่อยรู้ตำแหน่งที่ตั้งในอาคารนี่ พอรู้ไหมว่า อิวาร์ ล็อดบรอคอยู่ที่ไหน?”

 

“ทางออกอยู่ทางนี้ค่ะ”

พนักงานหญิงคนหนึ่งชี้ไปยังทางออกอาคารอย่างสุภาพ เธอเดินก้าวเท้าสั้นๆเร็วๆ

 

 

อืมมม

 

“อิวาร์ ล็อดบรอคหรือคะ? คุณคงไม่ได้กำลังพูดถึงหัวหน้าของพวกเรา ใช่ไหมคะ?”

 

“ไม่น่าเชื่อนะคะ ทั้งที่ดูภายนอกก็ปกติดี แต่ดันเป็นคนบ้าเสียได้? คิกคิก”

 

“มากวนทำไมวะ ไม่เห็นเหรอว่า กำลังยุ่งอยู่!”

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

 

พวกพนักงานทั้งหลายต่างสาปส่ง หรือไม่ก็เพิกเฉยตอนที่ผมเข้าไปถาม ใช่ว่า ผมจะไม่เข้าใจพวกเขาที่ไหน

 

สำหรับพวกเขาแล้ว อิวาร์ ล็อดบรอค นั้นไม่ได้เป็นแค่ CEO ในบริษัทที่พวกเขาทำงานให้ แต่เขาน่ะเป็นดั่งเทพแห่งวงการธุรกิจระดับโลกที่คร่ำหวอดในวงการมานานนับร้อยปี

 

มันก็คงเหมือนนักท่องเที่ยวไปยังนครรัฐวาติกันแล้วก็ถามว่า ‘นี่ๆ ผมจะไปพระสันตปาปาได้ที่ไหนกันเหรอ?’

ูผู้คนที่นั่นก็คงจะมองด้วยความประหลาดใจ นี่ก็คงไม่ต่างกันนัก เว้นก็แต่ผมที่าเข้าใจว่า สถานการณ์มันเป็นยังไงก็เท่านั้น

 

ผมยืนอยู่ศูนย์กลางตลาดการค้าที่วุ่นวายราวกับคนติดเกาะ

 

“……แล้วข้าควรจะทำยังไงเนี่ย?”

หรือผมควรจะโชว์เขาตรงท้ายทอยของผมให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่า ผมเป็นจอมมารคนหนึ่งนะ? ไม่เอาดีกว่า ผมยังมีศักดิ์ศรีในฐานะจอมมารอยู่……. 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ผมมีแค่เขาเดียว หากแต่ยังเป็นเขาที่เล็กมากสำหรับจอมมาร

 

ในหมู่จอมมารด้วยกัน ขนาดเขาก็เทียบได้กับขนาดหำนั่นแหละ ที่ผู้ชายชอบวัดกัน 

ที่คุณจะนับถืออันที่ใหญ่กว่าและไม่สนใจอันที่เล็กกว่า เขาของผมนั้นเล็กจนเส้นผมของผมยังปิดมันมิด

 

 

“ข้าไม่อยากโชว์เขาเลยจริงๆ…….”

น่าสิ้นหวังชะมัด

 

ผมยังคงหาทางต่อไปด้วยความหวังว่า จะโชคดีพอที่จะเจอคนใจดีบ้าง

 

นอกจากจะไม่เจอคนใจดีแล้วยังเจอคนหัวร้อนขี้วีนง่ายด้วย หนึ่งในคนที่ผมทักเรียกยามมาไล่ผมออกไป และบอกว่า ผมเป็นคนบ้า

ออร์ค 3 ตัวเลยมาหิ้วผมไป

 

 

“ท่านจะมาทำแบบนี้ที่นี่ไม่ได้”

ออร์คที่เป็นหัวหน้าถึงกับขู่คำราม ขณะที่มองผม น้ำเสียงของเขาจะบอกกลายๆว่า หากมาวุ่นวายกับเขาได้มีเรื่องแน่

“ฟังนะ ข้าได้รับคำเชื้อเชิญจากอิวาร์ ล็อดบรอค ข้าเป็นจอมมาร”

“เหอะ ดูเหมือนลูกค้าผู้หยาบคายท่านนี้ฟังไม่รู้เรื่อง ลากเขาออกไปข้างนอก”

 

“หาาาา…….”

ผมถึงกับเกาหัว

 

 

“จริงๆก็ไม่อยากพูดอย่างนี้หรอก แต่พวกนายจะเสียใจทีหลังกับการทำแบบนี้นะ พูดจริงนะ”

 

“หึหึ”

รปภ.ออร์คถึงกับหัวเราะจนเห็นฟัน

 

“ข้าจะเสียใจมากกว่าถ้าไม่ลากลูกค้าแบบแกออกไป เอาล่ะ ข้าไม่อยากใช้ความรุนแรง ออกไปดีๆเถอะ จะได้ไม่ต้องผิดใจกัน”

 

“อืมม”

 

ถ้าจำเป็นจริงๆ ผมก็สามารถใช้พลังจอมมารในการบังคับให้พวกนี้ฟังได้ แต่ผมไม่อยากทำอย่างนั้นเลย

 

มันเป็นอะไรที่บาร์บาทอสเฝ้าบอกผมอยู่เสมอทุกครั้งที่มีโอกาสว่า ให้รู้จักรักษาศักดิ์ศรีไว้บ้าง

 

ีร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของผมคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ถึงน่าตลกแต่มันเป็นเรื่องจริง ผมเป็นคนรักของทั้งบาร์บาทอส,สิตริ กามิกิน และยัง……. ถ้าชื่อเสียงของผมตกต่ำลง ชื่อเสียงพวกนางก็ด้วย

 

จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าข่าวแพร่ออกไปว่า จอมมารนั้นใช้พลังควบคุมคนดีๆที่อยู่ในตลาดแลกเปลี่ยน? 

 

เนฟเฮมนั้นเต็มไปด้วยสังคมที่หลากหลาย ไม่ได้มีแต่มอนสเตอร์ดุร้ายป่าเถื่อนอย่างเดียว หากแต่เป็นอีกสมรภูมิหนึ่ง หากทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของจอมมารตกต่ำลง

 

 

“เอาล่ะ ไม่เป็นไร ข้าเดินไปเองก็ได้”

 

“อย่ากลับมาอีกล่ะ”

 

ผมเลยจบลงที่นั่งริมน้ำพุหน้าสำนักงานหลักอย่างช่วยไม่ได้

ผมเหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินหลังเมือง

ลมเบาๆที่พัดผ่านตัวเมือง ผ้าที่ตากอยู่บนเส้นเชือกโยงไปมาคล้ายกับใยแมงมุมกำลังโบกสะบัดไหว

 

ทั้งชุดเสื้อผ้าและผ้าห่มพริ้วไปตามลมราวกับกำลังจะโบกโบยบิน พวกมันขยับไปในทิศทางเดียวกันไม่ต่างจากใบไม้บนต้นไม้ใหญ่

 

ไม่มีใครสามารถเหยียบย่างเข้าไปในช่องว่างอากาศพวกนั้นได้ หรือต่อให้ทำได้ก็เพียงแค่ชั่วขณะสุดท้ายก็ตกลงมาสู่พื้นดินอยู่ดี ตอนนี้ผู้คนในเมืองต่างกำลังทำงานกันบ้าง คุยเล่นกันบ้าง หรือไม่ก็กำลังกลับบ้านบ้าง

ผมได้ยินเสียงสาวน้อยมาจากที่ไหนสักแห่ง

 

“แอปเปิ้ลจ้า!  สดๆจากไร่มาขายถูกๆจ้า!”

มีอีกเสียงดังขึ้นมา

 

“ไม่ๆ อันนี้ถือว่า ใหญ่แล้วจริงๆ”

 

เมฆก้อนใหญ่เคลื่อนคล้อยผ่าน เงาที่ทอดยาวปกคลุมเมือง หลังคาราคาแพง ถนนที่ปูจากหิน 

ผู้คนทั้งหลายต่างเหม่อลอยไปชั่วขณะ แต่ก็เพียงชั่วเสี้ยว พวกเขาหันกลับมาสนใจสิ่งอื่นรอบข้างเหมือนเช่นเคย

 

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ไม่มีใครทั้งนั้นที่สนใจชายผู้นั่งเงียบๆอยู่ข้างน้ำพุ

 

ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ก็มีรถม้าสุดหรูมาหยุดตรงหน้าผม

 

ชายคนนั้นรีบเร่งออกจากห้องรถม้า

 

“อ้าว นั่นมันท่านดันทาเลี่ยนไม่ใช่รึ!”

ชายคนนั้นแสดงความเป็นมิตรขณะที่จับมือผมไว้

 

จอมมารลำดับ 68 เบเลี่ยล นับตั้งแต่ที่บาร์บาทอสได้ออกโรงปกป้องปราสาทจอมมารของเขาที่กำลังจะถูกรุกรานโดยมนุษย์ เขาก็ยิ่งปฏิบัติดีๆกับผมนับแต่ที่รู้ว่าผมเป็นคนรักของบาร์บาทอส

 

“อ่า ท่านเบเลี่ยล ไม่เจอกันสักพักเลย”

ผมยิ้มให้

 

แต่เดิมแล้ว ผมก็เคยสงสัยหมอนี่แหละว่าอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการให้การสนับสนุนปาร์ตี้ของริฟ

แต่พอไม่มีหลักฐานชี้ชัดผมก็ลืมๆไปแล้ว

 

 

“ข้าไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่าจะได้เจอท่านริมถนนหนทางเช่นนี้

ไม่สิๆ ข้าต้องถามก่อนสิว่า เหตุใดท่านถึงได้มานั่งสงบใจอยู่ที่นี่ได้กันล่ะ?”

 

“ฮ่าฮ่า ข้าโดนไล่ออกมาจากสำนักงานน่ะ”

 

“หาาา อะไรนะ?”

ดวงตาของเบเลี่ยลเบิกกว้างด้วยความตกใจ

 

“ท่านโดนไล่ออกมาเนี่ยนะ?”

 

“ข้ามาตามนัดหมายที่มีกับหัวหน้าบริษัทเคียนคุสก้าน่ะ แต่ดูเหมือนพวกพนักงานจะไม่รู้เลยว่า ข้าเป็นจอมมารก็เลยปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ

ช่างเป็นปัญหาเสียเหลือเกิน ข้าเลยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเย็น…….”

 

เบเลี่ยลถึงกับมองด้วยสายตาแปลกๆ

 

“แล้วท่านไม่ใช้อำนาจแห่งจอมมารของท่านล่ะ?”

 

“ผู้คนรอบข้างมีมากเกินไป หากข้าใช้พลัง จะมีแต่ข่าวไม่ดีแพร่ออกไปน่ะ ซึ่งข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”

 

“ก็จริงนะ…….เฮ่อ บางทีมันก็ยุ่งยากเหมือนกัน”

 

สุดท้ายแล้วผมเลยได้ไปที่โต๊ะรับลูกค้าด้วยความช่วยเหลือของเบเลี่ยล

 

โต๊ะนั้นมีไว้เฉพาะสำหรับแขกVIP ที่ได้รับเลือกแล้วเท่านั้น ตรงข้ามกับฝั่งที่ผมอยู่ ผมจึงมองหามันไม่เจอ

 

“ขอบคุณมากๆเลยนะ ท่านเบเลี่ยล”

 

“อย่าใส่ใจเลย……ฮ่าฮ่า”

หลังนำทางให้ผมแล้ว เบเลี่ยลก็จากไป

 

 

 

ชายแก่คนหนึ่งก็รีบลงมาที่แผนกต้อนรับ พอผมบอกอิวาร์ ว่าผมมาถึงแล้ว 

ชายแก่นั่นเป็นร่างโคลนของอิวาร์ ล็อดบรอค

 

ทั้งซ้ายทั้งขวาของเขานั้นมีแต่ลูกน้องมากมายทำให้ดูเหมือนมาเฟีย เขาโค้งคำนับในทันทีที่เห็นผม

 

“ยินดีต้อนรับ ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่!”

ผมโบกมือให้

 

 

“เอ้อ เอาเถอะ ๆ คนทำงานมาหนัก เรื่องมารยาททักทายน่ะข้ามไปก็ได้”

 

“ต้องขออภัยฝ่าบาท ข้าคิดว่า ท่านมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว…….”

อิวาร์ ล็อดบรอคพูดด้วยความงุนงง

 

เนื่องจากพวกเราไม่ได้นับหมายเวลากันแน่ชัด พวกเราแค่บอกว่า จะเจอกันวันนี้

อีกฝ่ายก็รออยู่ทั้งวัน ถือว่าไม่สุภาพอย่างมากที่ทำให้อีกฝ่ายเฝ้ารอ โดยเฉพาะกับหัวหน้าบริษัทเคียนคุสก้า ผมเกาท้ายทอยอย่างเกรงใจ

 

“จริงๆข้ามาถึงที่นี่ ราว 3 หรือ 4 ชั่วโมงแล้วล่ะ”

 

“อะไรนะ? แล้วทำไมฝ่าบาทถึงไม่ขึ้นมาหาล่ะ?”

 

“ข้าโดนไล่ออกไปน่ะ”

อิวาร์ นั้นแสดงสีหน้าเหมือนบาเลียลไม่มีผิด

 

“ต้องขอประทานอภัย แต่ผู้น้อยนี่ไม่ค่อยเข้าใจนัก…….”

 

“พวกนั้นไม่รู้ว่า ข้าเป็นจอมมารตนหนึ่งน่ะสิ ข้าก็เลยถูกยามไล่ออกไป”

 

“…….”

บรรยากาศรอบข้างอยู่ๆก็หนาวเหน็บขึ้นมาทันที

 

 

“พอข้าบอก พวกเขาว่า ข้าเป็นจอมมาร พวกนั้นก็ล้อเลียนบอกว่า นั้นทำตัวหยาบคาย”

 

สีหน้าของอิวาร์ ล็อดบรอคนั้นกลับซีดอย่างกับศพ ราวกับได้เห็นวาระสุดท้ายของโลกใบนี้

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด