Dungeon Defense (WN) 290 สงครามหุ่นเชิด (7)
บทที่ 290 – สงครามหุ่นเชิด (7)
* * *
“ที่บอกว่า เพื่อยืนยันความปลอดภัยของข้า มันหมายความว่ายังไง ห้ะ ไอ้หนู……!?”
เวสซาโก้ขบเคี้ยวฟัน
ในการระดมพลครั้งนี้ จอมมารเวสซาโก้เป็นจอมมารที่มีแรงจูงใจน้อยที่สุดในหมู่จอมมารด้วยกัน เขาเป็นบุคคลที่จะยังไงก็ได้ตราบที่ตัวเองสะดวกสบาย
เขาไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยซ้ำ หากดันทาเลี่ยนไม่ยืนยันความปลอดภัยให้กับตัวเขาก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งนี้มันผิดกับที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้า
“นั่นมันอกาเรสนะโว้ย!”
“อกาเรสเข้ามาแล้ว!”
เสียงตะโกนดังลั่นไปทั่วทุกมุมกองทัพ ปีศาจทั้งหลายต่างเริ่มจะถอนตัว
จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน ทหารทั้งหลายที่เคยเกาะกลุ่มชิดกันกลับไม่อาจหยุดผู้เดียวที่เข้ามาใกล้ได้
ทหารทั้งหลายฟังคำสั่งแล้วถอนกำลังออกจากคูหลุม
เหลือเพียงสามคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ เวสซาโก้เป็นหนึ่งในสามคนนั้น
“มันสำคัญที่ไหนกับการที่ยืนยันความปลอดภัยให้ข้าวะ ในเมื่อตอนนี้ข้าตกอยู่ในอันตรายแล้ว—!”
ทุกอย่างเปลี่ยนไปฉับไว
หากเขารู้ก่อนหน้าว่า ต้องมาเผชิญหน้ากับอกาสเรส เขาคงพยายามทำทุกทางเพื่อไม่เข้าร่วมกับการระดมพลในครั้งนี้
“เฮ้ย, แกไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายขนาดนั้นหรอก ข้ากับนังกะหรี่นี่จะเป็นผู้เข้าสู้ระยะประชิดเอง”
“คอยคุ้มกันพวกเราจากข้างหลังก็เกินพอแล้วนะ เวสซาโก้ ฮี่ฮี่”
อีกสองคนก็คือ เบเลธ และ สิตริ ที่ตอบรับเสียงตะโกนของเวสซาโก้ จอมมารทั้งสองนั้นกระชับขวานใหญ่และดาบแส้ไว้ในมือ
“เจ้าโง่เอ๊ย นี่แกไม่รู้กันเหรอว่าเผชิญหน้ากับใครอยู่?”
เขากัดกราม
“นั่นอกาเรส อกาเรสนักฆ่าล้างเชียวนะ
เชื่อแน่ว่า แกสองคนทนได้ไม่ถึงสามสิบหวดหรอก
แล้วข้าที่ถูกถัดจากแกสองคนที่ตายไปแล้ว มันจะไม่อันตรายได้ยังไงวะห๊ะ!?”
“ช่ายย นายพูดถูกเลย”
สิตริยิ้มสบายๆ
“นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมนายต้องทำให้เต็มที่เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยยังไงล่ะ!”
“……ไอ้พวกโง่บัดซบนี่”
นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาเกลียดพวกสมองกล้าม พูดอะไรไปก็ไม่เคยจะเข้าหัว
แต่เรื่องที่น่าตลกที่สุดคือ เขาจะต้องสู่เคียงข้างเจ้าพวกโง่นี่
เบเลธพูดอย่างเฉื่อยชา
“คุยเล่นมันก็ดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้เราต้องเตรียมตัวกันแล้ว”
“โอ้ องค์เทพี,โปรดสาปแช่งเจ้าดันทาเลี่ยนเถอะ!”
เวสซาโก้กัดนิ้วหัวแม่มือ เลือดกระจายไปทั่วชั่วขณะที่ฟันฉีกทึ้งเนื้อตัวเอง
วงเวทย์สีครามเหมือนผืนฟ้าแผ่กระจายโดยมีเวสซาโก้อยู่ตรงศูนย์กลาง
วงเวทย์ขยายกว้างออกไปราวสี่สิบเมตรก่อนจะหยุดลง
ราวกับแมงมุมกางใย วงเวทย์ใหม่นั้นปรากฏทั้งสี่ทิศ ของวงเวทย์วงเดิม
ความเข้มข้นของเวทย์มนตร์ทรงพลังมากจนทำให้อากาศรอบๆบิดเบี้ยว
สายลมพัดทวีกลายเป็นพายุใหญ่ ม้วนตัวรอบวงเวทย์เหล่านั้น
เบเลธผิวปาก ลมกรรโชกแรงทำให้ผมของเขาพริ้วสะบัด
นี่เป็นวงเวทย์ที่มีแต่เพียงเวสซาโก้คนเดียวเท่านั้นที่ร่ายได้
มันอาจเป็นเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์เลยก็เป็นได้
จะมีสักกี่คนที่จะสามารถสร้างวงเวทย์ใหญ่วงเวทย์พร้อมกับวงเวทย์ย่อยๆเหล่านั้นได้?
เวสซาโก้สะบัดเลือดตนไปในอากาศ ใบหน้าของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาย้อมด้วยแสงสีฟ้ากลับบูดเบี้ยวอย่างมาก
อดีตจอมมารลำดับ 3 ผู้เคยได้รับสมญาว่าเป็นจอมมารผู้เฉลียวฉลาดที่สุดตะโกนขึ้น
“—รีบเร่ง แล ปรากฏมา, เหล่าข้ารับใช้ผู้หิวโหยทั้งหลาย”
ถ้อยคำที่ออกจากปากนั้นหยาบเกินกว่าที่จะเรียกว่า เป็นการร่ายมนตร์ หากแต่ผลลัพธ์ของมันกลับทรงพลัง
วงเวทย์เล็กๆในสี่วงย่อยกลับระเบิดพลังเวทย์ แขนขายื่นออกมาจากในแกนกลางของพายุ จำนวนผู้ปรากฏกายคือ สี่ตน
หญิงผู้มีเรือนผมสีแดง , <ราชาภูตไฟ>
หญิงผู้มีเรือนผมสีน้ำเงิน , <ราชาภูตน้ำ>
หญิงผู้มีเรือนผมสีเขียว , <ราชาภูตดิน>
หญิงผู้มีเรือนผมสีขาว , <ราชาภูตลม>
แค่อัญเชิญได้ผู้ใดผู้หนึ่งก็เลื่องชื่อลือชาในหมู่มนุษย์แล้ว หากแต่กลับอัญเชิญออกมาได้ทั้งสี่ตัวตนพร้อมๆกัน
– แหมๆ, นี่นานแค่ไหนกันแล้วเนี่ย?
– เนื่องในโอกาสอะไรกันน่ะ? เจ้าหนุ่มขี้เหนียวนี่ถึงได้เรียกพวกเรามาพร้อมเพรียงกัน หากข้าจำไม่ผิด ครั้งสุดท้ายก็เมื่อ 2,455 ปีก่อน
– น่าเศร้า……ดูเหมือนเจ้าจะแก่จนหลงลืมเสียแล้ว ไม่ใช่ 2,455 ปี หากแต่เป็น 2,454 ปี ระบุให้แน่ชัดคือ 2,454 ปี 67 วัน 7 ชั่วโมง และ 48 นาที
ราชาภูตผมฟ้ามุ่ยคิ้ว
– ดีจังเลยนะ ที่มีความจำดีแบบนั้นน่ะ แต่เจ้ารู้อะไรไหม? เจ้าทำตัวน่ารำคาญชะมัด
– ริษยาหนุ่มสาวเป็นคุณสมบัติเฉพาะของคนแก่
หากจะยืนยันอย่างนั้นก็ได้นะ อืมฮึ ข้าเห็นด้วยเลยว่าเจ้าน่ะแก่จริง
– ชะอุ๊ย เจ้าสองคนที่ช่างคึกคักเสียจริงๆ
– …….
ราชาภูตไม่สนใจผู้อัญเชิญแต่กลับหันไปพูดคุยเม้ามอยกันเอง มีเพียงราชาภูตผมสีขาวเท่านั้นที่ยังคงเงียบอยู่
– จะว่าไปแล้วนะ เมคอัพของเธอน่ะมันเละไปหมดแล้วเห็นไหม เธอน่ะควรจะรู้จักเตรียมพร้อมการถูกอัญเชิญไว้ทุกสถานการณ์นะรู้เปล่า นี่เธอปล่อยให้หน้ามันเมือกแบบนั้นได้ยังไงกัน?
– เราไม่ได้บ้าตบแป้งจนซึมไปถึงสมองเหมือนอย่างเธอสักหน่อย เราไม่ต้องการคำแนะนำจากเธอหรอกย่ะ
– ถูกแล้ว เธอน่ะมันขี้เหร่ตั้งแต่เกิดเลยต้องพึ่งพาเมคอัพ แต่โทษทีนะ ฉันน่ะไม่ต้องการอะไรพวกนั้นหรอกเพราะฉันสวยธรรมชาติตั้งแต่เกิด
ราชาภูตหรี่ตามองพลางยิ้มให้แก่กัน
– ปากคอเราะร้ายพูดจาหยาบคายเหลือเกิน
– หมายถึงใครกันเหรอ , ยัยเมดเฒ่า
– อยากซัดกันสักยกสิน้า?
– ……ทุกคน ดีกันไว้
เวสซาโก้ถึงกับกุมหน้าผาก เขาปวดหัวตุบๆ
นี่แหละสาเหตุที่ว่า ทำไมเขาถึงหลีกเลี่ยงการอัญเชิญทั้งสี่ตนมาพร้อมๆกัน
มันเป็นการตัดสินใจที่เขาตั้งใจจะไม่ละเมิดมากว่า 2,000 ปี แต่สุดท้ายคนอย่างดันทาเลี่ยนกลับทำให้เขาต้องละเมิดกฏนี้
เวสซาโก้บ่น
“……มาที่นี่ ไม่อย่างนั้นข้าจะถอนการอัญเชิญ”
ราชาภูตทั้งหลายหยุดพูดคุยจ๊อกจ๊อกแล้วหันกลับมามองที่เวสซาโก้พร้อมกัน
ดวงตาของพวกเธอนั้นเฉยชาราวกับไม่ได้มองผู้อัญเชิญตัวเอง
– เอ๋ อย่างกับว่า ถอนการอัญเชิญไปแล้ว ข้าสนอย่างนั้นล่ะ
– หมอนี่คงต้องอยู่ในสถานการณ์คับขันแน่ๆถึงได้เรียกพวกเรามาน่ะ
– ไม่น่าพอใจเท่าไหร่เลย ว่าแต่ อะไรเป็นภัยคุกคามครั้งนี้กันล่ะ?
– ……รู้ที่ต่ำที่สูงเสียบ้างนะ มันเป็นสิ่งจำเป็น
“บ้าเอ๊ย! หากไม่อยากโดนยกเลิกการอัญเชิญพร้อมถอนสัญญา ก็มาตรงนี้สักทีสิวะ!”
เวสซาโก้ตะโกนเรียก
พอเขาทำเช่นนั้น ราชาภูตทั้งสี่ต่างบ่นอุบขณะที่ยอมเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
– เห็นไหม? เจ้าหมอนี่มันไม่รู้จักสร้างความสัมพันธ์อันดีเสียบ้างเลย เอะอะไรก็สัญญาอย่างงู้น สัญญาอย่างงี้
– เฮ่อ นี่แหละทำไมเราไม่ควรทำพันธะกับหมอนี่ นักอัญเชิญจิตวิญญาณยุคก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้
– แล้วพวกเราจะไปทำอะไรได้? เรามีแต่ต้องทำตามที่ผู้อัญเชิญบอกให้เราทำเท่านั้นแหละ
– ……พวกบ้าอำนาจ ขอประท้วง เดี๋ยวนี้เลย
ราชาภูตเรียงแถวกันพร้อมกับสีหน้าบ่งบอกถึงความรำคาญ พวกเธอทำหน้าตาเหมือนนีทที่อยู่สุขสงบอยู่ในห้องของตัวเองมานานแล้วอยู่ๆโดนเรียกไปประชุมครอบครัว
ภาพลักษณ์ของคนทั่วไปที่มีต่อราชาภูตห่างไกลนับเป็นล้านปีแสงจากตอนนี้
สิตริกับเบเลธที่เฝ้ามองดูอยู่จากด้านข้าง ถึงกับต้องไปกระซิบกระซาบกันเอง
“……ข้าก็สงสัยอยู่ทำไมเวสซาโก้ถึงเกลียดการเข้าสงคราม”
“……เออ เหมือนกัน ทีแรกข้าคิดว่า หมอนี่มันขี้ขลาด, แต่ดูเหมือนหมอนี่จะมีปัญหาใหญ่อยู่”
หากมีใครคนอื่นมาเห็นภาพอย่างนี้เข้ามีหวังความสูงส่งและความภาคภูมิใจของเวสซาโก้มีหวังแหลกเป็นผุยผงเป็นแน่
เขารู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร จึงออกคำสั่งให้จบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ศัตรูคือ จอมมารอกาเรส มีสิ่งเดียวที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจ
แม่นั่นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่ามังกรคนใดที่พวกเธอเคยเจอมา
ข่าวดีอย่างนึง คือ แม่นั่นใช้เวทย์อะไรไม่ได้เลย
ส่วนข่าวร้าย คือ แม่นั่นแข็งแกร่งกว่าเผ่ามังกรทุกตนแม้จะใช้เวทย์มนตร์ไม่ได้ก็ตามที พูดง่ายๆ แม่นั่นเป็นสัตว์ประหลาด”
ณ ตอนนั้นเองที่ราชาภูตแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“พวกเรามีพันธมิตรอยู่ตรงนี้สอง
คือ จอมมารคู่นี้ หน้าที่ของพวกเธอคือ สนับสนุนพวกเขา ร่วมมือกับพวกเขา และยื้อเวลาให้นานที่สุด
และหากเป็นไปได้ จะเยี่ยมมากถ้าโค่นอกาสเรสได้ แต่ดูท่าตอนนี้น่าจะไม่มีหวังเลย”
– โอ้แหม นี่เจ้ามาสู้ทั้งที่รู้ว่าไม่มีโอกาสชนะเนี่ยนะ? เนื่องในโอกาสอะไรกันน่ะ? หรือเจ้าโดนใครข่มขู่มาหรือ?
“งดคุยเรื่องส่วนตัว”
ราชาภูตต่างแสดงท่าทางไม่พอใจขณะมองไปที่ผู้อัญเชิญ
แต่ถึงอย่างนั้นที่เวสซาโก้ทำก็ถือว่าเหมาะสมดี
เบเลธและสิตริเตรียมอาวุธประจำตัวพร้อมสู้
รังสีอำมหิตกระหายเลือดพุ่งพล่านไปทั่วสมรภูมิ
ความกระหายเลือดเร่งเข้ามาใกล้จนแทบบดอัดผืนดินรอบข้างพวกเขา
เสียงของเหล่าทหารหาญตะโกนมาจากที่ไกลๆ เสียงโลหะที่ปลายหัวหอกกระทบดังสะท้อน
แต่ถึงอย่างนั้น พื้นที่รอบข้างกลับเงียบอย่างน่าแปลก
อัศวินบริททานี่มิได้หันหัวม้าไปในทิศทางของเสียงนั้น พวกนั้นรั้งรออยู่นานจนกระทั่งพลหอกถอนตัวไป
เสียงฝีเท้าหมาป่าแหวกอากาศจนแทบไม่มีช่องว่าง จนเกือบจะลืมหายใจ
“คุ้นเจ้าสองตัวนั้นอยู่ แต่อีกตัวหนึ่งชวนแปลกใจ”
จอมมารอกาเรสนั่งอยู่บนหลังหมาป่าตัวโต
“เวสซาโก้ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเกาะติดกับ ‘ฝั่งนั้น’ ”
“…….”
“ก็นะ ข้าเองก็ว่าพวกที่ตามฝูงไม่ได้หรอก แต่ว่า…….”
ณ ตอนนั้นเองที่เปลวเพลิงลุกโชติขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
เปลวเพลิงที่ยิงออกไปโดยราชาภูตไฟกลับถูกอกาเรสกลืนหายไปในทันที
เสียงเปรียะปร๊ะดังขึ้นจากเปลวเพลิงลั่นไปทั่ว
ถึงอย่างนั้นมันก็ดังเพียงสามวินาที ลมโหมกระหน่ำจากศูนย์กลางไฟ ผ่าไฟนั้นเป็นสองซีก
หลังจากเปลวไฟหายไป ออร่าสีแดงดำก็มาแทนที่
“แต่ มีเพียงพวกอ่อนแอเท่านั้นที่ตามฝูง”
อกาเรสแสยะยิ้มพร้อมกับง้าวในมือ
“เวสซาโก้ มันไม่สำคัญเลยว่า เจ้าจะไปเจอคนแข็งแกร่งคนไหนเป็นรายต่อไปหลังจากบาอัล จะเป็นบาร์บาทอส,ไพมอน หรือมาร์บาสก็ตามใจ
แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบคำถามหนึ่งคำถาม
—เจ้าพวกนั้นน่ะ แข็งแกร่งกว่าข้าหรือไม่?”
“…….”
การโจมตีเมื่อครู่นั้นไร้ความหมายไม่ต่างจากการหยั่งเชิงทดสอบ ซึ่งนั่นเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของราชาภูตไฟแล้ว
แม้จะเป็นการโจมตีสมบูรณ์แบบในช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่อกาเรสก็ปัดป้องและเป่ามันดับราวกับเปลวเทียน
อกาเรสที่ถามเขาอย่างนั้น เธอต้องการจะบอกเป็นนัยๆว่า หากไม่แน่ใจที่จะอยู่ฝั่งนั้น แล้วอยากจะย้ายมาฝั่งนี้เธอยังให้อภัยอยู่นะ
ริมฝีปากของเวสซาโก้บิด
“……อกาเรส,ข้าก็ขอถามเธออย่างหนึ่งเช่นกัน เธอน่ะแข็งแกร่งกว่าบาอัลหรือเปล่าล่ะ?”
“หืมม? ล่ะมั้งนะ? ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน?”
อกาเรสเลิกคิ้ว
“มันแล้วแต่สถานการณ์ หากพวกเราปะทะกันพร้อมร่างไม่สมบูรณ์ของข้า ข้าก็คงแพ้ แต่ข้าเองก็มีโอกาสห้าสิบเปอเซ็นต์ที่จะชนะเช่นกัน
แล้วเจ้าจะถามไปทำไม?”
เวสซาโก้พยักหน้า
“แต่ฝ่ายนี้ฆ่าบาอัลได้ หวังว่านี่คงจะเป็นคำตอบชัดเจนพอสำหรับเธอ”
“……เฮ่อ โชคไม่ดีเลยนะ”
อกาเรสชี้ปลายง้าวไปที่จอมมารทั้งสาม หมดสิ้นช่วงเวลาถามตอบแล้ว
เบเลธและสิตริกู่ร้องขณะที่พุ่งใส่อกาเรสจากทั้งสองฝั่ง
อกาเรสหมุนง้าวปัดป้องขวาและดาบไปพร้อมๆกัน
หลังจากป้องกันการโจมตีประสานได้แล้ว อกาเรสก็กระโดดลงหลังหมาป่าแล้ววิ่งเข้าใส่สิตริ
แส้ดาบของสิตริไม่ใช่อาวุธธรรม มันสามารถยืดหดได้ตามปรารถนา ทำให้สามารถโจมตีจากมุมที่ไม่คาดคิดได้
การเผชิญหน้ากับอาวุธเช่นนั้นช่างน่ารำคาญยิ่ง ดังนั้นแล้วอกาเรสจึงเลือกจู่โจมสิตริก่อนเบเลธ
สิตริขบกราม พวกเขานั้นพลาดจังหวะสำคัญไป เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่า การโจมตีประสานจะโดนสกัดโดยง่าย
อกาเรสพ่นลมหึใส่ยามเมื่อเห็นสีหน้าของสิตริ พร้อมกับตวัดง้าว แต่ทว่า—
“—หืม?”
ง้าววาดแหวกอากาศ พลาดใบหน้าสิตริไปแค่เพียงระยะเส้นผม
อกาเรสมองลงต่ำก็เห็นรากไม้จับหัวเข่าเธออยู่
เธอออกแรงเพียงเล็กน้อยไปที่ขาแล้วรากทั้งหลายนั้นก็ขาดลงอย่างไร้กำลัง แต่มันก็เป็นชั่วระยะเวลาที่นานพอให้สิตริฉวยจังหวะตอนนั้น
ก่อนที่อกาเรสจะรู้ตัว สิตริกับเบเลธต่างเข้ามาประกบอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ราชาภูตดินข้างกายเวสซาโก้ก็ยิ้มเยาะ
“อย่างนั้นเองรึ เจ้าจะเล่นแบบนี้สินะ?”
ราชาภูตเข้ามาแทรกขณะที่เธอกำลังแลกอาวุธกันกับเบเลธและสิตริ
อกาเรสหัวเราะให้กับแผนการอีกฝ่าย
“ข้าพึ่งนึกได้น่ะ……ไม่ว่าจะมังกร,ปีศาจ,มนุษย์ และเผ่าสัตว์ป่า
ข้าเคยฆ่ามาอย่างน้อยก็ตัวหนึ่งแล้วทั้งนั้น แต่ข้ายังไม่เคยฆ่าราชาภูตมาก่อน
น่าสนใจดี”
อกาเรสเปลี่ยนท่าจับง้าว
“มาดูกันดีกว่าว่า ตอนราชาภูตตายจะร้องเสียงยังไง”
————————————
ผู้แปล : อีเว้นท์พัฒนงพัฒนาย่านการค้า อะไร ? ไม่ได้สนุกขนาดนั้นร๊อก
[แนบภาพ]
มิตรสหายผู้แปล : เล่นจบตั้งแต่ day 1
ไ ม่ ส นุ ก เ ล ย น ะ ม รึ ง
Comments