Dungeon Defense (WN) 251 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (9)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 251 ดันเจี้ยนมาสเตอร์ (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

 

“ยามของพวกเรา ทำเช่นนั้นกับฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”

เสียงของอิวาร์ ล็อดบรอคสั่นเทา

ผมจึงหัวเราะออกมา

 

 

“แน่ล่ะ แต่เจ้าไม่ต้องขอโทษ…….”

 

“พวกเราได้ทำความผิดร้ายแรงถึงชีวิตลงไปแล้ว!”

อิวาร์ก้มลงกราบกับพื้นก่อนที่ผมจะได้ทันพูดจบ

พวกเหล่าผู้ติดตามของอิวาร์ ต่างก็ทำเช่นเดียวกัน เหล่าปีศาจทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นก็ทำตามๆกันด้วย

 

“พวกเราได้ทำความผิดร้ายแรงถึงชีวิตลงไปแล้ว!”

 

“พวกเราได้ทำความผิดร้ายแรงถึงชีวิตลงไปแล้ว!”

ไม่ใช่แค่นั้นหรอก

ราวกับเป็นสายบัญชาการที่ค่อนๆดำเนินต่อเนื่องไป แม้แต่คนที่ไม่รู้ว่า พวกเราพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ พอเห็นผู้บริหาร หัวหน้าของตนก้มกราบลงก็ทำตามโดยไม่รั้งรอ

ปีศาจทุกตัวจึงคุกเข่าลงตามลำดับคล้ายกับเป็นตัวโดมิโน่ที่ล้ม โดยมีผมอยู่ศูนย์กลาง

 

ช่างเป็นภาพที่น่าดูเหลือเกิน

 

“อะ-อะไร?”

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

พอเห็นเหล่าพนักงานบริษัทต่างกราบกราน ทั้งแขกและพ่อค้าทั้งหลายที่ทำธุรกิจอยู่ก็ถึงกับงุนงงขณะที่หันมามองพวกเรา

 

“…….”

ผมแอบถอนใจ

 

 

ทำดีนี่, อิวาร์ ล็อดบรอค ไอ้แก่การเมืองนี่!

ผมปล่อยให้ยามรักษาความปลอดภัยขับไล่ผมออกไป พอเป็นแบบนั้นแล้วผมสามารถพูดจาต่อรองกับอิวาร์ได้สบายๆ

แต่ในขณะเดียวกันตอนนี้ผมเองก็มอบโอกาสในการรับผิดชอบต่ออีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

 

ไม่นับเรื่องที่ ผมลืมลูกแก้วคริสตัลที่เป็นความผิดของผมเอง ถึงอย่างไรก็ได้ ผมก็ฉวยโอกาสใช้ความผิดพลาดนั้นผลักความรับผิดชอบไปให้กับอิวาร์

 

แต่อิวาร์เองก็ตอบกลับรวดเร็วในทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

เนฟเฮมนั้นเป็นเมืองแรกและเมืองเดียวที่เป็นกลางในโลกปีศาจ และอิวาร์ ล็อดบรอคเป็นดั่งผู้ทรงอิทธิพลผู้ปกครองเมืองนี้

ฐานะของอิวาร์นั้นสูงกว่า จอมมารส่วนมากด้วยซ้ำแต่ถึงอย่างนั้น บุคคลที่สูงส่งทรงเกียรติเช่นนั้นกลับยอมคุกเข่า ต่อหน้าลูกน้องทั้งหลาย

 

“……เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด”

ซึ่งนั่นทำให้ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับคำขอโทษจากพวกเขา

 

“ไม่มีอะไรให้ข้าต้องยกโทษ เลิกแสดงความขอโทษ แล้วยืนขึ้นได้แล้ว”

แม้ผมจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมถอย

 

 

เอาล่ะ ผมก็พอรู้อยู่บ้างแหละว่า อิวาร์ไม่ใช่พวกโง่ที่จะพลาดกับแผนกระจอกๆแบบนี้…….สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เคียนคุสก้าเนี่ยฝึกพนักงานกันมายังไงนะ ถึงได้ยอมกราบกรานให้โดยไม่บ่นแม้สักคำ? 

เจ้าพวกนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

 

“มิได้เป็นเช่นนั้นครับ ฝ่าบาท 

การหยามหมิ่นเกียรตินั้นเป็นสิ่งที่แม้จะได้รับการอภัยแล้วแต่มันจะไม่มีวันหายไป”

อิวาร์ ล็อดบรอค ยังคงกดหัวลงกับพื้นขณะที่พูด

 

“พวกเราจะเอาตัวผู้กระทำความผิดมา แล้วมอบหัวพวกมันให้ท่าน!”

ผมขมวดคิ้ว เฮ่อ เจ้านี่อยากจะตอกฝาโลงจริงๆเลยสินะ?

 

ที่ผมพูดว่า ‘ไม่มีอะไรให้ข้าต้องยกโทษให้’ นั่นหมายถึง ผมได้แสดงความใจกว้างเป็นอย่างมากแล้ว

 ทั้งยังหมายถึง ผมจะทำเป็นไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ แต่ผมจะไม่ลืมมันหรอกนะ ผมพยายามฝันแนวคิดนี้ไว้กับอิวาร์ ล็อดบรอค

 

อีกฝ่ายรับรู้เรื่องนั้นในทันที และรีบตอบกลับมาด้วยการพูดว่า

‘มาลงโทษพวกนมันเถอะ! ให้รุนแรงที่สุดเลย!’

 

ถ้าให้สรุปง่ายๆ ถ้อยคำที่เราสื่อสารต่อกันเมื่อครู่แปลความได้อย่างนี้ : 

‘เจ้าจะทำยังไง ในเมื่อคนของเจ้าน่ะทำผิดต่อข้าล่ะ?’

‘ข้าขอโทษ ยกโทษให้พวกเราด้วย’

‘ข้าให้อภัยนะ ครั้งนี้ข้าจะมองผ่านไปก่อน แต่เฉพาะครั้งนี้นะ’

‘หากท่านไม่ยกโทษให้ ถ้าอย่างนั้นลงโทษหนักสักครั้งแล้วจบเรื่องตรงนี้ได้ไหม?’

 

ว่าง่ายๆ เจ้านี่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณผมไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าหนูหัวแหลมนี่

 

แล้วผมจะประหารพวกยามออร์คได้ยังไงกัน? การทำแบบนั้นมันทำลายภาพลักษณ์ของผม

จะมีข่าวเสียๆหายๆเรื่องที่ว่า ดันทาเลี่ยนใจแคบแพร่ออกไป ก็มีแต่ต้องอภัยโทษให้พวกเขาอย่างเดียวนั่นแหละ

 

“ฟังข้านะ มีตำนานที่บอกเล่ากันมาในหมู่นักปราชญ์จากรุ่นสู่รุ่น”

แน่นอนแหละ ว่าผมไม่ได้รับสืบทอดเรื่องราวจากนักปราชญ์มาเลยสักกะนิด

 

“มีประเทศชาติหนึ่งที่มั่งคั่งร่ำรวย ทั้งยังสงบศานติ ลอร์ดผู้ปกครองประเทศเพื่อนบ้านนั้นตัดสินใจปลอมตัวเพื่อไปเรียนรู้จากประเทศดังกล่าว

เป็นที่แน่นอนว่า ผู้ปกครองของประเทศนั้นควรยิ่งที่จะได้รับการสรรเสริญ ทั้งยังได้รับอำนาจในการปกครองที่มั่นคง”

 

“……?”

พอผมเกริ่นเรื่องทุกคนต่างสงสัย

ผมพูดขึ้นมาเหมือนสมัยที่พูดสุนทรพจน์ที่ฟรานเคีย โดยค่อยๆโน้มนำบรรยากาศให้เป็นไปตามที่ผมต้องการ

“ลอร์ดผู้นั้นด้วยความสงสัยจึงถามชาวบ้านว่า ใครเป็นผู้ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

‘ผู้ปกครองประเทศนี้ประพฤติตัวเช่นไรบ้าง คนของเขาจึงได้รักมากมายเช่นนี้?’

พอเขาถามเช่นนั้นออกไป ชาวบ้านกลับตอบมาว่า

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผู้ปกครองพวกเราทำอะไรกันบ้าง’ ”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ

“ลอร์ดคนนั้นถึงกับตื่นตระหนก 

ทำไมผู้คนที่สรรเสริญลอร์ดของตน ถึงได้ไม่รู้เลยว่า ลอร์ดท่านนั้นทำอะไรลงไปบ้าง? 

แต่ก็เห็นกันอยู่แล้วนี่ ว่าชาวนาทั้งหลายเป็นผู้ไม่รู้รู้ราวอันใดเลย ลอร์ดคนนั้นถึงกับสบถด่าก่อนจะไปถามคนอื่นต่อ”

 

“…….”

 

“แต่ ลอร์ดผู้นั้นถามคำถามเดียวกันกับอีกคน แล้วผลเป็นอย่างไรกันล่ะ? กลับกลายเป็นว่า ผู้ถูกถามคนใหม่นั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ลอร์ดของตนมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร”

ผู้คนรอบข้างผมตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก

 

เอาล่ะ อาจเป็นเพราะพวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกด้วย ผมได้สาธกยกเรื่องเล่าเก่าๆในสมัยยุคสงบสันติขึ้นมา

ถึงยังไง โลกใบนี้ก็ไม่มีเรื่องลิขสิทธิ์อยู่แล้วนี่นะ ดังนั้นผมจะใช้มันไปในทางไหนก็ได้

 

“แม้จะเป็นคนที่สาม คนที่สี่ จนไปถึงคนที่เจ็ด ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ ของลอร์ดผู้ปกครองประเทศตน

นั่นทำให้ลอร์ดคนนั้นถึงกับงงตะลึงตะลาน ด้วยพบว่า โดยธรรมชาติแล้ว ผู้คนสนใจแต่ความอยู่ดี กินดีของตนเท่านั้น! 

 

หากโลกที่พวกเขาอยู่อาศัยนั้นมั่งคั่งและมีสันติสุข ใครจะไปสนล่ะว่า ผู้ปกครองชื่ออะไรหรือหน้าตาแบบไหน?

 

พูดอีกอย่าง หากโลกตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน ผู้คนจะยิ่งใส่ใจว่า ผู้ปกครองชื่ออะไร พวกนั้นจะพยายามล้อเลียนเหยียดหยามชื่อและภาพลักษณ์ของผู้ปกครอง”

 

เสียงฝูงชนที่ฮือฮาออกมาด้วยความประหลาดใจ

ผมไม่ได้เป็นคนคิดเรื่องนี้ขึ้นมาหรอก แต่ก็ว่าเรียงเรียงใหม่ได้ดีทีเดียว

 

“บริษัทแห่งนี้ก็เช่นกัน การที่ข้าถูกยามขับออกมา โดยไม่ตระหนักรู้ว่า ข้าเป็นจอมมาร

ในยุคสมัยที่จอมมารต่างกดขี่พวกเจ้าดั่งทรราชย์ ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องคอยจดจำชื่อและรูปลักษณ์ของจอมมาร เพื่อที่จะรับรู้ได้ในทันที

ข้าออกจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ไม่มีใครในอาคารแห่งนี้จดจำข้าได้

แล้วจะให้ข้ายกโทษเรื่องอะไร ในเมื่อไม่มีอะไรที่น่าเศร้าใจทั้งนั้น?”

 

ผมยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย

 

“ดังนั้นนับเป็นโชคดีที่ข้าได้ยืนยันเรื่องนั้นกับทีนี่แล้ว

ตัวข้า ดันทาเลี่ยนมิได้กระทำผิดใดต่อพวกเจ้าเลย 

เหล่าพนักงานบริษัทเคียนคุสก้าเอ๋ย เลิกทำอะไรไร้สาระแล้วลุกขึ้นมาได้แล้ว คำขอโทษขอโพยของพวกเจ้าต่อจากนี้ มีแต่จะแสดงความไม่เคารพกันเท่านั้น”

 

เหล่าพนักงานของบริษัทเริ่มลังเลที่จะลุกขึ้นมาก่อนผู้บริหารของตน

อิวาร์ ล็อดบร็อคตะโกนขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่แสดงความทึ่ง

 

“พวกเราช่างได้รับเกียรติจากฝ่าบาทยิ่งนัก! ขอฝ่าบาทจงเจริญ!”

 

ต่อจากนั้น คำพูดนั้นก็ดังก้องสะท้อนไปทั่วอาคาร

 

ผมยิ้มออกมาอย่างไร้พิษภัยขณะที่แตะบ่าอิวาร์ ล็อดบรอค 

เขายิ้มตอบกลับมาอย่างสดใสก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

 

 

ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจงเจริญ! ฝ่าบาทดันทาเลี่ยนจงเจริญ!  

ผู้คนรอบข้างต่างตะโกนร้องเชียร์เช่นนั้น

 

ผมจ้องมองดูอิวาร์ขณะที่ยังคงรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้า

‘หากเจ้าคิดว่า ข้าจะยอมเงียบแล้วถอยไป เจ้าก็พลาดเต็มทีแล้ว’

พอผมทำเช่นนั้น รอยยับย่นรอบดวงตาของอิวาร์ก็ลึกโบ๋

 

“แล้วพวกเราจะไม่เทิดเกียรติฝ่าบาทได้อย่างไร ในเมื่อความเมตตากรุณาของท่านที่ได้ไว้ชีวิตยามธรรมดาๆผู้หนึ่ง?”

 

“ข้าต่างหากที่ต้องชมเชยที่เจ้าทำให้เหล่าพนักงานลูกจ้างของเจ้ามีความสุขเช่นนี้”

 

สุดท้ายแล้ว ทั้งหมดที่ท่านพูดมายาวยืดนั้นก็เพื่อที่ท่านจะไม่ลงโทษยามสินะ?

 

 

ถูกต้องแล้ว เจ้าควรรับผิดชอบในความผิดพลาดในการจัดการลูกน้องตัวเอง อย่ามาทำหางจุกตูดแล้วหนีไปง่ายๆสิ

 

นั่นเป็นบทสนทนาที่พวกเราพูดคุยกัน พวกเราแกล้งแสดงความเป็นมิตรขณะเดินไปด้วยกัน

 

 

“เช่นนั้น ได้โปรดมาทางนี้”

 

เครื่องเทเลพอร์ทตั้งอยู่ฝั่งด้านหนึ่งของบริษัท มันพาเราขึ้นไปสู่ชั้นบนสุด

แม้เครื่องนี้จะมีจุดหมายปลายทางแน่ชัด แต่ความจริงเรื่องที่สามารถใช้เวทย์มนตร์เคลื่อนย้ายได้แสดงให้เห็นว่า บริษัทเคียนคุสก้ามีอำนาจมากแค่ไหน

 

เราสองคนเป็นบุคคลที่สามารถใช้เครื่องเทเลพอร์ทได้เท่านั้น โดยทิ้งผู้บริหารคนอื่นๆไว้ชั้นล่าง

 

“…….”

 

“…….”

 

ชั้นสูงสุดของอาคารหลังนี้เงียบมาก บรรยากาศที่เคยอึกทึกครึกโครมพลันหายไปในทันที

พวกเราเดินกันมาเงียบๆขณะแหวกผ่านเข้าไปยังมิติต่างๆ และผ่านประตูไปยังฮอล

 

เป็นห้องที่มืดมิด

 

หัวของมิโนทอร์แขวนอยู่บนกำแพงในฐานะเครื่องประดับ รูปปั้นของปีศาจและมอนสเตอร์ประหลาดเต็มห้องไปหมด ห้องนั้นเต็มไปด้วยความมืดมน ผมบอกได้อย่างเดียวเลยว่า รสนิยมการตกแต่งห้องแย่มาก

 

มีโลง 10 โลงตั้งอยู่กลางห้อง

 

อิวาร์ ล็อดบรอคเปิดปากพูดขึ้น

 

“ฝ่าบาท นี้เป็นครั้งแรกในรอบ  2,000 ปี……ที่ผู้น้อยนี้จะเผยร่างจริง”

 

“ข้าขอสาบานต่อเทพีทุกองค์ที่ดำรงอยู่ทั้งหมด ตัวข้า,ดันทาเลี่ยนจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเจ้าให้แก่ผู้ใดทั้งนั้น”

 

อิวาร์ ล็อดบรอคนั้นพยักหน้าเบาๆ เขาเดินตรงไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

เขาเข้าไปหนึ่งใน 10 โลงนั่น แล้วโลงอื่นก็เปิดออกหลังจากนั้นไม่นาน เด็กสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากโลง

 

 

“ผู้น้อยนี้คือ อิวาร์ ล็อดบรอค ยินดีที่ได้พบกับฝ่าบาทดันทาเลี่ยนอีกครั้ง”

 

เด็กสาวผมสีบลอนด์ยกปลายชุดเพื่อแสดงความเคารพ

ผมตรวจสอบใบหน้าของหล่อนก่อน

 

“แกตั้งใจจะหลอกข้าไปอีกนานแค่ไหน หัวหน้าบริษัทเคียนคุสก้า?”

 

“อะไรนะคะ?”

เด็กสาวกระพริบตา

 

“ท่านพูดอะไรน่ะ ฝ่าบาท?”

 

“นี่มันไม่ใช่ร่างจริงของเจ้า”

เด็กสาวผมทองตัวเล็ก ที่มีรูปร่างที่ถูกต้องนั่นแหละ แต่สีตาของเธอนั้นผิดจากภาพประกอบในเกมของอิวาร์ ล็อดบรอค ……. ดวงตาของเธอควรที่จะเป็นสีม่วงดั่งอเมทิส

 

เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผมกลับมีดวงตาสีดำ นี่ไม่ใช่ร่างหลักของอิวาร์ ล็อดบรอค

 

ผมยิ้มออกมา

 

“นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย อย่าพยายามทดสอบข้า”

 

“…….”

 

ความเงียบเข้าครอบงำ

ใบหน้าของสัตว์ประหลาดผู้นำบริษัทใหญ่ยักษ์กลับแตกร้าว

 

“……ท่านรู้ได้อย่างไร”

ริมฝีปากเด็กสาวถึงกับสั่นขณะพูด

 

“ร่างจริงของข้า……ไม่มีใคร ไม่มีใครที่เคยได้เห็นมันมาก่อน! ฝ่าบาทรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรกัน!?”

 

“มันไม่มีสิ่งใดเป็นความลับในโลก มันก็แค่นั้นแหละ”

อีกฝ่ายถึงกับเศร้าใจแล้วก็หันหลังให้

 

พอหันหลังกลับเข้าโลกที่ก้าวออกมา ก็มีอีกโลกหนึ่งเปิดขึ้นมา พร้อมกับเสียงเอี๊ยด ควันบางอย่างไหลออกมาจากโลง

 

 

เด็กสาวที่เปลือยกายลุกขึ้นยืน

 

“…….”

เธอค่อยๆเบิกตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นของเธอเป็นสีม่วง

 

 

“ยินดีที่ได้พบกับฝ่าบาทดันทาเลี่ยน ข้าไม่เคยคิดว่า จะพาร่างนี้ออกมาสู่โลกอีกครั้ง, ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลาตระเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสม โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

 

แวมไพร์ลอร์ด ผู้ชักเชิดหุ่น(puppet master)ที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้คุมร่างกายนับพัน ผู้ทรยศในหมู่ผู้ทรยศด้วยกันที่หักหลังกองทัพจอมมาร และไปเป็นพันธมิตรกับฮีโร่ปาร์ตี้ ,นางเอกเกมผู้มีรูทพิเศษใน  <Dungeon Attack>

 

ผมยิ้มอย่างสดใสให้กับเด็กสาวตรงหน้าผม

 

 

“อิวาร์ ล็อดบรอค ในที่สุด เราก็ได้พบกันเสียที”

 

(TTL : ถ้าหากอ่านฉากนี้แล้ว นึกถึงยัยหุ่นเชิดเจ้าของยานบินที่ชื่อว่า Her*a!  เมื่อนั้นเราเป็นสหายกัน! ) 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด