Dungeon Defense (WN) 266 ผู้ก่อกบฏ (1)

Now you are reading Dungeon Defense (WN) Chapter 266 ผู้ก่อกบฏ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 266 – ผู้ก่อกบฏ (1) 

 

 

“หืมมม…….”

ลอร่าเปิดหน้ากระดาษ เธอมักส่งเสียงฮึมฮัมระหว่างอ่านหนังสือไปด้วย

 

ผมคิดว่า มันเป็นนิสัยประหลาดจึงชี้จุดนั้นให้เห็น แต่เธอตอบกลับมาว่า ถ้าทำเสียงแบบนั้นระหว่างอ่านจะเข้าใจได้ง่าย

 

น่าประหลาดจริงๆที่เด็กสาวอัจฉริยะไม่อาจเข้าใจได้หากอ่านหนังสือเพียงครั้งเดียว จึงต้องมีเทคนิคแบบนั้น

 

“นายท่าน ช่วงนี้มีหนังสือแนวคิดสาธารณรัฐออกมาจากเมืองอิสระมากมายเลย”

 

“อย่างนั้นรึ? เอาล่ะ ข้าเดาว่าคงมีพวกคนฉลาดที่ต่อต้านมันมาจนถึงตอนนี้นั่นแหละ”

 

แนวคิดสาธารณรัฐนั้นมิใช่แนวคิดที่คุ้นเคยกันดีในโลกใบนี้ จึงยากที่จะประสบผลสำเร็จ

“คงจะดีหากนักคิดของโลกใบนี้ยังคงถกเถียงเพื่อสนับสนุนแนวคิดสาธารณรัฐนิยมกันต่อไป

ซึ่งนั่นจะช่วยให้ทั้งทวีปตกสู่ความวุ่นวายได้นานยิ่งขึ้นอีก”

 

“แต่……มันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่า สาธารณรัฐนั้นมีแค่เพียงชนิดเดียว”

ลอร่าม้วนผมตัวเอง

 

“แต่เดิมแล้ว ปัญหาที่โต้เถียงกันมากที่สุดก็คือ เรื่องนิยามความหมายของสาธารณรัฐนิยมนี่แหละ”

 

“หืมม?”

 

“ดูสิ่งที่ ผู้เขียนเล่มนี้บอกสิ”

ลอร่าเปิดหน้าหนังสือให้ผมอ่าน เธอใช้นิ้วเรียวชี้ไปตามที่เขียนไว้ดังนี้:

 

「ผู้คนต้องระวังมิให้สับสนระหว่างแนวระบบสาธารณรัฐกับระบบประชาธิปไตย」

 

「อย่างแรก ชาติและเมืองนั้นแยกความต่างได้จากแนวคิดที่ว่า ใครเป็นผู้ถืออำนาจส่วนกลาง

ดังนั้นแล้วชาติและเมืองที่บุคคลหนึ่งๆ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หรือทุกคนก่อร่างสร้างขึ้นมาในสังคมนั้น มักจะเกี่ยวกับราชาธิปไตย อำมาตยาธิปไตย และประชาธิปไตย 」

 

「ข้อสอง ชาติและเมืองนั้นจำแนกได้โดยวิธีการที่ผู้ปกครองใช้อำนาจ」

 

「วิธีการที่ใช้ในการปกครองก็แบ่งออกเป็น สาธารณรัฐหรือเผด็จการ  ━สาธารณรัฐนั้นหมายถึง กระบวนการที่แบ่งแยกอำนาจในการออกกฏหมาย และ อำนาจการบริหารออกจากกัน

 

ขณะเดียวกันอำนาจการบริหารก็เกื้อหนุนให้อำนาจการออกกฏหมายกลายเป็นอำนาจเผด็จการไป」

 

「ดังนั้นแล้ว กระบวนการประชาธิปไตยนั้นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผด็จการได้」

 

“……หาาา?”

ผมถึงกับเผลอร้องออกมา 

 

นี่มันตอแหลอะไรกันขนาดนั้น?

 

ผมดึงหนังสือมาจากลอร่าแล้วเปิดไปหน้าถัดไป ประโยคที่เขียนด้วยภาษาฮับบวร์ก ซึ่งไม่เป็นที่นิยมในการอ่านเขียนนัก 

 

「ตัวอย่างก็เช่น หากเราบอกว่า บุคคลหนึ่งไม่ยอมรับ กฏหมาย นโยบาย และอื่นๆแล้ว

ในประชาธิปไตย ทุกคนต่างก็ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจคนๆนั้นแล้วตัดสินใจว่าให้ดำเนินนโยบายนั้น ซึ่งคำว่าทุกคน แต่มิใช่ทุกคนที่แท้จริงที่ร่วมกันตัดสินใจ สิ่งนี้จะนำไปสู่การอ้างเพื่อใช้อำนาจในการบริหาร」

 

「เช่นนั้นแล้ว ทุกสังคมที่พยายามจะเป็นสาธารณรัฐจึงต้องเลือกตัวแทนมานำเสนอนโยบายแทนวิธีประชาธิปไตยทางตรง

 

หากพวกเขาไม่ทำอย่างนั้น ผู้คนที่ออกกฏหมายก็จะกลายเป็นผู้บังคับใช้เสียเอง และอำนาจของประเทศก็จะไม่ต่างอะไรกับอำนาจส่วนตน」

 

「ดังนั้นประชาธิปไตยจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องทำตามกระบวนการดังที่กล่าวมาข้างต้น」

 

「ไม่สิ ประชาธิปไตยที่สร้างตัวแทนขึ้นมาในเชิงนโยบายนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นั่นก็เพราะทุกคนนั้นต่างพยายามที่จะเป็นเจ้าของประเทศชาติ」

 

「หรือพูดอีกนับหนึ่ง ในระบอบราชาธิปไตยและอำมาตยาธิปไตยนั้นเป็นไปตามที่ผู้นำอลิซาเบธได้กล่าวไว้ว่า, 

“ข้ามิได้เป็นสิ่งอื่นใดนอกจากข้ารับใช้สูงสุดของประเทศ” 

ดังนั้นแล้วการปกครองชนิดนี้จะมีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของหรือตัวแทนของอำนาจ」

 

「เราขอประกาศว่า คนส่วนน้อยที่มีอำนาจบงการประเทศ 

หรือพูดอีกอย่าง ยิ่งอำนาจของประเทศมีมากใหญ่เท่าไหร่ ชาตินั้นก็ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นสาธารณรัฐมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น」

 

 

「ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ชนชั้นสูงดิ้นรนที่จะไปถึงอุดมการณ์สาธารณรัฐมากกว่าพวกราชสกุล และนี่เป็นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่ว่าระบอบประชาธิปไตยจะเกิดการปฏิวัติขึ้นอย่างรุนแรง…….」

 

 

“……อะไรวะเนี่ยยยยย?”

ผมถึงกับเผลอร้องออกมาดังๆ

 

นี่มันโน้มน้าวได้โคตรน่ากลัวเลย นี่มันอะไรกัน?

ชวนขนลุกสุดๆ เจ้าพวกนี้มันไปเอาคำพูดของอลิซาเบธยกมาแซมเหมือนอาหารอร่อยที่ให้ชิมตามห้าง 

เห็นกันชัดๆเลยว่า หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง

 

 

「……จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ประชาชนผู้ถูกปกครอง จะไม่เห็นความสำคัญ ไม่รู้จักเปรียบเทียบว่า ชาติของตนนั้นเป็นราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตย? 

เพราะไม่ว่าประเทศชาติของพวกเขาจะเป็นระบอบราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยต่างก็ต้องเจ็บปวดจากการที่ถูกกดขี่ โดยไม่ได้เป็นตัวแทนของชาติอยู่ดี」

 

「หากประเทศชาติเป็นดั่งตัวแทนประชาชนจริงๆ และสอดรับเจตนารมณ์ของผู้คนจริงๆแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้คนก็ไม่ได้สนใจหรอกว่า ประเทศของตนนั้นจะเป็นราชาธิปไตย อำมาตยาธิปไตยหรือประชาธิปไตย」

 

「ดังนั้นแล้วผู้คนมักเข้าใจผิดไปว่า สาธารณรัฐนั้นเป็นเช่นเดียวกับประชาธิปไตย แม้จะอยู่ห่างไกลคนละยุคกันก็ตาม

 

ชาติจำต้องมีตัวแทนขึ้นมาหากปรารถนาที่จะก่อตั้งสาธารณรัฐ และราชาธิปไตยนั้นย่อมเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการก่อตั้งสถาบันตัวแทนทางการเมืองขึ้นมา」

 

「ในขณะที่ฝ่ายราชาธิปไตยนั้นมี ราชาหรือจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจสูงสุดในระบบ ‘สมบูรณญาสิทธิ์ราช’ ส่วนทางฝ่ายของระบบ ‘สาธารณราช’ ของพวกเราก็มี ท่านผู้นำ หรือประธานาธิบดี

ด้วยเหตุผลสองประการที่ว่ามานั้น ทั้งสองระบบจึงแตกต่างกันเป็นอย่างมาก」

 

 

“โอ้โห…….”

ช่างเป็นเรื่องไร้สาระที่ฟังดูดีจริงๆ

ผมทึ่งจนพูดไม่ออก แล้วก็หันไปหาลอร่าที่ยิ้มอารมณ์ดี

 

“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ นายท่าน?”

 

“ทำเอาข้าตื้นตันใจเลยล่ะ ข้าได้เห็นเหล่ามนุษย์นั้นมีตรรกะในการเป็นสุนัขรับใช้ของพวกอำนาจนิยม ยอดเยี่ยมจริงๆ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ น่าเสียใจเหมือนกันที่คำพูดที่เจ้าพูดนี้มันพูดออกมาไม่ต่างจากเสียงหมาเห่าหอน”

 

อะไรคือ ความแตกต่างระหว่างนักต้มตุ๋นกับนักปลุกปั่นกันล่ะ?

นักต้มตุ๋นนั้นรู้ดีกว่าใครเพื่อนเลยว่า ตัวเองน่ะเป็นจอมต้มตุ๋นหลอกลวง ดังนั้นพวกนั้นจะไม่โกหกตัวเอง

ขณะที่นักปลุกปั่นนั้นจะปลุกปั่นให้เชื่อทั้งตัวเองและคนอื่นไปพร้อมๆกัน

 

หากให้พูดกันตามตรง ผมไม่ได้หลอกลวงตัวเองระดับนั้น ผมยังซื่อตรงให้เกียรติตัวเองอยู่…….

ชั่วขณะที่คุณลวงหลอกตัวเองนั่นแหละคือ ยามที่คุณได้กลายเป็นนักปลุกปั่นไปแล้ว

เจ้าพวกนั้นย่อมกลายเป็น ตัวร้ายเกรดสอง เป็นได้อย่างมากก็แค่ลูกกระจ๊อก

 

 

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะหาก คุณน่ะหลงเชื่อฝังใจไปแล้วจริงๆว่าไอ้สิ่งนั้นมันถูกต้องเหมาะสมกับโลกใบนี้?

คุณก็จะไม่สามารถโกหกต่อไปอีกแล้วได้ยังไงล่ะ นักตุ้มตุ๋นที่ไม่อาจหลอกใครได้นั่นแหละเป็นจุดอ่อนสำคัญ

จุดจบก็เรียบง่าย คุณก็จะโดนหลอกใช้และถูกนักต้มตุ๋นคนอื่นที่ไม่ได้เชื่ออย่างเดียวกันกับคุณกลืนกินทั้งเป็นยังไงล่ะ…….

 

 

นักต้มตุ๋นต้องเป็นผู้เดียวที่ต้มคนอื่นไม่ใช่โดนคนอื่นต้มเอา

ผิดกันแค่ว่า ผู้ที่หลอกลวงไม่ใช่คนอื่นหากแต่เป็นตัวคุณเอง แล้วคุณจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันล่ะ? 

ไม่ว่าจะพูดจากในมุมของเหตุผลหรืออารมณ์ จะมุมไหนๆมันก็ไม่น่าดูทั้งนั้น

 

 

“เรื่องที่เจ้าพวกนี้มันคิดว่า อำนาจของประเทศชาติไม่สมควรเป็นของผู้หนึ่งผู้ใดไม่ว่าจะเป็นสาธารณรัฐหรือประชาธิปไตยนั้น มันโง่เง่ามาก

ผู้คนต่างต้องการทำให้เป็นของของตนเองทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว”

 

ผมใส่สมุนไพรลงในไปป์ จากนั้นก็ดื่มด่ำกับกลิ่นสุดเลวร้ายที่เข้าไปในปอด

 

“ไม่จำเป็นต้องไปประณามหรือคร่ำครวญเรื่องนั้นเลย ลองคิดดูดีๆสิ แม้เราจะบอกว่า ชีวิตนั้นเป็นของเรา แล้วมันได้เป็นของเราจริงอย่างนั้นรึไง? 

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีผู้ให้กำเนิดเรามาอยู่ดี”

 

ฟู่วว ผมพ่นควันกลุ่มหนึ่งออกมา

 

 

“นั่นแหละเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมทุกคนต่างเวียนวนอยู่กับการไขว่คว้าทำให้สิ่งต่างๆเป็นของ ๆ ตัวเอง บางคนก็เหมาเอาเองว่า นี่เป็นโฉมหน้าของตัวเอง คนรักของตัวเอง ชิ้นงานศิลปะของตัวเอง ความมั่งคั่งร่ำรวยของตัวเอง และอุดมคติอันงดงามของตัวเอง…….”

 

ภาพของแจ็คปรากฏขึ้นในเสี้ยวหนึ่งของความนึกคิดของผม แต่ผมไม่สนใจมัน

แค่เห็นเจ้าหมอนั่นในฝันก็มากเกินพอแล้ว

 

“ไอ้งั่งที่คว้าอะไรไว้ไม่ได้ แม้แต่ผลไม้ที่หวานฉ่ำทั้งที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองจนมันหลุดลอยไปน่ะ

อำนาจน่ะเป็นดั่งผลไม้ที่หอมหวานยิ่งกว่าผลไม้ใดๆในโลกหล้านี้เสียอีก”

 

ผู้คนจะต้องล้มตายมากมายเพราะคำพูดของแก

หากประกาศสิ่งนั้นเป็นแนวคิดนโยบาย คนนับแสนย่อมต้องพยายามทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา

 

 

“เจ้าเข้าใจไหม ลอร่า? มุมมองความคิดมันผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว

ปัญหาน่ะไม่ใช่ว่า อำนาจสมควรจะเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ใดหรือไม่

 

หากแต่ตัวอำนาจเองนั้นเป็นสิ่งที่ต้องถูกใช้งานโดยผู้หนึ่งผู้ใดอยู่แล้ว

ไอ้รอยด่างแต้มที่พยายามย้อมให้พวกเรากลายเป็นผีดิบคลั่งอุดมการณ์นี้แหละ เป็นฝีมือของพวกนักการเมืองมันล่ะ”

 

ดังนั้นแล้วพวกสาธารณรัฐนิยมจึงพยายามวางเอาอำนาจให้เป็นของกลางที่สุดเท่าที่จะทำได้

ถามจริง เจ้าพวกนั้นจะเปลี่ยนอำนาจให้กลายเป็นของไร้ประโยชน์แบบนั้นไปทำไมกัน?

 

“ตัวอย่างก็เช่น การสร้างหน่วยงานตรวจสอบก็เป็นหนึ่งในวิธีแบบนั้น ให้องค์กรหน่วยงานพวกนั้นคอยจับตาดูกันเอง

อำนาจจึงต้องถูกแบ่งไป ทำให้ไม่สามารถผูกขาดได้

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ประชาธิปไตยจึงออกจะเหมาะกับสาธารณรัฐมากกว่า”

 

ตามที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นบอกไว้

ในระบอบประชาธิปไตย ทุกคนต่างพยายามที่จะเป็นเจ้าของ

แต่สุดท้ายแล้ว ก็ดันไปสร้างระบบการเมืองที่ไม่มีใครอยู่เหนือสุดขึ้นมาแทน

 

“แถมยังต้องโอนถ่ายสถานที่ทำงานต่างๆให้กับหัวหน้าแต่ละหน่วยงานอีกด้วย

การที่ใครสักคนรับใช้หัวหน้าตนเองไปตลอดชีวิตหลังจากโดนแต่งตั้งแล้วนี่มันน่าขำสิ้นดี

เมื่อถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่แปลกหรอกหากจะมีใครบางคนคิดจะยึดกุมอำนาจไว้เป็นของตัวเอง ไม่ต้องรอถึง 10 ปีหรอก แค่ 5 ปีก็เห็นผลแล้ว”

 

“แต่ นายท่าน”

ลอร่าที่เงียบฟังอยู่นานพูดขึ้นขณะที่ส่ายหัว

“ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่จะรักษาสมดุลได้สมบูรณ์แบบ

ไม่ใช่ว่า หนึ่งในองค์กรหน่วยงานนั้นๆจะมีอำนาจเหนือองค์กรอื่นหรือ?”

 

“ถูกต้อง ดังนั้นการทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากการซุกปัญหาใต้พรมนั่นแหละ”

 

ควันลอยสูงไปชนเพดาน

 

“นั่นแหละคือ เหตุผลที่ว่า บุคคลผู้มีอำนาจต้องหายไปยังไงล่ะ”

 

“…….”

 

“วิธีแก้ปัญหาที่ก็คือ ฆ่าพวกมันให้หมด

เอาล่ะ ลอร่า ฟังดูไม่มีเหตุผลเลยใช่ไหม ที่ ‘จู่ๆ’ พวกเราก็กลายเป็นพวกนิยมสาธารณรัฐขึ้นมาน่ะ? 

ทั้งหมดที่ข้าว่ามานี่แหละคือ แนวคิดของสาธารณรัฐนิยม”

 

ผมน่ะชื่นชอบการผูกขาดอำนาจยิ่งกว่าอะไร จะบอกว่า หลงรักมันเลยก็ว่าได้

หากคุณมีอำนาจ คุณจะสั่งให้ใครไปตายแทนตัวเองก็ยังได้

แม้ในตอนนี้พวกมอนสเตอร์ชั้นๆเองก็กำลังตายตกกันไประหว่างต่อสู้กับปาร์ตี้นักผจญภัย

 

หากคุณกุมอำนาจคุณก็สามารถสั่งให้ลูกน้องทำในสิ่งที่คุณต้องการได้

 

 

“สุดท้ายแล้วเป้าหมายของพวกเราก็เรียบง่ายมาก เราต้องสร้างขุมกำลังของตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น และทำลายภัยคุกคามที่มีต่อเราให้สิ้นไป”

 

“ช่างเป็นวิธีแก้ไขที่เรียบง่ายจริงๆ”

ลอร่าหัวเราะ

“นายท่านพูดถูกแล้ว พอมาคิดว่า จะเปลี่ยนอำนาจให้กลายเป็นสันติอันยั่งยืนยงตลอดกาลนั้นให้เป็นปัญหาของผู้อื่น”

 

ลอร่าลึกขึ้นมาข้างตัวผม 

เธอโอบแขนรอบคอแล้วเอาหน้ามาใกล้ 

เราสองคนจูบกันเบาๆ

 

“แต่นายท่าน สิ่งนั้นจะไม่น่าสิ้นหวังไปหน่อยหรือคะ?”

 

“ความหวังน่ะยังมี แต่มันคือ ความสิ้นหวังสำหรับพวกเรา”

 

“ฉันได้ยินว่า ราชินีเฮนริเอตต้า เดอ บริททานี่ กำลังสร้างจักรวรรดิขึ้นในฟรานเคีย”

ผมใช้นิ้วพันม้วนผมลอร่า มันนุ่มนิ่มน่าสัมผัส

 

“นี่คงได้เวลาแก้แค้นเมื่อ 3 ปีก่อนแล้ว เจ้าไม่คิดหรือว่า นี่ได้เวลาแล้ว?”

 

“นายท่านโดยขยี้จนแพ้ราบคาบ หากไปสู้กับเธออีกรอบ ท่านก็น่าจะแพ้”

 

“อื้ม เจ้าพูดถูก หากข้าไปลุยด้วยตัวเอง ข้าก็คงจะทำซ้ำสิ่งที่เกิดขึ้นตอนสมัยที่ราบนักบุญเดนิสอีกครั้ง”

ผมจุมพิตหน้าผากขาวๆของลอร่า

“แต่ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็มีหญิงสาวผู้อ้างตนว่า เป็นอัจฉริยะทางการทหารอยู่ข้างกายนี่”

 

“โอ้?”

เธอถึงกับยกคิ้วขึ้น

 

“นี่ท่านกำลังจะบอกให้หญิงสาวผู้นี้ไปเผชิญหน้ากับราชสกุลฝ่ายมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งทวีป และจอมมารที่แข็งแกรงที่สุดในโลกปีศาจพร้อมๆกันอย่างนั้นหรือคะ”

 

“ข้าขอพูดตามตรง ข้าไม่ชอบเรื่องที่ว่า เจ้าสองตัวตนนั้นยังมีชีวิตอยู่

นับเป็นโชคดีที่ ไพมอนเป็นหนี้ข้าด้วย ดังนั้นเราใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้”

ผมหัวเราะเบาๆ

 

 

“เยี่ยมค่ะ หากเป็นเช่นนั้นหญิงสาวผู้นี้ขอเป็นดาบของนายท่าน ไม่ว่าผู้ปกครองคนใดเป็นศัตรูของท่าน ตัวฉันก็จะขอเชือดคอและมอบหัวนั่นให้แก่ท่าน”

 

เดือน 5 ของปีนี้ พวกเรามีการประชุมเนฟเฮม

ตัวผม,ดันทาเลี่ยน ผู้เป็นจอมมารลำดับ 71 ได้จัดการประชุมขึ้น

 

 

 

(TTL : สำหรับใครที่งงมารวมกันอ่านตรงนี้

 

หนังสือเล่มที่ลอร่าให้ดันทาเลี่ยนอ่าน นั้นชี้ไปที่นิยามของสาธารณรัฐ โดยระบุถึงการใช้อำนาจส่วนกลางว่า ความเป็นสาธารณรัฐนั้นจะจำแนกจากระบอบการปกครองส่วนกลางอีกทีว่า จะใช้ระบบตัวแทนแบบประชาธิปไตย(democracy) ระบบสภาของชนชั้นสูง อำมาตยาธิปไตย(aristocracy)หรือราชาธิปไตย(monarchy) 

 

และชี้ความต่างในรายละเอียดว่า สาธารณรัฐ ไม่เท่ากับ ประชาธิปไตย แล้วก็ชี้ข้อบกพร่องประชาธิปไตยทางอ้อม 

[ประชาธิปไตยมีสองแบบคือ ทางตรงและทางอ้อม 

ทางตรงจะเกิดในหมู่ประชากรจำนวนน้อยที่น้อยพอจะให้ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงแสดงความเห็นและมีผลต่อการตัดสินใจโดยตรง 

ขณะที่ ประชาธิปไตยทางอ้อมคือจะมีการเลือกตัวแทนกลุ่มขึ้นมาแทน แล้วส่งต่อไปยังสภากลางโดยใช้ตัวแทนที่ประชาชนเลือกมาอีกที]

ว่า หากมีคนๆหนึ่ง หรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบาย แต่เป็นเสียงส่วนน้อยก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี 

แล้วก็มุ่งประเด็นไปที่กลุ่มฝ่ายที่กุมอำนาจการบริหารสุดท้ายแล้วจะเป็นผู้ชี้นำทิศทางของการออกกฏหมายด้วย 

ถ้าเทียบสมัยนี้ก็เหมือนฝ่ายบริหารมีอำนาจมาก มากเกินเสียจนครอบงำบงการฝ่ายนิติบัญญัตินั่นแหละ (…เออก็จริงของมัน)

 

แล้วก็มาถึงตรงนี้ ตอนที่ยกถ้อยคำของอลิซาเบธมาโน้มน้าวว่า ลักษณะของประเทศที่ใหญ่ก็จะมีความแตกแยก และการกระจายอำนาจในการปกครองมากยิ่งขึ้น เลยทำให้มีความเข้าใกล้ความเป็นสาธารณรัฐมากเข้าไปอีกเพราะส่วนกลางไม่อาจเข้าไปจัดการดูแลเขตภูมิภาคต่างๆได้หมด

จึงต้องใช้วิธีกระจายอำนาจการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการมอบอำนาจให้ท้องที่จัดการกันเอง หรือแต่งตั้งคนจากส่วนกลางเข้าไปจัดการแทน  

 

ดังนั้นแล้วในขณะที่ประชาธิปไตยจะเริ่มสร้างความแตกแยกในประเทศใหญ่ๆเพราะการกระจายอำนาจ ก็เลยสรุปว่า สมควรให้มีการรวมศูนย์อำนาจกลับมาในประเทศสาธารณรัฐแทนแถมเสริมด้วยว่า ถ้าไม่โดนผู้ปกครองกดขี่จะระบอบไหนๆชาวบ้านก็ไม่รู้ไม่สนใจเหมือนกันนั่นแหละ

 

ตรงนี้ดันทาเลี่ยนเลยแซะว่า เป็นตรรกะสุนัขรับใช้ที่ดีจริงๆแล้วก็แย้งว่า อำนาจมันต้องเป็นของใครสักคนหนึ่งจึงจะเป็นประโยชน์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพยายามที่จะทำให้อำนาจเป็นของกลางสำหรับทุกคนเพราะการทำแบบนั้น ทำให้ตัวอำนาจกลายเป็นสิ่งที่มันใช้การไม่ได้ไปแทน 

พูดสำทับด้วยว่า ไอ้พวกนี้มันน่ากลัว พวกนี้มันเป็น นักปลุกปั่นที่เชื่อเรื่องที่ตัวเองพูดระดับหนึ่งด้วยซ้ำ

ในขณะที่พวกนักต้มตุ๋นนั้นต้องไม่เชื่อในเรื่องที่ตัวเองพูดออกไป

(เพราะตอแหล และรู้ว่าไม่มีทางเป็นจริง) 

 

ซึ่งการที่นักปลุกปั่นเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดด้วยทำให้มีพลังในการขับเคลื่อนคนและนำพาคนไปตายได้มากมาย 

(*ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ต่างจากที่ดันทาเลี่ยนมันทำอะนะ แค่อยู่คนละฝ่ายกันเฉยๆ)

 

 

ดันทาเลี่ยนยกตัวอย่างการกระจายอำนาจแบบง่ายๆ ถ้าหากมีหน่วยงานA สร้างขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการท้องถิ่น แล้วระแวงจึงตั้งหน่วยงานBขึ้นมาตรวจสอบ หน่วยงานA ในตัวหน่วยงานเองก็จะมีผู้มีอำนาจสูงสุดเกิดขึ้น 

ลอร่าเสริมว่า สมดุลที่แท้ตลอดกาลมันไม่มี ดังนั้นก็จะมีช่วงที่ หน่วยงานA หรือหน่วยงานB เรืองอำนาจขึ้นมา จนเกิดสถานภาพที่เสียสมดุลทางอำนาจ 

 

จากเดิมที่ตั้งใจจะกระจายอำนาจเพื่อรักษาสมดุลไม่ให้อำนาจกลายเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็เลยกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เสียแรงเปล่าๆไป

 

จบลงตรงที่ดันทาเลี่ยนตั้งใจจะฆ่าเหล่าผู้ปกครองในทวีปทิ้งเพื่อให้อ่อนแอลง แล้วเสริมฐานอำนาจของฝ่ายตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น และดันทาเลี่ยนเข้าใจเรื่องผลประโยชน์ของอำนาจที่มีอยู่ดี จึงมองว่า ที่พล่ามๆมาในตำราเล่มที่บอกจะให้อำนาจเป็นของกลางนั้นถือว่า ทำเรื่องไร้ประโยชน์สิ้นดี  

 

เป็นเชิงอรรถที่ยาวมากเพราะตอนนี้ชวนงง แต่งงแค่ตอนนี้ตอนเดียวแหละ 

 

ตอนต่อจากนี้ก็ใส่นัวกันมันส์ๆในงานวัลเพอกีซแล้ว!)

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด